องค์ประกอบดี ผลลัพธ์ย่อมดี แปรผันตามกัน

ทัศนะวิจารณ์  ..  “องค์ประกอบชำรุด ผลลัพธ์ย่อมผิดรูปไป

 

องค์ประกอบ และผลลัพธ์
องค์ประกอบ และผลลัพธ์

สิ่งมีชีวิตทั้งมวลล้วนเป็นไปตามกฎวัฏสงสาร มีเกิดมีดับเปลี่ยนไปตามภพภูมิ มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แล้วก็กลับมาเกิดใหม่ แล้วทุกสถานะก็จะมีองค์ประกอบและค่าประจำองค์ของตน การเลื่อนไหลจากสถานะหนึ่งไปอีกสถานะหนึ่งล้วนมีที่มาที่ไป ซึ่งค่าขององค์ประกอบทั้งหมดจะถูกรวมและประเมินว่าจะไหลไปอยู่ที่ใดเป็นเวลาเท่าใด  เช่นเดียวกันกับคุณภาพการศึกษาที่ต้องมีองค์ประกอบเป็นปัจจัยว่าสถาบันจะรุ่ง หรือจะร่วง

ทุกอย่างเกิดขึ้นจากการรวมกันขององค์ประกอบ เช่น ข้าวมันไก่จะประกอบด้วย ข้าว ไก่ น้ำจิ้ม น้ำซุป แต่จะมีลูกค้ามากน้อยเพียงใดย่อมมีอีกหลายองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง สำหรับข้าวมันไก่ที่มีคุณภาพก็จะมีรสชาติและปริมาณใกล้เคียงกันทุกจาน หากกุ๊กทำมานับสิบปีที่เรียกว่ามืออาชีพก็มักมีมาตรฐาน คือ ปริมาณและรสชาติใกล้เคียงกันทุกจาน ส่วนร้านใดเปลี่ยนกุ๊กบ่อยก็คาดได้ว่าไม่มีมาตรฐาน คือ รสชาติเปลี่ยนตามแม่ครัว ลูกค้าก็มักทยอยหนีหายไปร้านอื่น

การศึกษายุคโบราณที่มีวัดเป็นโรงเรียนจะมีองค์ประกอบที่ต่างกับปัจจุบัน คือ มีพระสงฆ์ มีกระดานชนวน มีปั๊บสา มีศาลาวัดเป็นห้องเรียน ซึ่งยังไม่มีใครพูดถึงคุณภาพหรือมาตรฐาน แต่ปัจจุบันโรงเรียนประกอบด้วย อาคารเรียน ครู ห้องเรียน สื่อการเรียนรู้ หลักสูตร คุณภาพและมาตรฐาน เป็นต้น แล้วองค์ประกอบที่ทำให้โรงเรียนแตกต่างกันก็มีอยู่มากมาย เพื่อแยกความแตกต่างจึงมีการจัดลำดับโรงเรียน ก็มีทั้งจัดอันดับในจังหวัด ในประเทศ และในโลก เมื่อมีโรงเรียนที่เป็นเลิศก็ย่อมมีโรงเรียนที่อยู่ท้ายสุด ผู้จัดอันดับแต่ละรายก็จะสนใจองค์ประกอบที่เป็นที่มาของคะแนนแตกต่างกัน อาจพิจารณาจากจำนวนนักเรียนที่สอบเข้าในสถาบันการศึกษาของรัฐ จำนวนนักเรียนที่เป็นตัวแทนระดับชาติ หรือคะแนนเฉลี่ยจากการสอบวัดผลด้วยข้อสอบส่วนกลาง

ในระดับอุดมศึกษามีสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) กำหนดว่าสถาบันที่มีคุณภาพต้องประเมินองค์ประกอบคุณภาพทั้งหมด 9 องค์ประกอบ นอกจากนั้นก็ยังมีสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน) (สมศ.) กำหนดว่ามาตรฐานคุณภาพต้องมี 18 มาตรฐาน หากลงไปในรายละเอียดก็จะพบว่ามีตัวบ่งชี้ และเกณฑ์คุณภาพอีกร้อยกว่าตัวที่ทุกหลักสูตรต้องปฏิบัติ ไม่มีหลักฐานมาแสดงก็จะไม่ได้คะแนนในส่วนนั้น ถ้าไม่ดำเนินการตามเกณฑ์ในระดับหนึ่งก็จะถูกประเมินว่าไม่มีคุณภาพ อาจมีผลพิจารณาจากต้นสังกัดว่าไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดรับนักเรียนในปีต่อไป หากดื้อดึงยังรับนักศึกษาต่อไปก็จะไม่ส่งเรื่องให้สำนักงาน ก.พ. เป็นผลให้หลักสูตรที่มีบัณฑิตจบออกมานั้นไม่สามารถรับราชการได้

องค์ประกอบของสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มีคุณภาพต้องมี 9 องค์ประกอบ คือ แผนการดำเนินการ การผลิตบัณฑิต การพัฒนานักศึกษา การวิจัย การบริการวิชาการ การทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม การบริหาร การเงิน และการประกันคุณภาพ จากการกำกับให้มีการประกันคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่องมากว่า 10 ปีของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ได้นำผลการประเมินคุณภาพการศึกษาของทุกสถาบันเผยแพร่สู่สาธารณะผ่านระบบ CHEQA เมื่อเข้าไปสืบค้นข้อมูลผลประเมินสถาบันการศึกษาในไทย พบว่า มีสถาบันการศึกษากลุ่มหนึ่งที่มีผลประเมินต่ำกว่าระดับดี โดยองค์ประกอบที่มีคะแนนต่ำคือ การผลิตบัณฑิต และการวิจัย

เมื่อเข้าไปดูผลการดำเนินงานของสถาบันที่มีผลประเมินในระดับต่ำในระบบ CHEQA ที่ สกอ. เผยแพร่ พบว่า ตัวบ่งชี้ของการผลิตบัณฑิตที่ได้คะแนนต่ำ คือ จำนวนอาจารย์ที่มีวุฒิปริญญาเอก และจำนวนอาจารย์ที่มีตำแหน่งทางวิชาการมีน้อย ซึ่งสะท้อนได้ว่าจำนวนอาจารย์ที่พร้อมสอนในระดับนี้ยังขาดแคลน ส่วนตัวบ่งชี้ของการวิจัยที่ได้คะแนนต่ำ คือ วงเงินสนับสนุนงานวิจัย ถ้าหลักสูตรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีอาจารย์ 5 ท่านจะต้องได้ทุนวิจัย 300,000 บาทต่อปี จึงจะได้คะแนนในระดับดีมาก

องค์ประกอบทั้งสองส่งผลถึงการผลิตบัณฑิตว่า ถ้าอาจารย์มีความพร้อมที่จะสอน ย่อมผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของสังคม ถ้าอาจารย์ทำวิจัยที่มีคุณภาพก็ย่อมจะได้องค์ความรู้ใหม่ และนำไปถ่ายทอดให้นักศึกษามีความรู้ใหม่ แล้วจบเป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพ เป็นที่ต้องการของสังคม แต่จากการติดตามข่าวเด่นประเด็นร้อนในเว็บไซต์ของกระทรวงศึกษาธิการ พบว่า สถาบันการศึกษาบางแห่งไม่ใส่ใจเรื่องคุณภาพการศึกษาจนเป็นเหตุให้ต้องถอนใบอนุญาตจัดตั้งมหาวิทยาลัย หรือบางแห่งต่างเรื่องคุณภาพอาจารย์จน สกอ. มีคำสั่งให้หยุดรับนักศึกษาใหม่ในหลักสูตรที่มีจำนวนอาจารย์วุฒิปริญญาเอกน้อย และตำแหน่งทางวิชาการน้อย

เกณฑ์คุณภาพการศึกษาเป็นเรื่องที่มองได้หลายมุม คนที่กำหนดเกณฑ์เป็นคนกลุ่มหนึ่ง คนที่รักษากฎเป็นอีกกลุ่ม คนที่พิพากษาเป็นอีกกลุ่ม แต่กลุ่มใหญ่ที่สุดคือคนที่ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทุกข้อให้ครบถ้วน ปัจจุบันพบว่ามีนักวิชาการไทยก็ยังเห็นต่างเรื่องคุณภาพการศึกษา อาทิ เน้นการกระจายโอกาสทางการศึกษาจนทำให้คุณภาพเสียไป เน้นเรียนกับมืออาชีพโดยใช้คนที่ทำงานในภาคธุรกิจมาเป็นอาจารย์พิเศษเป็นสัดส่วนที่มากเกินไปก็จะไม่เป็นตามเกณฑ์คุณภาพ
ประเทศไทยยังเป็นประเทศกำลังพัฒนา และอยู่ระหว่างพัฒนา ทั้งองค์ประกอบคุณภาพ มาตรฐานคุณภาพ และเกณฑ์คุณภาพมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลาในช่วงเวลา 10 ปีนี้ และจะยังปรับเปลี่ยนต่อไป การให้ความสำคัญกับองค์ประกอบใดอย่างไรย่อมทำให้ผลลัพธ์แปรผันตามกันไป ในอนาคตการศึกษาไทยอาจให้ความสำคัญกับองค์ประกอบด้านศิลปวัฒนธรรมเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าวันนั้นมาถึงก็เชื่อได้ว่าบัณฑิตใหม่จะสวดมนต์ และฟ้อนรำเป็นทุกคน

แหล่งข้อมูล
http://www.cheqa.mua.go.th
http://www.mua.go.th
http://www.onesqa.or.th
http://www.moe.go.th

รายงานพิเศษ : อาชีวศึกษางัดไม้เด็ดจีบเด็กเรียนสายอาชีพ

23 เมษายน 2556

ชลธิชา  ภัทรสิริวรกุล ประเทศไทยกำลังต้องเตรียมระบบสาธารณูปโภคและกำลังคนเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรม แต่ทว่ากำลังคนในสายปฏิบัติของไทยยังมีอยู่น้อยมาก เนื่องจากเด็กรุ่นใหม่นิยมเรียนสายสามัญและปริญญาตรีมากกว่า

ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ที่รับผิดชอบดูแลโดยตรง จึงต้องพยายามงัดมาตรการต่างๆ ออกมาเพื่อจูงใจให้เด็กหันมาเรียนอาชีวะสายปฏิบัติมากขึ้นตามนโยบายของรัฐบาลที่ตั้งเป้าว่าจะปรับสัดส่วนระหว่างเด็กสายสามัญกับสายอาชีวะให้เป็น 50:50 จากปัจจุบันที่มีเด็กเรียนอาชีวะเพียง 36% ของจำนวนเด็กทั้งหมด

ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดเผยว่า สอศ.กำลังขะมักเขม้นกับการหากลยุทธ์ดึงเด็ก โดยเฉพาะเมื่อตัวเลขการสมัครเรียนอาชีวะของเด็กในปีการศึกษานี้ที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะลดลงจากปกติมากถึง 16%  เบื้องต้นได้พยายามปรับภาพลักษณ์การเรียนสายอาชีพให้น่าสนใจขึ้น พร้อมการรับประกันคุณภาพการเรียน การันตีเรียนจบมีงานทำ 100%

มาตรการแรกเป็นเรื่องของการปรับภาพลักษณ์ โดยจัดงบประมาณเพิ่มเติม 150 ล้านบาท เพื่อพัฒนาวิทยาลัยขนาดเล็กระดับอำเภอ และปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคให้มีคุณภาพและมาตรฐานซึ่งจะเริ่มทยอยเห็นในปีการศึกษา 2556

มาตรการที่ 2 จัดสรรงบประมาณวงเงิน 100 ล้านบาท เพื่อดูแลเด็กอาชีวะที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเลิกเรียนกลางคัน ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 16% โดยจะจัดครูพี่เลี้ยงคอยดูแล
ช่วยเหลือ นอกจากจะช่วยดึงเด็กให้อยู่ในระบบต่อได้แล้วยังสามารถช่วยป้องกันปัญหายาเสพติดและการทะเลาะวิวาทได้ด้วย

มาตรการถัดมาคือ เปิดโอกาสให้นักเรียนที่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ต้องการเรียนสายอาชีวะ แต่ยังติด ร. ติดศูนย์อยู่ สามารถมาเรียนอาชีวะได้ โดยเด็กจะได้เรียนต่อเนื่องแต่ยังไม่ได้วุฒิจนกว่าจะแก้เกรดผ่าน ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายๆ กับหลักสูตรพรีดีกรีของมหาวิทยาลัยรามคำแหง คาดว่ามาตรการนี้จะดึงเด็กให้มาเรียนอาชีวะได้ประมาณ1 หมื่นคน

อีกมาตรการคือ เปิดอาชีวะอำเภอ ซึ่งเป็นการลงไปแบบดาวกระจาย เนื่องจากปัจจุบันสถาบันการศึกษาระดับอาชีวศึกษาในระดับอำเภอมีเพียง 300 อำเภอ จากทั้งหมด 900 อำเภอ ซึ่งที่ผ่านมามีการเปิดนำร่องไปแล้ว 5 อำเภอ และปีนี้จะทยอยเปิดเพิ่มอีก 15 อำเภอ โดยจะเน้นอำเภอในพื้นที่ห่างไกล  การเปิดสถาบันอาชีวะให้ครอบคลุมอำเภอต่างๆ จะช่วยเกลี่ยให้เด็กที่เลือกเรียนในสถาบันอาชีวศึกษาประจำอำเภอที่เต็ม มีโอกาสได้เรียนในสถาบันใกล้เคียง คาดว่าน่าจะช่วยดึงเด็กให้อยู่ในระบบได้อีกไม่น้อยกว่า 1 หมื่นคน

“มาตรการเหล่านี้น่าจะช่วยจูงใจให้เด็กเข้ามาเรียนสายอาชีพมากขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้สัดส่วนตามเป้าที่ตั้งไว้ แต่ก็น่าจะสามารถรักษาจำนวนนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ไว้ได้ที่ระดับ 1.88 แสนคน” ส่วนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.)ถือว่าน่าห่วงกว่าระดับ ปวช. เพราะตัวเลขล่าสุดทำได้แค่ 6.64 หมื่นคนห่างจากตัวเลขเดิมที่ระดับ 1.28 แสนคนประมาณครึ่งหนึ่ง ทำให้ สอศ.เตรียมมาตรการเสริมไว้รองรับ คือ อาจจะพิจารณาเพิ่มรอบรับสมัครเด็กในช่วงวันที่ 20-30 เม.ย.อีกรอบ

สอศ.ยังมีแผนที่จะเปิดปริญญาตรีสายเทคโนโลยีบัณฑิตใน 16 สาขาวิชา 85 วิทยาลัยที่มีความพร้อมทั้งในเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือและการประสานงานกับสถานประกอบการเอกชนในรูปแบบทวิภาคี โดยแต่ละแห่งจะรับเพียง 20 คนเท่านั้น ซึ่งตัวเลขรวมจะอยู่ที่ประมาณ 1,700 คน ที่สำคัญจะเปิดรับสมัครเฉพาะเด็กที่จบจากระดับ ปวช.มาเท่านั้น ซึ่งน่าจะช่วยปรับทัศนคติของเด็กและผู้ปกครองได้ระดับหนึ่ง

ทั้งหมดนี้เพื่อดึงเด็กให้หันมาเรียนสายปฏิบัติมากขึ้น เพื่อผลิตบุคลากรรองรับความต้องการตลาดแรงงาน

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32490&Key=hotnews

สพป.นครราชสีมา เขต 3 ไม่ยกเลิกบรรจุครูผู้ช่วย ระบุไม่พบพยาน-หลักฐานการทุจริต

23 เมษายน 2556

นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่าขณะนี้สำนักงานก.ค.ศ.ได้รับแจ้งผลการพิจารณาของคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(อ.ก.ค.ศ.)เขตพื้นที่การศึกษาเรื่องการสอบคัดเลือกครูผู้ช่วยกรณีที่มีความจำเป็นหรือเหตุพิเศษ ว12 ครั้งที่ผ่านมาแล้วประมาณ 30 กว่าเขตพื้นที่การศึกษาแล้ว และอยู่ระหว่างการสรุปข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ซึ่งในเบื้องต้นเรื่องที่ส่งมาจะเป็นมติ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ พร้อมกับแนบรายละเอียดมาด้วย ส่วนจะมีที่ไหนที่สั่งยกเลิกผลการสอบเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้รายงานว่ามี อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ใดบ้าง

ทั้งนี้ ได้สั่งการให้ไปตรวจสอบรายงานที่แต่ละอ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯได้เสนอมาจากนั้นจะต้องนำมาวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำเสนอที่ประชุมก.ค.ศ.ให้พิจารณาต่อไป

นายพิสิษฐ์ ชดกิ่ง ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) นครราชสีมา เขต 3 กล่าวว่าจากการประชุม อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ในสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีมติไม่ยกเลิกผลการสอบครูผู้ช่วย เนื่องจากได้พิจารณาผลการสอบข้อเท็จจริงที่ สพป.นครราชสีมา เขต 3 ที่ได้นำเสนอไม่พบพยาน หลักฐานว่าการสอบครูผู้ช่วยที่ผ่านมามีการทุจริต และจากการสอบสวนผู้ที่สอบบรรจุได้จำนวน 7 คน ก็ยืนยันว่าสาเหตุที่สอบได้เป็นเพราะการอ่านหนังสือเอง โดยคะแนนของผู้ที่สอบได้นั้นจะมีคะแนนสูงในบางวิชาเท่านั้น และวิชาอื่นๆ ก็อยู่ในเกณฑ์คะแนนปกติทั่วไป อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้ส่งผลการประชุมไปให้สำนักงาน ก.ค.ศ.แล้ว

ที่มา: http://www.siamrath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32489&Key=hotnews

สอท.เร่งนักเรียนจ่ายเงินค่าสมัครแอดมิชชั่น

23 เมษายน 2556

สอท.เร่งนักเรียนจ่ายเงินค่าสมัครแอดมิชชั่น ก่อนปิดรับชำระเงิน 23 เม.ย. นี้. ย้ำนักเรียนที่ติดรับตรงแล้ว อย่ามาแอดมิชชั่น เพราะเสียเวลาและถูกตัดสิทธิ์

วานนี้(22เม.ย.) นางศศิธร อหิงสโก ผู้จัดการสมาคมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า ตามที่สอท.ได้เปิดรับสมัครคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาด้วยระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษาหรือแอดมิชชั่นกลาง ประจำปีการศึกษา 2556 เมื่อวันที่ 11-21เม.ย.ที่ผ่านมาทางเว็บไซด์ www.cuas.or.th และกำหนดชำระเงินถึงวันที่ 23 เม.ย.นั้น จากข้อมูลผู้สมัครตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งปิดระบบการรับสมัคร ปรากฏว่ามีผู้สมัคร 121,141 คน แต่มียอดชำระเงินถึงวันที่ 22 เม.ย. ประมาณ 90,000 คน ซึ่งคาดว่ายอดผู้ชำระเงินจะมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากวันรับสมัครช่วงสุดท้ายตรงกับวันเสาร์-อาทิตย์ ดังนั้นผู้สมัครคงกำลังตัดสินใจอยู่ และในวันที่ 23 เม.ย.นี้จะเป็นการชำระเงินวันสุดท้าย ตามเวลาปิดทำการของธนาคารทั่วไป และตามเวลาปิดของธนาคารในห้างสรรพสินค้า ดังนั้นผู้สมัครจะต้องตัดสินใจและรีบดำเนินการชำระเงินเพื่อให้การสมัครครบถ้วนสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามคาดว่าจำนวนผู้สมัครปีนี้น่าจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาคือประมาณ 1 แสนคน

นางศศิธร กล่าวต่อไปว่า สำหรับการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในระบบรับตรงผ่านเคลียริ่งเฮาส์ ปี 2556 นั้น ขณะนื้มหาวิทยาลัยที่รับตรงผ่านเคลียริ่งเฮาส์ จำนวน 18 สถาบัน ได้ส่งรายชื่อของนักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกมาให้เรียบร้อยแล้วเพื่อตัดสิทธิ์ออกจากแอดมิชชั่นกลาง ซึ่งตนอยากย้ำว่าเรื่องการตัดสิทธิ์แอดมิชชั่นกลางนั้นเป็นเรื่องที่มหาวิทยาลัยต่าง ๆส่งรายชื่อของนักเรียนมาให้สอท. ดังนั้นหากนักเรียนคนใดมีปัญหาเรื่องของการรับตรงจะต้องติดต่อกับทางมหาวิทยาลัยเท่านั้น เพราะสอท.ไม่มีอำนาจที่จะคืนสิทธิ์แอดมิชชั่นกลางให้แก่นักเรียนได้ ส่วนนักเรียนที่ติดรับตรงแล้วก็ไม่ต้องมาแอดมิชชั่นกลางอีก เพราะจะเป็นการเสียเวลาและจะถูกตัดสิทธ์แน่นอนอยู่แล้ว

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32488&Key=hotnews

วิกฤตครูจ่อเกษียณเกือบแสนคน 56-60 แนะผลิตรองรับ

ศิษย์มีครู
ศิษย์มีครู

23 เม.ย.56 รายงานข่าวแจ้งว่า จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พบว่าจำนวนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่จะเกษียณอายุราชการในปีงบประมาณ 2556-2560 มีจำนวน 97,254 คน มีรายละเอียดดังนี้ ปี 2556 จำนวน 10,932 คน ได้แก่ อันดับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (คศ.) 1 จำนวน 11 คน อันดับ คศ.2 วิทยฐานะชำนาญการ จำนวน 3,929 คน อันดับ คศ.3 วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ จำนวน 6,556 คน อันดับ คศ.4 วิทยฐานะเชี่ยวชาญ จำนวน 260 คน อันดับ คศ.5 วิทยฐานะเชี่ยวชาญ และวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ 9 คน บุคลากรทางการศึกษาอื่น 38 ค (2) จำนวน 167 คน ปี 2557 จำนวน 15,541 คน ได้แก่ คศ. 1 จำนวน 6 คน อันดับ คศ.2 วิทยฐานะชำนาญการ จำนวน 5,774 คน อันดับ คศ.3 วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ จำนวน 9,239 คน อันดับ คศ.4 วิทยฐานะเชี่ยวชาญ จำนวน 275 คน อันดับ คศ.5 วิทยฐานะเชี่ยวชาญ 10 คน บุคลากรทางการศึกษาอื่น 38ค (2) จำนวน 237 คน

รายงานข่าวระบุด้วยว่า สำหรับ ปี 2558 จำนวน 20,661 คน ได้แก่ คศ.1 จำนวน 23 คน อันดับ คศ.2 วิทยฐานะชำนาญการ จำนวน 7,612 คน อันดับ คศ.3 วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ จำนวน 12,546 คน อันดับ คศ.4 วิทยฐานะเชี่ยวชาญ จำนวน 206 คน อันดับ คศ.5 วิทยฐานะเชี่ยวชาญ 10 คน บุคลากรทางการศึกษาอื่น 38 ค(2) จำนวน 264 คน

ปี 2559 จำนวน 24,689 คน ได้แก่ คศ.1 จำนวน 28 คน อันดับ คศ.2 วิทยฐานะชำนาญการ จำนวน 9,165 คน อันดับ คศ.3 วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ จำนวน 15,019 คน อันดับ คศ.4 วิทยฐานะเชี่ยวชาญ จำนวน 174 คน อันดับ คศ.5 วิทยฐานะเชี่ยวชาญ 5 คน บุคลากรทางการศึกษาอื่น 38 ค (2) จำนวน 298 คน และ ปี 2560 จำนวน 25,431 คน ได้แก่ คศ.1 จำนวน 42 คน อันดับ คศ.2 วิทยฐานะชำนาญการ จำนวน 9,057 คน อันดับ คศ.3 วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ จำนวน 15,865 คน อันดับ คศ.4 วิทยฐานะเชี่ยวชาญ จำนวน 146 คน อันดับ คศ.5 วิทยฐานะเชี่ยวชาญ 2 คน บุคลากรทางการศึกษาอื่น 38ค (2) จำนวน 319 คน

นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กล่าวว่า เรื่องนี้หน่วยผลิตบัณฑิตสายครุศาสตร์-ศึกษาศาสตร์ จะต้องมาขอข้อมูลเพื่อผลิตบัณฑิตให้เพียงพอทดแทนกับข้าราชการครูที่จะเกษียณอายุราชการในช่วงปี 2556-2560 ซึ่งจะต้องมาดูว่า จะต้องผลิตบัณฑิตในสาขาอะไรบ้าง และจะต้องเริ่มวางแผนการผลิตตั้งแต่ปีการศึกษา 2556 นี้ โดยขณะนี้ยังไม่ได้มีการประสานหรือขอข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในฐานะหน่วยงานที่ข้าราชการครูเหล่านี้ปฏิบัติงานอยู่ในโรงเรียนสังกัด สพฐ.ก็ไม่สามารถกำหนดอัตรามาทดแทนได้ เพราะตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมาย และนโยบายกำลังคนภาครัฐ

(คปร.) ได้กำหนดให้มีการคืนอัตราเกษียณอายุราชการให้ ศธ.100% จนถึงปี 2556 นี้และหลังจากนั้นจะเหลืออัตราคืนให้เพียง 20% ของอัตราเกษียณในแต่ละปี โดยเมื่อพิจารณาตั้งแต่ปี 2557-2560 แล้ว จะได้อัตราเกษียณคืนมาประมาณ 20,000 อัตราเท่านั้น ฉะนั้น หากไม่มีการวางแผนแล้ว ก็จะมีปัญหาการขาดแคลนข้าราชการครู อย่างแน่นอน

หน่วยผลิตสามารถเสนอขอข้อมูลมายัง ก.ค.ศ.เพื่อให้วิเคราะห์รายละเอียดข้าราชการครูที่จะเกษียณอายุราชการช่วงปี 2556-2560 จำแนกตามสาขาวิชาเอกได้ จะได้เป็นประโยชน์ในการผลิตบัณฑิตให้เพียงพอ ในส่วนของ สพฐ.นั้น ก็อาจจะต้องสรรหาครูให้ตรงและเพียงพอกับสาขาที่ขาดแคลน เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าว

ที่มา : นสพ.มติชน http://www.prachachat.net

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32487&Key=hotnews

ศธ.เตรียมเปิดรับ 1 อำเภอ 1 ทุนรุ่น 4 รอบ 2

23 เมษายน 2556

ศธ.เตรียมเปิดรับ 1 อำเภอ 1 ทุนรุ่น 4 รอบ2 พงศ์เทพอ้างเด็กสอบผ่านน้อยเพราะมุ่งแอดมิสชชั่นส์

วานนี้ ( 22 เม.ย.) นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดรับสมัครผู้เข้ารับคัดเลือกโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน รุ่น 4 (ปีงบประมาณ 2556-2563) และได้ทำการสอบข้อเขียน โดยมีผู้สอบผ่านข้อเขียนเพียง 137 คน จากผู้สมัครทั้งหมด 20,381 คน แบ่งเป็น ผู้สอบผ่านข้อเขียนทุนประเภทที่ 1 เรียนดี ครอบครัวมีรายได้ไม่เกิน 200,000 บาท ไปศึกษาในประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษ จำนวน 14 คน จากผู้สมัคร 5,053 คน ทุนประเภทที่ 2 เรียนดี ไม่จำกัดรายได้ครอบครัว ไปศึกษาระดับปริญญาตรีทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมุ้งเน้นสาขาที่ขาดแคลนด้านวิทยาศาสตร์ สอบผ่านจำนวน 123 คน จากผู้สมัครทั้งหมด 15,328 คน นั้นถือว่ามีผู้สอบผ่านน้อยมาก ดังนั้นจะต้องมีการเปิดรับสมัครรอบใหม่ โดยเร็ว ๆ นี้ตนจะนัดหารือกับคณะกรรมการบริหารโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน โดย เน้นว่าการสอบคัดเลือกจะต้องสามารถคัดผู้เข้าร่วมโครงการฯที่มีความรู้ความ สามารถและเป็นไปตามมาตรฐานที่ศธ.กำหนด เพราะนักเรียนที่ไปจะต้องไปเรียนต่างประเทศ ดังนั้นต้องมีความรู้ระดับหนึ่ง ถ้าไปเรียนและความรู้ไม่ถึงก็จะมีปัญหาในการเรียน

“ที่ผ่านมาที่เด็กสอบผ่านข้อเขียนได้น้อยนั้น อาจจะเป็นเพราะนักเรียนไปทุ่มเทกับการสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย เพราะคิดว่าโอกาสที่จะสอบคัดเลือกผ่านมีมากกว่า และโครงการฯนี้ จะมีโอกาสเพียง 2 คนต่อ 1 อำเภอเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว ทุกคนมีโอกาสทั้งนั้น ดังนั้นผมจึงอยากเชิญชวนนักเรียนให้มาสมัครเข้าร่วมโครงการฯนี้ เพราะโอกาสได้ทุนมีสูงและยังเหลือที่อีกจำนวนมาก และกระจายไปทั่วประเทศ แม้กระทั่งคนที่ไปเรียนในมหาวิทยาลัยแล้วก็มีสิทธิมาสมัครสอบได้”
นายพงศ์เทพ กล่าวอีกว่า โครงการฯนี้ถือว่าเป็นการให้โอกาสทางการศึกษากับนักเรียนอย่างทั่วถึง โดยในแต่ละปีรัฐบาลให้ทุนนักเรียนไปศึกษาต่อต่างประเทศ ปีละไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทต่อคน และข้อผูกพันน้อยมากเพราะต้องการจะส่งเสริมให้นักเรียนที่เรียนดีได้มีโอกาสไปศึกษาต่อ ส่วน ในการสอบรอบสองนั้นจะมีการปรับลดเกณฑ์ขั้นต่ำของคะแนนสอบลงหรือไม่ ตนขอหารือกับคณะกรรมการโครงการฯก่อน เพราะการจะปรับอะไรต้องคำนึงถึงมาตรฐานเป็นสำคัญ หากกระบวนการคัดเลือกไม่ได้มาตรฐานนักเรียนที่ไปเรียนจะมีปัญหา แต่ถ้าได้เด็กที่มีคุณภาพไปเรียน เขาก็จะกลับมาทำประโยชน์ให้กับประเทศไทย และตนเชื่อว่าเด็กไทยมีความสามารถ แต่ที่สอบผ่านน้อยเพราะไปทุ่มเทกับการสอบอย่างอื่น

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32486&Key=hotnews

“อาชีวะไทย” แกะรอยเดินตาม “สิงคโปร์”

23 เมษายน 2556

ต้องยอมรับสิงคโปร์ประเทศเล็กๆ นั้น เหมือน “เล็กพริกขี้หนู” เพราะเจริญไปทุกด้าน มีฐานะเศรษฐกิจแข็งแกร่ง พัฒนาไม่หยุดในทุกด้าน รวมทั้งการศึกษาก็ถือว่าสิงคโปร์ก้าวหน้ากว่าไทยมาก เป็นเบอร์หนึ่งในอาเซียน และติดอันด้บท้ายแถวในระดับโลกด้วย เหตุนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา (สอศ.) จึงไปดูงานด้านอาชีวะที่เมืองลอดช่อง

แต่อาชีวศึกษาของสิงคโปร์ที่สำเร็จได้นั้น มีหลายปัจจัยสนับสนุนหลายอย่าง ทั้งการทุ่มงบประมาณมหาศาลของรัฐบาล การเอาจริงเอาจัง และระบบการศึกษาทุกส่วนต่างสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทั้งที่กว่าจะมาเป็นอย่างทุกวันนี้ สิงคโปร์ก็เคยมีปัญหาด้านอาชีวศึกษาไม่ต่างกับไทย

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ปูพื้นให้ฟังว่า แต่ก่อนสิงคโปร์ก็เคยมีวิทยาลัยอาชีวศึกษากระจายตัวกว่า 10 แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งมีนักเรียน/นักศึกษาตั้งแต่ 100-1,000 คน สุดท้ายมีการสั่งยุบรวมให้เป็นวิทยาลัยใหญ่ 3 แห่ง มาเป็นสถาบันเทคนิคการศึกษา หรือไอทีอี (Institute of Technical Education : ITE) ซึ่งมีนักเรียน/นักศึกษามาเรียนแต่ละแห่งตั้งแต่ 8,000-10,000 คน ขณะที่สถาบันไอทีอีเป็นสถาบันที่จัดการศึกษาสำหรับผู้ต้องการทักษะทางช่างและช่างผีมือ มี 3 แห่ง ได้แก่ สถาบันไอทีอีตะวันตก สถาบันไอทีอีกลาง และสถาบันไอทีอีตะวันออก โดยหลักสูตรที่ 3 สถาบันสอนเหมือนกัน คือ หลักสูตรธุรกิจและบริการ หลักสูตรวิศวกรรม หลักสูตรอิเล็กทรอนิกส์ และหลักสูตรสารสนเทศและการสื่อสารเทคโนโลยี

รัฐบาลได้กำหนดให้แต่ละสถาบันมีหลักสูตรเก่งเฉพาะด้าน ได้แก่ สถาบันไอทีอีตะวันออก จะถนัดด้านการอาหารและการบริการโรงแรม หลักสูตรบริการนวัตกรรม หลักสูตรขนส่งระบบราง และหลักสูตรเทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัย สถาบันไอทีอีกลาง จะถนัดหลักสูตรเทคโนโลยีอากาศยานและการเดินทะเล หลักสูตรบริหารธุรกิจและการจัดการ และหลักสูตรวิศวกรรมดีไซน์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม และสถาบันไอทีอีตะวันตก จะถนัดด้านหลักสูตรเคมีและวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต หลักสูตรพยาบาลและบริการสุขภาพ หลักสูตรความงามและสุขภาพ และหลักสูตรเพื่อเป็นผู้ประกอบการ
“สิ่งที่ผมประทับใจการจัดการศึกษาของสถาบันไอทีอี คือ การวางหลักสูตร และการลงทุนเครื่องมือและอุปกรณ์การสอนรวมถึงจัดหาอาจารย์ผู้สอน เริ่มจากหลักสูตรมีการแบ่งสัดส่วนเรียนวิชาแกน 80% วิชาเลือก 5% วิชาทักษะชีวิต 15% ซึ่งที่นี่ไม่มีการเรียนวิชาสามัญ เช่น ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย เป็นต้น แต่เขาจะใช้เป็นวิชาทักษะต่างๆ เช่น วิชาทักษะการสื่อสาร ก็จะมีเนื้อหาภาษาเพื่อการสื่อสาร การสื่อสารเพื่อการพัฒนาบุคคล ที่ไม่จำกัดแค่ภาษาใดภาษาหนึ่ง ทั้งนี้ ไอทีอีให้เหตุผลว่า เพราะเด็กแต่ละคนได้เรียนวิชาสามัญมาตั้งแต่ระดับประถมและมัธยมแล้ว” นายชัยพฤกษ์กล่าว

นอกจากหลักสูตรที่ออกแบบเพื่อให้การเรียนการสอนเน้นการปฏิบัติแล้ว ความพร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์ฝึกภาคปฏิบัติ รัฐบาลให้ความสำคัญทุ่มงบประมาณมหาศาล เช่น สถาบันไอทีอีกลาง ที่ถนัดหลักสูตรเทคโนโลยีอากาศยานและการเดินทะเล รัฐบาลได้ให้งบจัดซื้อเครื่องบินพาณิชย์ เครื่องบินเล็กส่วนบุคคล เรือเดินทะเล และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ปลดประจำการแล้ว รวมถึงจำลองอู่ซ่อมเครื่องบินให้นักเรียน/นักศึกษาให้ลองฝึกปฏิบัติ

ส่วนสถาบันไอทีอีตะวันตก ที่ถนัดหลักสูตรพยาบาลและบริการสุขภาพ ภาครัฐได้ให้งบประมาณสนับสนุนจัดซื้อหุ่นผู้ป่วยมีชีวิต ที่มีอาการเจ็บป่วยรูปแบบต่างๆ ตกราคาตัวละ 5 แสนดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณกว่า 11 ล้านบาท หลายสิบตัว รวมถึงอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ พยาบาล ซึ่งเป็นการจำลองสถานการณ์โรงพยาบาลมาไว้ที่สถาบัน ซึ่งการลงทุนมหาศาลอย่างนี้ไม่ลำบากในบ้านเขา แต่ลำบากที่บ้านเราแน่

เลขาธิการ กอศ.สะท้อนว่า สอศ.ก็มุ่งหวังให้อาชีวศึกษาไทยมีความเข้มแข็งเช่นเดียวกับอาชีวศึกษาสิงคโปร์ ทำให้ที่ผ่านมามีความร่วมมือระหว่าง สอศ.กับสถาบันไอทีอีหลายประการ ทั้งการส่งครูอาจารย์หลายรุ่น หลายสาขาวิชาจากวิทยาลัยไปอบรมกับสถาบันไอทีอี ทั้งเรื่องการออกแบบหลักสูตร ออกแบบการสอน และออกแบบการประเมินผล เพื่อนำกลับมาปรับใช้กับหลักสูตรระดับ ปวช. และ ปวส. โดยเฉพาะหลักสูตรระดับ ปวส.นั้น ขณะนี้ สอศ.อยู่ในช่วงจัดทำใหม่ ตั้งเป้าจะออกแบบให้คล้ายกับหลักสูตรของสถาบันไอทีอี คือ ให้มีการเรียนวิชาทักษะชีวิตสัดส่วน 15% แบ่งเป็นรายวิชาและวิชาทักษะวิชาชีพและวิชาเลือก 85% นอกจากนี้ในอนาคตก็มีแผนจะยกระดับวิทยาลัยไทยประมาณ 4-5 แห่ง ที่มีความพร้อมให้ร่วมจัดการศึกษาให้มีรูปแบบเดียวกันกับสถาบันไอทีอี

“การเปลี่ยนอาชีวศึกษาครั้งนี้ไม่ง่าย แต่ก็ดีกว่าไม่ทำ วันนี้เราทำหลายอย่าง ทั้งการแลกเปลี่ยนนักเรียนและครูอาจารย์กับประเทศที่เข้มแข็งด้านอาชีวศึกษากับหลายประเทศที่เข้มแข็ง อย่างอิสราเอล เดนมาร์ก ญี่ปุ่น เยอรมนี ซึ่งทั้งหมดนี้เพื่อเป็นการเปิดช่องทางให้การจัดการศึกษาอาชีวศึกษาของแต่ละวิทยาลัย สามารถเหมือนประเทศอื่นได้” นายชัยพฤกษ์กล่าว.

ที่มา: http://www.thaipost.net

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32485&Key=hotnews

จี้ศธ.วางระบบสางหนี้สินครู หวั่นละเลยปัญหาสร้างวิกฤติ

23 เมษายน 2556

รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อดีต รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ขณะนี้ตนรู้สึกเป็นห่วงเรื่องปัญหาหนี้สินครูเป็นอย่างมาก เนื่องจากครูมีหนี้สินและมีภาระการผ่อนชำระเพิ่มมากขึ้น เพียงแต่ปัญหายังไม่ปะทุขึ้นมา ซึ่งที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) มีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยการปล่อยเงินกู้ให้แก่ครูอย่างเต็มที่เพื่อนำเงินกู้ใหม่ไปกลบหนี้เก่า ดังนั้นขณะนี้จึงยังไม่มีปัญหาอะไรให้เห็น เพราะครูยังมีความสุขอยู่กับการกู้เงินใหม่ แต่ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าปัญหาหนี้สินครูจะปะทุขึ้นซึ่งน่าเป็นห่วงอย่างมาก

“ครูจำนวนหนึ่งมีความเชื่อแบบผิด ๆ ว่ากู้เงินมา ภาครัฐก็ต้องโดดลงมาช่วยแก้ปัญหาหนี้สินครูให้อย่างแน่นอน จนทำให้ปัจจุบันมีครูเป็นหนี้สิน ทั้งหนี้ในระบบ และหนี้นอกระบบกว่า 4 แสนคน และมีแนวโน้มของข้าราชการครูฯ ที่จะถูกฟ้องร้องเพราะไม่มีเงินมาจ่ายเงินค่างวดในแต่ละเดือนมีจำนวนสูงขึ้นทุกปี ดังนั้นหากภาครัฐไม่สนใจที่จะหามาตรการมารองรับหรือแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง และเป็นรูปธรรม จะทำให้การแก้ปัญหามีความยุ่งยากมากขึ้น เพราะหนี้เก่าก็ยังใช้ไม่หมด หนี้ใหม่ก็เพิ่มขึ้นมาอีก ซึ่งผมมองว่ากระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ควรจะเร่งหามาตรการแก้ไขเรื่องนี้ออกมาให้ชัดเจนได้แล้ว ไม่อยากให้ละเลยปัญหาหนี้สินครู เพราะเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก และจะส่งผลกระทบให้การศึกษาในภาพรวมวิกฤติได้” รศ.ดร.วรากรณ์ กล่าว.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 23 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32484&Key=hotnews

สอศ.ปลุกเด็กอาชีวะฟิตร่างกาย หวังเพิ่มยอดสายอาชีพเรียน รด.

23 เมษายน 2556

ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้ประสานขอข้อมูลเบื้องต้นจากหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (นรด.) ถึงความเป็นไปได้ในการเพิ่มจำนวนนักศึกษาอาชีวศึกษาเข้าเรียนหลักสูตรนักศึกษาวิชาทหาร (รด.) เพราะช่วยให้นักเรียน นักศึกษามีระเบียบวินัย เสริมสร้างบุคลิกภาพ และลดปัญหาการก่อเหตุทะเลาะวิวาทลงได้ แต่ได้รับแจ้งว่าในแต่ละปี นรด. สามารถรับเด็กใหม่เข้าฝึก รด.ตามศูนย์ฝึกทั่วประเทศได้ปีละ 100,000 คน ทั้งนักเรียน ม.ปลายจากสายสามัญศึกษาและนักศึกษาระดับประกาศนีย บัตรวิชาชีพ (ปวช.) และคงไม่สามารถเพิ่มจำนวนรับได้อีก อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาเด็กอาชีวะสามารถผ่านการทดสอบสมรรถภาพเข้าเรียน รด.ได้ประมาณ 60,000 คน ดังนั้นหากต้องการเพิ่มยอดเด็กอาชีวะเข้าเรียน รด.ก็ต้องเตรียมเด็กให้มีสมรรถภาพร่างกายที่แข็งแรงเพื่อผ่านการทดสอบในอันดับต้น ๆ และจะได้ผ่านการคัดเลือกเข้าเรียน รด.มากขึ้น

“ผู้สมัครเรียน รด.ได้ต้องมีเกรดเฉลี่ย 1.00 ขึ้นไป และต้องผ่านเกณฑ์การทดสอบสมรรถภาพร่างกายในส่วนของนักศึกษาชาย ดังนี้ ดันพื้น 22 ครั้งในเวลา 2 นาที ลุก-นั่ง 34 ครั้งในเวลา 2 นาที และวิ่ง 800 เมตรในเวลา 3 นาที 15 วินาที ซึ่งผมขอให้นักศึกษาเตรียมร่างกายให้พร้อมเพื่อผ่านการทดสอบและได้เรียน รด. ทั้งนี้หนึ่งในนโยบายของ สอศ. คือ การจัดการศึกษาทวิภาคีร่วมกับสถานประกอบการ เมื่อเรียนจบในแต่ละระดับสามารถเข้าสู่ระบบงานได้ทันที แต่ผู้เรียนจะต้องผ่านการเรียนหลักสูตร รด.หรือผ่านการเกณฑ์ทหารตามหน้าที่แล้ว ดังนั้นหากผู้เรียนต้องทำงานต่อเนื่องได้ทันที ผู้เรียนก็จะต้องวางแผนอนาคตของตนเองในเรื่องนี้ด้วย” เลขาธิการ กอศ. กล่าว.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 23 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32483&Key=hotnews

สสวท.พร้อมเปิดยุทธศาสตร์ 5 ปีวางเป้า 14 ปี นร.ไทยทัดเทียมนานาชาติ

22 เมษายน 2556

สสวท.เตรียมเปิดยุทธศาสตร์ 5 ปี ขับเคลื่อนนักเรียนไทยทุกช่วงชั้นให้มีความรู้ ความสามารถด้านวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี เป็นลำดับและทัดเทียมกับนานาชาติ ภายใน 14 ปี และสอดรับกับการสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558

ดร.พรพรรณ ไวทยางกูร ผู้อานวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กล่าวว่า สสวท.กำลังปรับโฉมแผนยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ เพื่อตอบสนองต่อแผนปฏิบัติการยุทธศาสตร์ประเทศ ปฏิวัติการเรียนรู้ สู่การรวมตัวของประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ.2558 และก้าวสู่มาตรฐานการศึกษาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี ระดับนานาชาติ กำหนดเปิดตัวโฉมร่างยุทธศาสตร์ 5 ปี ในวันอังคารที่ 23 เมษายนนี้ โดย ศ.เกียรติคุณ ดร.มนตรี จุฬาวัฒนทล ประธานกรรมการ สสวท.
ทั้งนี้ ร่างแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี มีเป้าหมาย คือ “ขับเคลื่อนนักเรียนไทยทุกช่วงชั้นให้มีความรู้ ความสามารถสูงขึ้นเป็นลำดับและทัดเทียมกับนานาชาติ ภายในปี พ.ศ. 2570” เพื่อแสดงให้เห็นว่านักเรียนไทยทุกช่วงชั้นมีความรู้ ความสามารถทัดเทียมกับนานาชาติอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อก้าวเข้าสู่มาตรฐานการศึกษาระดับนานาชาติ ในวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี โดยได้จัดทำขึ้นเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามแผนและนโยบายสาคัญ เช่น แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 นโยบายรัฐบาล/แผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2555-2558 ข้อเสนอการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 และสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงป้องกันและในเชิงรุก ทั้งความเปลี่ยนแปลงในด้านการปฏิวัติทางการเรียนรู้ โดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การรวมตัวของประชาคมอาเซียน ในปี พ.ศ. 2558

สำหรับร่างแผนยุทธศาสตร์ 5 ปีของ สสวท. ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์การยกระดับคุณภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี การพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเต็มศักยภาพ รวมไปถึงการปรับปรุงกระบวนการจัดการบริหารภายในและความรู้สู่องค์กรคุณภาพสูง และอื่นๆ ซึ่งนับว่าเป็นความท้าทายอย่างมากต่อการพลิกโฉมการเรียนรู้ของเด็กไทยในครั้งนี้

.–ASTVผู้จัดการออนไลน์–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32481&Key=hotnews