Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

เผยเกษตรกร…แห่เทียบระดับกับ กศน.

7 พฤษภาคม 2556

ดร.ชัยยศ อิ่มสุวรรณ รองเลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) เปิดเผยว่า ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการประเมินเทียบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2556 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย.2556 ส่งผลให้นโยบายจบ ม.6 ภายใน 8 เดือนสามารถเดินหน้าได้อย่างเต็มตัวแล้ว เพราะทำให้การประเมินการศึกษาขั้นพื้นฐานมี 2 วิธี คือ 1. การประเมินระดับการศึกษา ซึ่งเป็นการประเมินความรู้ ความคิด โดยการสอบ สามารถประเมินได้ทีละระดับ และ 2. การประเมินเทียบระดับการศึกษาในระดับสูงสุดของการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นการประเมินประสบการณ์ โดยกรรมการ 5 คน หรือ จบ ม.6 ใน 8 เดือน เนื่องจากการประเมินวิธีนี้สามารถประเมินข้ามระดับได้ และผู้ที่ผ่านการประเมินประสบการณ์จะสามารถสะสมผลการประเมินส่วนนี้ไว้ได้เป็นเวลา 5 ปี ทำให้คนกลุ่มนี้มีโอกาสจบได้ภายใน 8 เดือน อย่างไรก็ตามเมื่อมีวิธีการประเมินเทียบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2 วิธี ทำให้ประชาชนมีทางเลือกมากขึ้น ส่วนใครควรจะเข้ารับการประเมินด้วยระบบใดนั้นต้องเป็นหน้าที่ของศูนย์เทียบระดับที่จะต้องให้คำแนะนำหรือแนะแนวการศึกษาให้

รองเลขาธิการ กศน. กล่าวต่อไปว่า สำหรับผลการประเมินเทียบระดับปีการศึกษาที่ 2/2555 ที่ผ่านมา มีผู้สมัครเข้ารับการประเมิน 6,536 คน ใน 356 สถานศึกษา พบว่า มีผู้ผ่านการประเมิน 4,819 คน หรือ ร้อยละ 73.73 เมื่อจำแนกตามระดับพบว่า ระดับประถม มีผู้สมัคร 1,049 คน ผ่าน 863 คน ม.ต้น สมัคร 2,397 คน ผ่าน 1,738 คน และ ม.ปลาย สมัคร 3,090 คน ผ่าน 2,432 คน ส่วนอายุเฉลี่ยของผู้ที่เข้ารับการประเมินอยู่ที่ 40 ปีขึ้นไป สำหรับอาชีพที่เข้ารับการประเมินมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ เกษตรกร ค้าขาย และ รับจ้าง

“ที่ผ่านมาผู้ที่เข้ารับการประเมินเทียบระดับ กับ กศน. จะมีทั้งที่นำผลการเทียบไปใช้ในการเรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่ไม่ต้องการคะแนนทดสอบความถนัดทั่วไป หรือแกต และความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ หรือแพต ขณะที่จำนวนไม่น้อยก็ไม่ได้ใช้เรียนต่อ แต่ก็เป็นการสร้างความภาคภูมิใจว่าสามารถเรียนจบ ม.ปลาย อย่างไรก็ตามคงต้องมีการทำวิจัย เพื่อดูว่ามีการนำผลการเทียบระดับไปทำอะไรที่เป็นประโยชน์ได้บ้าง” ดร.ชัยยศ กล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32615&Key=hotnews

หวั่นเด็กใช้ภาษาไทยไม่ถูกต้องแนะเร่งปลูกฝังการใช้หลักภาษาที่ถูกต้อง

7 พฤษภาคม 2556

รศ.ดร.ประเสริฐ ปิ่นปฐมรัฐ คณบดี คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) กล่าวถึง การใช้ภาษาของวัยรุ่นในปัจจุบัน ว่า เป็นเรื่องของการใช้สนทนากันระหว่างกลุ่มและเข้าใจเฉพาะกลุ่ม ซึ่งคำต่างๆ นั้นจะพบมากในสื่อออนไลน์ เช่น ชิมิจุงเบย บองตง เป็นต้น โดยคำพวกนี้จะเป็นที่นิยมเพียงระยะหนึ่ง และเปลี่ยนหาคำสื่อสารอื่นๆ ขึ้นมาแทน เพื่อสื่อสารให้เกิดความเข้าใจและเพลิดเพลินระหว่างกลุ่มเพื่อน แต่สิ่งที่ควรเฝ้าระวัง คือการนำคำพวกนี้มาใช้ในภาษาเขียน จะทำให้เกิดความสับสน เช่น คำว่า ครับ ซึ่งในสื่อออนไลน์จะเขียน คับ ไม่มี ร.เรือ และถ้าเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จะทำให้เกิดการใช้ภาษาที่ผิด และอาจให้เกิดความสับสนได้ในอนาคต

นอกจากนี้ เด็กในยุคปัจจุบัน การเขียนจดหมาย เรียงความ จะไม่มีความสละสลวยในการใช้ภาษา มีการใช้ภาษาอย่างไม่ถูกกาลเทศะ ไม่มีการใช้ภาษาเรียบเรียงเหมือนเช่นสมัยก่อน เช่น คำขึ้นต้นในจดหมาย ไม่สามารถแยกระหว่างเรียนเชิญ กราบเรียนเชิญ เพราะเด็กใช้คำที่ใช้การสื่อสารจนเกิดความเคยชิน ซึ่งในอีก 10 ปีข้างหน้า หากเด็กกลุ่มนี้เป็นผู้ใหญ่ จะทำให้คำสุภาพหรือคำที่เป็นทางการหายไป จะทำให้เกิดปัญหากับภาษาไทยอย่างแน่นอน ดังนั้น ในขณะนี้สถานศึกษาจึงควรเร่งปลูกฝังการใช้ภาษาที่ถูกวิธีให้กับเด็กนักเรียน

ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32614&Key=hotnews

ปรับระบบ ชพค./ชพส. 30 วัน ถึงทายาท

7 พฤษภาคม 2556

นายสมศักดิ์ ตาไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เปิดเผยถึงการปรับปรุงการจ่ายเงินการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) และการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเหลือเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษาในกรณีคู่สมรสถึงแก่กรรม (ช.พ.ส.) ให้เร็วขึ้นว่า ที่ผ่านมาทั้งช.พ.ค. และ ช.พ.ส. กว่าจะมีการจ่ายเงินสงเคราะห์ให้แก่ทายาท ต้องใช้เวลานานเป็นปี ซึ่งในสมัยนายเกษมกลั่นยิ่ง เลขาธิการ สกสค.คนแรก ได้พยายามปรับปรุงแก้ไขให้สามารถจ่ายได้ใน 90 วัน แต่ปัจจุบัน สกสค.มีนโยบายที่จะนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จ โดยเฉพาะการจ่ายเงินสงเคราะห์ให้รวดเร็ว ทันใจ ทันเหตุการณ์โดยเริ่มตั้งแต่ต้นเดือน พ.ค. 56 นี้

นายสุรเดช พรหมโชติ รองเลขาธิการ สกสค.ซึ่งกำกับดูแลงานของสำนักสวัสดิภาพครู กล่าวว่าคณะกรรมการ ช.พ.ค. มีมติกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการจ่ายเงินสงเคราะห์ใหม่ โดยจะใช้เงินทุนสำรองจ่ายไปก่อนเพื่อให้ครอบครัวของสมาชิกที่ถึงแก่กรรมได้รับเงินสงเคราะห์เร็วยิ่งขึ้น โดยกรณีสมาชิกที่ถึงแก่กรรมและไม่มีภาระหนี้สินจากโครงการสวัสดิการเงินกู้ และหรือไม่มีการโต้แย้งสิทธิ์ในการรับเงินสงเคราะห์ ทางครอบครัวหรือทายาทผู้มีสิทธิ์จะได้รับเงินภายใน 30 วันทำการนับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศรายชื่อ แต่สำหรับกรณีสมาชิกที่มีภาระหนี้สินจากโครงการสวัสดิการเงินกู้ และ/หรือมีการโต้แย้งสิทธิ์ จะได้รับเงินภายใน30 วันทำการ นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่มีการชำระหนี้ถูกต้องครบถ้วนหรือมีการยุติข้อโต้แย้งอันเป็นการสิ้นสุดแล้ว โดยหลักเกณฑ์ใหม่ได้เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ได้กำชับผู้อำนวยการทั้งส่วนกลาง และสกสค. จังหวัดให้เอาใจใส่อย่างดีด้วย

ทั้งนี้ โครงการ ช.พ.ค. เริ่มก่อตั้งครั้งแรกในปีพ.ศ.2494 ซึ่งขณะนั้นมีสมาชิก 21,957 ราย โดยจะมีสมาชิกเสียชีวิตเฉลี่ยเดือนละ 32 ราย ซึ่งทายาทจะได้รับค่าจัดการศพ 2,000 บาท และค่าสงเคราะห์ศพ7,795 บาท แต่ปัจจุบันมีสมาชิก 974,649 ราย และสมาชิกเสียชีวิตเฉลี่ยเดือนละ 500 ราย ทายาทได้รับค่าจัดการศพ 200,000 บาท และค่าสงเคราะห์ศพ734,000 บาท ส่วน ช.พ.ส. เริ่มก่อตั้งปี พ.ศ.2518 ปัจจุบันมีสมาชิก 392,820 ราย เสียชีวิตเฉลี่ย 230 ราย ได้รับค่าจัดการศพ 100,000 บาท และค่าสงเคราะห์ศพ 277,000 บาท

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32613&Key=hotnews

เล็งติดเซ็นเซอร์เตือนล็อกรถร.ร. สช.หวั่นซ้ำรอย’น้องเอย’-ชงศธ.เร่งแก้ระเบียบ

7 พฤษภาคม 2556

นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) จะเสนอกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ออกระเบียบให้รถรับส่งนักเรียนระดับต่ำกว่าชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ลงมา โดยเฉพาะรถตู้โรงเรียน ติดอุปกรณ์ตรวจจับสัญญาณ หรือระบบเซ็นเซอร์ ไว้ในรถทุกคัน ซึ่งตัวเซ็นเซอร์นี้จะส่งสัญญาณทันที ถ้าล็อกรถแล้วพบว่ายังมีสิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหวอยู่ภายในรถ ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดกรณีซ้ำรอย ด.ญ.มนัสนันท์ ทองภู่ หรือ น้องเอย ที่ถูกครูลืมไว้บนรถตู้จนเสียชีวิตในเวลาต่อมา

“ระเบียบของศธ.ที่ใช้ควบคุมดูแลรถโรงเรียน คือ ระเบียบศธ.ว่าด้วยการควบคุมดูแลการใช้รถโรงเรียน ปี 2536 นั้น ก็มีความรัดกุมอยู่แล้ว แต่ถ้าแก้ไขเพิ่มเติมเรื่องการติดเซ็นเซอร์ในรถโรงเรียนเข้าไป ก็จะเป็นหลักประกันความปลอดภัยให้กับเด็กเล็กมากขึ้น อย่าลืมว่าเด็กเล็ก ถ้าถูกลืมไว้บนรถ เด็กจะไม่สามารถช่วยตัวเองได้เหมือนเด็กโต เด็กเล็กจะไม่รู้จักร้องเรียกให้คนมาช่วย แต่ถ้าในรถมีระบบเซ็นเซอร์ก็จะส่งเสียงสัญญาณเตือนที่ล็อกรถ ว่ายังมีคนตกค้างอยู่ภายในรถ ขณะที่ปัจจุบันค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบเซ็นเซอร์นี้ก็ไม่สูงแล้ว” นายบัณฑิตย์ กล่าว

เลขาธิการ สช.กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ สช.กำลังทำเรื่องขอแก้ไขระเบียบ ศธ.ว่าด้วยการควบคุมดูแลการใช้รถโรงเรียนปี 2536 อยู่ แต่ระหว่างนี้ สช.มีหนังสือไปถึงผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนเอกชนทุกแห่ง ให้ซักซ้อมความเข้าใจตามแนวปฏิบัติในระเบียบดังกล่าว โดย เฉพาะการเช็กชื่อนักเรียนที่รับ-ส่งให้ครบถ้วน ซึ่งจริงๆ แล้ว โรงเรียนส่วนใหญ่ก็ดูแลนักเรียนด้วยความรอบคอบอยู่แล้ว และสช.ยังได้ขอความร่วมมือให้โรงเรียนเอกชนทุกแห่ง ติดตั้งอุปกรณ์จับสัญญาณในรถโรงเรียนด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32612&Key=hotnews

เปิดหลักสูตรเทคโนบัณฑิต

7 พฤษภาคม 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุม กอศ.เห็นชอบเปิดสอนหลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิต ของ 9 สถาบันการอาชีวศึกษา 43 วิทยาลัย 6 ประเภทวิชา 16 สาขาวิชา โดยเสนอปรับปรุงหลักสูตรให้เป็นหลักสูตรเทคโนโลยี ป.ตรี สายปฏิบัติการจริงๆ และระบุให้ชัดว่า เด็กแต่ละคนเมื่อเรียนจบจะเชี่ยวชาญด้านใด โดยให้มีหน่วยกิตการเรียนภาคปฏิบัติไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ปฏิบัติงานในสถานประกอบการ 1 ปี และในหมวดวิชาทักษะชีวิตควรตัดวิชาที่เด็กไม่ได้ใช้ประโยชน์ โดยเพิ่มเติมเรื่องที่จะผูกโยงกับการปฏิบัติอาชีพจริงๆ

ส่วนการเรียนการสอนทวิภาคีร่วมกับสถานประกอบการ ต้องทำข้อตกลงเพื่อระบุให้เด็กฝึกประสบการณ์ในสถานประกอบการ 1 ภาคเรียน โดยได้รับค่าตอบแทน สวัสดิการ ทั้งนี้ให้ทุกสถาบันไปดำเนินการตามข้อเสนอแนะของบอร์ด และเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดสอนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 วันที่ 10 มิ.ย.นี้

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32611&Key=hotnews

มข.ปลื้มรับจัดสรรงบ ’57 เพิ่ม 4 พันล้าน ผุดพิพิธภัณฑ์วิทย์-เสริมภาษา น.ศ. ถก ‘พงศ์เทพ’ 7 พ.ค. ขอเงินวิจัยเพิ่ม

7 พฤษภาคม 2556

นายกิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2557 มข.ได้รับจัดสรรงบประมาณ 4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2556 ที่ได้รับจัดสรร 3.7 พันล้านบาท โดยงบที่ได้รับจัดสรรเพิ่มเติมส่วนใหญ่เป็นงบก่อสร้าง โดยจะก่อสร้างอาคารฟิสิกส์หลังใหม่ เพราะอาคารหลังเดิมเก่ามาก ปรับปรุงระบบประปาในมหาวิทยาลัย และก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ เพื่อรองรับการประชุมนานาชาติด้านพันธุกรรม ในปี 2558 และเพื่อให้เด็กและเยาวชนในภูมิภาคได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติเช่นเดียวกับเด็กและเยาวชนในกรุงเทพฯ โดยจะสร้างในรูปแบบเดียวกับองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ จ.ปทุมธานี

นายกิตติชัยกล่าวว่า แต่ที่น่าสนใจคือการจัดสรรงบ ในปี 2557 รัฐบาลให้งบเกี่ยวกับอาเซียน และ สหกิจศึกษาเพิ่มขึ้นประมาณ 50-60 ล้านบาท โดยงบเกี่ยวกับอาเซียนได้รับจัดสรร 30-40 ล้านบาท ส่วนงบสหกิจศึกษาได้ประมาณ 20 ล้านบาท ส่วนงบวิจัยและพัฒนา ยังไม่ทราบว่าจะได้รับจัดสรรเท่าไร ต้องรอหารือกับนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในวันที่ 7-8 พฤษภาคม อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมารัฐบาลมีพันธสัญญาว่าจะให้งบวิจัยและพัฒนากับมหาวิทยาลัย 9 พันล้านบาท แต่จนถึงขณะนี้เพิ่งจัดสรรให้เพียง 6 พันล้านบาท อย่างปีที่ผ่านมา มข.ได้ของบวิจัยไป 300 ล้านบาท แต่ได้รับจัดสรรเพียง 220 ล้านบาท จึงได้นำเงินรายได้ของ มข.สมทบลงไป

“เนื่องจาก มข.ต้องการส่งเสริมให้นักศึกษาเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน จึงได้ให้ข้อมูลว่าเมื่อเรียนจบแล้ว ตลาดแรงงานไม่ได้อยู่ในประเทศเท่านั้น ถ้าอยากได้งานดีๆ มีรายได้ดี ก็ต้องไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในเวียดนาม ที่ขณะนี้นักธุรกิจไทยไปลงทุนในเวียดนามจำนวนมาก และเพื่อเพิ่มศักยภาพให้เด็กไทย มข.จึงจัดงบส่งเสริมให้นักศึกษาเรียนภาษาของประเทศในอาเซียน ซึ่งภาษาที่นักศึกษาให้ความนิยมมากที่สุดคือ เวียดนาม จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และอังกฤษ โดยนักศึกษานิยมเรียนภาษาเวียดนามมากที่สุด โดยเมื่อปีการศึกษา 2555 มีเรียนเพิ่มขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ จากเดิมมีไม่กี่สิบคน เพิ่มขึ้นเป็น 500 กว่าคน ส่วนการสอนภาษาอังกฤษ มข.ได้ปรับเปลี่ยนวิธีโดยให้สถาบันสอนภาษาอังกฤษ ซึ่งมีทั้งอาจารย์ต่างชาติ และอาจารย์ไทย ซึ่งจะพัฒนาการเรียนการสอนแบบใหม่ เพื่อไม่ให้เด็กเบื่อ” นาย กิตติชัยกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32610&Key=hotnews

ศธ.ชง ครม.ขึ้นเงินเดือนพนักงาน 76 มหาวิทยาลัย…เฮ

7 พฤษภาคม 2556

พนักงานมหา’ลัย เฮ ศธ.ชง ครม. อนุมัติขึ้นเงินเดือนกว่า 6 หมื่นคน 76 มหาวิทยาลัยรัฐทั่วประเทศ มีผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 ม.ค. 55

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เสนอให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณเพื่อเบิกจ่ายเงินปรับเพิ่มเงินเดือนพนักงานที่บรรจุก่อนวันที่ 1 มกราคม 2555 เพื่อให้พนักงานมหาวิทยาลัยมีเงินเดือน และสวัสดิการเทียบเท่าข้าราชการ รวมถึงเสนอการปรับโครงสร้างค่าตอบแทน/อัตราเงินเดือนแรกบรรจุใหม่ ว่า ขณะนี้เรื่องดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลั่นกรอง ที่มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานแล้ว และจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 7 พฤษภาคม

นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวว่า หาก ครม. มีมติเห็นชอบตามที่ ทปอ.เสนอ จะ ส่งผลให้พนักงานมหาวิทยาลัย กว่า 60,000 คน จากมหาวิทยาลัยรัฐ 76 แห่ง แบ่งเป็น มหาวิทยาลัยในกลุ่ม ทปอ. 27 แห่ง กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) 40 แห่ง และกลุ่มมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) 9 แห่ง ได้รับการเพิ่มเงินเดือนย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป โดยในปีงบประมาณ 2556 คือ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555-30 กันยายน 2556

“สำนักงบประมาณขอให้มหาวิทยาลัยใช้เงินของมหาวิทยาลัยจ่ายไปก่อน แต่จะตั้งงบประมาณแผ่นดินให้ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2557 เป็นต้นไป ซึ่งเบื้องต้นใช้งบประมาณรวมตั้งแต่ปี 2555-2557 ประมาณ 11,000 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับเพิ่มเงินเดือนให้แก่พนักงานมหาวิทยาลัยกลุ่มดังกล่าว จำนวนปีละ 3,000 กว่าล้านบาท” นพ.เฉลิมชัยกล่าว

อธิการบดี มศว กล่าวต่อว่า สำหรับสูตรที่ ทปอ.เสนอให้สำนักงบประมาณพิจารณา มี 2 สูตร ได้แก่

1.  กรณีพนักงานที่ทำงานไม่เกิน 10 ปี และยังได้รับเงินเดือนน้อยกว่าอัตราบรรจุใหม่ ที่รัฐบาลให้กับพนักงานมหาวิทยาลัยที่เข้าทำงานหลังวันที่ 1 มกราคม 2555 สูตรนี้จะให้พนักงานมหาวิทยาลัยเดิมได้รับเงินเดือนเท่ากับพนักงานมหาวิทยาลัยที่เข้าใหม่ หรือไม่น้อยกว่าพนักงานมหาวิทยาลัยที่บรรจุใหม่ทุกคนตามนโยบายรัฐบาล และสูตรที่

2.  กรณีพนักงานมหาวิทยาลัยที่ทำงานตั้งแต่ 2-10 ปี สูตรนี้ จะใช้วิธีทอนจำนวนเปอร์เซ็นต์ลง โดยพนักงานที่ทำงานมาแล้ว 1 ปี จะได้รับเงินเดือนห่างจากพนักงานใหม่ 1,000 บาท ในขณะที่พนักงานที่ทำงาน 2 ปี จะได้รับเงินเดือนห่างจากคนที่ทำงาน 1 ปี แค่ 900 บาท ถัดไปเรื่อยๆ ตามอายุงาน ซึ่งการคิดคำนวณการเพิ่มลักษณะนี้ ทำให้การจัดสรรงบประมาณเป็นจริงได้ แต่ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการกลั่นกรองเห็นชอบตามสูตรแรกเท่านั้น ส่วนสูตรที่ 2 ไม่เห็นชอบ เพราะเห็นว่าต้องใช้งบประมาณมากเกินไป

หาก ครม.มีมติอนุมัติตามที่เสนอ ถือเป็นเรื่องดี ทำให้เกิดความเป็นธรรมกับพนักงานที่เข้าทำงานก่อนวันที่ 1 มกราคม 2555 มากขึ้น เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับพนักงานมหาวิทยาลัย แต่ไม่ถือว่าเป็นธรรม 100% เพราะเท่ากับว่า คนที่ทำงานมาก่อนจะได้ขึ้นเงินเดือนเท่ากับพนักงานมหาวิทยาลัยใหม่ แต่ถ้าจะให้เกิดความเป็น ธรรมจริงๆ ควรจะเพิ่มให้ตามสูตรที่ 2 คือคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ตามอายุงาน ส่วนจะได้เพิ่มขึ้นประมาณเท่าไรนั้น คงตอบไม่ได้ เพราะแต่ละคนขึ้นไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับอายุงาน และขึ้นกับวุฒิการศึกษาด้วย” นพ.เฉลิมชัยกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32609&Key=hotnews

‘ภาวิช’ แนะมหาวิทยาลัยวางระบบสกัดลอกวิทยานิพนธ์

7 พฤษภาคม 2556

นายภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยถึงกรณีที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) จะใช้เครื่องตรวจสอบวิทยานิพนธ์ ตรวจสอบผลงานของนักศึกษาและผลงานที่จะสามารถเข้าสอบได้ จะต้องผ่านการตรวจสอบและได้รับใบรับรองก่อนว่าไม่ได้ลอกใครมา ว่าแนวทางที่มหาวิทยาลัยจะดำเนินการดังกล่าว เป็นสิ่งที่ดี แต่ตนกลัวว่ามหาวิทยาลัยจะเดินหลงทาง เพราะเครื่องตรวจสอบวิทยานิพนธ์ที่มหาวิทยาลัยจะจัดทำขึ้นนั้น เป็นเพียงการตรวจสอบเบื้องต้น และตรวจสอบได้เฉพาะวิทยานิพนธ์ที่คัดลอกซ้ำซ้อนเท่านั้น แต่บริษัทรับจ้างทำวิทยานิพนธ์มีกระบวนการที่พัฒนามากขึ้น

“ตอนนี้การรับจ้างทำวิทยานิพนธ์ ไม่ใช่เป็นเพียงการคัดลอกผลงานอย่างเดียว แต่เป็นการทำวิทยานิพนธ์ฉบับใหม่ขึ้นมาทั้งฉบับ ไม่ได้คัดลอกผลงานของใคร หรือถ้ามีการคัดลอก พวกบริษัทรับจ้างทำวิทยานิพนธ์ ก็มีกระบวนการ หรือโปรแกรมในการจัดทำวิทยานิพนธ์ ที่รับรองต่อผู้จ้างทำวิทยานิพนธ์ว่าเครื่องตรวจสอบวิทยานิพนธ์ไม่สามารถตรวจสอบได้ อยากให้มหาวิทยาลัยช่วยคิดและวางกระบวนการที่สามารถตรวจสอบวิทยานิพนธ์ที่เป็นระบบมากกว่านี้” นายภาวิชกล่าว และว่า ในสัปดาห์หน้า ตนจะทำหนังสือถึงนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เพื่อขอให้ช่วยหาทางแก้ไข ซึ่งจากการหารือเบื้องต้น ทางดีเอสไอยินดี

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32608&Key=hotnews

เปิดชิงทุน ‘1 อำเภอ’ 17 มิ.ย. – 31 ก.ค. ยึดเกณฑ์เดิมผ่านเกณฑ์ 70 %

7 พฤษภาคม 2556

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน เมื่อเร็วๆ นี้ ว่าที่ประชุมรับทราบรายงานผลการคัดเลือกโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน รุ่นที่ 4 (ปีงบประมาณ 2556-2563) ซึ่งในการสอบคัดเลือกที่ผ่านมา

ทุนประเภทที่ 1 ผู้รับทุนมีผลการเรียนดี ครอบครัวมีรายได้ไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี มีผู้สอบผ่านทั้งสิ้น 12 คน

ทุนประเภทที่ 2 ทุนเรียนดี ไม่จำกัดรายได้ครอบครัว มีผู้สอบผ่านทั้งสิ้น 86 คน รวมผู้ได้รับทุนทั้งสิ้น 98 คน

ยังเหลือทุนอีก 1,758 ทุน

ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีมติให้เปิดรับสมัครสอบคัดเลือกรอบที่ 2   โดย จะรับสมัครในวันที่ 17 มิถุนายน – 31 กรกฎาคม สอบข้อเขียน วันที่ 13 ตุลาคม สอบสัมภาษณ์ประมาณวันที่ 8 ตุลาคม

ทั้งนี้ ที่ต้องใช้คำว่าประมาณ เนื่องจากหากตรงกับการสอบในระดับ ม.ปลาย หรือกิจกรรมอื่นของมหาวิทยาลัย อาจจะต้องเลื่อนขยับวันออกไป คาดว่าจะประกาศรายชื่อผู้รับทุนได้ประมาณเดือนธันวาคม และผู้ได้รับทุนจะไปเรียนต่อในเดือนกันยายน 2557 สำหรับเกณฑ์คัดเลือกไม่เปลี่ยนแปลง โดยจะต้องทำคะแนนรวมได้ไม่ต่ำกว่า 70%

รัฐมนตรีว่าการ ศธ.กล่าวต่อว่า ในการเปิดรับสมัครรอบแรกที่ผ่านมา มีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ 20,381 คน มีผู้เข้าสอบ 17,869 คน แต่คะแนนการสอบยังไม่ถึง 70% ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งในรอบที่ผ่านมา มีคนสอบได้น้อย อาจเป็นเพราะส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการรับตรง และการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในส่วนต่างๆ เนื่องจากทุนอำเภอมีน้อย โอกาสได้ยาก แต่ช่วงนี้ผลการสอบต่างๆ ออกมาแล้ว เชื่อว่าจะมีเด็กให้ความสนใจมาสมัครสอบแข่งขันเพื่อรับทุนอำเภอมากขึ้น

“สำหรับข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ที่ขอให้พิจารณาทุนสำหรับนักเรียนอาชีวศึกษาเป็นกรณีพิเศษนั้น คงไม่สามารถทำได้ เนื่องจากข้อสอบไม่ได้แบ่งเป็นประเภทสายอาชีวศึกษา กับสายสามัญศึกษา วิชาสอบส่วนใหญ่จะเน้นในวิชาของสายสามัญ ซึ่งการปรับข้อสอบให้เป็นสายอาชีวะในขณะนี้ทำได้ลำบาก” นายพงศ์เทพกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32607&Key=hotnews

ปัญหาแท้จริงคืออะไร ตอบได้ด้วย why-why analysis

why why analysis
why why analysis

http://www.syque.com/improvement/Why-Why%20Diagram.htm

มีโอกาสประชุมสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้  เรื่อง “ประสบการณ์ในการทำหน้าที่ประธาน/กรรมการประเมินคุณภาพการศึกษาภายใน” เมื่อวันที่ 29 เม.ย.56 แล้ว 30 ก็เป็น http://www.cheqa.mhesi.go.th/ ซึ่งผลของการนำเสนอในวันที่ 29 มาจากข้อมูลในระบบ cheqa จึงเห็นภาพในวันที่ 30 ว่านำข้อมูลส่วนใดไปวิเคราะห์ และระบบช่วยป้องกันจุดตรวจสอบ (check point) ในอนาคตอย่างไร

เริ่มจาก ศ.เกียรติคุณ ดร.กิตติชัย วัฒนานิกร ฉายภาพรวมว่ามาทำอะไร จะเห็นอะไรในวันนี้ แล้ว ผศ.ประเสริฐ อัครประถมพงศ์ ให้ความรู้เรื่องการวิเคราะห์ว่ามีเครื่องมือชื่อว่า Root cause analysis, why-why analysis และ 5W1H แล้วก็หนุนให้ทำ KM และมีภาพน้ำแข็งที่ลอยกับที่จม หากไม่รู้ก็อาจชน ถ้าน้ำแข็งที่จมอยู่ก็นำมาใช้ไม่ได้ เป็นต้น ผศ.ดร.จินดา งามสุทธิ แจ้งว่า graph เส้นในเอกสารขอเปลี่ยนเป็นแท่งจะเหมาะสมกว่า  ซึ่งผลการศึกษา “ความสามารถด้านการประเมิน (Evaluation capacity)” จากข้อมูลปี 2553 และ 2554 จำแนกเป็น 6 องค์ประกอบ

! http://www.mua.go.th/users/bhes/bhes2/qa%20exc56/qa%20exc2556.html
! http://photopeach.com/album/xw38dn?ref=more

ความสามารถด้านการประเมิน มี 6 องค์ประกอบ ดังนี้

1. การรวบรวม ตรวจสอบ บันทึกข้อมูลครบถ้วนในระบบ CHE
1.1 บทสรุปสำหรับผู้บริหาร
1.2 รายนามคณะผู้ประเมินคุณภาพการศึกษาภายใน
1.3 สรุปข้อมูลพื้นฐานของสถาบัน
1.4 การวางแผนและการประเมิน (ก่อน ระหว่าง และหลังการตรวจเยี่ยม)
1.5 วิธีการตรวจสอบและความน่าเชื่อถือของข้อมูล

2. การให้ข้อสรุปเชิงประเมิน (Evaluative conclusion) ตามองค์ประกอบ/มาตรฐาน
เป็นการตรวจสอบความครบถ้วนของการลงข้อสรุป การแปลผล ตาม ป.2 – ป.5
2.1 จุดแข็ง/จุดอ่อน แนวทางเสริมจุดแข็ง/จุดที่ควรพัฒนา
2.2 ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงพัฒนา
2.3 ข้อสรุปตามองค์ประกอบคุณภาพ
2.4 ข้อสรุปตามมาตรฐานการอุดมศึกษา
2.5 ข้อสรุปตามมุมมองด้านการบริหารจัดการ

3. การตรวจสอบยืนยันความถูกต้องของข้อมูล CDS
3.1 การยืนยันข้อมูลตัวบ่งชี้ สมศ. และสำนักงาน ก.พ.ร.
3.2 การตรวจสอบการเขียนผลประเมินที่สอดคล้องกับ CDS
3.3 ความสามารถในการตรวจสอบข้อมูลที่ไม่สมเหตุสมผล
3.4 การเขียนสรุปผลประเมินสอดคล้องกับตัวเลข ตาราง ป.2- ป.5

4. การให้ข้อเสนอแนะที่สอดคล้องกับจุดแข็งจุดอ่อน (SWR) ตามบริบทของสถาบัน
ความสมเหตุสมผลของการให้ข้อเสนอแนะ
ถ้าองค์ 7 ตกประเมิน แล้วจะบอกว่า ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ และบุคลากรทุกระดับมีความรู้ความตั้งใจในการทำงานไม่ได้

5. การตรวจสอบร่องรอยหลักฐานประกอบผลประเมิน
มีหลักฐานจริง จึงจะให้คะแนนตามเกณฑ์ได้

6. การจัดทำบทสรุปผู้บริหารตามหลักเกณฑ์ที่ สกอ.กำหนด
6.1 ชื่อหน่วยงาน จุดประสงค์การก่อตั้ง และกลุ่มสถาบันอุดมศึกษาการปฏิบัติตามพันธกิจพร้อมพัฒนาการ
6.2 ผลการประเมินในภาพรวมตามองค์ประกอบคุณภาพ
6.3 ผลการประเมินในภาพรวมตามมาตรฐานการอุดมศึกษา
6.4 ผลการประเมินในภาพรวมตามมุมมองด้านการบริหารจัดการ
6.5 ผลการประเมินในภาพรวมตามมาตรฐานสถาบันอุดมศึกษา
6.6 จุดเด่น/แนวทางเสริม
6.7 จุดที่ควรพัฒนา/แนวทางแก้ไข
6.8 ข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาทั้งระยะสั้นและระยะยาว

กรณีศึกษา 15 กรณีให้ชวนแลกเปลี่ยน
! http://www.eit.or.th/dmdocuments/plan/why_why_analysis_3.pdf

หลักสูตรฝึกอบรม why-why analysis เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาด้วยเทคนิคการตั้งคำถาม ซึ่งเป็นเทคนิคที่สามารถค้นหาต้นตอของปัญหาไปพร้อมๆ กับแนวทางแก้ไขและป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้น
! http://www.thaicostreduction.com/DocFile/Seminar/031%20why%20why%20analysis.doc

กระเป๋าโลกร้อน
กระเป๋าโลกร้อน

http://www.facebook.com/photo.php?fbid=10151542200633895&set=a.450805098894.247019.814248894