หนุนพัฒนาสุขาภิบาล ร.ร.

26 มีนาคม 2556

นายเสมอ สร้อยคำ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านเตย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) อุบลราชธานี เขต 5 ในฐานะคณะทำงานวางแผนการดำเนินงานกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา เปิดเผยว่า จากการที่ได้มีการดำเนินกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันฯ จนถึงปัจจุบันมีเงินกองทุนเกือบ 2,000 ล้านบาท และในปีนี้เป็นปีแรกที่จะมีโครงการเสริม คือ การพัฒนาระบบสุขาภิบาลในโรงเรียน ตั้งงบฯไว้ 40 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือโรงเรียนในชนบทที่ยังขาดวัสดุอุปกรณ์เครื่องครัว ตลอดจนโรงอาหารที่ยังไม่อยู่ในระบบสุขาภิบาลที่ดีพอ เพราะเราเชื่อว่าเมื่อสามารถส่งเสริมให้โรงเรียนผลิตอาหารได้เองแล้ว แต่ถ้าไม่มีอุปกรณ์ ไม่มีบ่อบำบัดน้ำเสีย ไม่มีถาดหลุม ไม่มีอ่างล้างมือ และเครื่องครัวที่ดี ไม่มีระบบสุขาภิบาลที่ดี มีแต่อาคารโทรม ๆ เก่า ๆ คุณภาพอาหารที่ดีก็คงไม่เกิดขึ้นได้ ทางกองทุนฯ จึงได้ตั้งงบฯ เพื่อให้โรงเรียนนำไปดำเนินการปรับปรุงเรื่องดังกล่าว โดยโรงเรียนสามารถทำเรื่องขอรับเงินอุดหนุนในส่วนนี้ได้ที่ สพป.ที่โรงเรียนสังกัดอยู่ จากนั้น สพป.ต่าง ๆ จะเรียงลำดับความจำเป็นของแต่ละโรงเรียน และส่งข้อมูลมาที่คณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาจัดสรรงบฯ ให้ไปดำเนินการต่อไป.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 27 มี.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32239&Key=hotnews

 

สจล.แนะยกเครื่องสภาวิชาชีพ แนะอายุ 60 ปีห้ามนั่งกรรมการ-ชี้คิดไม่ทันเด็ก

26 มีนาคม 2556

อธิการบดี สจล.แนะยกเครื่องสภาวิชาชีพชี้เอาคนอายุ 60 ปี มานั่งกรรมการ คิดไม่ทันเด็กรุ่นใหม่ ส่งผลมหาวิทยาลัยปรับหลักสูตร ให้ทันสมัยสอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชนเป็นไปได้ยาก เหตุติดกฎของสภาพวิชาชีพ เผยต้องใช้มาตรการบังคับ เชื่อมโยงโบนัสกระตุ้นอาจารย์ทำงานวิจัย

ศ.ดร.ถวิล พึ่งมา อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยี พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เปิดเผยว่า ตลอด 6 เดือนที่ดำรงตำแหน่อธิการบดี พยายามส่งเสริมการดำเนินงานเพื่อพัฒนางานวิจัยที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อันนำไปสู่การพัฒนาแก้ไขปัญหาให้แก่ประเทศไทย และเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย ของมหาวิทยาลัยที่ตั้งไว้ว่าจะเป็นเบอร์หนึ่งของ งานวิจัย ผลักดันให้มีงานวิจัยประมาณ 1,000 ชิ้นต่อปี

“ผมได้มีการวางแนวทางในการดำเนินงานจัดสรรงบประมาณด้านวิจัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 ของงบรายได้ของสถาบัน แบ่งเป็น 100 ล้านบาทต่อปี มีการจัดตั้งกองทุนวิจัย จัดตั้งคลินิก วิจัย และมีมาตรการในการสร้างแรงจูงใจให้อาจารย์หันมาทำงานวิจัยเพิ่มมากขึ้น เช่น ผลงานวิจัยของอาจารย์ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารก็จะได้ผลตอบแทน 5,000 บาท ต่อชิ้น แต่อาจารย์ที่สนใจทำงานวิจัยก็ยังมีจำนวนน้อยมากเพราะต้องยอมรับว่า อาจารย์มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่บังคับยาก จูงใจยาก บางคนไม่อยากทำก็คือไม่อยากทำ ทางสถาบันจึงได้เพิ่มมาตรการบังคับให้อาจารย์ทุกคนต้องทำงานวิจัย 20 % ของการทำงาน หากอาจารย์ไม่ทำก็จะไม่ได้โบนัส ทำให้ขณะนี้มีงานวิจัยเพิ่มขึ้นมาอีก 10% คาดว่าจะสรุปในเดือนตุลาคม 2556 นี้ ว่ามีงานวิจัยเพิ่มขึ้นจำนวนกี่ชิ้น” ศ.ดร.ถวิล กล่าว

ศ.ดร.ถวิล กล่าวต่อว่า สิ่งที่อยากทำมากที่สุดในขณะนี้ คืออยากขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบุคคลในสังคมเข้ามาช่วยยกเครื่องสภาวิชาชีพใหม่ โดยเฉพาะการคัดเลือก สรรหาคณะกรรมการการสภาวิชาชีพต่าง ๆ เช่น วิศวกรรมศาสตร์สถาปัตยกรรมศาสตร์ ครุศาสตร์ ที่ควรจะเปิดโอกาสให้คนหนุ่มรุ่นใหม่ ไฟแรง มีประสบการณ์ใหม่ ๆ และมาจากหน่วยงานที่หลากหลายเข้ามานั่งตำแหน่งกรรมการสภาวิชาชีพบ้าง

“ไม่ใช่เอาคนอายุ 60 ปีขึ้นไป เกษียณอายุ ตกงานมาทำงาน เพราะต่อให้พวกเขาเก่งมีประสบการณ์ ความรู้ดี แต่พวกเขามักไม่รับฟังคนรุ่นใหม่ ยึดติดความคิดเก่า ๆ ดูแต่เรื่อง วิสัยทัศน์ คิดไม่ทันเด็กรุ่นใหม่ และกระแสโลกอีกทั้งการไม่เปลี่ยนแปลงเหล่าสภาวิชาชีพ จะส่งผลทำให้การพัฒนาหลักสูตรให้ทันสมัยแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ และสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้บัณฑิตเป็นไปได้ยาก เนื่องจากหลักสูตรถูกควบคุมโดยสภาวิชาชีพ ทั้งที่จริง ๆ หลักสูตรในแต่ละสถาบันอุมดมศึกษาควรมีความแตกต่างกัน ไม่ควรเหมือนกันทั้งประเทศไทย หรือใกล้เคียงกันทั้งประเทศไทยอย่างตอนนี้ ” อธิการบดี สจล.กลาวในที่สุด

–คมชัดลึก ฉบับวันที่ 26 มี.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32238&Key=hotnews

สอศ.จัดชุมนุมลูกเสืออาเซียน

26 มีนาคม 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จัดงานชุมนุมลูกเสือ เนตรนารีวิสามัญ อาชีวศึกษา ระดับชาติ ครั้งที่ 17 วันที่ 23-29 มี.ค.นี้ ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งมีลูกเสือในกลุ่มประเทศอาเซียน ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และกัมพูชา เข้าร่วมเพื่อสร้างความสัมพันธ์เครือข่ายลูกเสือกลุ่มอาเซียน เปิดโลกทัศน์ วิสัยทัศน์ของนักเรียน นักศึกษา และเป็นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่อาเซียน เปิดโอกาสให้ลูกเสือ เนตรนารีวิสามัญ มีโอกาสใช้ชีวิตและการทำกิจกรรมร่วมกัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ตามแนวทางของลูกเสือ การแสดงความรู้ ความสามารถ ทักษะทางลูกเสือ และศักยภาพทางด้านคุณธรรม จริยธรรม โดยมีลูกเสือ เนตรนารีวิสามัญอาชีวะ และผู้ที่เกี่ยวข้อง กว่า 4,000 คน และลูกเสือ เนตรนารีจากประเทศกลุ่มอาเซียน 50 คน เข้าร่วม
เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อว่า ภายในค่ายจะจัดตามธรรมเนียมลูกเสือวิสามัญเน้นใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่น เพื่อแสดงถึงความมีวินัยในตนเอง เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเชิงสร้างสรรค์ แบ่งเป็น 7 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมชาวค่าย กิจกรรมหลัก กิจกรรมวิชาการลูกเสือ ทักษะชีวิต แข่งทักษะลูกเสือ นันทนาการ และกิจกรรมยามว่าง ซึ่งจะทำให้นักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษา ได้ฝึกทักษะและประสบการณ์ชีวิต รู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น สามารถก้าวสู่เส้นทางอาชีพได้ทันที

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 27 มี.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32236&Key=hotnews

อธิการฯ มสด.แนะทางรอด พนง. มหา’ลัย

26 มีนาคม 2556

รศ.ดร.ศิโรจน์ ผลพันธิน อธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (มสด.) กล่าวในการมอบนโยบายการประเมินผลการปฏิบัติราชการของบุคลากรในมหาวิทยาลัยฯ ว่า มสด. ได้มีการกำหนดรูปแบบการประเมินบุคลากรเจ้าหน้าที่ประจำตามสัญญาจ้างไว้จัดเจนตามสมรรถนะการปฏิบัติ 9 ข้อ แบ่งตามสมรรถนะหลัก 6 ข้อ อาทิ ความเป็นสวนดุสิต, ความมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จที่เป็นเลิศ, การสั่งสมความเชี่ยวชาญในวิชาชีพ, การสร้างเครือข่ายพันธมิตร, การดำรงตนอยู่ในวินัย คุณธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ, ความเข้าใจมหาวิทยาลัย และสมรรถนะเฉพาะอีก 3 ข้อ อาทิ ความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติงาน, การพัฒนานวัตกรรมจากฐานความรู้ และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการปฏิบัติงาน ทั้งนี้เพื่อสร้างความเข้าใจต่อองค์กรและให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยมีหัวหน้าหน่วยงานเป็นผู้ประเมิน 2 ครั้งต่อปี เพื่อนำผลประเมินมาเป็นเกณฑ์พิจารณาต่อสัญญาจ้างหรือเพิ่มเงินเดือน “ขณะนี้เราพยายามผลักดันให้ราชภัฏสวนดุสิตสู่การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ เพื่อที่จะขออัตราส่วนการเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยฯ เพิ่ม ดังนั้นบุคลากรตามอัตราจ้างควรจัดทำแฟ้มสะสมงาน (Portfolio) เพื่อไว้รองรับการประเมินที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้จะต้องแสดงศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ อธิการบดี มสด. กล่าว

–มติชน ฉบับวันที่ 27 มี.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32235&Key=hotnews

พ่อพิมพ์-แม่พิมพ์ อย่าเพิ่งท้อใจ ! ..เพียงแค่เกิดการ’ทุจริตสอบครู’

26 มีนาคม 2556

ดร.พิษณุ ตุลสุข หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ถือเป็นเรื่องดังฉาวโฉ่ไปทั่วประเทศและชาวโลก เมื่อเกิดการทุจริตในการสอบคัดเลือกครูผู้ช่วยของประเทศไทย เป็นข่าวใหญ่และเป็นที่ติดตามความคืบหน้าในการตามจับตัวขบวนการผู้ทุจริตให้ปรากฏ และบางกระแสยังบอกว่างานนี้อาจเป็น ‘มวยล้ม ต้มคนดู”ระหว่างที่ พนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นำโดย นายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ ผอ.ศูนย์ป้องกันและปราบปรามทุจริต ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวนฯ กำลังเดินหน้าสืบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทุจริตการสอบคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่ง ครูผู้ช่วยกรณีมีความจำเป็น หรือเหตุพิเศษ ว.12 ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งมีการจัดสอบไปเมื่อวันที่ 13 ม.ค. 56 ที่ผ่านมา

โดยผลการสืบสวนข้อเท็จจริงเบื้องต้นของดีเอสไอตรงกับผลสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกระทรวงศึกษาธิการทั้ง 4 เขตพื้นที่การศึกษา คือ สรุปรายงานชี้ชัดว่าการทุจริตมีบุคคล 3 ส่วนเกี่ยวข้องทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และผู้เข้าสอบ โดยข้อพิรุธการทุจริตมากถึง 9 ข้อสำคัญ
นับเป็นโอกาสดีในช่วงที่กำลังรอผลว่าทางดีเอสไอกำลังพิจารณาว่าจะรับทำเป็นคดีพิเศษหรือไม่นั้น? ทีมข่าวเดลินิวส์ มีโอกาสได้รับเกียรติจากทาง ดร.พิษณุ ตุลสุข หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ และในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าว ได้เขียนบทความพิเศษผ่านทางเดลินิวส์ เพื่อให้กำลังใจกับวงการพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ เรื่อง “อย่าสิ้นหวังครูดี เพียงเพราะมีการทุจริตสอบครู”
ดร.พิษณุ เปิดใจว่าถึงแม้ขบวนการทุจริตจะยิ่งใหญ่อย่างไร มีความร่วมมือโกงจากใครเป็นผู้ใหญ่ระดับไหนในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เชื่อว่าผลจากการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของกระทรวงศึกษาธิการ ที่แต่งตั้งโดย นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ คงจะสาวไปถึงแน่นอน
คำถามของสังคมก็คือ ทำไมคนที่อยากเป็นครูจึงร่วมขบวนการทุจริตถึงจำนวน 400-500 คน คนที่จะไปเป็นครูแต่ยอมทุจริตเพื่อเป็นครู จึงเป็นคำถามว่า ถ้าจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน คนเหล่านี้ได้เข้าไปรับราชการเป็นครูจริง ๆ เขาจะสอนลูกศิษย์อย่างไร เพราะเมื่อต้นธารแห่งความดีได้แม่พิมพ์ที่ไม่ดีตั้งแต่ต้น อนาคตของลูกหลานอนาคตของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร หรือจะเป็นสังคมอุดมด้วยคนโกง
รัฐบาลที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในนโยบายข้อ 1.3 ไว้อย่างชัดเจนว่าจะป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจัง
ดังนั้นวันนี้จึงจำเป็นต้องรักษานโยบายที่จะธำรงไว้ซึ่งการสร้างแม่พิมพ์ที่ดีของประเทศชาติ!
แต่เป็นที่น่าแปลกใจตรงที่ ขบวนการทุจริตครั้งนี้ ทั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของกระทรวงศึกษาธิการและกรมสอบสวนคดีพิเศษ ต่างฟันธงว่ามีการร่วมกันทุจริตจากผู้บริหารในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในรั้ววังจันทรเกษมด้วย ยิ่งทำให้เป็นความคลางแคลงใจสงสัยต่อไปว่า ถ้าผู้คุมบังเหียนการจัดการศึกษาในรั้วเสมาเป็นอย่างนี้แล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาในระดับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและระดับโรงเรียนจะเป็นอย่างไร คิดไปแล้วก็วังเวง?
ความหดหู่หัวใจคนไม่เกิดเฉพาะแต่คนในสังคมหรือสาธารณชน แต่คนในวงการศึกษาเองก็หดหู่ว่าเกิดอะไรขึ้นในยุคสมัยอย่างนี้ วิชาชีพครูที่ออกกฎหมายมารองรับเป็นวิชาชีพควบคุม ใครจะเป็นครูต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูจึงจะเป็นครูได้ เป็นวิชาชีพชั้นสูงมีค่าตอบแทนสูง เด็กจบจากมัธยมศึกษาตอนปลายต่างมุ่งหน้าและใฝ่ฝันจะเป็นครู โดยมียอดการสมัครเข้าคณะครุศาสตร์หรือศึกษาศาสตร์สูงกว่าคณะอื่น ๆ ในทุกมหาวิทยาลัยในประเทศไทย และเป็นเด็กเก่ง เด็กดีที่อยากเป็นครู เป็นอนาคตของอนาคตประเทศไทยในการที่จะสร้างผลผลิต คือ ประชากรในอนาคตของประเทศให้มีคุณภาพ คุณธรรมและเป็นคุณค่าสำคัญ เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ทรงคุณค่าของประเทศ
เมื่อเป็นข่าวฉาวโฉ่ เป็นวิกฤติที่ต้องยอมรับว่าได้เกิดขึ้นจริงในวงการศึกษาของประเทศ ควรใช้วิกฤตินี้เป็นโอกาสในการที่จะปฏิวัติระบบการสอบบรรจุครู โดยตั้งคำถามแบบนอกกรอบว่า ทำไม ‘นักเรียนนายร้อย” ไม่ต้องไปสอบบรรจุเป็น ‘นายทหาร” เป็น ‘นายตำรวจ” แต่ทำไมเป็นบัณฑิตที่จบครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ เป็นบัณฑิตครูแล้วต้องไปสอบแข่งขันเพื่อบรรจุเป็นครู ปีหนึ่ง ๆ สมัครกันประมาณ 1 แสนคน
มีความเห็นว่าน่าจะมีวิธีคิดใหม่ที่ควรคัดเด็กดี เด็กเก่งและมีศรัทธาต่อวิชาชีพครู ปรารถนาที่จะเป็นครู ที่เราคัดเลือก”สุดยอด”เด็กมัธยมศึกษาตอนปลายเหล่านี้จากทุกเขตพื้นที่ในประเทศไทย นำมาเรียนในสถาบันผลิตครูที่เป็นมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่เปิดสอนคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ทั่วประเทศ แต่ให้เลือกว่าสถาบันนี้จะผลิตครูวิชาเอกอะไร ไม่ใช่ผลิตเก่งไปทุกวิชาเอก เลือกวิชาเอกที่เป็นหนึ่งของสถาบันนั้นไม่เกิน 3 วิชาเอก
ลองคิดดูได้ว่าถ้า ตัวป้อน ที่คัดเด็กดี เด็กเก่ง มาเรียนครูในสถาบันผู้ผลิต ที่มีคุณภาพเยี่ยม และมีกติกากำกับต้องเรียนไม่ต่ำกว่าเกรด 3.00 ถ้าต่ำกว่านี้ก็หลุดไปจากโอกาสที่จะเป็นครูตามแนวคิดนี้ ถ้า ตัวป้อน ดีกระบวนการผลิตดี โดย ทฤษฎีระบบ ก็ยืนยันว่า ผลผลิต จะต้องดี ดังนั้นหากใช้ระบบนี้เราก็จะมีครูในอนาคตที่ดี และสามารถส่งครูดีเหล่านี้กลับไปบรรจุและแต่งตั้งเป็นครูที่ภูมิลำเนาหรือจังหวัดหรือเขตพื้นที่ ของตนเอง
หากเป็นเช่นนี้ กระทรวงศึกษาธิการก็ไม่ต้องมีนโยบายครูคืนถิ่นหลอก ๆ และไม่เป็นธรรมเพื่อสร้างภาพอีก เพราะผลผลิต คือ บัณฑิตครูได้คืนถิ่นตั้งแต่วันบรรจุใหม่แล้ว และที่สำคัญคือไม่ต้องมีการสอบแข่งขันสอบคัดเลือกให้ขบวนการทุจริตจ้องหาประโยชน์และสร้างความอื้อฉาวทำลายสังคมครูอีก
โครงการ ครูมืออาชีพ ของรัฐบาลเป็นทางออกที่สามารถทำได้ โดยหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกที่ ก.ค.ศ. (คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา) สามารถกำหนดได้ ตามมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และ หน่วยงานผู้ใช้ที่ใหญ่ที่สุด คือ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่นับจากปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นไป จะมีข้าราชการครูเกษียณอายุราชการกว่า 20,000 คน จนถึง ปี พ.ศ.2562 จะมีข้าราชการครูเกษียณอายุราชการถึง 26,000 กว่าคนและยังไม่นับรวมครู ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและ กศน.
หากมีกระบวนการวางแผนที่ดี ว่าเขตพื้นที่การศึกษาใดต้องการครูวิชาเอกอะไร เท่าไรใน 5 ปีข้างหน้า โดยทำแผนเป็น 10 ปี อัตราเกษียณอายุราชการเท่าไรจะบรรจุย้อนกลับไปเท่าไร ก็เสนอให้สถาบันผู้ผลิต ผลิตครูวิชาเอกนั้น จากเด็กมัธยมศึกษาตอนปลายที่มาจากเขตพื้นที่เหล่านั้น ตามหลักเศรษฐศาสตร์ ดีมานด์-ซัพพลาย การผลิตก็จะพอดีกับความต้องการใช้ได้ครูที่ดี มีกระบวนการผลิตอย่างมีคุณภาพ เราก็จะได้ครูดีโดยไม่ต้องมีการสอบบรรจุและแข่งขันไม่ต้องกังวลและต่อสู้กับขบวนการทุจริตที่มีหลากหลายรูปแบบและพัฒนาวิธีโกง ที่แนบเนียนมากขึ้น เหมือนที่เป็นอยู่ในวันนี้
คำถามสุดท้ายว่าทำได้ไหม? ผมตอบว่าทำได้ เพราะผู้บริหารระดับเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารโรงเรียนรออยู่แล้ว ทุกคนต้องการแนวทางและการปฏิบัติที่ดีงาม มุ่งสู่จุดหมายเดียวกัน คือ สร้างเยาวชนสู่อนาคตด้วยเอกลักษณ์ของชาติ จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ยึดหลักศาสนาและรักษาอุดมการณ์และเอกลักษณ์ของประเทศไทย ที่สำคัญคือ นโยบายที่ชัดเจนของรัฐบาล ที่นายกรัฐมนตรีได้กำชับมา ที่กระทรวงศึกษาธิการโดยตลอดว่า ให้อยู่ในหลักการและความชอบธรรม
ดังนั้นจึงต้องขอย้อนกลับไปยังคำถามว่า สิ่งที่ผมทำไม่ใช่ทำเพราะแก้แค้น ล้างแค้น แต่ทำตามนโยบายรัฐบาลและรักองค์กร ใครมาทำให้องค์กรและวิชาชีพครูเสื่อม ผมรับไม่ได้!!
ที่กล่าวมาทั้งหมดจะให้ทำไหม ใครทำ และไม่ต้องมากล่าวหาผมอีกว่าเลื่อยขาเก้าอี้ใคร ใครที่ทำได้ก็มาทำผมรับได้ แต่ขอทำความเข้าใจว่าผมคือครู และหัวใจผมอยู่ที่ครู อยากได้ครูที่มีจิตวิญญาณของความเป็นครู ผมเกิดจากครู เติบโตจากครู ครูคือจิตวิญญาณของผม .

“จักอุทิศชีวิตนี้เพื่อมวลครู
แม้ตนกูจะตายไปสักพันหน
วิญญาณจักเกิดใหม่ในบัดดล
อุทิศตนเพื่อมวลครูอยู่ต่อไป”
ดร.พิษณุ ตุลสุข

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 27 มี.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32234&Key=hotnews

‘ที่ปรึกษา รมว.ศธ.’รับลูก’ธาริต’ เห็นชอบเพิกถอนทุจริตสอบครู

26 มีนาคม 2556

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษในวันที่ 27 มี.ค.56 จะมีการเสนอกรณีการทุจริตสอบครูผู้ช่วยให้รับเข้าเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากเป็นการสร้างความเสียหายให้กับวงการการศึกษาไทยอย่างมาก และจากการตรวจสอบพบว่ามีการทุจริตที่ทำกันเป็นขบวนการใหญ่ โดยมีทั้งภาครัฐ เอกชน ข้าราชการส่วนกลาง และผู้เข้าสอบเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยมีวิธีการโกงข้อสอบด้วยกันทั้งหมด 3 รูปแบบ จึงเห็นควรต้องใช้อำนาจของดีเอสไอเข้ามาตรวจสอบ

ซึ่งทางดีเอสไอจะเร่งตรวจสอบเพื่อพิสูจน์ความผิดของผู้กระทำความผิด โดยจะมีการตรวจสอบกลุ่มเป้าหมายที่เข้าข่ายได้คะแนนสอบสูงผิดปกติกว่า 480 คน พร้อมทั้งจะมีการยื่นข้อเสนอให้กับกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาเพิกถอนผู้ทุจริตข้อสอบ ต่อไป

ด้านศาสตราจารย์ ดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง ที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า กรณีนายเสริมศักดิ์ พงษ์พาณิชย์ รมช.ศึกษาธิการจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องนี้นั้น ซึ่งหากมีการอ้างชื่อว่าเกี่ยวข้องกับผู้บริหารคนใดต้องทำการย้าย เพื่อไปช่วยราชการที่อื่นก่อน ซึ่งไม่ใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการสั่งย้าย เพื่อให้กระบวนการสอบสวนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนครูผู้ช่วยที่ดีเอสไอเห็นสมควรให้เพิกถอนผู้ทุจริตข้อสอบนั้น เพื่อความสุจริต โปร่งใส จึงเห็นควรให้ออกตามที่ดีเอสไอเสนอ และต้องรีบดำเนินการหาครูมาบรรจุแทน เพราะขณะนี้มีโรงเรียนอีกหลายพันแห่งที่มีครูคนเดียว แต่ต้องสอนนักเรียนทั้งโรงเรียน

ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32232&Key=hotnews

สทศ.ฟุ้งโอเน็ตม.6 ภาพรวมดีขึ้น

26 มีนาคม 2556

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม นายสัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยว่า ตามที่ สทศ. ได้ประกาศผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา ภาพรวมคะแนนเฉลี่ยเป็นที่น่าพอใจ โดยเพิ่มขึ้นใน 5 วิชาหลัก ดังนี้ ภาษาไทย เพิ่มขึ้น 5.31 คะแนน วิทยาศาสตร์ เพิ่มขึ้น 5.20 คะแนน สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เพิ่ม 2.88 คะแนน ศิลปะ เพิ่มขึ้น 4.19 คะแนน และภาษาอังกฤษ เพิ่มขึ้น 0.33 คะแนน คณิตศาสตร์ คะแนนเฉลี่ยเท่าเดิม 22.73 คะแนน และมีคะแนนเฉลี่ยลดลง 2 วิชาคือ การงานอาชีพและเทคโนโลยี ลดลง 2.96 คะแนน และสุขศึกษาลดลง 0.91 คะแนน ขณะที่ความยากง่ายของข้อสอบไม่ต่างจากปีที่ผ่านมา สาเหตุที่นักเรียนทำคะแนนได้ดีขึ้น เป็นเพราะระดับนโยบาย ผลักดันให้นำคะแนนไปใช้อย่างจริงจัง ทั้งระดับเขตพื้นที่การศึกษา ที่ให้มีผลต่อการปรับปรุงคุณภาพของโรงเรียน และผู้สอน รวมถึงมีผลต่อการเข้าศึกษาต่อของนักเรียน ทำให้เด็กตั้งใจสอบมากขึ้น

นายสัมพันธ์กล่าวว่า ส่วนที่มีนักเรียนสอบได้ 0 คะแนน นั้น ต้องดูเป็นรายกรณี เพราะเท่าที่ดูมีทั้งไม่ได้ทำข้อสอบ และทำข้อสอบ แต่ไม่ถูกเลย ซึ่งคงต้องไปวิเคราะห์ว่าเกิดจากสาเหตุใด ทั้งนี้ แม้คะแนนในภาพรวมจะเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ถึง 50% เพราะข้อสอบโอเน็ต เป็นข้อสอบแบบรวบยอด ซึ่งใช้ประเมินคุณภาพการเรียนการสอนในระดับชั้น ม.ปลาย ดังนั้น จึงต้องมีเนื้อหาสาระตั้งแต่ชั้น ม.4-6 ไม่ได้ออกเฉพาะเนื้อหา ม.6 เท่านั้น ซึ่งต่อไปโรงเรียนจะต้องปรับการเรียนการสอน ให้มีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32231&Key=hotnews

ภัยเงียบจากกล่องโฟม

นพ.วีรฉัตร กิตติรัตนไพบูลย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านบรรจุภัณฑ์ บริษัทบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ได้ให้ความรู้ว่า กล่องโฟมที่ใช้ตามท้องตลาดทั่วไป (Styrofoam) เป็นของเสียเหลือทิ้งสีดำ ๆ จากกระบวนการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ประกอบด้วยสารสไตรีน (Styrene) มีโครงสร้างโมเลกุลคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ในเพศหญิง

กล่องโฟม
กล่องโฟม

อาหารตามสั่งที่บรรจุกล่องโฟม จึงเป็นแหล่งสะสมสารสไตรีน ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์ทำให้สมองมึนงง สมองเสื่อมง่ายหงุดหงิดง่าย มีผลทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ และเป็นสารก่อมะเร็งอีก 3 ชนิด ถ้าเป็นผู้ชายรับประทานเข้าไปมาก ๆ มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ขณะที่ผู้หญิงมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านม และทั้งสองเพศมีโอกาสสูงต่อการเป็นมะเร็งตับ แม้จะไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำก็ตาม

สำหรับสไตรีน ถือเป็นสารอันตรายที่สหรัฐฯ เพิ่งประกาศขึ้นบัญชีสารก่อมะเร็ง หญิงมีครรภ์ที่รับประทานอาหารบรรจุในกล่องโฟม ลูกมีโอกาสสมองเสื่อมเป็นเอ๋อ อวัยวะบางส่วนพิการ ส่วนคนทั่วไปถ้ารับประทานอาหารกล่องโฟมทุกวัน วันละอย่างน้อย 1 มื้อ ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งสูงกว่าคนปกติถึง 6 เท่า

ทั้งนี้ ผู้บริโภคมีโอกาสได้รับสารสไตรีนในกล่องโฟมได้ง่ายถึง 5 ปัจจัยได้แก่

1. อุณหภูมิที่ร้อนขึ้นหรือเย็นลง ทำให้สไตรีนซึมเข้าสู่อาหารได้สูง

2. ถ้าปรุงอาหารโดยใส่น้ำมัน น้ำส้มสายชูแอลกอฮอล์ จะดูดสารสไตรีนจากกล่องโฟมได้มากกว่าปกติ

3. ถ้าซื้ออาหารใส่กล่องทิ้งไว้นาน ๆ ไม่ได้รับประทาน อาหารจะดูดสารสไตรีนได้มาก

4. ถ้านำอาหารที่บรรจุโฟมเข้าไมโครเวฟ สไตรีนจะไหลออกมาในปริมาณมาก

5. ถ้าอาหารสัมผัสพื้นที่ผิวกล่องโฟมมาก ๆ รวมถึงร้านไหนตัดถุงพลาสติกใสรองอาหาร ขอบอกว่าได้รับสารก่อมะเร็ง 2 เด้ง ทั้งสไตรีนและไดออกซินจากถุงพลาสติกเลยทีเดียว

นพ.วีรฉัตร กล่าวเตือนด้วยว่า อาหารตามสั่งหรือข้าวราดแกงกับไข่ดาวหรือไข่เจียวร้อน ๆ อาจจะไปละลายผนังกล่องโฟม เสมือนรับประทานอาหารคลุกสไตรีนไปด้วย ถึงกระนั้นไข่ดิบที่วางขายในแผงไข่พลาสติก สารสไตรีนมีโอกาสวิ่งเข้าในเปลือกไข่ได้เช่นกัน ถ้าเลือกไข่ดิบควรเลือกซื้อจากแผงไข่กระดาษจะปลอดภัยที่สุด

http://health.kapook.com/view55910.html

7 ข้อควรรู้เกี่ยวกับครรภ์เป็นพิษ

“7 ข้อควรรู้เกี่ยวกับครรภ์เป็นพิษ” ดังนี้

ตั้งครรภ์
ตั้งครรภ์

ข้อ 1 ครรภ์เป็นพิษ มีสาเหตุการเกิดที่ “ไม่แน่ชัด”
แรกเริ่มเดิมทีนั้น มีการบันทึกถึงภาวะครรภ์เป็นพิษมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ อริสโตเติล ผู้เป็นนักปราชญ์และแพทย์ชาวกรีกได้กล่าวไว้ว่า เกิดจากความไม่สมดุลย์ ของธาตุในร่างกายทำให้มี “น้ำคั่ง” และเชื่อว่าเกิดจากมดลูก เป็นสาเหตุที่ส่งผลร้ายต่อตับ, กระเพาะ, ม้าม, และปอด(2) แต่จากวิทยาการความรู้ที่พัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง ณ. ปัจจุบันนี้จึงทำให้เราพบว่า สาเหตุการเกิดครรภ์เป็นพิษนั้น “ไม่แน่ชัด” มีเพียงแต่สมมุติฐานต่างๆ คาดเดากันไปเท่านั้น เช่น เชื่อว่า “รก” ทำงานผิดปกติ ทำให้มีการหลั่งสารบางอย่างมากระตุ้นหลอดเลือดให้หดรัดตัว ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นกว่าปกติ(3) อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่แน่นอนหนึ่งข้อก็คือ “การตั้งครรภ์” ดังนั้นถ้าไม่ตั้งครรภ์ ก็จะไม่เกิดภาวะนี้ขึ้น

ข้อ 2 ครรภ์เป็นพิษ ที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงอาจเสียชีวิตได้
โดยปกติภาวะครรภ์เป็นพิษ จะวินิจฉัยเมื่อความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว (systolic blood pressure) 140 มิลลิเมตรปรอทหรือมากกว่า หรือความดันโลหิตขณะหัวใจคลายตัว(diastolic blood pressure) 90 มิลลิเมตรปรอทหรือมากกว่า โดยวัดสองครั้ง ห่างกัน 4 ชั่วโมง(4) นอกจากนี้ อาจตรวจพบโปรตีนรั่วออกมาปนในปัสสาวะ โดยความรุนแรงของโรคอาจมีตั้งแต่เล็กน้อย, รุนแรงจนกระทั่งทำให้เกิดการชักหมดสติ, มีภาวะซีดจากการที่เม็ดเลือดแดงแตกสลาย, เกร็ดเลือดลดต่ำทำให้มีเลือดออกผิดปกติ, การทำงานของตับผิดปกติ ส่งผลให้เสียชีวิตได้ทั้งแม่และทารกในครรภ์

ข้อ 3 ครรภ์เป็นพิษ โดยส่วนใหญ่แล้วมักเป็น “มหันตภัยเงียบ”
โดยส่วนมากแล้วนั้น สตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ มักจะไม่ค่อยรู้สึกว่าตนเองนั้นป่วย จนกระทั่งโรคเกิดขึ้นรุนแรง(5) ดังนั้นจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทราบถึง “สัญญาณเตือนภัย” บางอย่างที่ร่างกายกำลังบอกเราให้ทราบว่า “ภาวะครรภ์เป็นพิษ” กำลังมาเยือนคุณแม่ทั้งหลาย ดังต่อไปนี้

-ปวดศีรษะ, ตาพร่ามัว, คลื่นไส้อาเจียน เนื่องจากความดันในกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้น รวมถึงสมองบวม หรือเลือดออกในสมอง
-เจ็บจุกแน่นที่ลิ้นปี่หรือบริเวณชายโครงขวา เนื่องจากตับโตขึ้น หรือมีเลือดออกในตับ
-เหนื่อยหอบ, หายใจลำบาก, นอนราบไม่ได้ เนื่องจากน้ำท่วมปอด
– บวม, น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นรวดเร็วในเวลาไม่กี่วัน, ปัสสาวะออกน้อยลง เนื่องจากไตทำงานผิดปกติ มีการรั่วของโปรตีนออกมาในปัสสาวะ

ในส่วนของทารกเองนั้นก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เช่น เจริญเติบโตได้ช้า, น้ำคร่ำน้อยกว่าปกติ และ เสียชีวิตได้ กรณีที่ครรภ์เป็นพิษนั้นรุนแรงมาก

ข้อ 4 ครรภ์เป็นพิษ มักพบในครรภ์แรกมากกว่าครรภ์หลัง
ในกลุ่มสตรีตั้งครรภ์ที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ มักพบในครรภ์แรกมากกว่าครรภ์หลัง, มักพบในสตรีที่อายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป, หรือแม้เคยมีลูกมาแล้ว แต่เว้นระยะมานานมากกว่า 10 ปีขึ้นไปก็ถือว่ามีความเสี่ยง, สตรีที่อ้วนมีดัชนีมวลกาย มากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร, มีประวัติครอบครัวเป็นภาวะครรภ์เป็นพิษ, ตั้งครรภ์แฝด, เคยมีประวัติครรภ์เป็นพิษมาก่อน, มีโรคประจำตัวเป็นโรคความดันโลหิตสูงอยู่เดิม เป็นต้น

ข้อ 5 ครรภ์เป็นพิษ รักษาโดยการ “คลอด”
เป้าหมายในการรักษาสตรีที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึง 3 สิ่งต่อไปนี้คือ ต้องให้คลอด, ให้ยาป้องกันการชัก และให้ยาลดความดันโลหิต การคลอดนั้น อาจต้องพิจารณาถึงอายุครรภ์ร่วมด้วย กรณีที่ครรภ์เป็นพิษนั้นไม่รุนแรงมาก แต่ในกรณีที่ครรภ์เป็นพิษนั้นอยู่ในขั้นรุนแรง จำเป็นต้องพิจารณาให้คลอด ไม่ว่าอายุครรภ์จะมากน้อยเพียงใด ครบกำหนดหรือไม่ เพื่อรักษาชีวิตของมารดาเป็นสำคัญ ส่วนที่ว่าจะคลอดโดยคลอดทางช่องคลอด หรือผ่าตัดคลอด ก็จะเป็นไปตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ สำหรับทารกที่อายุครรภ์ไม่ครบกำหนด อาจต้องมีการใช้ยาช่วยในการพัฒนาของปอดเพื่อให้ทารกสามารถหายใจได้เอง โดยพิจารณาเป็นรายๆไป ภาวะชัก เนื่องจากครรภ์เป็นพิษ (eclampsia) เป็นภาวะที่รุนแรง สามารถทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ดังนั้นจึงต้องมีการให้ยากันชักในผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะครรภ์เป็นพิษขั้นรุนแรง(severe preeclampsia) โดยยาที่ให้คือ แมกนีเซียมซัลเฟต ซึ่งยาตัวนี้อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกร้อนวูบวาบ, คลื่นไส้อาเจียน, ความดันโลหิตลดต่ำลง จึงจำเป็นต้องมีการวัดสัญญาณชีพผู้ป่วยเป็นระยะๆ หลังจากที่ให้ยาตัวนี้กับผู้ป่วย สำหรับผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตที่สูงมากก็อาจจำเป็นต้องพิจารณาให้ยาลดความดันโลหิตแก่ผู้ป่วย ซึ่งมีทั้งที่ให้ทางหลอดเลือดหรือการรับประทาน

ข้อ 6 ครรภ์เป็นพิษ แม้จะงดอาหารที่มี “เกลือ” ก็ไม่อาจลดความดันโลหิตที่สูงลงได้
บ่อยครั้งที่เรามักทราบกันดีว่า ในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงนั้น การหลีกเลี่ยงการรับประทาน “เกลือ” จะสามารถช่วยทำให้ความดันโลหิตลดลงได้ แต่ในภาวะครรภ์เป็นพิษนั้น แนะนำว่า ให้รับประทานอาหารที่มีเกลือได้ตามปกติ เนื่องจากเกลือ ไม่ได้ส่งผลใดๆต่อความดันโลหิตในสตรีที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ นอกจากนั้นแล้ว การรับประทานอาหารเสริมจำพวก กรดโฟลิก, แมกนีเซียม, สารต้านอนุมูลอิสระ(วิตามินซี และอี), น้ำมันปลา, หรือกระเทียม ก็มิได้ให้ผลในการช่วยการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงในสตรีที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษแต่อย่างใด

ข้อ 7 ครรภ์เป็นพิษ สามารถที่จะตรวจพบได้แต่เนิ่นๆ ถ้ามาฝากครรภ์สม่ำเสมอ
การฝากครรภ์ตั้งแต่เริ่มทราบว่าตั้งครรภ์และฝากครรภ์อย่างสม่ำเสมอ สามารถจะช่วยให้แพทย์ตรวจคัดกรอง ค้นหาความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ได้ เช่น ต้องมีการซักประวัติของผู้ป่วยว่าตั้งครรภ์มาแล้วกี่ครั้ง, เคยมีภาวะครรภ์เป็นพิษในท้องก่อนๆ หรือไม่, มีโรคประจำตัวใดบ้าง และทุกครั้งที่มาฝากครรภ์ จะต้องมีการตรวจซักถามอาการผิดปกติต่างๆ ของสตรีตั้งครรภ์, ชั่งน้ำหนัก, วัดความดันโลหิต, ตรวจปัสสาวะเพื่อหาน้ำตาลและโปรตีนว่ามีรั่วออกมาหรือไม่, มีการตรวจหน้าท้อง รวมถึงมีการตรวจวินิจฉัยทารกโดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงหรืออัลตร้าซาวด์ เพื่อติดตามการเจริญเติบโตของทารก หรือทำการตรวจสุขภาพทารกในครรภ์โดยตรวจติดตามอัตราการเต้นของหัวใจทารก พร้อมกับตรวจการหดรัดตัวของมดลูก เมื่อพบความผิดปกติที่ทำให้คิดถึงภาวะครรภ์เป็นพิษ แพทย์และทีมจะได้รีบดำเนินการรักษาโดยเร็ว ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการสูญเสีย หรือทุพพลภาพของมารดาและทารก ดังคำกล่าวที่ว่า “ลูกเกิดรอด….แม่ปลอดภัย”

ข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ

เปิดหลักสูตรเตรียมปวช.-เรียน 2 วุฒิ สอศ.แก้ปมรับเด็กในระบบโควตา-เพิ่มช่องต่ออาชีวะ

11 มีนาคม 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ตามที่สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เปิดรับนักเรียนเข้าเรียนต่อทั้งในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ในระบบโควตา ปีการศึกษา 2556 โดยจัดสรรโควตาให้แก่นักเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาต่างๆ ตั้งแต่เดือนก.พ.ที่ผ่านมา แบ่งเป็น ปวช. 77,742 คน และ ปวส. 48,567 คน ผลปรากฏว่า มีนักเรียนสมัครเข้าเรียนน้อยมาก แม้กระทั่งสาขายอดฮิต เช่น สาขาอุตสาหกรรม ปวช. ให้โควตา 41,106 คน มาสมัครเพียง 11,932 คน ส่วนปวส.ให้โควตา 26,030 คน สมัครเพียง 6,744 คน อย่างไรก็ตาม จะมีการเปิดรับสมัครเด็กในระบบโควตาไปจนถึงการเปิดรับในระบบปกติทั่วไป ซึ่งในระดับ ปวช.จะรับสมัครวันที่ 15-19 มี.ค. ส่วน ปวส. สถานศึกษาจะเป็นผู้กำหนดวัน แต่จะต้องแล้วเสร็จภายในวันที่ 24 พ.ค.

เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อว่า สอศ.มีแผนรับนักเรียน นักศึกษาปี’56 ทั้งสิ้น 315,463 คน แบ่งเป็นปวช. 188,706 คน ปวส. 126,707 คน และประกาศนียบัตรครูเทคนิคชั้นสูง (ปทส.) 50 คน ซึ่งจากการให้โควตาที่ผ่านมาพบว่า มีเด็กกลุ่มหนึ่งอยากเรียนอาชีวะ มาสมัครแล้วแต่ไม่สามารถเรียนได้ เนื่องจากติด ร ติด มส. ทำให้ไม่ได้รับใบระเบียนแสดงผลการเรียน และต้องไปแก้ไขก่อน กว่าจะเสร็จก็เลยช่วงเวลาการรับเด็กไปแล้ว ทำให้พลาดโอกาสเข้าเรียน สอศ.จึงมีแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยจะเปิดหลักสูตรเตรียม ปวช.คือ เปิดโอกาสให้เด็กที่กำลังเรียนอยู่ในชั้นม.2-ม.3 สามารถลงทะเบียนเรียนในรายวิชาระดับปวช.ได้ และเมื่อจบ ม.3 แล้ว ก็สามารถนำวิชาที่ลงทะเบียนเรียนผ่านแล้ว มาใช้ในการเรียนระดับ ปวช.ได้เลย ซึ่งการเรียนทำได้โดยการเรียนทางไกล การอบรม และมานั่งเรียนในระบบ จะเริ่มดำเนินการในปี’56 นี้ นอกจากนี้ปี’56 สอศ.จะจัดโครง การเรียน 2 วุฒิ โดยเปิดรับนักเรียนม.4-ม.6 ทุกสังกัด เข้าเรียนในหลักสูตรปวช. ทั้งหลักสูตรสามัญฯ และหลักสูตรอาชีพ และเมื่อเด็กเรียนจบก็จะได้รับวุฒิม.ปลาย และปวช.

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 12 มี.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32007&Key=hotnews