ผู้บริหารการศึกษา ต้อง ป.โท(3)

คอลัมน์: ข้าราษฎร: ผู้บริหารการศึกษา ต้อง ป.โท(3)

สายสะพาย
ว่าเรื่องการแก้ไขปรับปรุงข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพ ฉบับเดิม (พ.ศ.2548 และ 2554) เพื่อออกเป็นฉบับใหม่ ต่อจากเมื่อวาน  ผู้ประกอบวิชาชีพผู้บริหารการศึกษา หมายถึง บุคคลซึ่งปฏิบัติงานในตำแหน่งผู้บริหารนอกสถานศึกษาในระดับเขตพื้นที่การศึกษา ต้องมีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาโททางการบริหารการศึกษาหรือเทียบเท่า (ข้อบังคับเดิมไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี) หรือมีคุณวุฒิอื่นที่คุรุสภารับรอง โดยมีมาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ ดังต่อไปนี้
มาตรฐานความรู้ ไม่น้อยกว่าหัวข้อต่อไปนี้
1. การพัฒนาวิชาชีพ 
         2. ความเป็นผู้บริหาร 
         3. การบริหารการศึกษา 
4. การส่งเสริมคุณภาพการศึกษา
        5. การประกันคุณภาพการศึกษา
        6.คุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณ

นอกจากคุณวุฒิข้างต้นแล้ว ต้องผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรการบริหารการศึกษาที่คณะกรรมการคุรุสภารับรองมาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพ ดังต่อไปนี้
1. มีประสบการณ์ด้านการปฏิบัติการสอนมาแล้วไม่น้อยกว่าแปดปี หรือ
2. มีประสบการณ์ในตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษามาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี (ข้อบังคับเดิม ห้าปี) หรือ
3. มีประสบการณ์ในตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวงมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี (ข้อบังคับเดิม ห้าปี) หรือ
4. มีประสบการณ์ในตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นที่มีประสบการณ์การบริหารไม่ต่ำกว่าหัวหน้ากลุ่ม หรือผู้อำนวยการกลุ่ม หรือเทียบเท่า มาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี (คงตามข้อบังคับเดิม)
5. มีประสบการณ์ด้านปฏิบัติการสอน และมีประสบการณ์ในตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา หรือบุคลากรทางการศึกษาอื่นที่มีประสบการณ์การการบริหารไม่ต่ำกว่าหัวหน้ากลุ่ม หรือผู้อำนวยการกลุ่มหรือเทียบเท่า รวมกันมาแล้วไม่น้อยกว่าแปดปี (ข้อบังคับเดิม สิบปี)

มาตรฐานวิชาชีพศึกษานิเทศก์ ตามร่างข้อบังคับใหม่ เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างไร ขอว่าต่อพรุ่งนี้

–มติชน ฉบับวันที่ 18 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32442&Key=hotnews

แนวคิด ทฤษฎี และการออกแบบองค์การ (Organization)

องค์การ ถือเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องและมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะในสถานะของสมาชิกในองค์การหนึ่ง ๆ หรือในสถานะผู้ซื้อสินค้าหรือรับบริการจากองค์การใดๆ ในสังคม

five S model
five S model
สวรัย นัยนานนท์
สวรัย นัยนานนท์

การศึกษาถึงแนวคิด ทฤษฎี และการออกแบบองค์การ จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับบุคคลทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลในระดับบริหาร ซึ่งหากมีความรู้ ความเข้าใจถึงแนวคิดและทฤษฎีองค์การ เชื่อว่าจะสามารถบริหารและจัดการให้องค์การ มีผลการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แนวคิดและทฤษฎีองค์การ มีผู้ศึกษาและให้นิยามขององค์การไว้อย่างหลากหลาย อาทิเช่น “องค์การ คือ การรวมตัวของคนตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อดำเนินกิจกรรมใดๆ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้” (ดร.ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์) หรือ “สิ่งที่มีอยู่ในสังคม มีการจัดตั้งขึ้นมาอย่างมีเป้าหมาย มีการออกแบบระบบโครงสร้างและระบบกิจกรรมที่มีการประสานงานกัน และมีการเชื่อมโยงสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมภายนอก” (Richard L. Daft) เป็นต้น

ในส่วนของทฤษฎีองค์การ “เป็นหลักการศึกษาถึงโครงสร้าง และการออกแบบองค์การ โดยอธิบายว่าองค์การถูกจัดตั้งขึ้นมาได้อย่างไร และให้ข้อเสนอแนะการสร้างองค์การในลักษณะใด ที่จะก่อให้เกิดประสิทธิผลแก่องค์การเอง” (นิตยา เงินประเสริฐศรี) และเพื่อประโยชน์ต่อการศึกษาทฤษฎีองค์การ จึงจัดแบ่งทฤษฎีองค์การออกเป็น 3 สำนัก คือ

1. สำนักทฤษฎีองค์การสมัยดั้งเดิม จะมุ่งเน้นโครงสร้างองค์การที่เป็นทางการ และการบรรลุวัตถุประสงค์เฉพาะที่กำหนดไว้เป็นหลัก

2. สำนักทฤษฎีองค์การเน้นมนุษยสัมพันธ์ จะมีลักษณะตรงข้ามกับสำนักทฤษฎีองค์การสมัยดั้งเดิม กล่าวคือ มีโครงสร้างองค์การอย่างไม่เป็นทางการ และให้ความสำคัญกับความรู้สึกของคนมากขึ้น

3. สำนักระบบและสถานการณ์ จะให้ความสำคัญกับการพิจารณาถึงลักษณะของระบบต่างๆ ภายในองค์การที่มีความสัมพันธ์กัน และสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมขององค์การนั้นๆ

จากทฤษฎีองค์การของแต่ละสำนักตามข้างต้น จะพบว่า ในการศึกษาทฤษฎีองค์การให้เกิดความเข้าใจขึ้นได้นั้น จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจหรือศึกษาพฤติกรรมองค์การประกอบด้วย เพราะการบรรลุผลสำเร็จขององค์การได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับคนหรือสมาชิกภายในองค์การนั้นๆ เป็นสำคัญ

การออกแบบองค์การ โดยทั่วไปองค์การจะประกอบด้วยองค์ประกอบ 5 ส่วน คือ ฝ่ายบริหารระดับสูง ฝ่ายบริหารระดับกลาง กลุ่มผู้ปฏิบัติการ ฝ่ายสนับสนุนทางการบริหาร และฝ่ายสนับสนุนทางเทคนิค ซึ่งระดับของบทบาทหน้าที่และความสำคัญขององค์ประกอบใดๆ ข้างต้น จะขึ้นอยู่กับรูปแบบขององค์การ ที่มี 5 รูปแบบ (มินซ์เบอร์ก) คือ องค์การแบบโครงสร้างอย่างง่าย องค์การแบบเครื่องจักรกล องค์การทางวิชาชีพ องค์การแบบโครงสร้างแยกหน่วยงาน และองค์การแบบเฉพาะกิจ

ทั้งนี้ มีแนวคิดเกี่ยวกับวิธีการออกแบบองค์การ โดยใช้ยุทธศาสตร์ 3Rs (ฐิติกร พูลภัทรชีวิน) คือ การปรับความคิดความเข้าใจ (Rethinking) การปรับกระบวนการทำงาน (Reengineering) และ การปรับโครงสร้าง (Restructuring) ซึ่งเป็นการพัฒนาองค์การเพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน

นอกจากนี้ ในปัจจุบันผู้ออกแบบองค์การควรตระหนักถึงลักษณะขององค์การสมัยใหม่ หรือ 5’s Model (รศ.ดร.เสน่ห์ จุ้ยโต) คือ องค์การจิ๋วแต่แจ๋วคุณภาพ (Small) องค์การฉลาดทรงภูมิปัญญา (Smart) องค์การยิ้มแย้มเปี่ยมน้ำใจ (Smile) องค์การร่วมมือไร้ความขัดแย้ง (Smooth) และ องค์การทำเรื่องยากให้ง่ายและเร็ว (Simplify) ซึ่งจะต้องอาศัยความรู้ความสามารถของผู้บริหาร (Competency) การมีวินัยและความรับผิดชอบต่อตนเอง ของพนักงาน (Self-Control) การมีกระบวนการที่ดีมีประสิทธิภาพ มีความน่าเชื่อถือ การมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ซึ่งลักษณะขององค์การตาม 5’s Model นี้ จะสามารถเพิ่มขีดความสามารถให้แก่องค์การ สู่ความเป็นเลิศได้

โดย สวรัย นัยนานนท์  ในกรุงเทพธุรกิจ

! http://blog.nation.ac.th/?p=2576

ความร่วมมือในการพัฒนาสหกิจศึกษา

coop with payap
coop with payap

ประเทศไทยมีการพัฒนาการศึกษาอีกกระบวนการหนึ่ง ผ่านระบบสหกิจศึกษา เพื่อให้มีกลไกในการพัฒนากระบวนการนี้ให้เข้มแข็ง จึงเกิดเครือข่ายในแต่ละภูมิภาค ปัจจุบันมี เครือข่ายส่งเสริมการพัฒนาสหกิจศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ภาคเหนือตอนบน ซึ่งมีสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาในภาคเหนือตอนบนเข้าร่วมเป็นสมาชิก และการพัฒนาระบบก็มีอยู่หลายมิติ ซึ่งมหาวิทยาลัยพายัพเห็นว่าระบบสหกิจศึกษาออนไลน์มีความจำเป็นต่อการขับเคลื่อนในฐานะระบบฐานข้อมูล ที่มีบทบาทช่วยในการตัดสินใจ และการเข้าถึงข้อมูลได้ทันเวลาตามความต้องการ ดังนั้นมหาวิทยาลัยพายัพได้รับทุนจากเครือข่ายฯ ซึ่งกิจกรรมหนึ่งในโครงการคือการทดสอบระบบฯ  จึงมีการแบ่งกลุ่มย่อยที่รวมสถาบันการศึกษาตามกลุ่มจังหวัดที่อยู่ในบริเวณใกล้กันมาทำกิจกรรม ในที่นี้ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยราชภัฎลำปาง วิทยาลัยอินเตอร์เทคลำปาง วิทยาลัยชุมชนแพร่  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา (ลำปาง) และมหาวิทยาลัยเนชั่น ซึ่งการทดสอบจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จึงประสานใช้สถานที่ของมหาวิทยาลัยเนชั่น ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2556 เป็นความร่วมมือในการพัฒนาระบบสารสนเทศในอีกมิติหนึ่ง เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอน ที่จะตอบความต้องการของสังคมอย่างเป็นรูปธรรม

สอศ.ใช้สูตรสาธารณสุขคำนวณงาน ดูความต้องการครูจัดทำกรอบอัตรากำลัง

17 เมษายน 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการ การอาชีวศึกษา (เลขาธิการ กอศ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหากลุ่มครูอัตราจ้างและลูกจ้างชั่วคราว ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ซึ่งเรียกร้องขอให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงสถานภาพจากครูอัตราจ้างและลูกจ้างชั่วคราวเป็นข้าราชการและพนักงานราชการในสังกัด สอศ. ว่า ขณะนี้คณะทำงานซึ่งประกอบด้วยครูอัตราจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว และเจ้าหน้าที่ของ สอศ. กำลังเร่งพิจารณาเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาบุคลากรของ สอศ.จะใช้แนวทางเดียวกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) คือ วิเคราะห์ว่าแต่ละวิทยาลัยมีเนื้องานสอนเท่าไหร่ เนื้องานธุรการเท่าไหร่ แล้วคำนวณออกมาว่าต้องใช้ครูกี่คน สาขาใดบ้าง ธุรการกี่คน สาขาใดบ้าง จากนั้นจะนำมาจัดทำเป็นกรอบความต้องการของวิทยาลัย และกรอบความต้องการกำลังคนสายอาชีวศึกษาทั้งหมด แล้วนำมาหักลบกับอัตรากำลังที่มีอยู่ และนำกรอบความต้องการที่ยังขาดเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเห็นชอบกรอบอัตรากำลัง จากนั้นจะดำเนินการสรรหาคนเข้ากรอบอัตรากำลังที่ต้องการต่อไป

“กรอบอัตรากำลังที่ต้องการและยังขาดอยู่อาจจะพอดีที่มีอยู่ หรือน้อยกว่า หรือมากกว่าก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับเนื้องาน โดยขณะนี้ สอศ.มีครูอัตราจ้างประมาณ 8,000 คน และลูกจ้างชั่วคราวกว่า 11,000 คน รวมเกือบ 20,000 คน ซึ่งเราจะไม่ใช้วิธีการเสนอ ครม.เพื่อให้คนกลุ่มนี้มาลงตำแหน่งเลย แต่สิ่งหนึ่งที่คิดว่าจะทำคือ ให้โอกาสคนที่มีประสบการณ์เข้าแข่งขัน หรือได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ” เลขาธิการ กอศ.กล่าวและว่า คาดว่าจะเสนอกรอบอัตรากำลังต่อ ครม.ได้ก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 หรือกลางเดือน พ.ค.นี้ ตามที่ได้รับปากไว้กับกลุ่มครูอัตราจ้างและลูกจ้างชั่วคราวไว้

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32439&Key=hotnews

สกศ. จัดคาราวานเด็กไทยรักการอ่าน หลังงานหนังสือเด็กฯเสียงตอบรับล้นหลาม ดีเดย์ 19 เม.ย. นี้ ใน 12 จว.ทุกภูมิภาค

17 เมษายน 2556

ดร.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เปิดเผยว่า เนื่องจากวันที่ 2 เมษายนเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระผู้ทรงเป็นทั้งนักอ่านและนักเขียน รัฐบาลจึงได้กำหนดให้เป็นวันหนังสือเด็กแห่งชาติ เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีและส่งเสริมการอ่านของเด็กไทยโดยเฉพาะเด็กในช่วงปฐมวัย ซึ่งปีนี้จัดขึ้นเป็นปีแรกระหว่างวันที่ 1-2 เมษายน ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ โดยใช้ชื่องานว่า “เด็กดี เด็กฉลาด ตามรอยพระบาทรักการอ่าน” ภายในงานมีกิจกรรมเกี่ยวกับการส่งเสริมการอ่าน อาทิ เขียนไทย คัดไทย การอ่าน เล่านิทาน เต้น-เล่น-ร้อง แข่งขันตอบปัญหา มุมสุขภาพ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมในส่วนของครูเช่น การสอนเด็กปฐมวัย และการบรรยายเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจและนิทรรศการสมเด็จพระเทพฯ เกี่ยวกับการศึกษาของเด็กและเยาวชน ทำให้ผู้ปกครองและครูได้รู้วิธีการดูแลเด็กปฐมวัย เช่น การเล่นให้สนุกและได้ความรู้ด้วยต้องสอนอย่างไร การดูแลเด็กปฐมวัยเป็นอย่างไร นอกจากนี้ยังได้ทราบถึงพระกรณียกิจและพระเกียรติคุณของสมเด็จพระเทพฯ ด้านการศึกษา และพระปรีชาสามารถด้านอักษรศาสตร์ และทรงสนพระราชหฤทัยด้านการส่งเสริมการอ่านของเด็กและเยาวชนมาโดยตลอด โดยได้รับความสนใจจากเด็ก ผู้ปกครอง ครูและโรงเรียนของรัฐและเอกชนนำนักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมาก

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาเด็กและเยาวชนโดยเฉพาะเด็กปฐมวัยซึ่งเป็นวัยที่มีการพัฒนาในทุกด้านทั้งร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคมและคุณธรรม โดยส่งเสริมให้เด็กวัยแรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ 1 ทุกคนได้รับการพัฒนารอบด้านตามวัยอย่างมีคุณภาพและต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังได้จัดทำแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์ชาติด้านปฐมวัยเพื่อให้เกิดการปฏิบัติและขับเคลื่อนการพัฒนาเด็กปฐมวัยอย่างเป็นรูปธรรมโดยการดูแลคุณแม่ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ และสำหรับการพัฒนาเด็กปฐมวัยในเรื่องการส่งเสริมการอ่านจะทำให้เด็กปฐมวัยเติบโตเป็นเยาวชนที่สามารถคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหาได้ ทั้งยังเป็นการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม เป็นคนดีและคนเก่งของสังคมในอนาคต

ดร.ศศิธารากล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากกิจกรรมในวันที่ 1-2 ที่ผ่านมาแล้ว สกศ.ยังได้จัดคาราวานส่งเสริมเด็กไทยให้รักการอ่าน กระจายไปตามภูมิภาคต่างๆ รวม 12 จังหวัด ซึ่งแต่ละจังหวัดก็จะมีกิจกรรมส่งเสริมการอ่านให้เด็ก ผู้ปกครองและครูได้เข้าร่วม โดยช่วงเช้าจะเป็นกิจกรรมร้อง-เล่น อ่านหนังสือ กิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกาย เล่านิทาน ส่วนช่วงบ่ายจะเป็นกิจกรรมสำหรับครูและผู้ปกครอง เช่น เทคนิคการเล่านิทาน การจัดกิจกรรมอย่างไรให้เด็กสนุกและได้ความรู้ นอกจากนี้ยังมีหนังสือนิทาน หนังสือคัดไทยและคู่มือการเลี้ยงดูเด็กไปมอบให้ด้วย โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 19 เมษายนที่โรงแรมอัมรินทร์ลากูน จ.พิษณุโลก, 27 เมษายนโรงเรียนอนุบาลชลบุรี, 28 เมษายน โรงเรียนวังไกลกังวล หัวหิน, 4 พฤษภาคม โรงเรียนแม่สอด จ.ตาก, 11 พฤษภาคม วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่น, 18 พฤษภาคม ธารจินดา รีสอร์ท จ.มุกดาหาร,19 พฤษภาคม โรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี, 22 พฤษภาคม โรงเรียนเทศบาลพิบูลสวัสดี จ.ภูเก็ต, 25 พฤษภาคม โรงเรียนสาธิตมรภ.เชียงราย, 28 พฤษภาคม สำนักงานศึกษาธิการภาค จ.ยะลา, 29 พฤษภาคม โรงเรียนวรนารีเฉลิม จ.สงขลา และ 9 มิถุนายน โรงเรียนอนุบาลสตูล จ.สตูล

–มติชน ฉบับวันที่ 17 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32438&Key=hotnews

นัด 19 สถาบันอาชีวะถกแนวหลักสูตร

17 เมษายน 2556

ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (บอร์ด กอศ.) ซึ่งมีนายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล เป็นประธาน ได้พิจารณาหลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการของสถาบันการอาชีวศึกษา ซึ่งมี 35 วิทยาลัย ใน 8 สถาบัน เสนอขออนุมัติมา 17 หลักสูตร อาทิ เทคโนโลยีไฟฟ้า เทคโนโลยีแม่พิมพ์ เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีก่อสร้าง เทคโนโลยีการผลิตสัตว์ ช่างทองหลวง และการท่องเที่ยว เป็นต้น โดยทุกหลักสูตรผ่านการพิจารณามาจากสภาสถาบันการอาชีวศึกษาต่างๆแล้ว ซึ่งบอร์ด กอศ.ได้อภิปรายกันอย่างกว้างขวางและยังไม่อนุมัติหลักสูตรทั้งหมด แต่มอบให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ร่วมกับสถาบันการอาชีวศึกษา จัดทำข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาหลักสูตรให้ครบถ้วน

เลขาธิการ กอศ. กล่าวอีกว่า ข้อมูลที่บอร์ด กอศ.ต้องการเพิ่มเติม คือ วิเคราะห์ความสอดคล้องหลักสูตรกับมาตรฐานที่ กอศ.กำหนด รวมทั้งต้องชี้ให้เห็นว่าหลักสูตรมีความแตกต่างกับหลักสูตรในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) อย่างไร และแตกต่างกับหลักสูตรที่มหาวิทยาลัยอื่นๆจัดอยู่อย่างไร นอกจากนี้ มาตรฐานการจัดทวิภาคีต้องเป็นไปตามกฎกระทรวง ทั้งนี้ ให้นำเรื่องดังกล่าว เสนอบอร์ด กอศ.อีกครั้งวันที่ 2 พ.ค.นี้ อย่างไร
ก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย.นี้ สอศ.จะประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับสถาบันการอาชีวศึกษาทั้ง 19 สถาบันเพื่อวิเคราะห์หลักสูตรและจัดทำแนวปฏิบัติการนำหลักสูตรไปใช้ในปีการศึกษา 2556 ทั้งในส่วนของ 8 สถาบันที่เสนอหลักสูตรให้บอร์ด กอศ.พิจารณา และอีก 11 สถาบัน ที่ยังไม่ได้เสนอ ทั้งหมดจะแล้วเสร็จทันประชุมบอร์ด กอศ.วันที่ 2 พ.ค.นี้.

ที่มา: http://www.thairath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32437&Key=hotnews

‘เสริมศักดิ์’ จี้ อกคศ. คุ้ยลึกรายเขตพื้นที่เชื่อ ‘ครูผช.’ โกงจริง

17 เมษายน 2556

‘เสริมศักดิ์’ เร่งรัด อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่ฯ สืบสวนทุจริตครูผู้ช่วย สั่งคณะกรรมการ ศธ.สอบเจาะลึกรายเขตพื้นที่ เชื่อโกงสอบจริง อีสานเยอะสุด ปธ.สภาคณบดีครุศาสตร์ฯจี้ ศธ.ลงโทษคนผิด

เมื่อวันที่ 15 เมษายน นายเสริมศักดิ์ พงษ์ พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนกรณีการทุจริตครูผู้ช่วย ที่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงของกระทรวงศึกษาฯ ชุดที่นายพิษณุ ตุลสุข ผู้ตรวจราชการ ศธ.เป็นประธานลงไปสอบสวน รวมถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่วมสืบสวนสอบสวนด้วยว่า

หลังช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ ตนจะเร่งรัดให้คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่ การศึกษาทุกเขต ดำเนินการสืบสวนหาข้อเท็จจริงกรณีการทุจริตสอบครูผู้ช่วย และทยอยส่ง ผลการสอบข้อเท็จจริงมายังส่วนกลางให้เร็ว ที่สุด

“ขณะเดียวกันได้มอบให้คณะกรรมการสอบ สวนข้อเท็จจริงของ ศธ.ชุดที่นายพิษณุ เป็นประธาน ไปดำเนินการสอบสวน แบบเจาะลึก ลงรายละเอียดในแต่ละเขตพื้นที่การศึกษาด้วยซึ่งคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาที่จะลงไปสอบสวน แต่อาจจะมีปัญหาบ้างในบางเขตพื้นที่การศึกษาที่กรรมการ อ.ก.ค.ศ.เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตการสอบด้วย จึงอาจเป็นอุปสรรคกับการสอบสวนข้อเท็จจริง” นายเสริมศักดิ์กล่าว และว่า ส่วน กรณีที่ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) นครราชสีมาเขต 7 เชื่อว่าการสอบ ครูผู้ช่วยที่ผ่านมา ส่อไปในทางทุจริต และมีกรรมการคนหนึ่งออกมายอมรับว่า ได้รับข้อสอบกรรมการคนหนึ่งออกมายอมรับว่า ได้รับข้อสอบครูผู้ช่วยมาจากคนใน สพฐ. นั้นเชื่อว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ จะนำข้อมูลที่ได้ไปสืบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไป ส่วนที่ สพป.นครราชสีมา เขต 7 จะขอขยายเวลาสอบข้อเท็จจริงนั้นให้ทำเรื่องขอมายังส่วนกลาง คาดว่าจะสามารถขยายได้อีกประมาณ 15 วัน
“เชื่อว่าหลังสงกรานต์ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ต่างๆ น่าจะทยอยส่งข้อมูลการสอบสวนมา ยังส่วนกลาง เท่าที่ทราบส่วนใหญ่ค่อนข้าง ชัดเจนแล้วว่ามีกระบวนการที่ส่อไปในทางทุจริตจริง โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ทางภาคอีสาน แต่ยังไม่มีใครรายงานมาอย่างเป็นทางการ แต่เมื่อเปิดทำงานแล้วผมจะเร่งรัดเขตพื้นที่การศึกษาให้ส่งข้อมูลโดยเร็วที่สุด” นายเสริมศักดิ์ กล่าว

นายสุรวาท ทองบุ คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) มหาสารคาม ในฐานะประธานสภาคณบดีคณะครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ส.ค.ศ.ท.) กล่าวว่า การทุจริตสอบครูผู้ช่วยที่ผ่านมาอยากให้ ศธ.เร่งหา ตัวคนทุจริตมาลงโทษโดยเร็วเพราะไม่เช่นนั้นนักศึกษาที่เรียนสายครุศาสตร์ และศึกษาศาสตร์และตั้งใจสอบเข้ามาเป็นครูจะผิดหวังและหมดกำลังใจรวมถึงท้อแท้ และหมดศรัทธาและขาดความเชื่อมั่นในกระบวนการจัดสอบครูของ ศธ.โดยเฉพาะช่วงนี้ใกล้จะสอบครูผู้ช่วยกรณี ทั่วไปแล้ว ดังนั้นตนเห็นว่าควรจะทำให้เรื่องดังกล่าวคลี่คลายโดยเร็ว ขณะเดียวกันหากปล่อยให้คนที่ทุจริตการสอบเข้าไปเป็นครูในระบบแล้ว จะส่งผลกระทบกับคุณภาพการศึกษาในอนาคต เพราะจะได้คนไม่เก่ง แถมยังไม่มีคุณธรรมไปเป็นครู

“เมื่อแน่ใจว่ากระบวนการจัดสอบมีการทุจริตจริง ผมคิดว่า ศธ.ในฐานะที่กำกับดูแลภาพรวมทั้งหมด น่าจะสามารถสั่งยกเลิกการสอบทั้งหมดได้ แต่วิธีการที่จะแก้ปัญหาได้ดีที่สุดคือ เปลี่ยน รูปแบบการรับครูจากการสอบมาเป็นผ่านโครงการครูมืออาชีพแทนเพราะถือว่าครูที่ผ่านการเรียนตามโครงการดังกล่าวจะได้ผ่านกระบวนการ บ่มเพาะที่ดีแล้ว” ประธาน ส.ค.ศ.ท.กล่าว

–มติชน ฉบับวันที่ 17 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32436&Key=hotnews

คอลัมน์: ข้าราษฎร: มาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณครู ฉบับใหม่วุฒิผู้บริหารฯต้องไม่ต่ำกว่า ป.โท (2)

17 เมษายน 2556

ว่าเรื่องการแก้ไขปรับปรุงข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพ ฉบับเดิมเพื่อออกเป็นฉบับใหม่ต่อจากเมื่อวาน

มาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษาและบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามข้อบังคับคุรุสภาฉบับเดิมที่ใช้อยู่ขณะนี้มีสาระอย่างไร คงหาได้ไม่ยากจากประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่ม 122 ตอนพิเศษ 76 ง. วันที่ 5 กันยายน 2548
ร่างข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วย มาตรฐานวิชาชีพฉบับใหม่ บัญญัติให้ผู้ประกอบวิชาชีพครู ต้องมีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางการศึกษาหรือเทียบเท่า หรือมีคุณวุฒิอื่นที่คุรุสภารับรอง (คงเดิม) โดยมีมาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ ดัง ต่อไปนี้
มาตรฐานความรู้ ประกอบด้วย บูรณาการของความรู้และสมรรถนะไม่น้อยกว่าหัวข้อต่อไปนี้ (1) ความรู้วิชาชีพครู 1.1 ความเป็นครู 1.2 ปรัชญาการศึกษา 1.3 ภาษาและวัฒนธรรม 1.4 จิตวิทยาสำหรับครู 1.5 หลักสูตร 1.6 การจัดการเรียนรู้และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ 1.7 การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ 1.8 นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา 1.9 การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ 1.10 การประกันคุณภาพการศึกษา 1.11 คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณ
(2) ความรู้วิชาเอกผู้ประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา ต้องมีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาโททางการบริหารการศึกษาหรือเทียบเท่า (ข้อบังคับเดิมไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี) หรือมีคุณวุฒิอื่นที่คุรุสภารับรอง โดยมีมาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ ดังต่อไปนี้

มาตรฐานความรู้ ไม่น้อยกว่าหัวข้อต่อไปนี้ 1 การพัฒนาวิชาชีพ 2 ความเป็นผู้บริหาร 3 การบริหารสถานศึกษา 4 หลักสูตร การสอน การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 5 กิจการและกิจกรรมนักเรียน 6 การประกันคุณภาพการศึกษา 7 คุณธรรม จริยธรรมและ จรรยาบรรณ

มาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพ ยังคงเดิม คือ มีประสบการณ์สอนมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี หรือมีประสบการณ์การสอนและต้องมีประสบการณ์ในตำแหน่งหัวหน้าหมวด หรือหัวหน้าสาย หรือหัวหน้างาน หรือตำแหน่งบริหารอื่นๆ ในสถานศึกษามาแล้วไม่น้อยกว่าสองปี (ต่อพรุ่งนี้)

–มติชน ฉบับวันที่ 17 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32435&Key=hotnews

ครูเบี้ยวหนี้เงินทุนหมุนเวียนฯพุ่ง ก.ค.ศ. เผยฟ้องร้อง4-5พันรายเล็งเสนอศธ.ใช้สิทธิหักเงินเดือน

17 เมษายน 2556

นางสุพร คมขำ ผู้อำนวยการภารกิจกองทุนและสวัสดิการทางการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยถึงการดำเนินการโครงการเงินทุนหมุนเวียนแก้ไขปัญหาหนี้สินครู สำนักงาน ก.ค.ศ. ว่าโครงการนี้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2540 จนปัจจุบันมีเงินทุนอยู่ประมาณ 1,200 ล้านบาท และมีข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาจำนวนมากได้มาขอกู้เพื่อนำเงินไปแก้ไขหนี้สินครู แต่ในปัจจุบันมีแหล่งเงินกู้ให้กับข้าราชการครูฯ หลายแห่งและมีการปล่อยเงินกู้กันจำนวนมาก เช่น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) สหกรณ์ออมทรัพย์ครู และธนาคารต่างๆ เป็นต้น โดยข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาบางส่วนอาจจะไปกู้เงินจากหลายๆ แหล่งหรือบางส่วนอาจจะกู้ทุกแหล่งที่ปล่อยกู้ ซึ่งในส่วนของโครงการเงินทุนหมุนเวียนแก้ไขปัญหาหนี้สินครูจะปล่อยให้กู้ไม่มาก สูงสุดประมาณ 2 แสนบาทต่อราย เพื่อนำไปใช้หนี้ให้กับข้าราชการครูฯที่ไปกู้มาจากแหล่งที่อัตราดอกเบี้ยสูง

ผอ.ภารกิจกองทุนฯกล่าวต่อว่า ขณะนี้ได้เกิดปัญหาขึ้นเมื่อข้าราชการครูฯต้องนำเงินไปใช้หนี้ที่กู้จากแหล่งต่างๆ ทำให้ไม่มีเงินมาใช้หนี้โครงการเงินทุนหมุนเวียนฯ จนทำให้ต้องมีการฟ้องร้องเพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้มีการชำระหนี้ โดยปัจจุบันมีข้าราชการครูฯที่ได้กู้เงินไปและถูกฟ้องร้องประมาณ 4,000-5,000 ราย วงเงินรวมอาจจะไม่มากและอยู่ในหลักไม่ถึงร้อยล้านบาท เนื่องจากวงเงินที่ให้กู้ไม่มากนักและบางส่วนที่จะกู้เป็นเงินฉุกเฉินประมาณ 1-2 หมื่นบาท อย่างไรก็ตาม สำหรับข้าราชการครูฯที่ถูกฟ้องก็เห็นใจเพราะบางคนก็ไม่มีเงินที่จะจ่ายจริงๆ ทำให้ต้องกลายเป็นบุคคลล้มละลาย

“แนวโน้มของข้าราชการครูฯที่จะถูกฟ้องร้องเพราะไม่มีเงินมาจ่ายเงินค่างวดในแต่ละเดือนมีจำนวนสูงขึ้นทุกปี ซึ่งคนกลุ่มนี้จะถูกหักเงินเพื่อใช้หนี้ส่วนอื่นๆ เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์และส่วนอื่นๆ ก่อน จนไม่เหลือเงินมาจ่ายให้กับเงินทุนหมุนเวียนฯ ซึ่งจากปัญหาตรงนี้จะต้องนำเสนอผู้บริหาร ก.ค.ศ.และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เพื่อให้สิทธิโครงการเงินทุนหมุนเวียนฯ ในการหักเงินเดือนจากข้าราชการครูฯที่กู้ ด้วยการใช้สิทธิของโครงการเงินทุนหมุนเวียนฯที่เป็นเงินนอกงบประมาณของราชการ ฉะนั้น จะต้องสามารถหักเงินดังกล่าวเพื่อให้มีการใช้หนี้” นางสุพรกล่าว และว่า สำหรับการปล่อยกู้รอบใหม่ปี 2556 ยังอยู่ระหว่างการสำรวจความต้องการและคาดว่าจะปล่อยกู้ได้ภายในปีนี้และวงเงินให้กู้ยังเท่าเดิมที่ 200,000 บาท

แหล่งข่าวจาก ก.ค.ศ.กล่าวว่า แม้ปัจจุบัน ศธ.จะได้ออกระเบียบว่าข้าราชการครูฯที่จะไปกู้เงินและจะต้องถูกหักเงินเดือนจะต้องมีเงินเดือนเหลือไม่น้อยกว่า 30% แต่มีข้าราชการครูฯจำนวนหนึ่งที่เงินเดือนเหลือน้อยกว่าที่กำหนดไว้แต่ยังสามารถกู้เงินได้เพราะมีการไปตบแต่งบัญชีให้มีเงินเหลือจำนวนมาก จนทำให้เกิดปัญหาไม่มีเงินที่จะไปจ่ายหนี้ส่วนต่างๆ ได้

–มติชน ฉบับวันที่ 17 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32434&Key=hotnews

แจกฮาร์ดดิสก์ (Harddisk) นักเรียนเอกชน

elearning harddisk
elearning harddisk

17 เมษายน 2556 นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) กำหนดให้ปีนี้เป็น ปีแห่งการเพิ่มคุณภาพการศึกษาเอกชน มีเป้าหมายให้ร.ร.ให้ความสำคัญกับการพัฒนานักเรียน ให้มีกระบวนการคิดอย่างถูกต้องและสร้างสรรค์ โดยนำนวัตกรรมการสอนที่เหมาะสมมาปรับใช้ ส่งเสริมทักษะการใช้ชีวิต ให้คิดวิเคราะห์เป็น พัฒนาอย่างรวดเร็ว เช่น ต่อไปนักเรียนป.3 ต้องอ่านคล่อง เขียนคล่อง ป.4 ต้องสื่อสารภาษาอังกฤษได้ เป็นต้น โดย ร.ร.ต้องลดเวลาเรียนลง เพื่อให้เด็กทำกิจกรรมมากขึ้น ส่วน ร.ร.นานาชาติ ต้องผ่านการรับรองมาตรฐานสากล ร.ร.นอกระบบ ต้องผ่านการประกันคุณภาพภายในอย่างน้อย 1,500 โรง

“สช.มีมาตรการส่งเสริมการเรียนรู้ เพิ่มคุณภาพการศึกษาโดยรูปแบบหนึ่งคือ การแจกฮาร์ดดิสก์ (Harddisk) ที่มีข้อมูลการเรียนรู้แบบอีเลิร์นนิ่ง (e-Learning) 5 วิชาหลัก คือ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และสังคมศึกษา ระดับป.3-ป.6 และม.1-ม.3 ให้นำกลับไปฝึกทำที่บ้าน ใช้เป็นสื่อการสอนของครู ซึ่งจะช่วยให้ผู้ปกครองเชื่อมั่นในคุณภาพการเรียนการสอนของร.ร.เอกชน ว่าบุตรหลานจะได้รับการศึกษามีคุณภาพ จะเริ่มใช้ในปีการศึกษา 2556 นี้” เลขาธิการ สช. กล่าว

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 17 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32433&Key=hotnews