บิ๊ก ร.ร.เฮ! แต้มเกิน 60% ขึ้นบัญชีทุกคน เล็งชง ก.ค.ศ.รื้อเกณฑ์-ให้สพท.สอบเอง สมัครข้ามเขตได้-เหลือเฉพาะบัญชีพื้นที่

17 กรกฎาคม 2556

นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงาน ก.ค.ศ.ได้จัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาผู้อำนวยการสถานศึกษา และรองผู้อำนวยการสถานศึกษาเสร็จแล้วและรอเสนอให้ที่ประชุม ก.ค.ศ.พิจารณาเห็นชอบในการประชุมเดือนสิงหาคม โดยได้มีการปรับหลักเกณฑ์ใหม่ด้วยการให้คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษา ดำเนินการสรรหาเองทั้งหมดและไม่ต้องให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นผู้ดำเนินการออกข้อสอบเช่นเดียวกับการสอบครั้งที่ผ่านมา และไม่ต้องมีการขึ้น บัญชีในส่วนกลาง แต่ให้มีการขึ้นบัญชีเป็นรายเขตพื้นที่การศึกษาทั้งหมดเพราะไม่มีส่วนกลางสอบให้แล้ว

เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าวต่อว่า โดยผู้ที่ได้คะแนนร้อยละ 60 ตามหลักเกณฑ์ที่ ก.ค.ศ.กำหนด จะได้รับการขึ้นบัญชีเป็นเวลา 2 ปี เพื่อรอการบรรจุแต่งตั้ง ซึ่งเดิมการสอบครั้งที่ผ่านมาให้ขึ้นบัญชีเท่ากับอัตราว่างที่ประกาศไว้เท่านั้น และต่อมามีการเรียกร้องให้ประกาศรายชื่อ แต่ก็ไม่ได้มีการขึ้นบัญชีรอการบรรจุ ฉะนั้นการปรับเปลี่ยนเกณฑ์ใหม่นี้ จะทำให้ผู้ที่ได้คะแนนตามเกณฑ์มีสิทธิได้รับการบรรจุเป็นผู้อำนวยการสถานศึกษา และรองผู้อำนวยการสถานศึกษา

“เรื่องการสมัครสอบ จะเสนอให้มีการสมัครสอบข้ามเขตพื้นที่การศึกษาได้ เนื่องจากอาจมีบางคนอยากจะไปเป็นผู้บริหารในภูมิลำเนา การเปิดให้สอบข้ามเขตพื้นที่การศึกษาได้ จะเป็นการให้สิทธิและโอกาส ซึ่งจะเร็วกว่าการขอยื่นย้ายตามปกติ แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการพิจารณาของที่ประชุม ก.ค.ศ.” เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าว และว่า การสอบผู้อำนวยการสถานศึกษาและรองผู้อำนวยการสถานศึกษา จะแบ่งเป็นกลุ่มทั่วไป และกลุ่มประสบการณ์เช่นเดิม โดยคุณสมบัติจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานตำแหน่งที่กำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม หากเรื่องนี้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม ก.ค.ศ.แล้ว แต่ละ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา ที่ไม่มีการขึ้นบัญชีไว้ สามารถไปดำเนินการสอบคัดเลือกได้ แต่หากมีบัญชีเก่าและยังไม่ครบ 2 ปีก็ยังไม่ควรเปิดสอบใหม่ เพราะจะทำให้บัญชีเก่าถูกยกเลิก

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33380&Key=hotnews

คอลัมน์: กศน.เพื่อนเรียนรู้: “สุดยอด กศน.โอกาสใหม่ของหลายชีวิต”

17 กรกฎาคม 2556

ทีมข่าวการศึกษา
ขณะที่เขียนเรื่องนี้การชิงชัยของเหล่า NF ทั้ง 18 ทีม เพื่อค้นหา “สุดยอด กศน.” นั้นกำลังขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้น และขณะที่คุณๆ กำลังอ่านเรื่องนี้อยู่ก็คงจะทราบแล้วว่า NF ทีมใดที่คว้ารางวัลสุดยอด กศน.แห่งปี…ขอแสดงความยินดีไว้ ณ ที่นี้ด้วย

“สุดยอด กศน.” เป็นการสร้างปรากฏการณ์ เป็นมิติใหม่ในวงการศึกษาไทย ที่กล้าก้าวข้ามกรอบความคิดเดิมๆ ไปสู่โลกแห่งการเรียนรู้ในรูปโฉมใหม่ ที่แม้แต่ชาว กศน.เองต่างก็ไม่คาดคิดว่าจะมีใครกล้าเปิดเวทีให้พวกเขาและเธอได้อวดฝีมือสู่สาธารณชน

สำหรับกรอบคิดเดิมที่เปรยไว้ คือภาพชินตาที่ กศน.เข้าไปส่งเสริมอาชีพเลี้ยงปากท้องประชาชนให้กินดีอยู่ดี ก็ยังคงดำเนินไปตามนโยบาย แต่สิ่งที่ถูกคิดสร้างขึ้นใหม่นี้ต้องเรียกว่าเป็นการอัพเกรดคุณภาพของคน กศน.ขึ้นมาอีกระดับ

อาจารย์สมพงษ์ จิตระดับ จากคณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในประธานคณะกรรมการตัดสินการประกวด สุดยอดกศน. บอกกล่าวต่อสังคมถึงโครงการสุดยอด กศน. ว่าอยากให้สังคมมองมุมใหม่ว่า กศน.ไม่ได้ทำแค่การสร้างอาชีพกับการอ่านออกเขียนได้ แต่คุณภาพชีวิตคน กศน.ก็มีความเท่าเทียมคนอื่น มีโอกาสเหมือนกันทำไมสังคมต้องไปกดคน กศน.ว่าคุณต้องอยู่แค่นี้ หรือมองว่าชีวิตคน กศน.ต้องทำแบบนี้ๆทำไมเราทำให้ กศน.ดีกว่า แตกต่างกว่า…นี่คือก้าวใหม่ มิติใหม่ของ กศน.ที่อยากให้สังคมพิจารณา

…นิยาม “สุดยอด กศน.”
“คำนี้มีความโดดเด่น คมคาย ในการนำมาใช้กับกลุ่มเป้าหมายของเด็ก กศน.ที่ขาดทั้งโอกาสและมีปัญหาคุณภาพชีวิต”สุดยอด กศน.” จึงเป็นสุดยอดของตัวกิจกรรมที่สามารถดึงส่วนที่ขาดความสมบูรณ์ในชีวิตให้ปรากฏออกนี่เป็นเรื่องความงดงามทางการศึกษา จากความที่ไม่มีอะไรเลย จากความธรรมดา ให้เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา เกิดความแตกต่าง และเป็นกิจกรรมเชิง Action ที่มีความคิดสร้างสรรค์”

อาจารย์สมพงษ์ กล่าวและว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้เป็นการทำงานกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ ถ้าเขาไม่เข้ามาในวงจรของ กศน. ก็อาจจะเป็นส่วนสร้างปัญหาในประเทศไม่น้อย แต่พอเขาได้รับโอกาสทางการศึกษาเขาจะพาชีวิตที่ขรุขระไปสู่เส้นทางที่สำเร็จเรามาถูกทางแล้วซึ่งผมไม่อยากมองเป็นกระแสแฟชั่น แต่ควรเป็นการต่อยอดในเชิงความคิดและเชิงปรัชญา นำเอาการเรียนรู้ตลอดชีวิตประสบการณ์ของแต่ละคน มาแปรเป็นสารเพื่อส่งไปให้ผู้ชมรับรู้

...3 นาทีสุดAmazing
ประธานคณะกรรมการตัดสิน ยังยกตัวอย่างความคิดสร้างสรรค์จากทีมกศน.สิงห์บุรี ที่ใช้เวลา 3 นาทีสุดอลังการ”มันโชะเด๊ะเลยเห็นหลายมิติ เห็นประวัติศาสตร์ เห็นความเป็นอาเซียน และเห็นความหลากหลายของกลุ่มด้วย เป็นโชว์อลังการมาก เข้าเกณฑ์ทั้งหมดและได้คอนเซปต์ของ กศน. ผมว่ายิ่งกว่ามืออาชีพเสียอีก เป็นความสุดยอดทั้งเชิงปรัชญา มีกระบวนการคิดเบ็ดเสร็จ จบโชว์แล้วเราได้สิ่งที่เป็น สาระมีคุณประโยชน์ มันไม่ใช่แค่เรื่องความบันเทิงแต่สอดแทรกเรื่องประวัติศาสตร์ และเรื่องความเป็นอาเซียนเข้าไปด้วยใน 3 นาทีแต่เราได้ก้อนความคิดใหญ่ ผมว่าเป็นความAmazing (อะเมซิ่ง)”

อาจารย์สมพงษ์ บอกอีกว่า การที่ กศน.ลงทุนจัดกิจกรรมนี้ขึ้น เงินรางวัลนั้นไม่มาก ถ้าเทียบกับเด็กทั้งประเทศ หรือถ้าเทียบกับการที่เราลงทุนกับเด็กที่มีโอกาสมากๆ ผมคิดว่าเทียบกันไม่ได้เลยฉะนั้น ผมคิดว่าเราต้องให้กำลังใจกับเด็กที่ชนะเลิศ แต่ขณะเดียวกันจะทำอย่างไรให้เกิดพลังที่ไม่หยุดหย่อนกับกลุ่มผู้แพ้ อย่าให้ความพยายาม ความมุ่งมั่นของเขาต้องสูญเปล่า สุดยอด กศน.คือผลงาน ในขณะที่สุดยอดเด็ก กศน.ที่เราจะได้คือความเพียร ความตั้งใจ และความคิดเชิงคุณภาพผ่านงานแสดงที่ออกมา เป็นสุดยอดของทั้งผู้แพ้และผู้ชนะ

“ผมถือว่าโครงการเป็นเรื่องที่ Amazing มาก เพราะนี่คือปรัชญาของการคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น” อาจารย์สมพงษ์กล่าว

และจะเชื่อหรือไม่ว่าโครงการสุดอะเมซิ่งนี้ ได้สร้างความประทับใจแก่บุคคลที่มีโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสุดยอด กศน. อย่าง”บิณฑ์บันลือฤทธิ์” ในฐานะคณะกรรมการตัดสินการประกวด ถึงกับยกนิ้วให้”ผมรู้สึกทึ่งมาก”

โชว์หลายชุดจากเด็ก กศน.นั้นตีโจทย์การศึกษาตลอดชีวิตออกมาดีมากหลายทีมพยายามนำความรู้มาดัดแปลงให้คนดูเข้าใจว่าการศึกษานอกระบบเป็นอย่างไร มีประโยชน์อย่างไร บอกเล่าว่าการเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอายุ เวลา เราสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต และโดยส่วนตัวก็ทำให้ความคิดเกี่ยวกับการเรียนกศน.เปลี่ยนไป เพราะสังเกตจากกองเชียร์และทีมนักแสดงของ กศน. ส่วนมากอายุ 18-20 ปีทั้งนั้นเดี๋ยวนี้คนนิยมเรียน กศน.กันมากขึ้น เพราะหลักสูตรเรียนเร็วแต่มีคุณภาพ ได้ความรู้จริงๆเป็นประโยชน์ต่อหลายๆ คน ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ไม่ใช่แค่เรียนแบบงูๆปลาๆแต่เรียนเพื่อเรียนรู้จบแล้วสามารถประกอบอาชีพได้

ด้าน”ครูต้อ-มารุต สาโรวาท”ศิลปินและผู้กำกับละครชื่อดัง ยืนยันว่า”สุดยอด กศน.” เป็นคอนเซปต์ ที่สร้างคนสร้างงาน สร้างศักยภาพ สร้างตัวตนให้มีความสามารถ และอยากให้มีกิจกรรมนี้ทุกปี
“ทุกโชว์มีความคิดสร้างสรรค์ เป็น3 นาทีที่มีค่า ดูสนุก ได้เนื้อหาสาระ และสามารถพัฒนาต่อยอดไปได้ ครูเชื่อว่าทุกคนสามารถพัฒนาไปสู่อาชีพได้ โดยพัฒนาเอาส่วนที่ดีที่สุดในแต่ละคนที่มีอยู่นำมาจัดเป็นการแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจมีเนื้อหาสาระ สามารถดึงดูดผู้คนได้ สื่อสารในวงกว้างได้ และถ้าพัฒนาต่อไปดีๆมีการต่อยอดไปทำให้เป็นงานที่ดูเป็นสากล สามารถสื่อสารกับทั้งอาเซียนก็ยังได้”
ปิดท้ายที่”ครูจี๊ด-สุนทร สุจริตฉันท์”อดีตนักร้องนำวงรอยัลสไปรท์ส ผู้ประกาศข่าวและพิธีกรที่มาช่วยพัฒนาทักษะของเด็ก กศน. บอกตรงๆ ว่าก่อนมาร่วมงานกับสุดยอด กศน. ยังมองไม่เห็นศักยภาพเด็ก กศน.มากนัก

“ผมมองว่า กศน.กำลังสร้างคนที่รู้จริงด้วยการทาบกิ่ง คือเขาสรรหาคนที่เป็นมือหนึ่ง ด้านการแสดง เช่นผู้กำกับ นักแสดงชื่อดังหลายคน มาสอนให้เป็นการเฉพาะ ทั้งการร้องเพลงการเต้น และการแสดง ให้ครูอาจารย์เหล่านี้มาเป็นที่ปรึกษาเป็นรายทีม เอาตัวจริงเสียงจริงมาทาบกิ่งกับเด็ก กศน.ซึ่งจะซึมซับความรู้และสามารถเติบโตได้ทันที”
….ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเกินคาดกับ สุดยอด กศน. ที่สร้างทางเลือกและโอกาสใหม่ให้หลายชีวิต

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33381&Key=hotnews

สมศ.เปิดร่างเกณฑ์ประเมินรอบ 4 ปลายปี ยืนยันปรับไม่มากเน้นกัลยาณมิตร พร้อมเริ่มประเมินสภามหาวิทยาลัย

17 กรกฎาคม 2556

ศ.ดร.ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ ผอ.สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 7-8 พ.ย.นี้ สมศ.ได้กำหนดจัดงานประชุมนานาชาติด้านการประกันคุณภาพ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยจะมีการประกาศร่างตัวบ่งชี้และเกณฑ์ประเมินคุณภาพภายนอกรอบสี่ (พ.ศ.2559-2563) เพื่อให้สถานศึกษาได้เตรียมความพร้อมล่วงหน้า โดยเกณฑ์ตัวบ่งชี้ต่าง ๆ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่อยากใช้คำว่าเป็นการพัฒนาหรือปรับปรุงเพื่อให้การประเมินง่าย มีความชัดเจนและเที่ยงตรงมากขึ้น โดย สมศ.ยังคงหลักการเดิมที่มุ่งเน้นการประเมินที่ไม่เพิ่มภาระให้แก่สถานศึกษา เป็นการประเมินสร้างสรรค์และเป็นกัลยาณมิตร ขณะเดียวกันตัวบ่งชี้สามมิติที่ประกอบด้วย ตัวบ่งชี้พื้นฐาน อัตลักษณ์หรือเอกลักษณ์ และมาตรการส่งเสริมก็จะยังคงนำมาใช้ในการประเมินเช่นเดิม แต่อาจมีการพัฒนาในรายละเอียดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเกณฑ์ตัวบ่งชี้ในหัวข้อการประเมินคุณภาพศิษย์และคุณภาพครู

ผอ.สมศ.กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ สมศ.จะยกระดับการวัดผลการประเมิน จากเดิมที่มี 5 ระดับได้แก่ ดีมาก ดี พอใช้ ปรับปรุง และปรับปรุงเร่งด่วน เปลี่ยนเป็นระดับต่ำสุดคือ ปรับปรุง และเพิ่มระดับสูงสุดของผลประเมินเป็นดีเยี่ยมหรือดีเลิศ เพื่อตอบสนองนโยบายในการประเมินที่ต้องการเห็นพัฒนาการที่มากขึ้นกว่าเดิมของสถานศึกษา

“พร้อมกันนี้ สมศ.ยังได้ตั้งคณะทำงานเพื่อพัฒนาเกณฑ์การประเมินสถานศึกษาในแต่ละระดับ เช่น ระดับอุดมศึกษา ได้มีคณะทำงานยกร่างเกณฑ์ประเมินสภามหาวิทยาลัยขึ้น จากเดิมที่การประเมินรอบสามกำหนดให้สภามหาวิทยาลัยประเมินตนเอง ดังนั้นในการประเมินรอบสี่ สมศ.จะประเมินสภามหาวิทยาลัยด้วยซึ่งจะต้องนำเกณฑ์ดังกล่าวไปทดลองใช้และเข้าสู่การพิจารณาในบอร์ดก่อนประกาศให้ทราบต่อไป” ผอ.สมศ. กล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33382&Key=hotnews

กศน.โคราชคว้าแชมป์สุดยอด กศน.

17 กรกฎาคม 2556

เมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่อิมแพค เมืองทองธานี สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ได้จัดงานโครงการจัดการแข่งขันด้านความสามารถพิเศษของนักศึกษา กศน. “สุดยอด กศน.” รอบชิงชนะเลิศ โดยมี นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธาน ซึ่ง นายจาตุรนต์ กล่าวตอนหนึ่งว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการให้โอกาสและสร้างโอกาสทางการศึกษาอย่างเสมอภาค และเท่าเทียม การได้มาเป็น รมว.ศธ. ครั้งนี้ จะมาสานต่อนโยบายของ รมว.ศธ. คนก่อน ๆ แต่จะเน้นเพิ่มด้านการให้โอกาสทางการศึกษาอย่างมีคุณภาพทั้งระบบ รวมถึง กศน. ซึ่งเป็นการศึกษานอกระบบด้วย เพื่อให้คนที่เรียน กศน.เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจว่า การจัดการศึกษานอกระบบก็มีคุณภาพ ขณะเดียวกันก็จะเพิ่มอัตราการ อ่านออกเขียนได้ และให้โอกาสคนวัยทำงานที่ยังไม่จบการศึกษาภาคบังคับที่มีอยู่ถึงร้อยละ 52 ได้เรียนต่อ รวมถึงให้ความสำคัญกับการ ฝึกอาชีพ และพัฒนาการศึกษา จะเน้นพัฒนาสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ มาพัฒนาครู

“จากนี้ไปผมจะเพิ่มคุณภาพการศึกษานอกระบบไปพร้อมกับการศึกษาในระบบ ให้ผู้เรียนที่มีเวลาน้อย กระจายอยู่ตามภาคส่วนต่าง ๆ ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามต้องมีการส่งเสริมให้ประชาชนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตลอดชีวิต ซึ่งเป็นสาระสำคัญของการปฏิรูปการศึกษา” นายจาตุรนต์ กล่าว

สำหรับผลการแข่งขันสุดยอดกศน.รอบชิงชนะเลิศ ปรากฏว่า ทีม กศน.นครราชสีมา ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท พร้อมโล่รางวัลเกียรติยศจาก รมว.ศธ., รองชนะเลิศอันดับที่ 1 คือ ทีม กศน.สิงห์บุรี ได้รับเงินรางวัล 80,000 บาท พร้อมโล่ เกียรติยศ จาก รมช.ศธ., รองชนะเลิศอันดับที่ 2 คือ ทีม กศน.สระแก้ว รับเงินรางวัล 60,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศจากเลขาธิการ กศน. และรางวัลชมเชย 3 รางวัล คือ ทีมอุทัยธานี ทีมปัตตานี ทีมนครศรีธรรมราช ได้รับเงินรางวัล รางวัลละ 10,000 บาท นอกจากนี้ยังมีรางวัลป๊อปปูลาร์โหวต 3 ทีมคือ ทีม กศน.ยโสธร, นครราชสีมา, สมุทรปราการ

ด้านนายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการ กศน. กล่าวว่า สุดยอด กศน.ในปีนี้ซึ่งเป็นปีแรก ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก นักศึกษาได้แสดงออก และความร่วมมือจากภาคีเครือข่าย หลังจากนี้ กศน. จะสนับสนุนทีมชนะเลิศอันดับที่ 1-3 ได้แสดงออกบนเวทีที่ใหญ่ขึ้น อาทิ ไทยแลนด์กอตทาเลนท์ และการแสดงเวทีอื่น ๆ และปีหน้าจะปรับปรุงการแสดงให้ดีขึ้น สำหรับเงินรายได้ทั้งหมดจากการโหวตจะ นำส่งเข้ากระทรวงการคลัง.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33383&Key=hotnews

สอศ.ทุ่มงบพัฒนาศูนย์ฝึกอาชีวะ เปิด 200 แห่งยกระดับฝีมือ-สร้างอาชีพใหม่

17 กรกฎาคม 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันไทยเป็นประเทศที่เร่งพัฒนาในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ และด้านโครงสร้างพื้นฐาน ส่งผลให้มีความต้องการแรงงานเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการยกระดับฝีมือแรงงานของทุกภาคส่วน ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้สำรวจพบว่าปัจจุบันมีประชาชนที่ไม่มีงานทำ ถูกเลิกจ้าง หรืออยู่ในช่วงหางานทำ ตลอดจนกลุ่มเกษตรกร และกลุ่มผู้สูงอายุ ที่อยากปรับเปลี่ยนอาชีพของตัวเองอยู่จำนวนหนึ่ง ดังนั้น ในปีงบประมาณ 2556 สอศ.จึงใช้งบฯ 53,963,300 บาท จัดโครงการพัฒนาศูนย์อบรมอาชีวศึกษาในสถานศึกษาประมาณ 200 แห่ง เพื่อยกระดับฝีมือให้กับประชาชนในกลุ่มดังกล่าวไม่น้อยกว่า 2 หมื่นคนผ่านหลักสูตรอบรมระยะสั้นโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ระหว่างเดือน มิ.ย.-ส.ค.นี้ โดยมีแนวทางการอบรม 2 รูปแบบ คือ 1.กลุ่มที่ต้องการยกระดับฝีมือ และ 2.กลุ่มที่ต้องการปรับเปลี่ยนอาชีพใหม่
เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อว่า สอศ.เปิดอบรมใน 7 ประเภทอาชีพ ประกอบด้วย 1.ประเภทช่างอุตสาหกรรม เช่น ช่างทำเหล็กดัด ช่างติดตั้งไฟฟ้าภายในอาคาร 2.ประเภทศิลปกรรม เช่น เทคนิคชุบเครื่องประดับอัญมณี ช่างตัดสติ๊กเกอร์ 3.ประเภทคหกรรม เช่น สอนทำอาหาร ช่างเสริมสวย-แต่งหน้า 4.ประเภทเกษตรกรรม เช่น การเพาะเห็ดเพื่อการค้า การขยายพันธุ์พืชไม้ประดับเพื่อการค้า 5.ประเภทประมง เช่น การเพาะเลี้ยงปลาน้ำจืด การเพาะเลี้ยงปลาสวยงาม 6.ประเภทอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เช่น การนวดแผนไทย สปาเพื่อสุขภาพ และ 7.ประเภทเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น เปิดสอนคอมพิวเตอร์เพื่องานธุรกิจ โดยสถานศึกษาที่เปิดสอนในแต่ละสาขาอาชีพนั้น สอศ.ได้คัดเลือกโดยเน้นว่าต้องเชี่ยวชาญและมีวัสดุอุปกรณ์ในสาขานั้นๆ เช่น วิทยาลัยเทคนิคชุมพร เปิดสอนงานท่อสุขภัณฑ์ เป็นต้น

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 18 ก.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33384&Key=hotnews

‘สสวท.’ช่วยร่างหลักสูตร

17 กรกฎาคม 2556

นางพรพรรณ ไวทยางกูร ผอ.สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กล่าวถึงการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของ ศธ. ว่า จริงๆ แล้วที่ผ่านมา สสวท.ปฏิรูปหลักสูตรในส่วนการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์อยู่ก่อน ซึ่งทำร่วมกับวิทยาลัยครู มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา ผ่านโจทย์ที่ว่า ถ้าจะเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ให้ได้ผลสำเร็จ ทำให้เด็กคิดเป็น วิเคราะห์เป็น เนื้อหาการจัดการเรียนการสอนต้องเป็นอย่างไร จะบูรณาการ และจะใช้เทคโนโลยีอย่างไร โดยได้ศึกษาเปรียบเทียบหลักสูตรของชาติต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จในการวัดการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือพิซ่า (Pisa) เบื้องต้นหลักสูตร สสวท.จะแยกคณิตศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ ออกเป็นประถมฯ ม.ต้น ม.ปลาย ซึ่งแผนกการเรียนใดไม่เน้นเรียนวิทยาศาสตร์มาก ใช้เป็นพื้นฐาน เช่น แพทย์ วิศวกรรม เป็นต้น หากจะให้เด็กคิดวิเคราะห์ได้ ต้องให้เด็กมีเวลาทำกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้มากขึ้น

ผอ.สสวท. กล่าวต่อว่า หลักสูตร ศธ.ที่เริ่มร่างไปแล้ว เนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เราได้เข้าไปช่วย โดยนำหลักสูตรที่เรากำลังจัดทำไปร่วมร่างด้วย สำหรับหลักการร่างหลักสูตรใหม่ของ ศธ. หากจะผลักดันเรื่องนี้ให้เป็นพื้นฐานการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ เรื่องอาชีพ ต้องวิเคราะห์ว่าจะปรับเวลาเรียนทั้งหมดหรือไม่

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 18 ก.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33385&Key=hotnews

ปฏิรูปหลักสูตรเปิดรับฟังครู

17 กรกฎาคม 2556

ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ ประธานคณะกรรมการปฏิรูปหลักสูตรและตำราการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะทำงานได้ร่างหลักสูตรเสร็จไปกว่าร้อยละ 90 แล้ว และวันที่ 15-16 ก.ค. คณะทำงานจะร่วมรับฟังความคิดเห็นจากครูระดับประถมศึกษาทุกสังกัดทางภาคอีสาน เพื่อนำข้อเสนอต่าง ๆ ไปปรับปรุงเพิ่มเติมร่างหลักสูตรดังกล่าว ซึ่งจะต้องสรุปร่างหลักสูตรป.1-ป.3 ให้เสร็จภายในวันที่ 19 ก.ค. นี้ และหลักสูตรป.4-ป.6 ในวันที่ 2 พ.ค. ส่วนกรณีที่มีข่าวว่ากลุ่มครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์จะเสนอให้รมว.ศึกษาธิการ ชะลอการปรับหลักสูตรใหม่ 6 กลุ่มการเรียนรู้ เนื่องจากเห็นว่าหลักสูตรปัจจุบันเพิ่งใช้ และหลักสูตรใหม่เร่งรัดทำเร็วเกินไป โดยไม่มีคนในวงการครูเข้าไปมีส่วนร่วมนั้น ตนเห็นว่าการเสนอให้ชะลอสามารถทำได้ แต่ขอยืนยันว่าในการทำหลักสูตรนี้มีตัวแทนจากกลุ่มครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย 16 สถาบันและสภาคณบดีครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ส.ค.ศ.ท.) เข้ามาร่วมตั้งแต่ต้น รวมทั้งมีการชี้แจงทำความเข้าใจกับกลุ่มนี้มาก่อน แต่คนที่คัดค้านคงไม่ได้เข้าร่วมตั้งแต่ต้นจึงไม่ทราบเรื่อง อีกทั้งคนที่มาร่วมทำหลักสูตรก็ได้คัดเลือกมาจากทุกสายไม่เฉพาะแค่สายครู เนื่องจากหลักสูตรที่ทำจะต้องมีความหลากหลาย อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาตนได้หารือกับนายจาตุรนต์เรื่องนี้แล้วและ รมว.ศึกษาธิการ ยืนยันให้เดินหน้าต่อไป.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 18 ก.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33386&Key=hotnews

ชักดาบเงินกู้ กยศ. ทนุศักดิ์ งัดไม้ตายจับขึ้นบัญชีแบล็กลิสต์

ชักดาบเงินกู้ กยศ. ทนุศักดิ์ งัดไม้ตายจับขึ้นบัญชีแบล็กลิสต์

นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง ไล่จับเด็กกู้เงิน กยศ.แล้วเบี้ยวหนี้ หลังพบพฤติกรรมของผู้สำเร็จการศึกษาไปแล้ว มีงานทำแต่นำไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย จึงจำเป็นต้องลงโทษสถานหนักถึงขั้นแบล็กลิสต์ พร้อมสร้างหลักเกณฑ์ใหม่ ในปีการศึกษา 57 ผู้กู้ทุกคนต้องยินยอมให้ถูกขึ้นแบล็กลิสต์ หลังสำเร็จการศึกษาไปแล้ว 3 ปี ยังเบี้ยวหนี้

นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง ในฐานะที่กำกับกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า นักเรียนและนักศึกษาที่กู้เงินจาก กยศ.ในปีการศึกษาหน้า หรือปีการศึกษา 2557 ต้องทำสัญญายอมรับการถูกขึ้นบัญชีดำ หรือแบล็กลิสต์กับศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หรือเครดิตบูโร เพื่อป้องกันการไม่ชำระหนี้ หรือเบี้ยวหนี้ หลังจากพบว่า อัตราการเบี้ยวหนี้ของนักเรียนและนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาไปแล้วและครบกำหนดชำระหนี้ เบี้ยวหนี้ถึง 50%

คลิ๊ปนักศึกษา กยศ. เข้าหัวข้อแรงบันดาลใจ
คลิ๊ปนักศึกษา กยศ. เข้าหัวข้อแรงบันดาลใจ

สิ่งที่น่าเป็นห่วงตอนนี้คือ การเบี้ยวหนี้ของนักเรียนและนักศึกษา เมื่อสำเร็จการศึกษาไปแล้วครบ 2 ปี และในปีที่ 3 ที่ต้องทยอยชำระหนี้คืน กยศ.พร้อมจ่ายดอกเบี้ย 1% ต่อปี ซึ่งถือเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก แต่ปรากฏว่า อัตราการเบี้ยวเพิ่มขึ้นจากเดิมเมื่อหลายปีก่อน เคยลดลงเหลือ 28% ปัจจุบันเพิ่มขึ้นจาก 40% และ 50% ในที่สุด

นายทนุศักดิ์ กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 57 จะเริ่มใช้ในเดือน ต.ค.นี้ สำนักงบประมาณได้ตัดงบสนับสนุน กยศ. 5,500 ล้านบาท เหลือ 23,000 ล้านบาท ทำให้มีเงินเหลือเพียงพอที่จะปล่อยกู้ให้แก่นักเรียนและนักศึกษาใหม่ในปีการศึกษา 57 ได้เพียง 35,000 คนเท่านั้น เพราะ กยศ.จะไม่ตัดสิทธิ์การเล่าเรียนของผู้กู้เดิมเป็นอันขาด เนื่องจากเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อนักเรียนและนักศึกษาที่ต้องเลิกเรียนกลางคันได้

ทั้งนี้ในปัจจุบัน กยศ.มีนักเรียนและนักศึกษาที่กู้เงินประมาณ 800,000-900,000 คน โดยมีอัตราการเข้าใหม่และสำเร็จการศึกษาประมาณปีละ 200,000 คน โดยมีรายได้หลักจากการสนับสนุนเงินงบประมาณของรัฐบาล และรายได้จากการชำระหนี้ของรุ่นพี่เพื่อนำเงินที่ชำระนั้น ไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนให้แก่น้องๆ รุ่นต่อๆ ไป โดยเมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นวันที่ครบกำหนดชำระหนี้ (กรณีชำระเป็นรายปี) พบว่ามีมาชำระหนี้เพียง 25,000 ล้านบาท จากจำนวนเงินที่ครบชำระทั้งหมด 50,000 ล้านบาท หรือเบี้ยวหนี้ถึง 50% จึงมีผลกระทบต่อสภาพคล่องของ กยศ.อย่างหนัก

ลูกหนี้ของ กยศ.ที่ไม่มาชำระหนี้ จะถูกเบี้ยปรับในอัตรา 15% แต่เด็กๆคิดว่าเป็นความผิดเล็กๆน้อยๆ จึงนำเงินไปใช้อย่างอื่นหมด เช่น ซื้อโทรศัพท์มือถือ และรถจักรยานยนต์ เป็นต้น โดยไม่ยอมจ่ายหนี้คืน กยศ.จึงจำเป็นต้องลงโทษอย่างหนัก โดยจะเสนอ รมว.คลัง ขึ้นบัญชีดำ 2 กรณีคือ 1.ผู้กู้ก่อนปีการศึกษา 2557 หากสำเร็จการศึกษาครบแล้ว 5 ปีไม่มาชำระจะขึ้นแบล็กลิสต์ทันที และ 2.ผู้กู้ตั้งแต่ปี 57 เป็นต้นไปหากครบ 3 ปีไม่ชำระหนี้ก็จะขึ้นแบล็กลิสต์เช่นเดียวกัน ซึ่งการขึ้นแบล็กลิสต์จะมีผลกระทบต่อการเข้าถึงแหล่งการเงินและโอกาสในการหางานทำในอนาคตด้วย

นายทนุศักดิ์ กล่าวอีกว่า จากจำนวนผู้สำเร็จการศึกษาที่กู้เงินจาก กยศ.มีผู้ที่มีงานทำประมาณ 70% ที่เหลืออีก 30% ไม่มีงานทำ ซึ่งในส่วนนี้กระทรวงการคลังจะร่วมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สมาคมผู้ประกอบการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือให้มีงานทำและจะร่วมกับกองทุนตั้งตัวได้ เพื่อให้ผู้ที่สำเร็จการศึกษาแล้ว แต่ยังไม่มีงานมีโอกาสเป็นเจ้าของกิจการของตนเองได้ด้วย ซึ่งปัจจุบัน กยศ.ปล่อยกู้ค่าครองชีพแก่นักเรียนตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 (ม.4) เนื่องจากรัฐบาลมีโครงการเรียนฟรีไปจนถึง ม.6 โดยจะปล่อยกู้เป็นค่าเล่าเรียน และค่าครองชีพในระดับอาชีวะจนถึงปริญญาตรี.

http://www.thairath.co.th/content/eco/357172

กยศ. ให้โอกาส

มี 32 สถานศึกษาทุจริต กยศ.

กยศ. ให้ชีวิต

ลือ..คณะแพทย์ห้าม นักศึกษาแพทย์โฆษณาชวนเชื่อ

อ่านเรื่องนี้แล้ว นึกไปถึงหัวข้อคุณธรรม จริยธรรมในวิชาชีพ
ว่าทุกสาขา ทุกหลักสูตร ในทุกสถาบันการศึกษาก็มีกัน
ข้อห้ามเหล่านี้ ถ้าหยิบนำมาพิจารณา อาจทำให้สังคมสงบขึ้น
อาทิ เป็นนักศึกษาไทยต้องทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม
ใครทำผิดวัฒนธรรมไทย .. มีความผิด พ้นสภาพการเป็นนักศึกษา
อะไรทำนองนี้

 

เมื่อฝ่าฝันสอบคัดเลือกเข้ามาเป็น นศพ. เต็มตัวแล้ว
จะทำสิ่งใด.. ต้องรับผิดชอบต่อสังคม

นักศึกษาแพทย์
นักศึกษาแพทย์

HOT สุดในบอร์ดแอดมิชชั่นเว็บเด็กดีตอนนี้ คงหนีไม่พ้นกระทู้ “ใครจะสอบหมออ่านด่วน ไม่สนใจมีสิทธิ์โดนไล่ออกก่อนได้เรียน” ที่ภายในกระทู้มีเนื้อหาอธิบายว่า ขณะนี้อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น จุฬาฯ ศิริราช รามาฯ ม.เชียงใหม่ ม.ขอนแก่น ต่างออกมาแสดงจุดยืน ห้ามนิสิตนักศึกษาแพทย์ ไปรับเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาให้กับเครื่องดื่ม หรือสินค้าที่โฆษณาเกินจริง หลังจากล่าสุดมีผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มยี่ห้อหนึ่งที่สื่อความหมายในภาพยนตร์โฆษณาว่า “ดื่มแล้วสามารถสอบติดคณะแพทยศาสตร์ได้” ซึ่งอาจจะก่อให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดตามมา

16 ก.ค. 56 พี่ลาเต้ ได้นำประเด็นดังกล่าวสอบถามไปยังแหล่งข่าววงในซึ่งเป็นอาจารย์ท่านหนึ่งของ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับการเปิดเผยว่า “ทางคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เรียกนิสิตแพทย์รายหนึ่งมาทำความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวจริง ซึ่งไม่ใช่เป็นการตำหนิหรือลงโทษ เพียงแต่เป็นการพูดคุยชี้แจงให้นิสิตได้ทราบว่า เมื่อฝ่าฝันสอบคัดเลือกเข้ามาเป็น นศพ.เต็มตัวแล้ว จะทำสิ่งใดต้องรับผิดชอบต่อสังคม เช่นกรณีการไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับเครื่องดื่มบำรุงสมองรายหนึ่งที่อ้างว่า ดื่มแล้วสามารถสอบติดคณะแพทยศาสตร์ได้ อาจทำให้รุ่นน้องที่ยึดเป็นไอดอล หรือสังคมเกิดความเข้าใจผิดตามมา เพราะโฆษณาดังกล่าวมีการสร้างความเชื่อที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ และมีดึงชื่อของคณะแพทยศาสตร์ไปเกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ทางคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้แจงเพิ่มเติมว่า “ทางคณะไม่มีการออกกฎระเบียบหรือคำสั่งห้ามนิสิตรับเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ แต่ได้ย้ำเตือนกับนิสิตทุกคนให้ใช้วิจารณญาณ โดยยึดมั่นในการทำงานรับใช้สังคมตามหลักปฎิบัติของนิสิตแพทย์

ทางด้าน รศ.พญ.นันทนา ศิริทรัพย์ รองกรรมการอนุกรรมการสอบคัดเลือก กสพท. (หน่วยงานที่ดูแลการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อคณะแพทยศาสตร์ทั่วประเทศ) ได้แสดงความเห็นผ่านทางทีมข่าวการศึกษาเว็บไซต์เด็กดีดอทคอมว่า “ในโฆษณาดังกล่าวที่สื่อความหมายว่า ดื่มแล้วจะสอบติดคณะแพทยศาสตร์ได้นั้น ไม่เห็นด้วยอย่างมาก เพราะมองว่าการสอบติดคณะแพทยศาสตร์ กับการดื่มเครื่องดื่มนั้นไม่มีความสัมพันธ์กัน การที่นักเรียนจะสอบติดคณะแพทยศาสตร์ได้ อยู่ที่การฝึกฝน และพยายามของแต่ละบุคคล จึงอยากให้สังคม และนักเรียนที่อยากสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์โปรดใช้วิจารณญาณต่อภาพยนตร์โฆษณาชุดดังกล่าว และทำความเข้าใจใหม่ในความเชื่อที่ผิด

ตอบข้อซักถามที่ว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะร่วมกัน ออกกฏห้าม นศพ.ไปเป็นพรีเซนเตอร์ผลิตภัณฑ์ หรือสินค้าโฆษณาเกินจริงหรือไม่? ทาง รศ.พญ.นันทนา ได้เปิดเผยต่อว่า “ในอนาคตทางกลุ่มของคณะแพทยศาสตร์เห็นพ้องร่วมกันว่า เตรียมที่จะมีนโยบายให้คณาจารย์คณะแพทยศาสตร์ทุกสถาบัน ทำความเข้าใจกับ นศพ.ชั้นปีที่ 1 ในงานปฐมนิเทศก่อนเข้ารับการศึกษา โดยยึดหลักจรรยาบรรณของวิชาชีพแพทย์ ที่จะต้องรับใช้และมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยจากข้อมูลที่ได้มาของปี 2556 พบว่า นศพ.ปี 1 จะถูกผลิตภัณฑ์สินค้าดังกล่าว นัดให้ไปถ่ายเป็นพรีเซนเตอร์ในช่วงก่อนกำหนดรายงานตัวเข้าศึกษา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหนือการควบคุมของคณะแพทยศาสตร์นั้นเอง

ทั้งหมดนี้เป็นบทสัมภาษณ์ที่ทางพี่ ๆ ทีมข่าวการศึกษา เว็บไซต์เด็กดีดอทคอมไปสัมภาษณ์มานะครับ คงจะสยบข่าวลือได้ในระดับนึง แต่จะว่าไปแล้วทั้งหมดก็เป็นเรื่องภายในของคณะแพทยศาสตร์ ที่มองว่าการกระทำดังกล่าวนั้นมีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร แต่ในฐานะคนนอกอย่างพวกเราก็ต้องอย่าลืมว่า ให้ใช้วิจารณญาณในการรับข่าวสารด้วยเช่นกันครับ พี่ลาเต้ เชื่อว่าเด็กไทยไม่มีใครสามารถมาหลอกได้ง่ายๆ จริงไหมครับ ?

http://www.dek-d.com/content/admissions/32393/

กลยุทธ์สิงคโปร์สร้างห้องสมุดเป็นบ้านหลังที่ 3

ชวนคิด ชวนมอง .. กันคนละมุม ..
ที่สิงคโปร์จะให้ห้องสมุดเป็นบ้านหลังที่สาม
ผมว่ากลยุทธ์นี้ไม่ work สำหรับคนไทย
.. เพราะปัจจุบันคนไทยส่วนหนึ่งและจะเป็นส่วนใหญ่ในไม่ช้า
ได้ยึด facebook เป็นบ้านหลังที่สามไปเรียบร้อยแล้ว

 

 

ภาพประกอบจาก Zongkiat Pavadee
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=616988631658868&set=a.261783827179352.72887.100000432096291

singapore
singapore

กลยุทธ์สิงคโปร์สร้างห้องสมุดเป็นบ้านหลังที่ 3
การพัฒนาคน สิ่งสำคัญคือการให้ความรู้ ซึ่งสิงคโปร์ถือเป็นต้นแบบแห่งการเรียนรู้ ที่ใช้การอ่านเป็นเครื่องมือ โดยเน้นกลยุทธ์ปลูกฝังนิสัยรักการอ่านตั้งแต่วัยเด็กจนถึงชรา สร้างห้องสมุดให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายและกลายเป็นบ้านหลังที่ 3  รวมทั้งโครงการอ่านหนังสือที่เหมาะกับวัยต่างๆ
การเข้าใช้บริการห้องสมุดของชาวสิงคโปร์ที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยประชากรในประเทศมี 5 ล้านคน และเกือบครึ่งนึงของจำนวนประชาชน พวกเขาเป็นสมาชิกห้องสมุด โดยในปี 2546 มีผู้เข้าใช้จำนวน 31.2 ล้านครั้ง และในปี 2554  เพิ่มเป็น 37.5 ล้านครั้ง   ส่วนสถิติการยืม ในปี 2546 มีจำนวน 27.5 ล้านครั้ง ก็เป็น 36.6 ล้านครั้ง ในปี 2554  ขณะที่การยืมต่อหัวอยู่ในระดับคงที่ระหว่าง 5.7 และ 7.1 
การเปลี่ยนแปลงนี้ มาจากรัฐบาลสิงคโปร์ได้จัดตั้งคณะกรรมการห้องสมุดแห่งชาติ หรือ NLB ขึ้น เพื่อกำกับดูแลห้องสมุดแห่งชาติ ในการพัฒนาระบบโครงสร้างตั้งแต่ปี 2538 โดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี ในการให้บริการห้องสมุดที่เชื่อมโยงทั่วโลก เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต และมีเครือข่ายห้องสมุดประชาชนทั้ง 25 แห่งทั่วประเทศเป็นผู้ให้บริการ  โดยห้องสมุดเหล่านี้  สร้างขึ้นในหลายสถานที่ เช่นห้างสรรพสินค้า ตามแคว้นต่างๆ และเป็นห้องสมุดเฉพาะกลุ่ม เช่น ห้องสมุดด้านศิลปะการแสดง เพื่อรองรับการใช้บริการของคนทุกเพศ ทุกวัย

http://newspapers.nl.sg/Digitised/Page/today20030306-1.1.3.aspx

http://newspapers.nl.sg/Digitised/Page/today20030306-1.1.3.aspx
http://newspapers.nl.sg/Digitised/Page/today20030306-1.1.3.aspx

NLB ได้ปูพื้นฐานนิสัยรักการอ่านตั้งแต่เยาวชนจนถึงคนชรา ผ่านโครงการต่าง ๆ มากมาย เช่น Mystery Brown Bag Service  โดยให้บรรณารักษ์และอาสาสมัครจัดหนังสือตามธีมบรรจุกระเป๋า เพื่อให้บริการสำหรับผู้มีเวลาน้อย แต่ต้องการอ่านหนังสือ การมีรถบัสห้องสมุดเคลื่อนที่ เพื่อให้บริการแก่ผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมายังห้องสมุดได้ หรือกิจกรรม Book Exchange เพื่อส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนหนังสือใช้แล้วและแบ่งปันการรักการอ่านระหว่างกัน
เสถียรภาพทางการเมือง ก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้นโยบายด้านการอ่านของสิงคโปร์ประสบความสำเร็จ เพราะมีการลงทุนทางกายภาพ และการทำงานเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง

ด้านรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หนึ่งในผู้ไปดูงานของสิงคโปร์  บอกว่า ประเทศไทยมีนโยบายการสร้างห้องสมุดชุมชนและในเมืองให้มากขึ้น ในช่วงปี 2557 ถึง 2558  โดยเห็นว่า นอกจากจะพัฒนาห้องสมุดแล้ว ยังต้องพัฒนาศักยภาพของบรรณารักษ์ด้วย

อาคารห้องสมุดแห่งชาติแห่งนี้ ถือเป็นสัญลักษณ์ความรู้ประจำชาติ โดยสิงคโปร์เป็นประเทศที่ขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ จึงจะต้องผลิตคนที่มีคุณภาพเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ เพื่อให้ความรู้ที่ได้ ก่อให้เกิดจินตนาการ และความเป็นไปได้ นั่นคือเป้าหมายของ NLB  ที่จะสร้างสังคมที่มีคนน้อย ให้พัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืน

by wipa
http://news.voicetv.co.th/global/75568.html