ศธ.สั่งสอบวินัยเลขาฯ กพฐ. แล้ว

22 พฤษภาคม 2556

เมื่อวันที่ 21 พ.ค. ที่กระทรวงศึกษาธิการ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศธ. กล่าวถึงการลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ) ว่า ขณะนี้นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศธ. ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการแล้ว เพื่อสอบสวนฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย มีนายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เป็นประธาน ซึ่งการตั้งคณะกรรมการดังกล่าวไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งใคร จะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา เพราะช่วงนี้มีกระแสข่าวว่า การสอบครูผู้ช่วยรอบใหม่มีการรับเงินกันแล้ว ก็ยิ่งทำให้ตนไม่สบายใจ จึงอยากให้ผลการสอบออกมาโดยเร็ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุใดจึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยฯ นายชินภัทรคนเดียว ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่าจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยฯผู้ที่เกี่ยวข้อง 4 คน นายเสริมศักดิ์กล่าวว่า คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ที่มีนางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดศธ. ชี้มูลชัดเจนแล้วว่า เลขาธิการกพฐ. เป็นผู้บริหารสูงสุดของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ) แต่กลับไม่ตรวจสอบทั้งๆ ที่มีมูลก่อนหน้านี้แล้วว่า มีการเฉลยข้อสอบ และข้อสอบรั่ว แต่กลับปล่อยให้มีการสอบแข่งขัน และบรรจุแต่งตั้ง กรณีนี้หากตรวจสอบ และยกเลิกการสอบ ก็จะทำให้เกิดความเสียหายไม่มาก ส่วนผู้เกี่ยวข้องอีก 3 ราย ที่เป็นผู้รับคำสั่ง ก็จะต้องสอบสวนหาข้อมูลเพิ่มเติมต่อไป

ด้านนายพงศ์เทพกล่าวว่า การตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงกับนายชินภัทรนั้น ไม่ใช่เพราะว่านายชินภัทรทุจริต แต่ตั้งเพราะนายชินภัทรไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนราชการ ตามที่มีการชี้มูลและเสนอของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง สำหรับข้าราชการระดับสูง สพฐ.ที่เกี่ยวข้องอีก 3 คน จริงๆ ก็มีการเสนอขึ้นมา แต่เมื่อดูข้อเท็จจริงต่างๆ แล้ว ก็เสนอว่าให้กลับไปสอบสวนเพิ่มเติมต่อไปก่อน

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32784&Key=hotnews

สพฐ.ย้ำเกณฑ์ทรงผมนักเรียน

22 พฤษภาคม 2556

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ทำหนังสือแจ้งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) ทุกเขต เพื่อแจ้งไปยังสถานศึกษาในสังกัด เรื่องทรงผมของนักเรียน และขอให้สถานศึกษาปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกัน โดยให้ถือกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 พ.ศ.2518 ออกตามความในประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515 เป็นหลัก เพราะกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวให้นักเรียนไว้ผมรองทรงได้ หรือไว้ผมยาวได้ตามที่กำหนด ซึ่งประเด็นส่วนใหญ่ไม่ต่างกับร่างกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติ การแต่งกาย และแบบทรงผมนักเรียน พ.ศ. … เพียงแต่มีรายละเอียดเพิ่มเติมบ้าง และร่างกฎกระทรวงฉบับใหม่นี้อยู่ระหว่างการเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) และน่าจะเริ่มใช้ในปีการศึกษา 2556

นายชินภัทร กล่าวว่าขอให้สถานศึกษาปฏิบัติเกี่ยวกับทรงผมของนักเรียนเป็นแนวทางเดียวกัน ได้แก่

1.นักเรียนชายให้ไว้ผมสั้นหรือยาวก็ได้ หากไว้ผมยาวด้านข้างและด้านหลังต้องยาวไม่เลยตีนผม เช่น แบบทรงผมรองทรง และ

2.นักเรียนหญิง ให้ไว้ผมสั้นหรือผมยาวก็ได้ กรณีไว้ผมยาวต้องรวบให้เรียบร้อย

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32783&Key=hotnews

สพฐ.ตัด Google Play ใน TOR แท็บเล็ตนร. ป.1

google play
google play

 

ประเทศไทยมีประชากร 70 ล้านคน ถ้าซื้อ tabletpc 1.6 ล้านเครื่อง + 9.3 แสนเครื่อง รวมเป็น 2.53 ล้านเครื่อง หรือเท่ากับร้อยละ 3.6 ของประชากร ที่จะมี TabletPC ของรัฐบาลใช้

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.)เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบาย 1 คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต)ต่อ 1 นักเรียน ได้อนุมัติร่างข้อกำหนดเงื่อนไขการประกวดราคา (TOR) ในการจัดซื้อเครื่องแท็บเล็ตปีการศึกษา 2556 แจกนักเรียนชั้น ป.1 และ ม.1 จำนวน 1.6 ล้านเครื่อง เสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นตอนนำออกประชาพิจารณ์ทางเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพื่อเตรียมเปิดจำหน่ายซองประกวดราคา และประกวดราคาด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรืออี-ออกชั่น (E-Auction) ต่อไปนั้น ขณะนี้ต้องถือว่า TOR น่าจะนิ่งแล้ว เพราะได้มีการปรับร่างรายละเอียดที่มีข้อท้วงติงออกแล้ว โดยเฉพาะกรณีแอพพลิเคชัน(application) จะเน้นเฉพาะแอพพลิเคชันที่ส่วนราชการกำหนดเป็นตัวอย่างให้ไปลองโหลดกับเครื่องตัวอย่างแล้วมาเสนอวันที่ยื่นซองเทคนิค เพราะเชื่อว่าแอพพลิเคชันตัวอย่างที่ทำขึ้นมาเพื่อไปใช้กับเครื่องตัวอย่างน่าจะเพียงพอ เนื่องจากเราเน้นว่าอย่างน้อยต้องใช้งานกับแอพพลิเคชันที่บรรจุไว้ในเครื่องได้ ส่วนเรื่องการดาวน์โหลดจะเป็นเรื่องรอง
เมื่อตัดแอพพลิเคชันที่ทำให้เป็นกังวลไปแล้ว โดยเฉพาะ Google Play บริษัทผู้ผลิตก็ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายค่า license ให้กับทาง Google Play เครื่องละราคา 2 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก็น่าจะทำให้ต้นทุนตัวเครื่องลดลง แต่ราคาจะลดลงหรือไม่คงต้องรอวันที่มาเคาะราคาแข่งกัน ซึ่งโดยหลักการ เวลายกเลิกเงื่อนไขอะไรไปทุกบริษัทก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน เพราะทุกอย่างคือค่าใช้จ่าย เพราะฉะนั้น เมื่อลดส่วนนี้ลง การแข่งขันก็น่าจะลดลง แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูวันจริง ไม่อยากคาดคะเนอะไรมาก“เลขาธิการ กพฐ. กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้าที่จะมีการปรับร่าง TOR สพฐ. ได้ทำประชาพิจารณ์ เพื่อให้มีการแสดงความคิดเห็นการจัดทำคุณลักษณะเฉพาะของเครื่องแท็บเล็ต ซึ่งมีผู้แสดงความไม่เห็นด้วยกับการเปิดให้ผลิตภัณฑ์ต้องผ่านการตรวจสอบจากผู้ผลิตระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งในเครื่องแท็บเล็ต ซึ่งบริษัทผู้ผลิตจะต้องมีค่าใช้จ่ายเป็นค่า license ให้กับผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการที่จะใช้งานบนแท็บเล็ตบนระบบปฏิบัติการ Android อย่าง Google play เครื่องละ 2 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ต้องเสียเงินเป็นค่าใช้จ่ายแฝงรวมแล้วเกือบ 100 ล้านบาท

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32743&Key=hotnews

 

เปิดอัพโหลดเนื้อหาแท็บเล็ต ป.2 .. 354 + เดิม 50 = 404

one tabletpc per child
one tabletpc per child

          นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มอบหมายให้สำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอนสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปสรุปถึงจำนวนเนื้อหาใหม่ที่จะสามารถบรรจุใส่ในแท็บเล็ตตามโครงการคอมพิวเตอร์มือถือสำหรับนักเรียนทุกคน(One Tablet PC Per Child) ของรัฐบาลสำหรับนักเรียนชั้น ป.1 ที่เลื่อนขึ้นชั้น ป.2 เพราะแต่ละกลุ่มสาระวิชาหลัก มีแอพพลิเคชันให้เลือกค่อนข้างมาก ซึ่งขณะนี้ สพฐ.ได้เตรียมวิธีการอัพเดทข้อมูลเนื้อหาใหม่ไว้เรียบร้อย เมื่อได้ข้อสรุปว่าจะเอาเนื้อหาใดมาใส่บ้าง ก็จะมีการอบรมครู และศึกษานิเทศก์เกี่ยวกับการอัพโหลดข้อมูลดังกล่าวต่อไป
ด้านนายเอนก รัตน์ปิยะภาภรณ์ ผู้อำนวยการสำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน สพฐ.กล่าวว่า ขณะนี้มีเนื้อหาใหม่ที่จะใส่ในแท็บเล็ตของนักเรียนชั้นป.2 จำนวน 354 เรื่อง แบ่งเป็นสื่อการเรียนรู้ 348 เรื่อง และอีบุ๊ก 6 เรื่อง มีความจุรวม 5 กิกะไบต์ โดยหลังจากนี้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกแห่ง จะต้องดาวน์โหลดและคัดลอกเนื้อหา เพื่อให้โรงเรียนนำแท็บเล็ตของนักเรียนชั้น ป.2 ไปอัพโหลดเนื้อหาใหม่ซึ่งได้มีการนำร่องดำเนินการไปแล้ว 5 เขตพื้นที่ อย่างไรก็ตาม แม้จะเปิดภาคเรียนไปแล้ว แต่การที่ยังไม่ได้อัพเนื้อหาใหม่คงไม่ใช่ปัญหา เพราะแท็บเล็ตไม่ได้เอามาแทนครูและแท็บเล็ตนำมาใช้ประกอบการเรียนการสอนแค่บางวิชาเท่านั้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32773&Key=hotnews

 

+ | + | + | + | +

 

ยลโฉม”แท็บเล็ตเสิ่นเจิ้น” โชว์50แอพ ตำราเรียนเด็กป.1
ข่าว 30 พ.ค.2555

และแล้วความฝันของเด็กป.1 ทั่วประเทศ ก็เป็นจริง เมื่อคอมพิวเตอร์พกพา หรือ “แท็บเล็ต” ล็อตแรก จำนวน 2,000 เครื่อง ตามโครงการ One Tablet PC Per Child ของรัฐบาล ที่ต้องการจะแจกแท็บเล็ตให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 8.5 แสนคน ทั่วประเทศ ทุกสังกัด ในปีการศึกษา 2555 มาถึงเมืองไทยแล้ว

ขั้นตอนต่อไปคณะกรรมการตรวจรับที่มี นายสมบูรณ์ เฆมไพบูลย์วัฒนา ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริม และพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นประธาน จะตรวจสอบสเป๊กทั้ง 2,000 เครื่อง โดยมีทีมงานของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นผู้ตรวจนับ

โครงการแจกแท็บเล็ตให้เด็กป.1 กระทรวงเทคโนโลยีสาร สนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กับ บริษัท เสิ่นเจิ้น สโคปไซ แอนทิฟิก ดีเวลลอปเมนต์ ประเทศจีน ลงนามเซ็นสัญญาจัดซื้อแท็บเล็ตร่วมกัน เมื่อวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา

โดยตกลงจัดซื้อแท็บเล็ตชุดแรก 4 แสนเครื่อง ราคาเครื่องละ 82 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2,700 บาท) จากทั้งหมด 9.3 แสนเครื่อง มูลค่าราว 948 ล้านบาท ภายใต้งบประมาณ 1,900 ล้านบาท กำหนดส่งมอบใน 60 วัน โดยบริษัทจะทยอยส่งเครื่องล็อต ละ 1 แสนเครื่อง ซึ่งจะครบกำหนดสิ้นเดือน มิ.ย.-ก.ค.นี้ ก่อนที่จะมีคำสั่งซื้อเพิ่มเติมส่วนที่เหลืออีก 5.3 แสนเครื่อง

สําหรับคุณสมบัติแท็บเล็ตในสัญญา ประกอบด้วย หน้าจอสัมผัส 7 นิ้ว หน่วยบันทึกข้อมูล 8 GB หน่วยประมวลผลกลาง หรือซีพียูแบบดูอัล คอร์ 1.2 GHz ซีพียูเพิ่มจาก 1 เป็น 1.2 กิกะเฮิร์ตซ์

ความจุของแรมเพิ่มจาก 512 MB เป็น 1 GB แบตเตอรี่ ชนิด Lithium Polymer 3,600 มิลลิแอมป์ ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.0 (Ice Cream Sandwich) พร้อมติดตั้งจีพีเอส มูลค่า 2,000-3,000 บาท ให้ฟรี และรับประกัน 2 ปี ซึ่งถือว่าเป็นคุณสมบัติที่สูงกว่าที่คณะกรรมการจัดซื้อกำหนดไว้

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) บอกว่า ได้รายงานความคืบหน้าโครงการ ต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแล้ว ขณะนี้ ศธ.ดำเนินการพร้อม เมื่อไอซีทีตรวจสอบเครื่องแล้วจะนำแท็บเล็ต 1,000 เครื่อง ไปจัดอบรมการใช้เครื่องให้แก่วิทยากรครูแกนนำทั้ง 183 เขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ เพื่อนำไปขยายผล ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดทำคู่มือการใช้แท็บเล็ต 10 เล่ม อาทิ การใช้แท็บเล็ตเบื้องต้น การเปิด-ปิดเครื่อง การแก้ไขปัญหา และคู่มือเชื่อมโยงบทเรียนกับหลักสูตร และมาตรฐานการเรียนรู้ โรงเรียนสามารถดาวน์โหลดคู่มือดังกล่าวได้ที่เว็บไซต์ สพฐ. www.obec.go.th

หากได้รับเครื่องล็อตแรก 100,000 เครื่องแล้ว ไอซีทีจะตรวจสอบเครื่องก่อนส่งมาที่สพฐ. เพื่อกระจายไปยัง สพป. เขต 1 ก่อน โดยเรียงลำดับตามพยัญชนะไทย และจะให้สพป.มารับแท็บเล็ตที่ส่วนกลาง โดยค่าใช้จ่ายในการขนส่งจะใช้งบฯ สพฐ. เมื่อสพป.กระจายไปยังโรงเรียนต่างๆ แล้ว โรงเรียนจะต้องตรวจสอบความเรียบร้อย และบันทึกข้อมูล เช่น หมายเลขเครื่อง เพื่อส่งข้อมูลไปยัง สพป.ให้ลงบันทึกในฐานข้อมูลต่อไป” นายชินภัทรกล่าว

เลขาธิการกพฐ.กล่าวด้วยว่า นายกฯ ต้องการให้ใช้แท็บเล็ตแบบพี่สอนน้อง โดยให้นักเรียนรุ่นพี่มาช่วยสอนน้องป.1 ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยครู เพราะในช่วงแรกการใช้เครื่องอาจมีปัญหา และครูคนเดียวก็อาจจะดูแลไม่ทั่วถึง

สำหรับเนื้อหาหลักสูตร 4 ส่วน ที่จะปรากฏอยู่บนหน้าจอหลักของแท็บเล็ตก็เป็นส่วนสำคัญ ขณะนี้สพฐ.ดำเนินการเสร็จสมบูรณ์แล้ว ประกอบด้วย

ส่วนที่ 1 อีบุ๊ก (e-Book) เมื่อเด็กและผู้ปกครองเปิดเข้าไปจะพบว่า เป็นสิ่งที่คุ้นตาดีอยู่แล้ว เพราะเป็นการแปลงเนื้อหาในหนังสือเดิม โดยจัดทำเป็นรูปแบบไฟล์ PDF 8 เล่ม ครบ ทั้ง 5 กลุ่มสาระหลักคือ วิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ สังคมศึกษา และวิทยาศาสตร์ เป็นไฟล์เข้าไปไว้ แต่จะเปิดอ่านได้อย่างเดียวไม่สามารถแก้ไขหรือขีดเขียนได้

ส่วนที่ 2 อีเลิร์นนิ่ง (e-Learning) หรือบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์มี 336 บท ส่วนนี้ถูกออกแบบเป็นสื่อมัลติมีเดียมีเนื้อหาภาพ เสียง ให้ตอบโต้กับผู้ใช้หรือนักเรียนได้  เช่น นักเรียนใช้นิ้วคลิกเข้าไปฟังเสียงหรือดูรายละเอียดเพิ่มเติม ขีดเขียนลงไปในบางบทได้ ส่วนใหญ่ประยุกต์มาจากที่ สพฐ.เคยออกแบบไว้ในโครงการสื่อการเรียน อีเลิร์นนิ่งเดิม และเป็นส่วนที่มีเนื้อหาที่ใช้ประกอบการเรียนรู้เรื่องต่างๆ ประกอบการอธิบายหรือสร้างความเข้าใจ ขณะที่บางบทอาจจะจำเป็นต้องมีครูผู้สอน หรือผู้ปกครองแนะนำเพิ่มเติม จึงจะเข้าใจเรื่องนั้นๆ

ส่วนที่ 3 มัลติมีเดีย (Multimedia) จะมีเนื้อหาภาพนิ่ง คลิปภาพเคลื่อนไหวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นไฟล์เสียงเพลงสำหรับเด็ก และเพลงของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน ส่วนนี้สพฐ.ยอมรับว่า ยังไม่สมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ ยังมีส่วนที่อาจจะต้องปรับปรุงแก้ไข ในส่วนของเพลงสำหรับเด็กบางเพลงยังต้องรอขอลิขสิทธิ์จากผู้เป็นเจ้าของด้วย

ส่วนสุดท้าย แอพพลิเคชั่น (Application) หรือโปรแกรมที่ออกแบบมาใช้งานตามจุดประสงค์การออกแบบ โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อน ส่วนนี้เป็นทั้งแบบฝึกหัด แบบทดสอบ เช่น การคัดลายมือ วาดภาพ ระบายสี ข้อสอบต่างๆ เกม การเรียนรู้ทั้งหมดประมาณ 50 แอพพลิเคชั่น ที่สพฐ. คัดเลือกและรวบรวมมาจากแหล่งต่างๆ

เนื้อหาหลักสูตรดังกล่าวจะใช้ความจุ 4 กิกะไบต์ จากทั้งหมด 8 กิกะไบต์ ส่วนที่เหลือ สพฐ.จะให้นักเรียนดาวน์โหลดเนื้อหาการเรียนอื่นๆ แต่นักเรียนหรือผู้ปกครองอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดาวน์โหลดเอง

นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศธ. กล่าวว่า การนำคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน โรงเรียนจะเป็นผู้กำหนดระยะเวลาการใช้งานที่เหมาะสมสำหรับนักเรียน เพราะยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่ต้องเรียนรู้ ส่วนการใช้งานที่บ้าน ผู้ปกครองจะช่วยดูแลอยู่แล้ว

ทั้งนี้ศธ.จะให้นักเรียนใช้เรียนจนจบชั้น ป.1 และนำไปใช้ต่อเนื่องในชั้น ป.2 ได้ ศธ.คาดหวังว่าจะช่วยยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนในโรงเรียน และช่วยพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กป.1 ได้อย่างรวดเร็ว

ส่วนมาตรการจำกัดการเข้าถึงเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง โดย นางอาทิตยา สุธาธรรม ผอ.ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ไอซีที เผยว่า หากเป็นการใช้งานที่โรงเรียน จะมีระบบป้องกันไม่ให้นักเรียนเข้าเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม แต่หากเป็นการใช้แท็บเล็ตที่บ้าน ควรเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองดูแล

ไอซีทีเตรียมพร้อมรองรับปัญหาโดยเปิดคอลเซ็นเตอร์ โทร.1111 บริการให้คำปรึกษาการใช้งาน ประสานการแก้ไขปัญหา แจ้งซ่อมแจ้งเสีย และแก้ไขปัญหาเบื้องต้น นอกจากนี้ บริษัทเสิ่นเจิ้นฯ จะตั้งศูนย์บริการเป็นจุดรับซ่อมแท็บเล็ต 30 แห่งทั่วประเทศ ในสิ้นปีนี้ และอาจขยายเพิ่มตามจำนวนการสั่งซื้อในอนาคต

โครงการแจกแท็บเล็ตเด็กป.1 จะช่วยยกระดับเทคโนโลยีทางการศึกษาให้ทันสมัยยิ่งขึ้น และจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 7 มิ.ย.นี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล

คาดว่าภายในเดือนกรกฎาคม 2555 จะส่งแท็บเล็ตถึงมือนักเรียนชั้นป.1 ทั่วประเทศทุกคน

ที่มา : ข่าวสด

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dNVE13TURVMU5RPT0=

คอลัมน์: สัมภาษณ์: พงศ์เทพ เทพกาญจนา ‘ยุบรวม ร.ร.ขนาดเล็ก’ ทำมานานกว่า 20 ปีแล้ว

21 พฤษภาคม 2556

ศิริเกษ หมายสุข

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อม ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เดินทางเป็นประธานพิธี 1 ทศวรรษการจัดการศึกษา ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) ศรีสะเกษ เขต 2 อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ มี นายประทีป กีรติเรขาผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ผู้อำนวยการ สพป.ศรีสะเกษเขต 1-4 คณะครู นักเรียนผู้ปกครอง ต้อนรับอย่างอบอุ่น

นายพงศ์เทพ กล่าวถึงชั่วโมงเรียนว่าจะปรับอย่างไร จากปัจจุบัน 1,200 ชั่วโมงเรียน เห็นได้ว่า เราเรียนมากกว่าที่อื่นแล้วทำให้เด็กเครียด ในขณะเดียวกัน ผลการศึกษาไม่ใช่ว่าเรียนมากแล้วจะได้ดี ถ้าเรียนมากจนเกินไปจะไม่ได้ดี จำนวนชั่วโมงเรียนที่เหมาะสมในแต่ละชั้นควรจะเป็นอย่างไร ซึ่งเชื่อว่าจะลดลงกว่าปัจจุบันอย่างแน่นอน

“เพราะว่าหลายส่วนที่ปัจจุบันเด็กจะต้องมาเรียนต้องไปเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่จำเป็นที่ทุกคนต้องรู้ต้องไปจำ ในสิ่งที่ไม่จำเป็นที่ทุกคนต้องจำ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าถามถึงว่าประวัติศาสตร์สำคัญของโลก บางเรื่องเราอาจจะต้องรู้สงครามโลกครั้งที่ 1 สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นอย่างไร ประวัติศาสตร์อาจจะต้องรู้บ้าง แต่ไม่ต้องลึกเพราะถ้าจะลึกหมดคงจะไม่ได้ เพราะมีทั้งยุโรป อเมริกา จีน ญี่ปุ่น เยอะแยะเต็มไปหมด แต่จากนั้นแล้ว เด็กคนไหนสนใจลึกเรื่องอะไรเขาไปตรงนั้นได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องลึกเหมือนกันตรงนี้ชั่วโมงที่ต้องเรียนจริงๆ ก็จะลดน้อยลง แต่หลักการสำคัญๆ เรื่องทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ที่ทุกคนต้องรู้ และทางเศรษฐศาสตร์ซึ่งใช้ในชีวิตประจำวัน อันนี้จะต้องรู้เขาอาจจะต้องจำบ้าง”

ด้านการรวมโรงเรียนหรือการยุบโรงเรียนขนาดเล็กที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ในขณะนี้ รัฐมนตรีศึกษาฯ กล่าวว่า เป็นนโยบายที่มีการดำเนินการมานานกว่า 20 ปีแล้ว ไม่ใช่นโยบายใหม่แต่อย่างใด ดังนั้น จึงสั่งการไปยังผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกจังหวัด ให้ตรวจสอบคุณภาพของโรงเรียนในสังกัด ที่มีนักเรียนไม่ถึง 60 คน

“และหลังจากที่ได้ตรวจสอบแล้ว พบว่า มีโรงเรียนเป็นจำนวนมากที่มีจำนวนนักเรียนไม่ถึง 20 คน ซึ่งไม่ได้หมายความว่า การที่โรงเรียนมีจำนวนนักเรียนต่ำกว่าเกณฑ์จะถูกยุบโรงเรียนแต่อย่างใด หากแต่ว่า ศักยภาพในด้านการศึกษายังมีประสิทธิภาพที่ดี มีการเรียนการสอนที่มีมาตรฐาน และเด็กสามารถเรียนรู้จากการศึกษาภายในโรงเรียนได้อย่างเต็มที่ โรงเรียนก็ถือว่าประสบผลสำเร็จ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องให้การส่งเสริม และสามารถทำการเรียนการสอนต่อได้”

“แต่หากโรงเรียนในชนบทที่มีจำนวนนักเรียนน้อย และประสบปัญหาในเรื่องการเรียนการสอน อาจจะมีการยุบโรงเรียน เพื่อนำไปเรียนร่วมกับโรงเรียนที่มีขนาดใหญ่กว่า แต่ก็ไม่ไกลจากที่อยู่อาศัยของนักเรียนมากนัก ซึ่งทางรัฐบาลจะได้จัดเตรียมรถรับส่งนักเรียนไว้ เพื่อให้บริการฟรี โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ซึ่งถือว่า เป็นการผ่อนเบาภาระของผู้ปกครอง และเป็นการสร้างฐานความรู้ที่ดีขึ้นสำหรับเด็กอีกทางหนึ่งด้วย”

นายพงศ์เทพ ย้ำว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องการ คือ การศึกษาที่มีคุณภาพ ที่จะสร้างเด็กในระดับประถมศึกษา ให้สามารถเรียนต่อในระดับมัธยมพื้นฐานได้อย่างมั่นคง หรือสามารถเรียนต่อในสายอาชีพ หรือสายอาชีวะได้อย่างภาคภูมิใจ ซึ่งนโยบายดังกล่าวนี้ มีการดำเนินการแล้วกว่า 20 ปี ไม่ใช่เพิ่งเริ่มกระทำแต่อย่างใด

ซึ่งหากจะนับสถิติตั้งแต่ปี 2551-2555 จะเห็นได้ว่า ในแต่ละปีจะมีการยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กไม่ต่ำกว่าปีละประมาณ 100 โรงเรียน

“นโยบายนี้ถือเป็นโครงการปกติ และจะสามารถพัฒนายกระดับการศึกษาของประเทศไทย และเยาวชนไทยให้ดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย”

–มติชน ฉบับวันที่ 22 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32775&Key=hotnews

สพฐ.ยังไม่เคลียร์จัดสอบครูผู้ช่วย

21 พฤษภาคม 2556

ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการติดตามสถานการณ์การสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการครูในตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีทั่วไปประจำปี 2556 ว่า การสอบครั้งนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในฐานะต้นสังกัดได้ตั้งคณะกรรมการเป็น 3 ส่วนได้ แก่

1. คณะกรรมการอำนวยการกลาง มีหน้าที่กำหนดนโยบายและแนวทางและทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์

2. คณะกรรมการประจำศูนย์ปฏิบัติการการสอบแข่งขันมีผู้อำนวยการสำนักพัฒนา ระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ สพฐ.เป็นประธาน จะมีหน้าที่ประสานงานกับเขตพื้นที่การศึกษาที่เปิดสอบและรายงานคณะกรรมการ การอำนวยการกลาง และ

3. คณะกรรมการติดตามสถานการณ์การสอบแข่งขัน จำนวน 79 คณะ ทำหน้าที่ติดตามเฝ้าระวังและดูความเคลื่อนไหว รวมทั้งความพร้อมของแต่ละเขตพื้นที่การศึกษาที่เปิดสอบว่าได้วางมาตรการต่าง ๆ รัดกุมหรือไม่ ซึ่งถือว่าคณะกรรมการชุดนี้จะเป็นหูเป็นตาแทน สพฐ. แต่ไม่ได้เป็นการไปจับผิดเขตพื้นที่ฯ เพียงแต่มีเจตนาต้องการให้การสอบแข่งขันเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและดึงความเชื่อมั่นกลับคืนมา

ดร.ชินภัทร กล่าวต่อไปว่า ตนได้เน้นย้ำในที่ประชุมเรื่องหลักเกณฑ์การสอบคัดเลือกของ ก.ค.ศ. ในข้อที่ 7 ที่กำหนดให้ผู้สมัครเลือกสอบได้เพียงแห่งเดียว หากสมัครสองที่จะถูกตัดสิทธิ แต่เนื่องจากเขตพื้นที่ฯ แต่ละแห่งมีหน้าที่ในการรับสมัครแต่ไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลข้ามเขตได้ ดังนั้น สพฐ.จึงได้ตั้งคณะกรรมการในส่วนกลางทำหน้าที่ช่วยตรวจสอบให้ แต่ท้ายที่สุดแล้วในหลักเกณฑ์ได้กำหนดไว้ในข้อ 22 ว่ากรณีที่ผู้ดำเนินการไม่สามารถดำเนินการได้ตามที่ ก.ค.ศ.กำหนดไว้จะให้หารือ ก.ค.ศ.ต่อไป ดังนั้นเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นไม่ว่ากรณีใด ๆ หากมีความจำเป็นในการตีความ ทาง สพฐ.คงไม่สามารถให้คำแนะนำหรือตัดสินใจได้โดยตรง แต่คงต้องถามไปยัง ก.ค.ศ.

“กรณีที่มีผู้สมัครสองที่แล้วจะไปขอถอนชื่อออกจากเขตใดเขตหนึ่ง ขณะนี้ก็ยังไม่มีข้อสรุป ซึ่งนายชูชาติ ทรัพย์มาก ที่ปรึกษา สพฐ.ให้ความเห็นว่าหลักเกณฑ์ ก.ค.ศ.ไม่ได้กำหนดให้ถอนชื่อ ดังนั้นเมื่อแนวปฏิบัติเกิดปัญหาในการตีความก็ต้องเสนอให้ ก.ค.ศ. พิจารณา” ดร.ชินภัทร กล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32774&Key=hotnews

เปิดอัพโหลดเนื้อหาแท็บเล็ตป.2 354 เรื่อง ครูเลือกใช้สอนเสริม

21 พฤษภาคม 2556

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มอบหมายให้สำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอนสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปสรุปถึงจำนวนเนื้อหาใหม่ที่จะสามารถบรรจุใส่ในแท็บเล็ตตามโครงการคอมพิวเตอร์มือถือสำหรับนักเรียนทุกคน (One Tablet PC Per Child) ของรัฐบาลสำหรับนักเรียนชั้น ป.1 ที่เลื่อนขึ้นชั้น ป.2 เพราะแต่ละกลุ่มสาระวิชาหลัก มีแอพพลิเคชันให้เลือกค่อนข้างมาก ซึ่งขณะนี้ สพฐ.ได้เตรียมวิธีการอัพเดทข้อมูลเนื้อหาใหม่ไว้เรียบร้อย เมื่อได้ข้อสรุปว่าจะเอาเนื้อหาใดมาใส่บ้าง ก็จะมีการอบรมครู และศึกษานิเทศก์เกี่ยวกับการอัพโหลดข้อมูลดังกล่าวต่อไป

ด้านนายเอนก รัตน์ปิยะภาภรณ์ ผู้อำนวยการสำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน สพฐ. กล่าวว่า ขณะนี้มีเนื้อหาใหม่ที่จะใส่ในแท็บเล็ตของนักเรียนชั้นป.2 จำนวน 354 เรื่อง แบ่งเป็นสื่อการเรียนรู้ 348 เรื่อง และอีบุ๊ก 6 เรื่อง มีความจุรวม 5 กิกะไบต์ โดยหลังจากนี้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกแห่ง จะต้องดาวน์โหลดและคัดลอกเนื้อหา เพื่อให้โรงเรียนนำแท็บเล็ตของนักเรียนชั้น ป.2 ไปอัพโหลดเนื้อหาใหม่ซึ่งได้มีการนำร่องดำเนินการไปแล้ว 5 เขตพื้นที่ อย่างไรก็ตาม แม้จะเปิดภาคเรียนไปแล้ว แต่การที่ยังไม่ได้อัพเนื้อหาใหม่คงไม่ใช่ปัญหา เพราะแท็บเล็ตไม่ได้เอามาแทนครูและแท็บเล็ตนำมาใช้ประกอบการเรียนการสอนแค่บางวิชาเท่านั้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32773&Key=hotnews

คอลัมน์: แวดวงของเรา: กศน.ที่มีผลงานดีเด่น

21 พฤษภาคม 2556

edusiamrath@gmail.com
นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) เปิดเผยว่า จากการประชุมผู้บริหารสำนักงาน กศน.จังหวัด/กทม. เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาผลการดำเนินงานของหน่วยงานตามนโยบายและจุดเน้นการดำเนินการ สำนักงาน กศน. ประจำปีงบปะมาณ 2556 ปรากฏสำนักงาน กศน.จังหวัด ที่มีผลงานดีเด่นในแต่ละจุดเน้น คือการจัด กศน.อินเตอร์หรือ English Program ได้แก่ อันดับ 1 สำนักงาน กศน.จังหวัดปัตตานี อันดับ 2 สำนักงาน กศน.จังหวัดอุดรธานี อันดับ 3 สำนักงาน กศน.จังหวัดเชียงใหม่,บ้านหนังสืออัจฉริยะ ได้แก่ อันดับ 1 สำนักงาน กศน.จังหวัดนครนายก อันดับ 2 สำนักงาน กศน.จังหวัดพิจิตร อันดับ 3 สำนักงาน กศน.จังหวัดลพบุรี

ศูนย์ฝึกอาชีพชุมชน ได้แก่ อันดับ 1 สำนักงาน กศน.จังหวัดสุราษฎร์ธานี อันดับ 2 สำนักงาน กศน.จังหวัดขอนแก่น อันดับ 3 สำนักงาน กศน.จังหวัดร้อยเอ็ดศูนย์ภาษาอาเซียน ได้แก่ อันดับ 1 สำนักงาน กศน.จังหวัดกาญจนบุรี อันดับ 2 สำนักงานกศน.จังหวัดสุรินทร์ อันดับ 3 สำนักงาน กศน.จังหวัดอุบลราชธานีกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่ อันดับ 1 สำนักงาน กศน.จังหวัดเพชรบุรี อันดับ 2 สำนักงาน กศน.จังหวัดสระแก้ว อันดับ 3 สำนักงาน กศน.จังหวัดหนองบัวลำภูและการจัดการศึกษาเพื่อสนองงานตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้แก่ อันดับ 1 สำนักงาน กศน.จังหวัดน่าน อันดับ 2 สำนักงาน กศน.จังหวัดแม่ฮ่องสอน

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32772&Key=hotnews

ชี้จุดบอดเว็บศูนย์กำลังคนอาชีวะ

21 พฤษภาคม 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้จัดตั้ง “ศูนย์กำลังคนอาชีวศึกษา” หรือ V-Cop ขึ้นผ่านเว็บไซต์ www.v-cop.net เพื่อเป็นช่องทางให้ผู้ประกอบการในสายอาชีพต่างๆ สมัครประชาสัมพันธ์ตำแหน่งงาน เงินเดือน รวมทั้งคุณสมบัติของพนักงานที่สถานประกอบการนั้นๆ ต้องการ ขณะที่นักเรียน นักศึกษา ของ สอศ.ก็มีโอกาสเข้าถึงงานได้ เพียงแค่ใช้รหัสนักเรียน นักศึกษาตัวเองสมัครเป็นสมาชิก เพื่อนำเสนอคุณสมบัติให้ผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกได้คัดสรร ถือเป็นเวทีที่ช่วยยกระดับกำลังคนสายอาชีพ

เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อว่า สอศ.พบว่าการติดตามข้อมูลของนักเรียน นักศึกษา ที่ได้งานทำจากช่องทางนี้ยังเป็นจุดที่ต้องพัฒนาแก้ไข เนื่องจากเมื่อได้งานทำแล้วส่วนใหญ่ไม่ได้แจ้งให้ สอศ.ทราบ เพื่อเก็บเป็นสถิติ และดึงรายชื่อออกเพื่อไม่ให้สถานประกอบการสับสน สอศ.จึงสั่งการให้ศูนย์กำลังคนอาชีวศึกษาไปแก้ไข เพื่อให้ข้อมูลต่างๆ ที่เสนออยู่ในเว็บไซต์มีความเป็นปัจจุบันแท้จริง ขณะนี้สถานศึกษาอาชีวศึกษาของเอกชนต้องการให้นักเรียน นักศึกษา เข้ามาอยู่ในระบบ V-Cop ด้วย ซึ่ง สอศ.ก็ยินดี แต่อาจจำเป็นต้องปรับในขั้นตอนการเข้าสู่ระบบการหางาน ที่ขณะนี้จะลิงก์ได้เฉพาะนักเรียน นักศึกษา ที่สังกัด สอศ.มาเป็นเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลักแทน

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32771&Key=hotnews

ลุ้นชื่อบอร์ดสาง ‘ร.ร.เล็ก’ สระแก้วดิ้นรวมชั้นแก้ยุบ

21 พฤษภาคม 2556

สภาการศึกษาทางเลือกฯรอลุ้น ‘พงศ์เทพ’ รักษา คำพูดหรือไม่ 31 พ.ค.นี้ หากบิดเรื่อง พร้อมก่อม็อบเคลื่อนไหวใหญ่ อีกทั้งชงชื่อบอร์ดสางปม ร.ร.เล็ก ให้ รมว.ศธ.เห็นชอบแล้ว

กลุ่มทางเลือกฯเปิดโผร่วมถก ศธ. เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม นายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ เลขาธิการสมาคมสภาการศึกษาทางหนังสือพิมพ์มติชนรายวันเลือกไทย เปิดเผยว่า ได้เสนอรายชื่อผู้แทน “คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็กและกลุ่มการศึกษาทางเลือก” ให้นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พิจารณาแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับ ในส่วนของผู้แทนของสมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทย ประกอบด้วย ผู้อำนวยการโรงเรียนขนาดเล็กจาก 4 ภูมิภาค ภูมิภาคละ 2 คน ผู้แทนชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 2 คน กลุ่มการศึกษาทางเลือก 5 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน และยังมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน ประกอบด้วย นายมีชัย วีระไวทยะ ผู้อำนวยการโรงเรียน (ผอ.ร.ร.) มีชัยพัฒนา ทั้งยังเป็นกรรมการในคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) นางเตือนใจ ดีเทศ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และนางประภาภัทร นิยม ผู้อำนวยการโรงเรียนรุ่งอรุณ ส่วนกรรมการ ฝ่าย ศธ.ยังไม่ทราบมีใครร่วมบ้าง

ลุ้น’พงศ์เทพ’รักษาคำพูดหรือไม่

นายชัชวาลย์กล่าวต่อว่า จะรอดูท่าทีของนายพงศ์เทพว่าจะไปในทิศทางใด ที่ผ่านมาเคยมีการตั้งคณะกรรมการร่วมลักษณะดังกล่าวมาแล้วแต่ก็ล้มเหลว ไม่มีการทำงานต่อเนื่อง จึงยังไม่วางใจว่าการตั้งคณะกรรมการครั้งนี้จะส่งผลดีทำให้เกิดการทำงานร่วมกันจริงหรือไม่ โดยในวันที่ 31 พฤษภาคม จะรอฟังนโยบายการจัดการโรงเรียนขนาดเล็กที่นายพงศ์เทพจะแถลงต่อผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศว่าเป็นอย่างไร หากไม่เป็นไปตามที่พูดไว้ คงต้องมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เพื่อคัดค้านการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก และเสนอให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาได้

“ปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะรัฐจัดการศึกษาล้มเหลว ทำให้ทุกคนได้รับการศึกษาที่ไม่เท่าเทียมกัน ทางแก้ปัญหาคือรัฐต้องเปลี่ยนท่าทีมาสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนที่มีความพร้อมไม่ว่าจะเป็นชุมชน วัด อปท. จัดการศึกษาได้ เป็นไปตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 โดนรัฐสนับสนุนงบประมาณและลดหย่อนภาษีให้ รัฐยังไม่ได้ดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดเลย” นายชัชวาลย์กล่าว

‘นครพนม’เหลือ 7 คน แต่สู้ต่อ

ที่ จ.นครพนม กระแสนโยบายการยุบควบโรงเรียน ยังคงสร้างความวิตกกังวลให้กับโรงเรียนขนาดเล็ก รวมถึงพ่อแม่ผู้ปกครอง เช่นเดียวกับโรงเรียนบ้านหนองลาดควาย ต.โพนทอง อ.เรณูนคร จ.นครพนม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) เขต 1 เป็น 1 ใน จำนวน 262 แห่งในสังกัดที่มีนักเรียนน้อยที่สุดหรือเล็กที่สุดของจังหวัด ปัจจุบันเหลือ 7 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 4 คน เรียนในระดับชั้นประถมศึกษา 3-5 โดยมีครู 3 คน

นายเวสแก้ว ยอดมงคล อายุ 57 ปี ผอ.ร.ร.บ้านหนองลาดควาย เผยว่า ได้มีการประชุมหารือร่วมกับผู้ปกครองนักเรียนสรุปคัดค้านการยุบโรงเรียน ขณะนี้ยังเปิดสอนตามปกติ พร้อมประสานงานกับ สพป.นครพนม เขต 1 ทำโครงการนำร่องนำนักเรียนไปเรียนร่วมกับโรงเรียนใกล้เคียงที่มีศักยภาพ แต่กิจกรรมทุกอย่างยังทำที่โรงเรียนเดิมเป็นปกติ  พร้อมเรียนควบแต่ยังคงที่เดิม

“ร.ร.บ้านหนองลาดควายอยู่กับชุมชนมากว่า 50 ปี สร้างหลายคนเป็นข้าราชการ มีหน้าที่การงานที่ดีจำนวนมาก หากนำไปเรียนควบถือเป็นเรื่องดีแต่คงสภาพโรงเรียนเดิมไว้ การพัฒนาการศึกษาไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนขนาดเล็กหรือใหญ่สามารถพัฒนาได้เท่าเทียมกัน เบื้องต้นโรงเรียนได้สนองนโยบายกระทรวงศึกษา นำนักเรียนไปเรียนร่วมกับโรงเรียนใกล้เคียงที่มีศักยภาพด้านวิชาการ ส่วนเรื่องกิจกรรมหรือวิชาการเรียนอื่นๆ ยังคงสอนที่โรงเรียน” นายเวสแก้วกล่าว และว่า ในอนาคตส่วนที่เป็นอาคารเรียนที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ 1 หลัง จะส่งมอบให้ใช้ประโยชน์ในชุมชนต่อไป หรือเป็นสถานที่

ดูแลนักเรียนวัยก่อนเกณฑ์

สุรินทร์เข้าข่ายยุบมัธยม 4 แห่ง

ที่ จ.สุรินทร์ นายไพบูลย์ ศิริมา ผอ.ร.ร.ศรีสำเภาลูน อ.บัวเชด จ.สุรินทร์ ในฐานะประธานกลุ่ม ร.ร.พัฒนาคุณภาพจังหวัดสุรินทร์ (โรงเรียนขนาดเล็ก) กล่าวว่า โครงการยุบโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนน้อยกว่า 120 คน ไปควบรวมกับโรงเรียนขนาดกลางหรือใหญ่ในระดับมัธยมศึกษา ของ จ.สุรินทร์ มีเข้าข่ายยุบ 4 โรง ได้แก่ ร.ร.แสงทรัพย์ราชประชาวิทยาคาร อ.เมืองสุรินทร์ มีนักเรียน 108 คน, ร.ร.แร่วิทยา อ.เขวาสินรินทร์ 86 คน ร.ร.ทุ่งกุลาพิทยาคม อ.ท่าตูม 118 คน และ ร.ร.บึงนครประชาสรรค์ อ.จอมพระ 101 คน ตนเห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว แต่ต้องพิจารณาถึงสภาพความเป็นจริงของแต่ละโรงอยู่ห่างกันแค่ไหน และผู้ปกครองมีฐานะยากจน รัฐบาลต้องลงทุนในทุกเรื่องเพื่อให้เด็กได้เรียน ส่วนโรงเรียนระดับประถมศึกษา จ.สุรินทร์ ไม่มีเข้าข่ายโดนยุบ มีแต่ควบรวมแต่ก็มีไม่กี่แห่ง

ยกเว้น’ร.ร.ริมวัง’-กันดารหนัก

นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวหลังลงพื้นที่โรงเรียนริมวัง 2 บ้านผาวี หมู่ 8 ต.ป่าหุ่ง อ.พาน จ.เชียงราย สัปดาห์ก่อน ว่า เป็นโรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร การเข้าออกยากลำบากห่างจากตัว อ.พานถึง 27 กิโลเมตร เป็นเส้นทางขึ้นลงเขาถนนลูกรัง เปิดสอนระดับอนุบาลจนถึง ป.6 มีนักเรียน 26 คน ครูและผู้บริหารรวม 3 คน ถือเป็นโรงเรียนที่มีความจำเป็นของชาวบ้านอย่างมาก ไม่สามารถยุบได้ ด้วยหลายปัจจัยทั้งเรื่องเส้นทาง

สระแก้วคละ 3 ชั้นไปด้วยกันได้

นายสุรพล น้อยแสง ผู้อำนวยการ สพป.สระแก้ว เขต 1 กล่าวว่า โรงเรียนที่มีนักเรียนต่ำกว่า 60 คน มีทั้งหมด 13 แห่ง และมีคุณภาพพอสมควร สังเกตจากผลสัมฤทธิ์การสอบโอเน็ต โรงเรียนที่มีนักเรียนต่ำกว่า 60 คน คะแนนอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งนี้นักเรียนที่มีจำนวนน้อยได้ใช้วิธีสอนแบบคละกัน โดยให้ชั้น ป.1 ป.2 และ ป.3 อยู่ชั้นเดียวกัน จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องขาดแคลนครู และยังทำให้นักเรียนระดับ ป.1 ป.2 สามารถเรียนรู้มีความรู้ระดับ ป.3 ได้ ส่งผลให้ผลการสอบโอเน็ตสูงตามมาด้วย

ผอ.ภูซางใกล้เกษียณ-ลูกน้องสู้ต่อ

นายสงกรานต์ สุปินะเจริญ ผอ.ร.ร.บ้านดอนไชย ต.เชียงแรง อ.ภูซาง จ.พะเยา กล่าวว่า ทั้งครูผู้สอน คณะกรรมการสถานศึกษา ตลอดจนผู้ปกครองนักเรียน ต่างไม่ขอยุบรวมไปเรียนกับโรงเรียนอื่น แต่จากนั้นเมื่อตนเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน 2556 โรงเรียนบ้านดอนไชยจะไม่มีผู้บริหาร ครูผู้สอนทั้ง 6 คน ก็ต้องแบกรับภาระหน้าที่จัดการเรียนการสอนทั้งระบบต่อไป โดยมี ผู้ปกครองในชุมชนและคณะกรรมการสถานศึกษาให้ความช่วยเหลือดูแลต่อไป

บ้านหนองไผ่เร่งหา น.ร.เพิ่ม

นายปฐมฤกษ์ มณีเนตร ผู้อำนวยการ สพป.นครราชสีมา เขต 1 เปิดเผยว่า สพป.นครราชสีมา เขต 1 ประกอบด้วย อ.เมือง และ อ.โนนสูง มีโรงเรียนขนาดเล็ก นักเรียนต่ำกว่า 60 คน 19 โรง และกลุ่มโรงเรียนขนาดเล็กต่ำกว่า 40 คน 7 โรง กำลังทำแผนเรื่องนี้ หากโรงเรียนใดผู้บริหารชุมชนเข้มแข็ง และการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่มีผลสัมฤทธิ์ดีจะเข้าสนับสนุน บางโรงเรียนหาเงินด้วยการทอดผ้าป่ามาเป็นเงินอัตราจ้าง เรื่องนี้จะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป

“มีโรงเรียนที่มีเด็กต่ำที่สุด 27 คน อยู่ระหว่างการตรวจสอบ เพราะเป็นช่วงเปิดเทอมใหม่ เช่น โรงเรียนบ้านหนองไผ่ล้อม อ.เมือง เดิมมีนักเรียน 47 คน ขณะนี้เพิ่มเป็น 52 คนแล้ว และยังมีเด็กทยอยเข้าไปอีกส่วนหนึ่ง และส่วนหนึ่งโรงเรียนพยายามหาเด็กมาเพิ่มเพราะกลัวถูกยุบ โดยหลังวันที่ 20 พฤษภาคม จะทราบว่ามีโรงเรียนใดบ้างเข้าข่ายที่จะถูกยุบ ก่อนสรุปเสนอ สพฐ.ต่อไป” นายปฐมฤกษ์กล่าว

เผยตึกร.ร.ถูกยุบถูกปล่อยร้าง

นายอำนาจ สูงยิ่ง นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บ่อนอก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า หลังจากเขตพื้นที่การศึกษาเขต 1 สั่งยุบโรงเรียนบ้านละลอง หมู่ 6 เมื่อหลายปีก่อน ล่าสุดยังไม่มีหน่วยงานใดประสานงานมาที่ อบต.ให้เข้าใช้ประโยชน์จากตึกอาคารเรียนปูน 2 ชั้น ปัจจุบันชำรุดทรุดโทรม กลายเป็นแหล่งมั่วสุมเสพยาเสพติดกลุ่มวัยรุ่น ทราบว่าอาคารโรงอาหารได้ใช้เป็นที่ประชุมคณะกรรมการหมู่บ้าน ซึ่งโรงเรียนที่ถูกยุบควรมีการพิจารณาเพื่อให้ชุมชนใช้ในการทำประโยชน์ไม่ควรปล่อยทิ้งร้าง

ชายแดนใต้หนุนนโยบายศธ.

นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สปต.) เปิดเผยว่า การยุบโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น พบว่ามีโรงเรียนประถมจำนวนหนึ่งที่มีแนวโน้มนักเรียนลดลงทุกปี จนบางโรงเหลือเด็ก 20-30 คน แต่เด็กกลับไปเพิ่มจำนวนในโรงเรียนสอนศาสนาของเอกชน ทั้งนี้เห็นด้วยให้ยุบโรงเรียนขนาดเล็กเพื่อง่ายต่อการดูแลและการรักษาความปลอดภัยบุคลากรทางการศึกษา ทาง สพป.ต้องเข้าไปชี้แจงทำความเข้าใจกับชุมชนถึงความจำเป็น

นายประสิทธิ์ รัตนแคล้ว ผู้อำนวยการ สพป.นราธิวาส เขต 1 เปิดเผยว่า โรงเรียนในสังกัดที่อยู่ในเกณฑ์โรงเรียนขนาดเล็กนักเรียนน้อยกว่า 60 คน มี 2 แห่งคือ โรงเรียนบ้านโคกเคียน อ.เมืองนราธิวาส และโรงเรียนบ้านจอเบาะ อ.ยี่งอ ยอมรับว่าเห็นด้วยกับนโยบายยุบโรงเรียน เนื่องจากโรงเรียนขนาดเล็กจะมีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาต่ำ เพราะมีครูไม่ครบตามกลุ่มสาระวิชา เด็กๆ จะมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเพื่อนในวงแคบ

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32770&Key=hotnews