ระทึก ‘เสริมศักดิ์’ จ่อลงดาบ ‘บิ๊ก สพฐ.’ ทุจริตสอบครูผู้ช่วย

21 พฤษภาคม 2556

ทีมข่าวเฉพาะกิจ เมื่อวันที่ 20 พ.ค.56 นายพิษณุ ตุลสุข หัวหน้าผู้ตรวจราชการ ศธ. ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดของ ศธ. กล่าวถึงผลการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีการทุจริตจัดสอบครูผู้ช่วยพบว่า ผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน 4 คน ได้แก่นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายอนันต์ ระงับทุกข์ รองเลขาธิการ กพฐ., นายไกรเกษทัน อดีตผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลสพฐ. และนายสุเทพ ชิตยวงษ์ อดีตผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ.มีส่วนร่วมกระทำผิดทางวินัย กรณีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และจากการสอบสวนกรรมการคุมสอบของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา หรือสพป.อุดรธานี เขต 3 และสพป.ยโสธร เขต 1 พบทุจริตสอบและโพยคำตอบ พร้อมแจ้งให้ส่วนกลางรับทราบ แต่ผู้บริหาร สพฐ.ไม่ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง และประกาศบรรจุเข้ารับราชการ ขณะที่ผู้สอบในพื้นที่มีคะแนนสูงผิดปกติ ทั้งนี้ จะสรุปผลเสนอต่อนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ และคาดว่าจะเสนอให้นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ รับทราบ พร้อมแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงผู้บริหาร สพฐ.ทั้ง 4 คน เมื่อวันที่ 20 พ.ค.56 ที่ผ่านมา ส่วนความผิดทางอาญาให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) จะแจ้งเรื่องการเพิกถอนการบรรจุรับราชการครูผู้ช่วยของผู้ที่สอบได้คะแนนสูงผิดปกติจำนวน 344 คน ใน 119 เขตพื้นที่การศึกษา เพื่อให้แต่ละเขตพื้นที่ดำเนินการเพิกถอนต่อไป

ด้านนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า กรณีกรรมการสอบวินัยชุดที่มีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเสนอให้สอบวินัยร้ายแรง 4 ผู้บริหารระดับสูงของสพฐ.กรณีการทุจริตการสอบคัดเลือกครูผู้ช่วย โดยอ้างอิงรายงานของดีเอสไอว่า เบื้องต้นดีเอสไอสรุปการทุจริตเกี่ยวพันจากส่วนกลางลงไปในพื้นที่และมีผู้ร่วมกระทำผิด โดยสอบสวนหลายเรื่อง ซึ่งดีเอสไอยังไม่สรุปประเด็นที่จะสอบสวนเชิงลึก และเน้นดำเนินคดีอาญา แต่กรรมการชุดที่มีปลัดฯ ศึกษาธิการเป็นประธาน ก็ได้เรียกผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาสอบถามเพิ่มเติม ทั้งนี้ ตนยังพิจารณารายงานดังกล่าวไม่หมด และกำลังดำเนินการให้เสร็จภายใน 2-3 วัน อย่างไรก็ตาม ต้องหารือ รมว.ศึกษาธิการด้วย แต่ชัดเจนว่าผลสรุปให้สอบวินัยร้ายแรงได้บางคน และบางคนต้องหาข้อมูลสอบเพิ่มเติม โดยเน้นการปกปิดข้อมูลการทุจริตการสอบ แต่กลับเร่งประกาศบรรจุครูผู้ช่วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32769&Key=hotnews

บอร์ด กคศ.ไฟเขียวขึ้นเงินเดือนครูผู้ช่วย เฮรับ 1.5 – 1.7 หมื่นบาท

21 พฤษภาคม 2556

ครูเฮ! บอร์ด ก.ค.ศ.ไฟเขียวขึ้นเงินเดือนตามวุฒิ ปี 56-57 ตามนโยบายปรับเงินเดือน 1.5 หมื่นบาท เผยครูผู้ช่วยบรรจุใหม่ สตาร์ต 15,050-17,690 บาท เตรียมคำนวณงบประมาณ ก่อนชงเข้า ครม.พิจารณา

เมื่อวันที่ 20 พ.ค.56 นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการเปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เมื่อเร็วๆ นี้ มีมติเห็นชอบตามที่ก.ค.ศ.เสนอร่างบัญชีอัตราเงินเดือนสำหรับคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ.รับรองเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กับอัตราเงินเดือนสำหรับคุณวุฒิที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) รับรอง เพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญรวมทั้งบัญชีเปรียบเทียบอัตราเงินเดือนและจำนวนเงินที่ได้ปรับตามคุณวุฒิที่ก.ค.ศ.รับรองกับอัตราเงินเดือน และจำนวนเงินที่ได้ปรับตามคุณวุฒิที่ ก.พ.รับรอง ใช้บังคับในวันที่ 1 ม.ค.56

“การขึ้นเงินเดือนดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายการปรับเงินเดือน 15,000 บาทของรัฐบาล โดยในงบประมาณ พ.ศ.55 ได้มีการปรับเงินเดือนตามคุณวุฒิไปแล้วตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่ยังไม่ถึง 15,000 บาท และได้กำหนดให้มีการปรับให้ครบในปี 56 และ 57 อย่างไรก็ตามจากนี้ ก.ค.ศ. จะต้องไปคำนวณจำนวนตัวเลขภาพรวม ว่าจะต้องของบประมาณเพิ่มอีกเท่าไหร่ และเสนอให้ครม.ตามลำดับ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับร่างบัญชีอัตราเงินเดือนที่จะนำเสนอที่ประชุมก.ค.ศ.เห็นชอบได้กำหนดอัตราเงินเดือนบรรจุใหม่ ในอันดับครูผู้ช่วย ที่จะใช้บังคับดังนี้ ปี56 ได้แก่ ปริญญาตรี หลักสูตร 4 ปี เงินเดือน 13,470 บาท ปริญญาตรีหลักสูตร 5 ปี 14,300 บาท ประกาศนียบัตรบัณฑิตที่มีหลักสูตรการศึกษาไม่น้อยกว่า 1 ปี ต่อจากวุฒิปริญญาตรี หลักสูตร 4 ปี 14,300 บาท ปริญญาตรี หลักสูตร 6 ปี 16,570 บาท ปริญญาโททั่วไป16,570 บาท ปริญญาโทที่มีหลักสูตรกำหนดเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 2 ปี ต่อจากวุฒิปริญญาตรีที่มีหลักสูตรกำหนดเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 5 ปี 17,690 บาทและปริญญาเอก 20,320 บาท

สำหรับอัตราเงินเดือนที่จะบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 57 ได้แก่ ปริญญาตรีหลักสูตร 4 ปี 15,050 บาท ปริญญาตรีหลักสูตร 5 ปี 15,800 บาท ประกาศนียบัตรบัณฑิตที่มีหลักสูตรการศึกษาไม่น้อยกว่า 1 ปี ต่อจากวุฒิปริญญาตรี หลักสูตร4 ปี 15,800 บาท ปริญญาตรี หลักสูตร6 ปี 17,690 บาท ปริญญาโททั่วไป 17,690 บาท ปริญญาโทที่มีหลักสูตรกำหนดเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 2 ปี ต่อจากวุฒิปริญญาตรีที่มีหลักสูตรกำหนดเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 5 ปี 18,690 บาท และปริญญาเอก 21,150 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่าในการปรับเงินเดือนดังกล่าวจะมีการปรับให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับเงินเดือน15,000 บาทด้วย โดยได้มีการจัดทำรายละเอียดไว้ในบัญชีเปรียบเทียบอัตราเงินเดือน ที่จะนำเสนอไปพร้อมกัน เช่น ผู้ที่มีคุณวุฒิปริญญาโทที่มีหลักสูตรกำหนดเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 2 ปี ต่อจากวุฒิปริญญาตรีที่มีหลักสูตรกำหนดเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 5 ปี และมีเงินเดือนอยู่ในอันดับ คศ.4 มีอัตราเงินเดือนก่อนปรับวันที่ 1 ม.ค.56 จำนวน 24,400 บาทจะได้รับการปรับเงินเดือนในวันที่ 1 ม.ค.56 เป็น 27,090 บาท เป็นต้น ทั้งนี้เมื่อที่ประชุม ก.ค.ศ.เห็นชอบในเรื่องนี้แล้วจะต้องเสนอที่ประชุม ครม.อนุมัติและจะต้องตั้งงบประมาณ ที่จะนำมาปรับเงินเดือนให้กับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเหล่านี้

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32768&Key=hotnews

ฟอร์มการเขียนรายงานการวิจัย

ฟอร์มการเขียนรายงานการวิจัย

Research Lifecycle
Research Lifecycle

http://www.jisc.ac.uk/whatwedo/campaigns/res3/jischelp.aspx
คู่มือการรายงานความก้าวหน้าและผลงานของโครงการวิจัย ประกอบด้วยตัวอย่างการเขียนรายงานความก้าวหน้า ข้อมูลที่ควรนำไปใช้ในการจัดทำรายงานการวิจัย การสรุปผลการดำเนินกิจกรรมและการสรุปบทเรียนต่าง ๆ จากกิจกรรม และการเขียนรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์

โดย โกมล สนั่นก้อง มิถุนายน 2543

 

เงินแป๊ะเจี๊ยะสะพัดปีละ 5 พันล้าน ยอมควักดันลูกเข้าโรงเรียนดัง

20 พฤษภาคม 2556

มช.ศธ.เผยปี 56 ไม่มีเหตุร้องเรียนแป๊ะเจี๊ยะ ย้ำกำชับเป็นพิเศษเน้นความเท่าเทียมและยุติธรรม ขณะที่นายกสมาคมผู้ปกครองเครือข่าย แห่งชาติเผยตัวเลขสะพัดปีละ 5,000 ล้านบาท ยังไม่มีกฎหมายหรือนโยบาย ปราบปรามอย่างชัดเจน และเรื่องคดีแป๊ะเจี๊ยะ DSI กับสำนักงานป.ป.ช. เมิน ไม่รับฟ้อง

ปัญหา “แป๊ะเจี๊ยะ” เป็นปัญหาที่จะมีการนำเสนอข่าวกันอย่างครึกโครม ในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคมของทุกปี จนอาจจะกล่าวได้ว่า เป็นปัญหาเรื้อรัง และต่อเนื่อง มองไม่เห็นทางออก เพราะก่อนที่จะมีการเปิดภาคเรียนใหม่ของทุกปี จะต้องมีการร้องเรียนเรื่องแป๊ะเจี๊ยะทุกครั้ง และรัฐมนตรีศึกษาทุกคนก็จะประกาศว่าจะแก้ปัญหานี้ แต่เมื่อปีการศึกษาใหม่เวียนมาปัญหาก็เวียนกลับมาทุกที
นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช. กระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า เรื่องของเงิน แป๊ะเจี๊ยะในปีนี้ยังไม่มีข่าวร้องเรียนเข้ามาที่กระทรวงศึกษาธิการ ทั้งนี้กระทรวงฯ ไม่มีการออกนโยบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่จะกำชับ เป็นกรณีพิเศษ ซึ่งมีการสื่อกันตลอดโดยให้ทางโรงเรียนรับนักเรียนอย่างถูกต้อง แต่อาจจะมีกลุ่มกรณีที่เป็นผู้อุปถัมภ์เคยช่วยโรงเรียนทำให้โรงเรียนต้องรับนักเรียนกลุ่มนี้บ้าง แต่หลักๆ จะให้รับนักเรียนโดยให้เกิดความเท่าเทียมกันและยุติธรรมที่สุด ซึ่งนอก จากนี้ ในเดือนพฤษภาคมจะมีการเปิดรับสมัครนักเรียนอีกรอบหนึ่งด้วยเพื่อจะเกลี่ยให้เด็กได้เข้าเรียนกันทั่วถึง

“กระทรวงศึกษาธิการอยากให้เด็กที่มีความรู้ความสามารถเข้าเรียนโดยเฉพาะโรงเรียนเกรดพรีเมี่ยม รวมถึงโรงเรียนมีการ คัดสรรพัฒนาเด็กเก่งเท่านั้น เพราะฉะนั้นโรงเรียนทั้งหลายคงไม่หวังที่จะมีรายได้ส่วนหนึ่งที่จะเข้าให้กับสมาคมฯ ทั้งนี้ เรายังยึด ถือให้มีการสอบตามกฎเกณฑ์ต่างๆ รวมถึงอยากได้คนดีมากกว่าด้วย”

นายคมเทพ ประภายนต์ นายกสมาคม ผู้ปกครองเครือข่ายแห่งชาติ และคณะกรรมการภาคีเครือข่ายผู้ปกครองเพื่อความเป็นธรรมทางการศึกษา เปิดเผยว่า ณ ขณะ นี้ยังไม่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการเรียกเงินกินเปล่าหรือแป๊ะเจี๊ยะเข้ามากับทางสมาคมฯ ซึ่งไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยเพราะทางโรงเรียน ไม่ได้ให้บุคคลภายนอกเข้าไปยุ่ง ทั้งนี้ ในปี พ.ศ.2554 ได้เก็บสถิติไว้พบว่าโรงเรียนในสังกัดของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐานประมาณ 34,000 แห่ง ปรากฏว่ามีโรงเรียนที่รับแป๊ะเจี๊ยะประมาณ 300 แห่ง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ โรงเรียนดังประมาณ 5-6 แห่ง โดยจำนวนเงินหมุนเวียนแป๊ะเจี๊ยะ ในแต่ละปีไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ ยอดเรียกเก็บเงินแป๊ะเจี๊ยะเพิ่มสูง ขึ้นทุกปี เช่น โรงเรียนดังบางแห่งเคยเรียกเก็บ แป๊ะเจี๊ยะในหลักหมื่นแต่ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเป็นหลักแสนบาท โดยสาเหตุที่ผู้ปกครอง ต้อง ยอมจ่ายแป๊ะเจี๊ยะเพราะต้องการให้ลูกหลาน เข้าเรียนโรงเรียนดังๆ แต่เนื่องจากทำคะแนน ได้น้อยหากจะเข้าเรียนในโรงเรียนได้ต้องจ่าย เงินเพื่อแลกกับที่นั่งเข้าเรียนในรูปแบบบริจาค ให้กับทางสมาคมผู้ปกครองใครให้เงินมากกว่าก็จะได้เข้าเรียน อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินแป๊ะเจี๊ยะก็จะมีใบเสร็จให้ด้วย ทั้งนี้ การทำเช่นนี้เป็นทางโรงเรียนอ้างว่าโรงเรียนได้รับการกระจายอำนาจตามกฎหมาย

“เรื่องของแป๊ะเจี๊ยะนั้น เราได้ส่งเรื่อง ไปที่ DSI แต่ไม่ได้รับเรื่องไว้เพราะอ้างว่าไม่ ใช่คดีพิเศษ รวมถึงส่งข้อมูลไปให้ทางสำนัก งานป.ป.ช. แต่เรื่องก็ถูกหมกไว้ โดยคดีที่ส่งไปเป็นโรงเรียนดัง 5 แห่ง อาทิ ร.ร.ย่านราชดำเนิน เกียกกาย หรือรามคำแหง แต่เรื่องก็ไปไม่ถึงไหน ทั้งนี้ เราคิดว่ามีขบวนการเดียว ที่น่าจะพึ่งได้คือขบวนการศาลยุติธรรม”

นายคมเทพ กล่าวว่า ผลของแป๊ะเจี๊ยะ มีผลเสียมหาศาลเพราะเงินไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษาอาจจะเข้าไปในกระเป๋าส่วนตัว ทั้งนี้ แป๊ะเจี๊ยะถือเป็นที่มาของการคอร์รัปชั่นโกงกินชาติที่สำคัญ และที่จริงเด็กทุกคนได้สิทธิตามกฎหมายรัฐธรรมนูญไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่ป.1-ม.6 เป็นไปตามกลไกของกฎหมายรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายลูก, พ.ร.บ.การศึกษาและมีมาตรา กฎหมายสิทธิมนุษยชน มาตรา 22 รองรับอีกด้วย ซึ่งทำให้แป๊ะเจี๊ยะถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายได้

ที่มา: http://www.siamturakij.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32765&Key=hotnews

สพฉ.แนะวิธีปฐมพยาบาลเด็กติดอยู่ในรถ-ย้ำผู้ปกครองอย่าทิ้งเด็กไว้ทุกกรณี

20 พฤษภาคม 2556

สพฉ. แนะวิธีปฐมพยาบาลเด็กติดอยู่ในรถเบื้องต้น ย้ำผู้พบเหตุให้รีบโทร.แจ้งสายด่วน 1669 หากเด็กหยุดหายใจให้ทำการฟื้นคืนชีพจนกว่าเจ้าหน้าที่จะให้การช่วยเหลือ ชี้ผู้ปกครองไม่ควรปล่อยเด็กทิ้งไว้ในรถทุกกรณี… จากกรณีการเสียชีวิตของน้องเอยที่ติดอยู่ในรถโรงเรียนนานร่วมหลายชั่วโมงเพิ่ง ผ่านพ้นไปได้เมื่อไม่นานมานี้ ล่าสุดได้เกิดเหตุซ้ำในแบบเดียวกันอีกกับ ด.ช.สุริยการ พากัน หรือน้องพ็อตเตอร์ อายุ 3 ขวบ นักเรียนชั้นอนุบาล 1 โรงเรียนอนุบาลอุทุมพรวิทย์ จ.ศรีสะเกษ ที่ได้รับความร้อนสูงเกินขนาดโดยน้องพ็อตเตอร์ได้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ทั้งนี้ จากข้อมูลของศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาด เจ็บในเด็ก รพ.รามาธิบดี ระบุอย่างชัดเจนว่า เด็กที่ติดในรถส่วนใหญ่ไม่ได้เสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจหากแต่เสียชีวิต เพราะความร้อนที่อยู่ในรถมีอากาศสูง โดยใช้เวลาเพียง 5 นาที อุณหภูมิในรถจะเพิ่มสูงขึ้นจนเด็กไม่สามารถอยู่ได้ ยิ่งนานเกิน 10 นาที ร่างกายของเด็กจะแย่ และภายใน 30 นาทีเด็กอาจหยุดหายใจ และอวัยวะทุกอย่างหยุดทำงานจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแหงชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า หากท่านพบเห็นเหตุการณ์เด็กติดอยู่ในรถเป็นเวลานานและเป็นผู้เข้าให้การช่วยเหลือเด็กที่หมดสติหรือหยุดหายใจสิ่งแรกที่ท่านจะต้องทำคือโทร.แจ้งสายด่วน 1669 เพื่อประสานเจ้าหน้าที่ให้เข้ามาทำการช่วยเหลือเด็กให้ได้อย่างทันท่วงที และในระหว่างที่รอเจ้าหน้าที่เข้าให้การช่วยเหลือจะต้องรีบนำเด็กออกมาจากรถ และนำไปอยู่บนพื้นราบที่อากาศปลอดโปร่งพร้อมกับทำการฟื้นคืนชีพ (CPR) เบื้องต้นในเด็ก ซึ่งการทำ CPR ในเด็กเล็กจะแตกต่างกับการทำ CPR ในผู้ใหญ่เล็กน้อย โดยมีขั้นตอนการทำ CPR ดังนี้ คือเมื่อปลุกเรียกแล้วสังเกตว่าเด็กส่งเสียงหรือเคลื่อนไหวหรือไม่ ถ้าไม่ตอบสนอง ให้ทำการฟื้นคืนชีพทันทีจนครบ 2 นาที ก่อนร้องขอความช่วยเหลือโดยโทร. 1669 และอย่าทิ้งเด็กไว้ลำพัง จนกว่าทีมกู้ชีพจะมาถึง ทั้งนี้ ถ้าหากเด็กเกิดอุบัติเหตุจนอาจได้รับอันตรายที่กระดูกสันหลังให้ยกเว้นการเคลื่อนย้าย หรือปฏิบัติตามคำแนะนำของศูนย์นเรนทร 1669 เลขาธิการ สพฉ. กล่าวต่อว่า การปฏิบัติการกู้ชีพในเด็กก่อนทีมรถพยาบาลจะมาถึงนั้นให้กดหน้าอกของเด็กโดยวางส้นมือข้างหนึ่งไว้ตรงกลางหน้าอก ระดับราวนมและใช้มืออีกข้างหนึ่งวางบนหน้าผากของเด็กพยายามให้เด็กหงายหน้าขึ้นเพื่อเปิดทางเดินหายใจ กดหน้าอกให้กดลงไประหว่าง 1/3 ของความลึกของหน้าอก ซึ่งการกดหน้าอกจะต้องทำ 30 ครั้ง กดแต่ละครั้งต้องเร็วและไม่มีการหยุด ทั้งนี้ให้ทำไปจนกว่าเจ้าหน้าที่รถพยาบาลจะเข้ามาให้ความช่วยเหลือและนำเด็กส่งต่อไปยังโรงพยาบาล “อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพ่อแม่หรือคุณครูจะต้องดูแลเด็กๆ ให้ดี โดยไม่ควรปล่อยเด็กไว้ในรถตามลำพัง ถึงแม้จะแง้มกระจกรถไว้ก็ไม่ควรทำทุกกรณี เมื่อท่าจะต้องลงจากรถเพื่อไปทำธุระก็ควรนำเด็กลงไปด้วย และคุณครูก็ควรจัดทำรายชื่อของเด็กที่ขึ้นมาในรถ และก่อนลงรถควรเช็กรายชื่อของเด็กๆ ทุกคนดูอย่างละเอียดอีกครั้งว่าเด็กลงจากรถครบแล้วทุกคนหรือไม่เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะแบบนี้ขึ้นอีก” นพ.อนุชา กล่าว.

ที่มา: http://www.thairath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32764&Key=hotnews

มติ ก.ค.ศ. ชัดเจนสั่งเพิกถอนบรรจุครูผู้ช่วยคะแนนสูงผิดปกติ

20 พฤษภาคม 2556

“พงศ์เทพ” มั่นใจมติ ก.ค.ศ.ชัดเจนกว่าหนังสือของดีเอสไอ ย้ำอ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯไม่ต้องกังวล รอดูหนังสือก่อน

วานนี้(19พ.ค.) นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) มีมติให้แจ้งไปยังคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษา 119 เขต และผู้อำนวยการโรงเรียนให้พิจารณาเพิกถอนการบรรจุแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการครูในตำแหน่งครูผู้ช่วย ในการสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการครูในตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีมีความจำเป็นหรือเหตุพิเศษ ว 12 จำนวน 344 รายตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้ทำหนังสือแจ้งไปยัง ก.ค.ศ.และอ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ เนื่องจากเห็นว่าบุคคลเหล่านั้นกระทำการเข้าข่ายทุจริต ในการทำข้อสอบผิดในข้อเดียวกันและมีคะแนนสอบที่สูงผิดปกติ แต่ทาง อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ยังเห็นว่า มติดังกล่าวมีความไม่ชัดเจน และต้องการให้ก.ค.ศ.มีคำสั่งให้ดำเนินการเพิกถอนอย่างเป็นทางการ ว่า มติ ก.ค.ศ.เมื่อวันที่ 17 พ.ค.มีความชัดเจนแล้ว และจะทำให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ และผู้มีอำนาจบรรจุแต่งตั้ง ซึ่งก็คือ ผู้อำนวยการโรงเรียน มีความมั่นใจในการดำเนินการมากขึ้น เพราะหนังสือของ ก.ค.ศ.ระบุชัดเจนว่าให้ผู้มีอำนาจบรรจุแต่งตั้งดำเนินการเพิกถอนทั้ง 344 รายให้ออกจากราชการ ตามมาตรา 49 ของพ.ร.บ.ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เนื่องจากการทุจริตการสอบถือเป็นความไม่เหมาะสมในการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยมตินี้ถือเป็นข้อมูลที่ทำให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ และผู้มีอำนาจในการบรรจุแต่งตั้งดำเนินการตามมาตรา 49 ได้ทันทีโดยไม่ต้องกังวล

“ผมคิดว่าสาเหตุที่ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ยังไม่มั่นใจเพราะหนังสือของ ก.ค.ศ.ยังไปไม่ถึงแต่ยืนยันว่ามติของ ก.ค.ศ.ชัดเจนกว่าหนังสือของดีเอสไอ ที่แจ้งไปยัง อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ เชื่อว่าเมื่อ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ เห็นหนังสือของ ก.ค.ศ.จะมีความมั่นใจที่จะดำเนินการตามมติมากขึ้น ดังนั้นจึงอยากให้อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ รอดูรายละเอียดในหนังสือของก.ค.ศ.ก่อน ไม่อยากให้ไปกังวลมากเกินไป”  นายพงศ์เทพกล่าว

นายพงศ์เทพ กล่าวต่อไปว่า สำหรับกรณีที่คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงการทุจริตสอบครูผู้ช่วย ที่มีนางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ. เป็นประธานได้เสนอให้ตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน 4 ราย ประกอบด้วย ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) นายอนันต์ ระงับทุกข์ รองเลขาธิการ กพฐ. นายไกร เกษทัน ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบงานบริหารบุคคลและนิติกร สพฐ. และนายสุเทพ ชิตยวงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ อดีตผู้ช่วยเลขาธิการ ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทำให้ราชการเสียหายร้ายแรง ซึ่งสอดคล้องกับเอกสารคำให้การของนายพิษณุ ตุลสุข หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดของศธ. ซึ่งได้มีการสรุปเสนอให้ดำเนินการทางวินัยร้ายแรงกับผู้บริหารสพฐ.3 ราย ประกอบด้วยดร.ชินภัทร นายอนันต์ และนายไกร เพราะมีมูลสงสัยว่าเป็นผู้ร่วมกระทำผิดวินัยกรณีละเลยหรือจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญานั้น ขณะนี้นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศธ. ยังไม่ได้รายงานผลสืบสวนฯชุดที่มีนางพนิตา เป็นประธานมายังตน แต่ในเบื้องต้นเมื่อได้รับข้อมูลแล้ว จะต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงในกรณีที่มีข้อมูลอ้างอิงถึงว่าเจ้าตัวละเลยการปฏิบัติหน้าที่จริงหรือไม่ เพื่อให้ข้อมูลมีความสมบูรณ์ เชื่อว่าเมื่อนายเสริมศักดิ์ได้รับผลการสืบสวนของคณะกรรมการฯชุดดังกล่าวแล้ว เร็ว ๆ นี้คงจะนำเข้ามาหารือกับตน เพราะอำนาจการตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงข้าราชการระดับสูงถือเป็นอำนาจของ รมว.ศธ.

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากจะต้องตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงข้าราชการระดับ 10 และ 11 จริง ๆ จะต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาออกจากราชการไว้ก่อนหรือไม่ เพื่อไม่ให้กระทบต่อการสอบสวน นายพงศ์เทพ กล่าวว่า กฎหมายไม่ได้บังคับไว้ว่าถ้าถูกสอบสวนทางวินัยร้ายแรงแล้วจะต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะการสอบสวนจะต้องดูข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องที่สามารถอ้างอิงถึงกันอย่างรอบด้าน ส่วนกรณีของนายสุเทพที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจราชการศธ.นั้น ก่อนหน้าที่จะมีการเสนอชื่อแต่งตั้งข้อมูลยังไม่ชี้ชัดขนาดนี้จึงเป็นสิทธิที่จะได้รับการเสนอชื่อ

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32763&Key=hotnews

กยศ. แจ้งกำหนดการกู้ยืมปีการศึกษา 2556

20 พฤษภาคม 2556

นางสาวกัญญรัตน์ เกียรติสุภา ประชาสัมพันธ์จังหวัดสุรินทร์ ได้รับแจ้งจาก กยศ.ว่า “ขณะนี้ กองทุนฯ ได้เริ่มเปิดระบบ e-Studentloan ให้นักเรียน นักศึกษายื่นความประสงค์ขอกู้ยืมในภาคเรียนที่ 1/2556 ได้แล้วทาง www.studentloan.or.th ตั้งแต่บัดนี้-30 มิถุนายน 2556 โดยขอให้กลุ่มผู้กู้ยืม รายเก่าที่ไม่เปลี่ยนระดับการศึกษาและไม่เปลี่ยนสถานศึกษาเข้ามายืนยันการลงทะเบียนเรียนโดยใช้รหัสผ่านเดิม ส่วนผู้กู้ยืมรายใหม่ที่ไม่เคยกู้ยืมและยังไม่มีรหัสผ่านสามารถเข้าทำการลงทะเบียนขอรหัสผ่านล่วงหน้า (Pre-register) ได้ก่อนโดยยังไม่ต้องระบุสถานศึกษา เมื่อได้สถานศึกษาแล้วค่อยยื่นแบบคำขอกู้ยืมพร้อมกับกลุ่มผู้กู้ รายเก่าที่เปลี่ยนระดับการศึกษาหรือเปลี่ยนสถานศึกษาในลำดับถัดไป ซึ่งกองทุนฯ จะเปิดให้ยื่นแบบคำขอกู้ยืมตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน-31 กรกฎาคม 2556

ทั้งนี้ กองทุนฯ ขอให้นักเรียน นักศึกษาดำเนินการด้วยตนเองและคอยติดตามประกาศของทางสถานศึกษาที่ตนเรียนอยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถกู้ยืมได้ภายในกำหนดเวลาของกองทุนฯ ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดกำหนดการและขอบเขตการกู้ยืมประจำปีการศึกษา 2556 เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ กยศ. หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์สายใจ กยศ. โทร. 02-610 4888

ที่มา: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32762&Key=hotnews

คอลัมน์: สถานี ก.ค.ศ. : การได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นตามคุณวุฒิที่ได้รับเพิ่มขึ้นหรือสูงขึ้น

20 พฤษภาคม 2556

อุษณีย์ ธโนศวรรย์ ผอ.ภารกิจนโยบายและระบบตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษา

หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาได้นำเสนอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ปี พ.ศ.2556 ซึ่งมีทั้งเรื่องการ ตรวจสอบคุณวุฒิ เพื่อเตรียมสมัครสอบ และหลักสูตรการสอบแข่งขัน ในวันนี้ เห็นว่ามีข้อหารือจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กรณีบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค.(2) ไปศึกษาต่อ จะได้รับเงินเดือนเพิ่มตามคุณวุฒิที่ได้รับเพิ่มขึ้นหรือสูงขึ้นหรือไม่อย่างไร เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงนำมาเผยแพร่เป็นความรู้ ดังนี้
กรณีที่ 1 รับโอน นาย ก. มาดำรงตำแหน่งนักวิชาการศึกษา ระดับปฏิบัติการ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 โดยนาย ก. ได้รับปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มาตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 ถามว่าจะสามารถปรับเงินเดือนให้สูงขึ้นตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ด่วนที่สุด ที่ นร 1008.1/ว3 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2555 ได้หรือไม่

ตอบ สามารถปรับเงินเดือน นาย ก. ให้สูงขึ้นตามคุณวุฒิที่ได้รับเพิ่มขึ้นหรือสูงขึ้นได้ เพราะนาย ก.ได้ดำรงตำแหน่งและใช้คุณวุฒิปริญญาตรีมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ซึ่งเป็นไปตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ด่วนที่สุด ที่ ศธ 0206.5/ว4 ลงวันที่ 27 มีนาคม 2552 ซึ่งกำหนดให้นำกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินเดือน พ.ศ.2551 ข้อ 2 (3) (ข) ซึ่งกำหนดไว้ว่า “ผู้ได้รับปริญญาโทเพิ่มขึ้นหรือสูงขึ้นจากปริญญาตรี จะต้องดำรงตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้งโดยใช้วุฒิปริญญาตรีมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี โดยต้องเป็นวุฒิที่ตรงตามมาตรฐานตำแหน่งของสายงาน ประเภทและระดับตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้ง”

กรณีที่ 2 น.ส. ท. ตำแหน่งนักจัดการงานทั่วไป ระดับปฏิบัติการ เคยดำรงตำแหน่งประเภททั่วไปและสอบเลื่อนตำแหน่งเป็นประเภทวิชาการ มีคุณวุฒิปริญญาตรี ต่อเนื่องจากวุฒิเดิม ปวส. จะอยู่ในประเภทที่จะได้รับการปรับอัตราเงินเดือนตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ด่วนที่สุด ที่ นร 1008.1/ว3 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2555 หรือไม่

ตอบ กรณีนี้ น.ส. ท. ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประเภททั่วไป หรือเคยดำรงตำแหน่งในสายงานที่บรรจุจากผู้มีคุณวุฒิต่ำกว่าระดับปริญญา (สายงานที่เริ่มต้นจากระดับ 1 หรือ ระดับ 2) สามารถปรับอัตราเงินเดือนเพิ่มขึ้นตามคุณวุฒิที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ.กำหนด ข้อ 2.6 ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ดังกล่าวข้างต้นได้

หวังว่าวันนี้บุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค.(2) และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องคงจะได้รับความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการปรับอัตราเงินเดือนตามกรณีตัวอย่างที่นำมาเสนอในวันนี้ได้อย่างถูกต้องตรงกันนะคะ แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า

–มติชน ฉบับวันที่ 20 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32761&Key=hotnews

 

สอบ ‘ครูผู้ช่วย’ ฉาวพ่นพิษ ชงเสริมศักดิ์ฟัน 4 บิ๊กสพฐ.

20 พฤษภาคม 2556

2 เขตพื้นที่ฯยังยื้อเพิกถอนบรรจุครูผู้ช่วย ตั้ง กก. สอบข้อเท็จจริงเพิ่ม อ้าง’ดีเอสไอ’ยังไม่ฟันธง แค่ ชี้ส่อไปในทางไม่สุจริต

จากกรณีที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ซึ่งมีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธาน ได้มีมติให้แจ้งไปยังคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษา 119 เขต และผู้อำนวยการโรงเรียน ให้พิจารณาเพิกถอนการบรรจุแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการครู ในตำแหน่งครูผู้ช่วย ในการสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการครู ในตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีมีความจำเป็น หรือเหตุพิเศษ ว12 ในครั้งที่ผ่านมา จำนวน 334 ราย ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ทำหนังสือแจ้งมายัง ก.ค.ศ.และ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ 119 เขต เนื่องจากเห็นว่าบุคคลเหล่านี้กระทำการเข้าข่ายทุจริตในการสอบ ทำข้อสอบผิดในข้อเดียวกัน และมีคะแนนสอบที่สูงผิดปกติ อีกทั้งยังได้แนบเอกสารคำให้การของนายพิษณุ ตุลสุข หัวหน้าผู้ตรวจราชการ ศธ. ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดของ ศธ. ซึ่งได้มีการสรุปเสนอให้ดำเนินการทางวินัยร้ายแรงกับผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) รวม 3 ราย เพราะมีมูลสงสัยว่าเป็นผู้ร่วมกระทำผิดวินัย กรณีละเลยหรือจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งประกอบด้วยนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) นายอนันต์ ระงับทุกข์ รองเลขาธิการ กพฐ. และนายไกร เกษทัน ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติกร สพฐ.นั้น

เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ. ในฐานะประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงการทุจริตสอบครูผู้ช่วย เปิดเผยว่า คณะกรรมการชุดที่ตนเป็นประธานได้ประชุมนัดสุดท้ายเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีข้อสรุปให้ตั้งคณะกรรมการสอบ วินัยร้ายแรงผู้บริหาร ศธ. โดยได้เสนอผลสรุปให้นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ. รับทราบแล้ว จากนี้ต้องรอว่านายว่าการ ศธ. รับทราบแล้ว จากนี้ต้องรอว่านายเสริมศักดิ์จะดำเนินการตามข้อเสนอของคณะกรรมการ หรือจะสั่งให้สอบสวนประเด็นใดเพิ่มเติมอีกหรือไม่

แหล่งข่าวระดับสูงใน ศธ.กล่าวว่า ผลสรุปการสอบสวนของคณะกรรมการชุดที่นางพนิตา เป็นประธาน ได้เสนอให้ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงผู้บริหารระดับสูงของ สพฐ. จำนวน 4 คน ประกอบด้วย นายชินภัทร นายอนันต์ นายไกร และนายสุเทพ ชิตยวงษ์ อดีตผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพิ่งมีมติแต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจราชการ ศธ. เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทำให้ราชการเสียหายร้ายแรง อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการชุดนี้ยังไม่สามารถสรุปหรือชี้ชัดได้ว่า ผู้บริหาร สพฐ.ทั้ง 4 คน เกี่ยวข้องกับการทุจริตสอบครูผู้ช่วย โดยเสนอว่าหากจะให้ชี้ชัดจะต้องมีการสอบสวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอีก

นายเสริมศักดิ์ กล่าวว่า ได้รับผลสรุปจากคณะกรรมการสืบสวนฯชุดของนางพนิตาแล้ว แต่ยังไม่ได้ดูรายละเอียด คาดว่าในวันที่ 19 พฤษภาคมนี้ จะสามารถบอกได้ว่าแนวทางดำเนินการต่อไปจะเป็นไปในทิศทางใด แต่หากใครที่มีหลักฐานชี้ว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จริงก็ต้องดำเนินการตามที่คณะกรรมการสืบสวนฯเสนอมา แต่ถ้าใครที่ความผิดยังไม่ชัดเจนก็ต้องสอบสวนเพิ่มเติม

นายศักดิ์สิทธิ์ ถิรทัฬหกุล ประธาน อ.ก.ค.ศ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) ขอนแก่น เขต 3 กล่าวว่า ได้รับหนังสือจากดีเอสไอแล้ว ซึ่งส่อว่าทุจริต จำนวน 2 รายชื่อ โดยปรากฏว่ารายชื่อแรกได้รับการบรรจุไปแล้วในลำดับที่ 2 ส่วนอีกรายชื่อยังไม่ได้รับการบรรจุ ซึ่งน่าประหลาดใจว่าผู้ที่สอบได้คะแนนสูงสุดลำดับที่ 1 ที่ได้รับการบรรจุไปแล้ว กลับไม่มีอยู่ในรายชื่อของดีเอสไอ
นายศักดิ์สิทธิ์กล่าวต่อว่า ในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ จะประชุม อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯโดยจะนำเอกสารที่ได้รับจากดีเอสไอมาประกอบการพิจารณา พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยระหว่างการตรวจสอบจะรอหนังสือแจ้งมติจาก ก.ค.ศ.ดังกล่าวด้วย ซึ่งยังตอบไม่ได้ว่าผลการพิจารณาของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ จะออกมาอย่างไร เพราะในหนังสือที่ได้รับจากดีเอสไอไม่ได้ระบุว่าให้ “ยกเลิก” ซึ่งโดยหลักการก็ยกเลิกไม่ได้อยู่แล้ว เพราะกระบวนการสอบคัดเลือกผ่านไปแล้ว ส่วน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯจะสามารถออกคำสั่งให้ผู้อำนวยการโรงเรียนสั่งให้ผู้ได้รับการบรรจุออกจากราชการได้หรือไม่นั้น ตนไม่สามารถคาดเดาคำตัดสินของที่ประชุม อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ได้ เนื่องจากดีเอสไอไม่ได้ฟันธงความผิด บอกแค่ว่าเป็นผู้ที่กระทำไปในทางส่อไม่สุจริต ซึ่งคำว่า “ส่อไปในทางไม่สุจริต” อาจจะแปลความว่าสุจริตหรือทุจริตก็ได้

นายโกวิท เพลินจิตร ผู้อำนวยการ สพป.อุบลราชธานี เขต 2 กล่าวว่า ได้รับหนังสือจากดีเอสไอแล้ว โดยแจ้ง 1 รายชื่อว่าส่อในทางไม่สุจริต และในหนังสือไม่ได้ระบุให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯยกเลิกการบรรจุ แต่ระบุว่ามีมูลความผิด ให้เขตพื้นที่ฯดำเนินการตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และว่าดีเอสไอกำลังสืบค้นข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติม ก็แสดงว่ายังไม่ได้ข้อยุติ ดังนั้น อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ ส่วนที่ ก.ค.ศ.มีมติแจ้งให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯดำเนินการเพิกถอนการบรรจุตามที่ดีเอสไอมีหนังสือแจ้งถึงนั้น ขณะนี้ยังไม่มีหนังสือแจ้งมติดังกล่าวมา

“จริงๆ แล้ว ที่ สพป.อุบลราชธานี เขต 2 มีผู้สอบบรรจุครูผู้ช่วยที่มีคะแนนสูงผิดปกติ 2 ราย แต่ดีเอสไอแจ้งมาแค่ 1 ราย ดังนั้น ในวันที่ 20 พฤษภาคมนี้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯจะตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริง และประมวลภาพรวม ทั้งนี้ ยอมรับว่าโดยภาพรวมมีการทุจริตสอบครูผู้ช่วยจริง แต่เอกสารหลักฐานที่จะเอาผิดยังไม่เพียงพอ อีกทั้งผู้ถูกเพิกถอน การบรรจุอาจฟ้องศาลปกครอง หรือศาลอาญาได้ จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ซึ่งถ้าจะให้สบายใจจริงๆ ก.ค.ศ.ควรฟันธงมาเลยว่า ใครกระทำความผิด และสั่งให้เพิกถอนมาเลย ไม่ใช่แค่ให้เป็นข้อมูลมาประกอบการพิจารณา” นายโกวิทกล่าว

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยถึงความคืบหน้าทางคดีการทุจริตสอบครูผู้ช่วยว่า ดีเอสไอกำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับขบวนการทุจริต ส่วนผู้สอบครูผู้ช่วยได้คะแนนสูงผิดปกติ 344 ราย ที่ดีเอสไอได้มีหนังสือแจ้งไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 119 เขต ให้ดำเนินการปลดออกจากตำแหน่งครูผู้ช่วย ดีเอสไอกำลังรอการติดต่อจากบุคคลกลุ่มดังกล่าวอยู่ และเตรียมเรียกทุกคนมาให้การกับพนักงานสอบสวน โดยจะเรียกรายชื่อกลุ่มเขตพื้นที่ฯใน จ.นครราชสีมา มาสอบปากคำเป็นลำดับแรก เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่พนักงานสอบสวนมีพยานเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่พนักงานสอบสวนมีพยานเอกสารหลักฐานที่ชัดเจนว่า มีการซื้อขายเฉลยคำตอบในการสอบครูผู้ช่วยจากบุคคลใด อีกทั้งใน สพป.พื้นที่ จ.นครราชสีมา มีบุคคลที่เข้าข่ายทุจริตถึง 48 คน

ทั้งนี้ สำหรับหนังสือที่ดีเอสไอส่งไปยังสำนักงานเขตพื้นที่ฯ 119 เขต ให้ดำเนินการปลดออกจากตำแหน่งครูผู้ช่วย รวมจำนวน 344 รายดังกล่าวนั้น ประกอบด้วย สพป.กาญจนบุรี เขต 1 จำนวน 1 ราย, สพป.กาฬสินธุ์ เขต 1,2 และ 3 จำนวน 4 ราย, สพป.กำแพงเพชร เขต 1 และ 2 จำนวน 4 ราย, สพป.ขอนแก่น เขต 1,2,3,4 และ 5 จำนวน 7 ราย, สพป.จันทบุรี เขต 2 จำนวน 3 ราย, สพป.ฉะเชิงเทรา เขต 2 จำนวน 2 ราย, สพป.ชลบุรี เขต 1 และ 2 จำนวน 2 ราย, สพป.ชัยนาท 5 ราย, สพป.ชัยภูมิ เขต 1,2 และ 3 จำนวน 15 ราย, สพป.เชียงใหม่ เขต 5 จำนวน 8 ราย, สพป.ตรัง เขต 2 จำนวน 2 ราย, สพป.ตาก เขต 2 จำนวน 1 ราย

สพป.นครปฐม เขต 1 จำนวน 3 ราย, สพป.นครพนม เขต 1 และ 2 จำนวน 5 ราย, สพป.นครราชสีมา เขต 1,2,3,4,5,6 และ 7 จำนวน 48 คน, สพป.นครศรีธรรมราช เขต 4 จำนวน 1 ราย, สพป.นครสวรรค์ เขต 1 จำนวน 3 ราย, สพป.นราธิวาส เขต 2 และ 3 จำนวน 3 ราย, สพป.น่าน เขต 1 และ 2 จำนวน 8 ราย, สพป.บึงกาฬ เขต 1 จำนวน 9 ราย, สพป.บุรีรัมย์ เขต 1,3 และ 4 จำนวน 8 ราย, สพป.ปทุมธานี เขต 1 และ 2 จำนวน 4 ราย, สพป.ปราจีนบุรี เขต 1 จำนวน 1 ราย, สพป.ปัตตานี เขต 1 จำนวน 1 ราย, สพป.พะเยา เขต 1 จำนวน 1 ราย, สพป.พัทลุง เขต 2 จำนวน 1 ราย, สพป.พิจิตร เขต 2 จำนวน 2 ราย, สพป.พิษณุโลก เขต 2 และ 3 จำนวน 5 ราย, สพป.เพชรบุรี เขต 2 จำนวน 1 ราย, สพป.เพชรบูรณ์ เขต 1 และ 3 จำนวน 6 ราย, สพป.แพร่ เขต 1 และ 2 จำนวน 2 ราย, สพป.มหาสารคาม เขต 1 จำนวน 2 ราย, สพป.มุกดาหาร เขต 1 จำนวน 6 ราย
สพป.แม่ฮ่องสอน เขต 2 จำนวน 1 ราย สพป.ยโสธร เขต 2 จำนวน 2 ราย, สพป.ร้อยเอ็ด เขต 1 และ 2 จำนวน 2 ราย, สพป.ระยอง เขต 1 และ 2 จำนวน 5 ราย, สพป.ราชบุรี เขต 1 จำนวน 1 ราย, สพป.ลพบุรี เขต 1 จำนวน 3 ราย, สพป.เลย เขต 1,2 และ 3 จำนวน 18 ราย, สพป.ศรีสะเกษ เขต 1,2 และ 4 จำนวน 7 ราย, สพป.สกลนคร เขต 1,2 และ 3 จำนวน 16 ราย, สพป.สงขลา เขต 2 จำนวน 2 ราย, สพป.สตูล 1 ราย, สงขลา เขต 2 จำนวน 2 ราย, สพป.สตูล 1 ราย, สพป.สระบุรี เขต 1 และ 2 จำนวน 7 ราย, สพป.สิงห์บุรี 2 ราย, สพป.สุรินทร์ เขต 1,2 และ 3 จำนวน 22 ราย, สพป.หนองคาย เขต 2 จำนวน 1 ราย, สพป.หนองบัวลำภู เขต 1 จำนวน 2 ราย, สพป.อำนาจเจริญ 4 ราย, สพป.อุดรธานี เขต 1,2,3 และ 4 จำนวน 9 ราย, สพป.อุทัยธานี เขต 2 จำนวน 4 ราย สพป.อุบลราชธานี 1,2,3 และ 4 จำนวน 10 ราย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) เขต 2 (กรุงเทพมหานคร) 1 ราย, สพม.เขต 4 (ปทุมธานี-สระบุรี) 2 ราย, สพม.เขต 6 (ฉะเชิงเทรา-สมุทรปราการ) 1 ราย, สพม.เขต 7 (ปราจีนบุรี-นครนายก-สระแก้ว) 1 ราย
สพม.เขต 9 (สุพรรณบุรี-นครปฐม) 1 ราย, สพม.เขต 10 (เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์สมุทรสงคราม-สมุทรสาคร) 1 ราย, สพม.เขต 18 (ชลบุรี-ระยอง) 2 ราย, สพม.เขต 19 (เลยหนองบัวลำภู) 7 ราย, สพม.เขต 20 (อุดรธานี) 2 ราย, สพม.เขต 21 (หนองคาย) 3 ราย, สพม.เขต 24 (กาฬสินธุ์) 4 ราย, สพม.เขต 25 (ขอนแก่น) 2 ราย, สพม.เขต 27 (ร้อยเอ็ด) 1 ราย, สพม.เขต 29 (อุบลราชธานี-อำนาจเจริญ) 3 ราย, สพม.เขต 30 (ชัยภูมิ) 2 ราย, สพม.เขต 31 (นครราชสีมา) 3 ราย, สพม.เขต 33 (สุรินทร์) 4 ราย, สพม.เขต 40 (เพชรบูรณ์) 3 ราย, สพม.เขต 41 (กำแพงเพชร-พิจิตร) 1 ราย, สพม.เขต 42 (นครสวรรค์-อุทัยธานี) 1 ราย และสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 1 ราย

— มติชน ฉบับวันที่ 20 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย) —

! http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32760&Key=hotnews

ยุบหรือไม่ยุบ ‘ร.ร.เล็ก’ เรื่องจริงไม่อิง ‘ดราม่า’

20 พฤษภาคม 2556

นโยบายยุบโรงเรียนขนาดเล็กของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ทำมาอย่างยาวนานหลายรัฐบาล ตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป โดยมีปัจจัยสำคัญที่เด็กน้อยลง การคมนาคมที่สะดวก ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองมีทางเลือกมากขึ้น

ในแง่หนึ่งกลายเป็นปม ‘ดราม่า’ ปลุกเร้าอารมณ์ผู้ที่ไม่เข้าใจสภาพความจริง
แล้วความจริงคืออย่างไร ก็ต้องตามไปฟังเรื่องราวจากโรงเรียนเล็กตัวเป็นๆ ที่มีลักษณะแตกต่าง มีปัญหาแตกต่างหลากหลาย

“มติชน” ได้ไปสำรวจและสอบถามผู้อำนวยการโรงเรียนและบรรดาผู้นำชุมชน ที่มีแนวโน้มว่าโรงเรียนในชุมชนจะถูกปิดและการปรับตัวของโรงเรียนตามนโยบายนี้ ถือเป็นเสียงที่สะท้อนความรู้สึกและอารมณ์ของผู้ที่เกี่ยวข้อง

สงกรานต์ สุปินะเจริญ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านดอนไชย ต.เชียงแรง อ.ภูซาง จ.พะเยา กล่าวว่า ทันทีที่มีข่าวว่าโรงเรียนแห่งนี้จะต้องถูกยุบ ก็สร้างผลกระทบต่อจิตใจของผู้ปกครองและนักเรียนเป็นอย่างมาก เนื่องจากทางชุมชนผูกพันกับโรงเรียนมานานกว่า 30 ปีแล้ว ผู้ปกครองคณะกรรมการสถานศึกษา และผู้นำต่างแสดงจุดยืนเดียวกันอย่างหนักแน่นว่าไม่ต้องการให้ยุบรวม เพราะว่าอุปกรณ์และอาคารเรียนของโรงเรียนแห่งนี้มีความพร้อมทุกอย่าง

เหตุผลที่ไม่ต้องการให้ยุบรวม เนื่องจากเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของนักเรียนที่ต้องเดินทางไปเรียนไกลขึ้น ผู้ปกครองต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น การเดินทางไป-กลับระหว่างบ้านกับโรงเรียนของนักเรียนลำบากขึ้น แม้ว่าจะมีการจัดรถให้บริการรับ-ส่งก็ตาม เพราะทางโรงเรียนได้มีการสอบถามโรงเรียนพื้นที่ต่างอำเภอที่มีการยุบรวมมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่สะดวกและมีปัญหาปลีกย่อยตามมามากมาย ที่สำคัญผู้ปกครองเป็นห่วงลูกเพราะต้องไปโรงเรียนแห่งใหม่ ต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อม

ขณะที่ อนนท์ กันทะเนตร ผู้ใหญ่บ้านดอนไชย หมู่ 10 ต.เชียงแรง อ.ภูซาง จ.พะเยา มองว่า โรงเรียนแห่งนี้รองรับนักเรียนที่เป็นลูกหลานของประชาชนจาก 3 หมู่บ้าน คือ หมู่ 7, 9 และ 10 มานานกว่า 30 ปี ที่ตั้งโรงเรียนชาวบ้านในสมัยก่อนได้ร่วมบริจาคให้ ทุกปีจะมีการจัดผ้าป่าสามัคคีของโรงเรียนเพื่อระดมทุนมาสร้างอาคารและต่อเติมสถานที่จำเป็น ทำให้เกิดความผูกพันระหว่างคนในชุมชนกับโรงเรียนแห่งนี้จนไม่อาจจะให้มีการยุบรวมได้ ชาวดอนไชยต้องสู้เพื่อไม่ให้โรงเรียนแห่งนี้ถูกยุบรวมอย่างเด็ดขาด

ด้าน พจน์ เจริญสันเทียะ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 (ผอ.สพป.นม. 5) บอกว่า การปล่อยให้แต่ละโรงเรียนบริหารจัดการกันเอง นำนักเรียนต่างชั้นเรียน มาเรียนร่วมแบบควบชั้นเรียน เช่น ประถมศึกษา 1-2-3 หรือ ประถมศึกษา 4-5-6 บรรยากาศการเรียนการสอนไม่เอื้ออำนวย ทั้งสติปัญญา วุฒิภาวะ การรับรู้ของเด็กแตกต่างกันชัดเจน ครูผู้สอนรับผิดชอบไม่ตรงตามวิชาที่ถนัด ไม่มีแรงจูงใจ เสมือนลมเพลมพัด ปฏิบัติหน้าที่สอนไปวันๆ ทำให้ผลคะแนนสอบโอเน็ตต่ำกว่าเกณฑ์ สะท้อนความจริงออกมาให้ผู้ปกครองไม่เชื่อมั่นจึงส่งบุตรหลานไปเรียนที่อื่นแทน

หากใช้แนวทางยุบรวมจะสร้างปมขัดแย้งกับท้องถิ่น เพราะโรงเรียนเปิดการสอนมาคู่กับการตั้งหมู่บ้านหรือตำบล ซึ่งมีอายุมากกว่า 60 ปี บรรดาผู้นำชุมชนหรือผู้บริหารท้องถิ่นที่เป็นศิษย์เก่าอ้างถึงความผูกพันและสำนึกบุญคุณ ในแต่ละปีได้ร่วมจัดกิจกรรมหารายได้ให้กับโรงเรียนเหล่านี้ ซึ่งมีตัวอย่าง โรงเรียนบ้านหนองกราด หมู่ 9 ต.สำโรง อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา ล่าสุดเหลือนักเรียนเพียง 3 คน ข้อมูลตามที่ทราบน่าจะเป็นสถานศึกษาที่มีจำนวนนักเรียนน้อยที่สุดในประเทศไทยที่ยังเปิดการเรียนการสอนอยู่ ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินโดยใช่เหตุ รวมเงินเดือนผู้อำนวยการ พร้อมครูผู้สอน 2 คน และนักการภารโรง รวมทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ เฉลี่ยเดือนละ 1.5 แสนบาท ชาวบ้านไม่ยอมให้ยุบ

“บทสรุปในการพูดคุยกับทุกภาคส่วน ซึ่งมีผู้บริหารสถานศึกษาในละแวกใกล้เคียง กรรมการสถานศึกษา และตัวแทนท้องถิ่น สพป.นม.5 จะดำเนินโครงการ “4 เกลอ โมเดล” เป็นกระบวนการเรียน และจัดกิจกรรมทางสังคมร่วมของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก 4 แห่ง ที่มีจำนวนนักเรียนต่ำกว่า 60 คน คือ ร.ร.บ้านหนองกราด, ร.ร.บ้านท่าทราย, ร.ร.ศรีชลสิทธิ์ และ ร.ร.บ้านหนองประดู่ ซึ่งตั้งอยู่ในละแวกท้องถิ่นเดียวกัน และมีรัศมีห่างกันไม่เกิน 5 กิโลเมตร จัดตารางสอนเกลี่ยครูผู้สอนตามความถนัด รับผิดชอบสอนนักเรียนตรงชั้นปี ซึ่งจะไม่เกิดความเหลื่อมล้ำ กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี การแข่งขันกีฬาสีภายใน และการทัศนศึกษานอกสถานที่ จัดพร้อมกันทั้ง 4 โรงเรียน สามารถประหยัดงบประมาณ และได้ผลสัมฤทธิ์ตรงตามเป้าหมาย”

เช่นเดียวกับ สุพจน์ เจียมใจ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 บอกว่า ขณะนี้มีเพียงโรงเรียนบ้านเขากระโดง ต.เสม็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ที่มีนักเรียนอยู่ 31 คน ครู 2 คน เพียงแห่งเดียวที่ได้มีการเคลื่อนย้ายนักเรียนเข้าไปเรียนรวมกับโรงเรียนอื่นที่มีความพร้อมด้านการเรียนการสอนมากกว่า พร้อมทั้งได้มีการจัดรถให้บริการรับส่งนักเรียน เพื่ออำนวยความสะดวกและแบ่งเบาภาระให้กับผู้ปกครองกลุ่มดังกล่าวด้วย

“การยุบโรงเรียนแต่ละแห่งมีกระแสต่อต้านจากชาวบ้านและผู้ปกครอง เพราะส่วนใหญ่ต่างอยากให้มีโรงเรียนให้บุตรหลานเรียนใกล้บ้าน ถือเป็นการแบ่งเบาภาระในการรับส่งบุตรหลานและยังอยู่ใกล้สามารถดูแลบุตรหลานได้อย่างใกล้ชิด และประชาชนส่วนใหญ่ต่างผูกพันกับโรงเรียนใกล้บ้านจึงไม่ต้องการให้มีการยุบโรงเรียน”

อีกด้านหนึ่ง โรงเรียนอดุลศาสนกิจศึกษา ต.บางเดชะ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาของ จ.ปราจีนบุรี ที่มีเพียง 1 โรงเรียน มีนักเรียนน้อยที่สุด นักเรียนรวม 24 คน ครู 11 คน ภารโรง 2 คน และเปิดเทอมมีนักเรียน ม.1 เข้าเรียนแค่เพียง 1 คน

คนึง โฉมงาม รักษาราชการแทนผู้อำนวยการโรงเรียนอดุลศาสนกิจศึกษา มองว่า นักเรียนส่วนใหญ่จะเป็นเด็กสภาพครอบครัวมีปัญหา ครอบครัวแตกแยก ถูกทิ้งเป็นภาระปู่ย่าตายาย ไม่สามารถสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดได้และยากจน เคยถามเหตุผลที่เด็กไม่ยอมไปเรียนรวมกับนักเรียนโรงเรียนประจำจังหวัดเนื่องจากความแตกต่างด้านสติปัญญาในการรับรู้ที่เด็กเพราะคัดเกรดเด็กเรียนดีทั้งหมดเข้าเรียน

“การสอนใช้ระบบให้นักเรียนเดินเรียน โดย ม.1 ถึง ม.6 จำนวนครูครบเพียงพอ โดยครู 1 คน จะสอนรวม 2 วิชาในวิชาหลักและเพิ่มเติม ส่วนนักเรียนทั้ง 24 คน นั้นไม่เป็นอุปสรรคเมื่อถึงชั่วโมงเรียนนักเรียนจะไปหาครูตามห้องต่างๆ ที่สะดวกไม่จำเป็นต้องเป็นห้องเรียน ครูสามารถสอนได้ทั่วถึงชนิดตัวต่อตัว พร้อมๆ กันนี้ได้จัดบทเรียนโปรแกรมให้นักเรียนพึ่งตนเอง รวมถึงค้นคว้าจากสื่ออินเตอร์เน็ต-คอมพิวเตอร์โดยสะดวกชนิด 1 คนต่อ 1 เครื่อง เนื่องจากคนน้อยทำการบูรณาการการเรียนการสอนได้ดีทั่วถึง เด็กสามารถเรียนผ่านตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ ทั้งนี้ทุกการเรียนการสอนในแต่ละวิชาเน้นตามหลักสูตรการศึกษาแห่งชาติให้เด็กเก่ง เด็กดีเรียนอย่างมีความสุข”
ถือเป็นเสียงสะท้อนของความจริงจากพื้นที่ เพื่อปรับเปลี่ยนนโยบายที่สอดคล้องในแต่ละพื้นที่

–มติชน ฉบับวันที่ 20 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32759&Key=hotnews