Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

สำรวจ Camfrog โลกมืดใน Cyber Space ของวัยทีน

5 มกราคม 2550

โดย – วรัทยา ไชยลังกา

“You” หรือ “พวกคุณ” คือบุคคลแห่งปี ของนิตยสารไทม์ ประจำปี 2549 ในฐานะ คนในยุคปัจจุบันเป็นผู้ครอบครองสื่อทั่วโลก และเป็นผู้กำหนดทิศทางประชาธิปไตยในยุคดิจิตอลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยการสร้างสรรค์และใช้เว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ต จนทำให้เกิดเนื้อหาข่าวสารมากมายอย่างเว็บไซต์เครือข่ายบนอินเทอร์เน็ต “มายสเปซ” และเว็บไซต์แลกเปลี่ยนไฟล์วิดีโอ “ยูทิวบ์” เป็นต้น

แต่ “You” โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนในประเทศไทยกลับใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อเล่นพนันฟุตบอล เข้าเว็บไซต์เพื่อดูภาพลามก โดยเฉพาะในยุคไร้พรมแดนได้ก้าวไปสู่การโชว์เนื้อหนังกันโจ๋งครึ่ม …ไม่…ไม่ใช่แค่นั้น พวกเขาในโลกมืดที่ไปสร้างชุมชนคนในเว็บ โชว์กันถึงขนาดการสำเร็จความใคร่ รวมไปถึงการร่วมเพศ ไม่ว่าจะต่างเพศหรือเพศเดียวกัน ผ่านโปรแกรมวิดีโอ คอนเฟอเรนซ์ที่สุดอื้อฉาว นั่นคือ “แคมฟรอก” (Camfrog)

“แคมฟรอก” เป็นโปรแกรมแชตผ่านเว็บแคม (กล้องที่ติดกับคอมพิวเตอร์ที่ทำให้สามารถเห็นหน้าของคู่สนทนาอีกฝ่ายหนึ่ง) เป็นซอฟต์แวร์ชองบริษัท แคมแชร์ (Camshare) ผลิตออกมาเพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถแชร์เว็บแคมผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้ง่ายยิ่งขึ้น ส่วนใหญ่จะมีการพูดคุยและแสดงวิดีโอในหลายต่อหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว กีฬา ภาษา ดนตรี วัฒนธรรม หรือแม้แต่เรื่องราวที่สร้างความฮือฮามากที่สุดในเวลานี้คือ “เรื่องราวทางเพศ” มีการโชว์ภาพลามก ซึ่งกำลังระบาดในหมู่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตโดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษา

ในประเทศไทยพบว่า มีผู้ใช้โปรแกรมนี้มากเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา และจีน โดยเฉลี่ยคนไทยเข้าไปใช้บริการถึงวันละ 1,000-2,000 คน และอยู่ดูกันตลอด 24 ชั่วโมงเลยทีเดียว ดูกันนานกว่าประเทศอื่นๆ ในโลก ทั้งที่โปรแกรมนี้ใช้กันมานานทั้งในอเมริกา จีน สเปน เยอรมนี แต่ก็มีประชาชนให้ความสนใจเพียงวันละ 100-150 คน ดูกันเพียง 2-4 ชั่วโมงเท่านั้น

หลายคนที่เข้ามาใช้โปรแกรมแคมฟรอกเพื่อหาเพื่อนคุยแก้เหงา คลายเครียด รวมไปถึงการเข้ามาศึกษาพฤติกรรมการแสดงออกที่ไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรม ศีลธรรมอันดีของสังคมไทย

แต่สำหรับบางคน แคมฟรอกกลายเป็นช่องทางหรือเวทีการแสดงออกเพื่อให้ตนเองเป็นที่รู้จักหรือ “แจ้งเกิด” โดยคิดว่าการโชว์ตัวตนผ่านที่แห่งนี้ ซึ่งมีผู้คนสนใจดูเป็นจำนวนมาก ทำให้เป็นที่รู้จัก รายที่เคยโชว์การร่วมเพศ ก็จะมีซ้ำอีกรอบ 2 3 และ 4 แบบไม่อาย

 

สำหรับห้องสนทนาในแคมฟรอกแบ่งเป็น 2 หมวด คือ General และ 18+Only ห้องที่โชว์ลามกอนาจารจะอยู่ในหมวดหลัง และห้องที่กิตติศัพท์โด่งดังเป็นข่าวฉาวโฉ่คือ ห้อง “Junrai” เป็นห้องของคนไทยซึ่งใหญ่ที่สุดในหมวดหมู่ 18+Only มีผู้เล่นมากสุดขึ้นหลักพันเลยทีเดียว

ยิ่งกว่านั้น ช่วงเวลาที่เล่นยังเป็นตอนกลางวันแสกๆ ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการทำงาน นอกจากห้อง “Junrai” แล้วก็จะมีห้อง “MunzSudSud” ห้อง “xxxx Thai Girl Move xxxx” ห้อง “Gay Thai Cam” ห้อง “Chaina The GreatWall” ห้อง “Yed Hia” ห้อง “OoO CHINA Myth OoO” ห้อง “SiamX” ห้อง “SilkyWomen GoCracy” เป็นต้น

การโชว์ในรูปแบบต่างๆ ในแคมฟรอก จะมี 2 รูปแบบ คือ แบบเห็นหน้าและไม่เห็นหน้า ซึ่งในแต่ละห้องจะมีการโชว์ทั้งสองรูปแบบปะปนกันไป และเป็นที่รู้กันว่าจะมีกฎของห้อง ทุกคนต้องปฏิบัติตามหากไม่ปฏิบัติตามก็จะถูก “เตะ” เป็นภาษาในการเล่นแคมฟรอก คือการถูกผู้ดูแลขับออกจากห้อง ตัวอย่างห้อง Thai GirL Move

“ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ โดยเฉพาะสาวๆ จะ move มาที่นี่แน่นอนครับ ห้องนี้มันเป็นกงกำกงเกวียน จากกันแล้วจะได้มาเจอกันอีก กฎของห้องนี้ ทุกคนควรอ่าน ห้ามบันทึกวิดีโอใดๆ ทุกชนิดจากภาพที่เผยแพร่ในห้องนี้โดยเด็ดขาด ห้ามพูดจาส่อเสียดให้เกิดการทะเลาะวิวาทหรือด่าดูหมิ่นผู้อื่นเด็ดขาด ห้ามสั่งสาวโชว์โดยเด็ดขาด และให้เกียรติสุภาพสตรีด้วย ห้ามนำโหวต โพสต์เว็บ แจกเบอร์โทร e-mail หน้าห้องโดยเด็ดขาด กฎต่างๆ สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า”

นอกเหนือไปจากนักแสดงสดผ่านทางเว็บแคมแล้ว ในแคมฟรอกยังรวบรวมดีเจเสียงใสๆ ที่มักเป็นผู้สร้างสรรค์เสียงเพลงที่กระตุ้นอารมณ์ ความครื้นเครง ของคนในห้องแชตรูมเอาไว้ โดยเนื้อเพลงที่เปิดจะเป็นเพลงใต้ดินที่นำมามิกซ์ให้มีเนื้อหาลามกหยาบคาย นอกจากนี้ยังมีข้อความชวนโหวต “ใครอยากให้น้อง hot girl ปลด กระดุมช่วยกด 1 ด้วยครับ” ชวนให้ติดตามและน่าขบคิดว่าผลโหวตจะออกมาเป็นอย่างไร หรืออยากรู้ตอนจบของผลโหวต เป็นการแสวงหาความต้องการบางสิ่งบางอย่างจากคนแปลกหน้าตามคำบอกเล่าผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์

โปรแกรมแคมฟรอกนี้ไม่มีใครได้รับเงินตอบแทน กลุ่มคนที่เป็นเจ้าของสร้างขึ้นมา เพื่อความสนุกเท่านั้น ถือได้ว่าเป็นการนำโปรแกรมแกรมคอมพิวเตอร์มาใช้ในทางที่ผิด สร้างค่านิยมผิดๆ ให้กับวัยรุ่น และเป็นการทำลายวัฒนธรรมของไทย

ทั้งที่โดยเนื้อแท้แล้วโรแกรมแคมฟรอกสามารถนำมาใช้ประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดประชุมผ่านอินเทอร์เน็ต การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นสำหรับผู้พิการทางด้านร่างกายโดยการคุยกันด้วยภาษามือ นอกจากนี้ยังเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์

แต่ก็อย่างว่า เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่มีคุณประโยชน์นานัปการ แต่ถ้านำมาใช้ในทางที่ผิดก็ยากที่จะควบคุมผลร้าย ซึ่งจะตามมา

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ที่มา: กรุงเทพฯ-05 ม.ค.—โพสต์ทูเดย์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2381&Key=hotnews

วิทยาลัยอาชีวสิงห์บุรีสอนทำปลาร้า-ขนมไทยหนุนธุรกิจท่องเที่ยวโฮมสเตย์สร้างงานชุมชน

5 มกราคม 2550

นางสาวดรุณี ญาณวัฒนา ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาสิงห์บุรี กล่าวว่า จังหวัดสิงห์บุรี มียุทธศาสตร์ในการส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ โดยมีกลุ่มที่เข้าร่วมโครงการและได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีทำขนมไทยไว้ใช้เลี้ยงคณะท่องเที่ยวที่เข้ามาพัก นอกจากนี้จะจัดกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ฝึกทำขนมไทยอีกด้วย สำหรับการสอนทำอาหาร และขนมไทยนั้นถือเป็นอาชีพในการบริหารงานโฮมสเตย์ แล้วยังสามารถทำขายสู่ชุมชนและแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ซึ่งสามารถยกระดับความเป็นอยู่ของสมาชิกให้มีคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นอีกด้วย

โดยวิทยาลัยอาชีวศึกษาสิงห์บุรีได้เริ่มดำเนินการถ่ายทอดวิธีการทำขนมไทย ณ หมู่ที่ 1 ต.จักรสีห์ อ.เมืองสิงห์บุรีนอกจากทางวิทยาลัยฯ จะถ่ายทอดวิธีการทำขนมไทย

แก่ชุมชนแล้วทางวิทยาลัยฯ ยังมีโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตปลาร้าให้กับชุมชนในจังหวัดสิงห์บุรี อีกด้วย ทั้งนี้เนื่องจากจังหวัดสิงห์บุรี เป็นแหล่งน้ำจืดซึ่งมีปลาน้ำจืดอยู่เป็นจำนวนมาก สามารถสร้างรายได้ให้กับประชาชนในจังหวัดหลาย ๆ ด้านที่มีอาชีพเลี้ยงปลาเพื่อจำหน่าย เช่น การทำปลาร้า เนื่องจากปลาร้าเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมีธาตุอาหารหลายชนิด โดยเฉพาะธาตุ อาหารโปรตีนและธาตุแคลเซียม ซึ่งช่วยบำรุงกระดูกและฟัน

วิทยาลัยอาชีวศึกษาสิงห์บุรีจึงเริ่มดำเนินงานถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตปลาร้า ให้แก่ชุมชนในจังหวัดสิงห์บุรี ณ บ้านบางสำราญ ต.บางมัญ อ.เมืองสิงห์บุรี, บ้านท่าข้าม ต.ท่าข้าม อ.ค่ายบางระจัน, บ้านพระงาม ต.พระงาม อ.พรหมบุรี ซึ่งทั้งสองโครงการเริ่มดำเนินงานตั้งแต่บัดนี้ จนถึงเดือนกันยายน 2550.

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ที่มา: –เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 5 ม.ค. 2550–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2379&Key=hotnews

เปิดบันทึก”กฤษฎีกา” ห้าม!ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา

5 มกราคม 2550

เมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2549 ที่ผ่านมา เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา พรทิพย์ จาละ ได้ลงนามในบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตอบข้อหารือของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เกี่ยวกับเรื่องการเป็นกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

สรุปความได้ว่า สพฐ.ได้รับหนังสือขอหารือจากหน่วยงานในสังกัด ดังนี้

1.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ฉะเชิงเทรา เขต 1 หารือกรณีกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 ซึ่งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ราย ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอื่นเพิ่มเติม ดังนี้ ตำแหน่งเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ฉะเชิงเทรา ประธานที่ปรึกษานายก อบจ.ฉะเชิงเทรา และที่ปรึกษานายกเทศมนตรี เมืองฉะเชิงเทรา

2.สพท.นนทบุรี เขต 2 หารือกรณีกรรมการเขตพื้นที่การศึกษานนทบุรี เขต 2 ในส่วนของกรรมการสมาคมผู้ปกครองและครู ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายก อบจ.นนทบุรี

สพฐ.จึงขอหารือว่า การที่กรรมการเขตพื้นที่การศึกษาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว จะถือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอันเป็นลักษณะต้องห้ามในการเป็นกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาตามข้อ 3 (6) แห่งกฎกระทรวงกำหนดจำนวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการสรรหา การเลือกประธานกรรมการและกรรมการ วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ.2546 หรือไม่ ??

ที่ประชุมใหญ่กรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามที่ประชุมใหญ่กรรมการร่างกฎหมายได้เคยให้ความเห็นเกี่ยวกับความหมายของคำว่า “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” ไว้ในบันทึก เรื่องการดำรงตำแหน่งทางการเมืองของกรรมการและผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ (4) ว่า หมายถึงผู้ดำรงตำแหน่งที่มีหน้าที่อำนวยการบริหารประเทศหรือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน และบรรดาผู้ที่รับผิดชอบงานด้านการเมืองทั้งหมด โดยงานการเมืองนั้นจะเป็นงานที่เกี่ยวกับการกำหนดนโยบาย เพื่อให้ฝ่ายปกครองที่มีหน้าที่ปฏิบัติงานประจำรับไปบริหารให้เป็นไปตามนโยบายที่กำหนดนั้น

ในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน ย่อมจะต้องประกอบไปด้วยการบริหารราชการส่วนกลาง การบริหารราชการส่วนภูมิภาค และการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ตามนัยมาตรา 4 (5) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 โดยเมื่อการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นอยู่ในความหมายของการบริหารราชการแผ่นดินด้วยแล้ว ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งที่มีหน้าที่อำนวยการบริหารหรือควบคุมการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น อันได้แก่ ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น จึงอยู่ในความหมายของคำว่า “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” ด้วย ดังจะเห็นได้จากการที่มาตรา 291 (6) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 บัญญัติไว้ว่า ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองประเภทหนึ่ง ซึ่งจะต้องถูกตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินเช่นเดียวกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น ทั้งนี้ เพื่อมิให้อาศัยตำแหน่งหน้าที่ของตนในการหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่นไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สำหรับประเด็นที่ว่าเมื่อผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นอยู่ในความหมายของคำว่า “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” แล้ว บรรดาผู้ดำรงตำแหน่งอื่นที่มีหน้าที่ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น อันได้แก่ รองผู้บริหารท้องถิ่น เลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น ประธานที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น และที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น จะอยู่ในความหมายของคำว่า “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” ด้วยหรือไม่ นั้น

เมื่อพิจารณาถึงอำนาจหน้าที่ การเข้าสู่ตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ เช่น พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2540 มาตรา 35/3 (7) และมาตรา 37/1 (8) หรือ พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ.2496 มาตรา 48 อัฏฐ (9) และมาตรา 48 โสฬส (10) เป็นต้น จะเห็นได้ว่า ผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวมีอำนาจหน้าที่ในการช่วยเหลือการปฏิบัติงานของผู้บริหารท้องถิ่นในการอำนวยการบริหารหรือควบคุมการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นตามที่ผู้บริหารท้องถิ่นมอบหมาย โดยผู้บริหารท้องถิ่นจะเป็นผู้แต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่ง และเมื่อผู้บริหารท้องถิ่นพ้นจากตำแหน่ง บุคคลซึ่งดำรงตำแหน่งนั้นๆ ก็ต้องพ้นจากตำแหน่งด้วย

และเมื่อเทียบเคียงกับข้าราชการการเมืองในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นข้าราชการการเมืองตามมาตรา 4 (11) แห่ง พ.ร.บ.ข้าราชการการเมือง พ.ศ.2535 ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ การเข้าสู่ตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งในลักษณะทำนองเดียวกัน และถือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วยเช่นกันแล้ว บรรดาผู้ดำรงตำแหน่งรองผู้บริหารท้องถิ่น เลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น ประธานที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น และที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น จึงอยู่ในความหมายของคำว่า “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง”

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น กรณีที่กรรมการเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิหรือกรรมการสมาคมผู้ปกครองและครู หากเป็นผู้ดำรงตำแหน่งรองผู้บริหารท้องถิ่น เลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น ประธานที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น และที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น ย่อมมีลักษณะต้องห้ามในการเป็นกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาตามข้อ 3 (6) แห่งกฎกระทรวงกำหนดจำนวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการสรรหา การเลือกประธานกรรมการและกรรมการ วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ.2546 ที่ห้ามเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วยในขณะเดียวกัน

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ที่มา: http://www.matichon.co.th/maticho

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2378&Key=hotnews

สมศ.ขอบคุณ”มติชน”จัด”I see U” เชิญทุกฝ่ายทำบุญการศึกษาเด็ก

5 มกราคม 2550

สมศ.หนุนมติชนจัดโครงการ “โรงเรียน I see U มติชน 30 ปี” ระบุเป็นผู้นำการทำบุญด้านการศึกษาแก่เด็ก เชิญชวนทุกฝ่ายร่วมบริจาค เตรียมประกาศผลประเมินสถานศึกษารอบสองในเดือน ก.พ. กว่า 2 พันแห่ง คาดคุณภาพดีขึ้น แต่ยังมีอีก 560 แห่งที่อยู่ระดับโคม่า เพราะคะแนนต่ำกว่ามาตรฐานอย่างน่าเป็นห่วง ถ้าไม่ช่วยเหลือ คงไม่ผ่านเกณฑ์ประเมินรอบสองอีกแน่

เมื่อวันที่ 4 มกราคม ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) กล่าวถึงกรณีที่กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ “มติชน” ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มูลนิธิ ดร.โกวิท วรพิพัฒน์ และมูลนิธิอาจารย์บรรจง พงศ์ศาสตร์ จัดโครงการ “โรงเรียน I see U มติชน 30 ปี” เพื่อช่วยเหลือโรงเรียนที่ต่ำกว่ามาตรฐานจำนวน 100 แห่ง เนื่องในโอกาสที่หนังสือพิมพ์มติชน มีอายุครบรอบการก่อตั้งปีที่ 30 ว่า ถือเป็นโครงการที่ดีมากและขอชื่นชมยินดีอย่างยิ่งกับมติชนที่เข้ามาช่วยเหลือโรงเรียน คิดว่าทุกฝ่ายควรต้องช่วยกัน ถ้าไม่ช่วยการศึกษาคงไม่มีคุณภาพและจะเป็นการศึกษาที่ยั่งยืนของประเทศไปไม่ได้

“ในนามของประชาชนคนไทยจึงขอขอบคุณและอยากขอเชิญชวนให้ทุกฝ่ายเข้ามาช่วยบริจาคด้วยซึ่งการทำบุญกับการศึกษาเป็นสิ่งดีมาก ถือว่ามติชนเป็นผู้นำเรื่องการทำบุญกับการศึกษากับเด็ก” ดร.สมหวังกล่าว

ดร.สมหวังกล่าวต่อว่า สำหรับคำจำกัดความของโรงเรียนที่ต่ำกว่ามาตรฐานนั้น คือโรงเรียนที่ได้คะแนนจากการประเมินคุณภาพผู้เรียน ครู ผู้บริหารและการบริหารรวม 14 มาตรฐาน ในระดับปรับปรุงและพอใช้ โดยระดับปรับปรุง คือ 1 คะแนน ระดับพอใช้คือ 2 คะแนน และระดับดี คือ 3 คะแนน ซึ่งรอบแรก สมศ.ได้ประเมินสถานศึกษาทุกสังกัดทั่วประเทศ จำนวนรวม 38,000 แห่ง พบว่ามีโรงเรียนที่อยู่ในระดับปรับปรุงและพอใช้ จำนวนรวม 20,000 แห่งซึ่งตนเรียกว่าไอซียูคือเป็นโรงเรียนที่ต้องได้รับความช่วยเหลือ และในจำนวนนี้มี 560 แห่งที่ตนเรียกว่าโคม่า เนื่องจากได้คะแนนต่ำกว่ามาตรฐานอย่างน่าเป็นห่วงคือได้ต่ำกว่า 1.75 คะแนนเท่านั้น ซึ่งถ้าไม่ช่วยเหลือ จะไม่ผ่านเกณฑ์ประเมินมาตรฐานในรอบสองอีกแน่

ดร.สมหวังกล่าวว่า ในจำนวน 560 โรงเรียนดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนประถมฯขนาดเล็กที่มีนักเรียนต่ำกว่า 300 คน ขาดแคลนครู อุปกรณ์การเรียนการสอน อยู่ไกลตามชนบทชายขอบ งบประมาณสำหรับเงินอุดหนุนรายหัวไม่เพียงพอ เมื่อขาดปัจจัยเหล่านั้นจึงส่งผลให้คุณภาพผู้เรียนไม่ได้มาตรฐาน ไม่สามารถคิดวิเคราะห์ได้ตามที่หลักสูตรกำหนด การใฝ่รู้ใฝ่เรียนไม่ได้มาตรฐาน และเนื่องจากโรงเรียนเหล่านี้เป็นโรงเรียนขนาดเล็กอยู่ห่างไกล ครูและผู้บริหารจึงมักขอย้ายออกบ่อย และแม้จะมีครูก็มักจะเป็นครูที่ไม่มีคุณภาพ เพราะที่มีคุณภาพมักจะขอย้ายไปอยู่ในเมืองขนาดใหญ่ จึงส่งผลต่อมาตรฐานการเรียนการสอน ตลอดจนการบริหารไม่ได้มาตรฐานด้วย

ผู้อำนวยการ สมศ. กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม สมศ.ได้ตกลงในหลักการกับกระทรวงศึกษาธิการที่จะเข้าไปช่วยพัฒนาโรงเรียนโคม่าทั้ง 560 แห่งเหล่านั้น เนื่องจากเห็นว่าถ้าไม่เข้าไปช่วย โรงเรียนจะไม่ผ่านเกณฑ์ประเมินในรอบสองอีกแน่ ซึ่งรอบสองเริ่มประเมินระหว่างปี 2549-2553 ทั้งนี้ เป็นโครงการช่วยเหลือ 3 ปี ระหว่างปี 2550-2552 เลื่อนจากเดิมเล็กน้อยเนื่องจากมีการเปลี่ยนคณะกรรมการของ ศธ.ที่ดูแลเรื่องนี้ คาดว่าจะลงตัวและเริ่มเดินหน้าต่อได้ในอีกราว 1 เดือน โดยหลักการคือจะเข้าไปช่วยเหลือโรงเรียนในลักษณะวิจัยและพัฒนาคุณภาพการศึกษา ช่วยจัดหาทรัพยากรอุปกรณ์สื่อการเรียน ปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอนและอาจจะจัดจ้างครูเพิ่มหากจำเป็น โดยแต่ละโรงเรียน จะใช้งบฯเพื่อพัฒนาแห่งละ 3 แสนบาท แยกเป็น สมศ.ช่วย 2 แสนบาท และ ศธ.ช่วย 1 แสนบาท

ดร.สมหวังกล่าวอีกว่า สำหรับการประเมินรอบสองนั้น ขณะนี้เริ่มประเมินไปได้ส่วนหนึ่งแล้ว ซึ่งปลายเดือนมกราคมนี้ จะเสนอคณะกรรมการบริหาร สมศ.พิจารณาเห็นชอบผลการประเมิน หลังจากนั้นจึงจะเผยแพร่ได้ คาดว่าล็อตแรกของรอบสองจะเผยแพร่ได้ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ประมาณ 2,300 แห่ง แยกเป็นสถานศึกษาระดับขั้นพื้นฐานประมาณ 2,000 แห่ง ระดับอุดมศึกษาประมาณ 30 แห่ง และที่เหลือเป็นระดับอาชีวะ เท่าที่ดูเบื้องต้นสถานศึกษาเหล่านั้นคุณภาพดีขึ้นซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสถานศึกษาที่มีความพร้อมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ฉะนั้นน่าจะผ่านการประเมินโดยไม่มีปัญหาอะไร

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ที่มา: http://www.matichon.co.th/matichon

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2373&Key=hotnews

ชี้ กยศ.-กรอ.มีดีคนละอย่าง

5 มกราคม 2550

ดร.เปรมประชา ศุภสมุทร ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กล่าวถึงกรณีที่นิสิตนักศึกษาที่กู้เงินจากกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ในปีการศึกษา 2549 เรียกร้องขอให้เปลี่ยนหลักเกณฑ์การกู้และการชำระเงิน กรอ. มาเป็นรูปแบบของ กยศ.ว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริหาร กยศ. ในวันที่ 11 ม.ค. นี้ จะมีการหารือเรื่องดังกล่าว เพื่อเปิดทางเลือกให้นักศึกษาได้เลือกแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง แต่ในฐานะผู้ดูแลกองทุนต้องรับว่าภาระการบริหารงาน 2 กองทุนต้องมีความยุ่งยาก และอาจทำให้ผู้กู้เกิดความสับสนได้ แต่คงต้องยอมเพื่อสิ่งที่ดีสำหรับเด็ก อย่างไรก็ตามการเลือกที่จะใช้กองทุนไหนนั้นต้องเป็นความสมัครใจของผู้กู้เป็นหลักว่าต้องการหลักเกณฑ์กู้จากกองทุนใด

ดร.เปรมประชา กล่าวต่อไปว่า ในฐานะที่ตนเป็นนักการเงินคงต้องบอกกับเด็ก ๆ ว่าเงื่อนไขของ กยศ.ดีกว่า กรอ. เพราะปลอดดอกเบี้ยนานแบบไม่มีที่ไหนในโลกทำเช่นนี้ เช่น หากกู้เงินเรียนตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่ 4 จนเรียนจบปริญญาตรี และทำงาน 2 ปีก่อนถึงมาชำระเงินคืน รวมแล้วเป็นเวลา 9 ปีที่ปลอดดอกเบี้ยจึงจะเริ่มชำระเงินคืน และคิดดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น และถ้าเทียบแล้วค่าใช้จ่ายของ กยศ. จะถูกกว่า กรอ. เพราะ กรอ.จะต้องเสียดอกเบี้ยตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นทำสัญญา แต่รูปแบบของ กรอ.จะมีข้อดีตรงที่กว่าจะเริ่มชำระเงินคืนจะมีการให้เวลาผู้กู้ตั้งตัวได้ก่อน ซึ่งอาจจะต้องทำงานถึง 10 ปีก็ได้กว่าเงินเดือนจะถึง 16,000 บาท ตามที่กำหนดไว้ถึงจะเริ่มชำระเงินคืน แต่เมื่อพิจารณาทุกแง่ทุกมุมแล้ว ตนก็บอกไม่ได้ว่า กยศ.หรือ กรอ.จะดีกว่ากัน แต่ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับความสะดวกของผู้กู้แต่ละคนว่าจะเห็นอะไรดีกว่ากัน

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2374&Key=hotnews

ออมสินทุ่ม 80 ล้านปลูกคุณธรรมในใจเด็ก จัดรณรงค์รู้จักออม-ใช้เงินรับปีมหามงคล

5 มกราคม 2550

นายกรพจน์ อัศวินวิจิตร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ในปีนี้เป็นปีมหามงคล เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา ในวันที่ 5 ธ.ค.2550 ธนาคารออมสินมีแนวคิดจะจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ เพื่อปลูกจิตสำนึกในด้านคุณธรรม และจริยธรรมแก่เด็กและเยาวชน โดยเปิดโอกาสให้โรงเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทั่วประเทศได้เข้าร่วมแข่งขันในกิจกรรมดังกล่าว ซึ่งจะมีรางวัลเป็นเงินสดให้สำหรับโรงเรียนที่ชนะเลิศ ชื่อโครงการเบื้องต้นคือ “บูรณฉัตร คุณธรรม จริยธรรม ดีเยี่ยม” ซึ่งธนาคารจะขอพระราชทานชื่ออย่างเป็นทางการอีกครั้ง ส่วนรายละเอียดของการประกวด จะหารือกับกระทรวงศึกษาธิการต่อไป สำหรับวงเงินรางวัลตั้งไว้ 80 ล้านบาท ระยะเวลา 10 ปี

นอกจากนี้ ธนาคารยังจะได้จัดกิจกรรมส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้รู้จักออม และรู้คุณค่าของการใช้จ่ายเงินมากยิ่งขึ้น โดยจัดรูปแบบการออมขึ้นมาใน 3 ลักษณะ คือ 1. การออมเพื่อฉุกเฉิน 2. การออมเพื่อการศึกษา และ 3. การออมเพื่อการจับจ่ายใช้สอย โดยทั้ง 3 รูปแบบจะมีกระปุกออมสินแยกไปแต่ละแบบเพื่อเป็นแรงจูงใจการออมและเรียนรู้การใช้เงินอย่างถูกต้องแก่เด็กและเยาวชน และจะจัดกิจกรรมตามโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ เนื่องจากตอนนี้สังคมไทยหันไปใช้บัตรเครดิตมากขึ้น จนลืมคุณค่าของเงิน ถ้าสามารถปลูกฝังให้รู้จักการออมตั้งแต่เด็ก ก็จะช่วยในเรื่องของการใช้จ่ายอย่างประหยัดเหมือนกับคนญี่ปุ่น

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2372&Key=hotnews

กระทรวงวัฒนธรรมตั้งโครงการ “นาฏศิลป์ดนตรีไทยสู่น.ร.พิการ”

5 มกราคม 2550

รายงานการศึกษา  กุมารี วัชชวงษ์

เพื่อเด็กๆ ผู้พิการทางร่างกายได้เปิดรับสุนทรียภาพ สัมผัสซาบซึ้งศิลปวัฒนธรรม ได้เล่นดนตรี ระบำรำฟ้อน โครงการ “เอื้ออาทรและห่วงใย นาฏศิลป์ดนตรีไทยสู่คนพิการ” จึงก่อกำเนิดขึ้นโดยวิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่ เป็นโครงการนำร่องของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) โดยจัดครูนาฏศิลป์และดนตรีไทยหลักสูตรระยะสั้นสอนนักเรียนผู้พิการ นอกจากความรู้ เด็กๆ ยังได้ผ่อนคลายความเครียด ใกล้ชิดศิลปะ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และที่สำคัญ กระตุ้นพัฒนาการการเรียนรู้

โรงเรียนในโครงการ ประกอบด้วย “โรงเรียนกาวิละอนุกูล” สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสมองและสติปัญญา คุณครูที่เข้าไปคือครูสอนการฟ้อนงิ้ว ศิลปะของภาคเหนือ สอนด้วยความเข้าใจธรรมชาติของเด็กที่มักจะมีสมาธิสั้น จึงสลับด้วยการให้เล่มเกมสนุกสนาน ขณะที่ “โรงเรียนโสตอนุสารสุนทร” เป็นสถานศึกษาของเด็กที่มีความบกพร่องทางหู ก่อนจะมาคุณครูจึงต้องฝึกเรียนภาษามือเพื่อสื่อสารอธิบายท่าทางการเต้นและการฟ้อนรำให้เด็กๆ และที่สุดก็รำได้สวยตามจังหวะทั้งที่ไม่ได้ยินดนตรี สุดท้ายคือ “โรงเรียนสอนคนตาบอดภาคเหนือ ในพระบรมราชูปถัมภ์” ที่นี่ วิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่ค้นพบช้างเผือก เด็กพิการทางสายตา 5 คน ได้เข้าเป็นนักเรียนเพื่อเป็นนักดนตรีไทยต่อไป

หลังจากลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการนำร่อง “เอื้ออาทรห่วงใย นาฏศิลป์ดนตรีไทยสู่คนพิการ” นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า โครงการประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จะเห็นได้ว่าวิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่จัดครูเข้าไปสอนเด็กผู้พิการตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษา โดยวธ.ต้องการส่งเสริมสติปัญญา ดึงความสามารถของเด็กออกมา ที่สำคัญมีเด็กหลายคนที่มีความสามารถพิเศษด้านนาฏศิลป์และดนตรีไทย อย่างเด็กที่มีความพิการทางสายตาจะมีประสาทสัมผัสทางการได้ยินดีมาก บางรายเป็นอัจฉริยะทางดนตรีไทยได้เลยทีเดียว ดังนั้น วธ.จะสนับสนุนเด็กเหล่านี้โดยรับไว้เป็นนักเรียนในสังกัดวิทยาลัยนาฏศิลป์ และส่งเสริมให้ศึกษาต่อสาขาดนตรีในระดับอุดมศึกษา หากเด็กมีความตั้งใจและผลการเรียนดีก็จะหาทุนเพื่อส่งเสริมให้เรียนต่อจนถึงระดับปริญญาเอก เพื่อให้กลับมาเป็นอาจารย์สอนด้านนาฏศิลป์และดนตรีไทยต่อไป

“การสอนนาฏศิลป์และดนตรีไทยให้กับนักเรียนผู้พิการจะช่วยลดพฤติกรรมก้าวร้าว และเด็กสามารถนำพื้นฐานจากนาฏศิลป์และดนตรีไทยไปปรับใช้ในชีวิตด้านอื่นๆ อาทิ เด็กหูหนวกบางคนมีความตั้งใจเรียนนาฏศิลป์และรำไทยมาก หากมีการส่งเสริมอย่างต่อเนื่องเด็กอาจเรียนต่อในระดับปริญญาตรีและนำไปใช้ประกอบอาชีพ หรือเป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนได้ด้วย ทางด้านครูที่เข้าไปก็พบว่าครูที่ไปสอนในวันเสาร์อาทิตย์นั้นทำด้วยใจจริงๆ โดยวิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่เป็นต้นแบบการสอนนาฏศิลป์และดนตรีไทยให้กับผู้พิการ มีการจัดทำคู่มือการเรียนดนตรีไทยเป็นอักษรเบรล ดังนั้น ผมจะขยายผลการจัดโครงการนี้ไปยังวิทยาลัยนาฏศิลป์กรุงเทพฯ และประสานความร่วมมือกับโรงเรียนเศรษฐเสถียรต่อไป” ปลัดวธ.กล่าว

ด้านนางเพียงแข จิตรทอง อาจารย์ผู้สอนนาฏศิลป์และการฟ้อนรำให้กับน้องๆ ผู้พิการทางหู เปิดเผยว่า ตนและอาจารย์จันทิวา เกษร เพื่อนครูที่ช่วยกันสอนนักเรียนหูหนวกต้องฝึกหัดเรียนภาษามือให้เข้าใจ ขณะเดียวกัน ก็จะมีอาจารย์ของโรงเรียนโสตอนุสารสุนทรช่วยแปลภาษามือสอนการรำให้กับนักเรียนอีกทอดหนึ่ง โดยครูจะสาธิตให้ดู ซึ่งแม้เด็กๆ จะมีการนับจังหวะท่ารำแตกต่างจากคนทั่วไป แต่สามารถนับจังหวะและเรียนรู้นาฏศิลป์ได้อย่างรวดเร็ว เพราะความชื่นชอบ มีความสนใจ และมีพรสวรรค์ สามารถจดจำท่าได้เร็วไม่แพ้กัน

“น้องเฟย”น.ส.สุดารัตน์ พนมพิบูลย์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โสตอนุสารสุนทร ส่งภาษามือเล่าว่า ชอบเรียนนรำไทยมากเพราะทำให้บุลคิกภาพดีขึ้น อีกทั้งเป็นเอกลักษณ์ของไทยที่สวยงาม และเยาวชนควรสืบสานต่อไป น้องเฟยไม่ชอบการเต้นสมัยใหม่ที่มีท่าทางยั่วยวนและใส่เสื้อผ้าโป๊เปลือย ซึ่งดารานักร้องในปัจจุบันเป็นตัวอย่างให้วัยรุ่นทำตาม ทำให้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงจากเคยเป็นสังคมที่เรียบร้อย มีมารยาท เปลี่ยนเป็นสังคมที่วุ่นวายยุ่งเหยิง เกิดปัญหาตามมา จึงอยากเชิญชวนให้เด็กรุ่นใหม่ช่วยกันรักษาวัฒนธรรมไทยเอาไว้ แล้วเลือกเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกในด้านดีๆ จะเหมาะสมกว่า

นักเรียนจากโครงการ “เอื้ออาทรและห่วงใย นาฏศิลป์ดนตรีไทยสู่คนพิการ” ฝากถึงเยาวชนทุกคน

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ที่มา: http://www.matichon.co.th/

moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2370&Key=hotnews

“คุณครูธรรมชาติ”ฟื้นรากเหง้าแห่งชีวิต

5 มกราคม 2550

เปิดตัวบริษัท มีเดีย เลิฟเวอร์ จำกัด พร้อมผลิต 2 รายการโทรทัศน์ บอสใหญ่ผู้กุมบังเหียน “เดียว”สุรชาติ ตั้งตระกูล เผยรายละเอียด

“รายการแรก “คุณครูธรรมชาติ” เป็นรายการแนว เอ็ดดูเทนเมนต์ รูปแบบใหม่ ที่จะนำผู้ชมกลับคืนสู่ธรรมชาติ เป็นมุมมองจากผลกระทบต่อสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา ซึ่งเกิดการการละเลย หรือห่างหายจากวิถีธรรมชาติ แต่กลับสนใจแต่เรื่องนวัตกรรมไอที และดำเนินชีวิตตามกลไกของวัตถุนิยมจนหลงลืมรากแท้ของชีวิต โดยเฉพาะธรรมชาติที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ถือเป็นความรอบรู้ที่มีค่ามากที่สุด และจะเป็นครูที่ดีที่สุด โดยนำเสนอผ่านมุมมองคนรุ่นใหม่ที่ให้ทั้งสาระและความสนุกกับผู้ชมทุกเพศทุกวัย เทปแรกจะออกอากาศวันอาทิตย์เวลา 17.05 น. ทางช่อง 5″

“ส่วนอีกรายการ “เที่ยวอย่าง…เดียว” รายการท่องเที่ยวภายใต้แนวคิด “ฮิพจัง ตังค์พอไหว” เป็นรายการท่องเที่ยวที่นำเสนอการจัดงบประมาณการเดินทางเพื่อเป็นแนวทางการท่องเที่ยวทั้งหรูและลุยแบบไม่เดือดร้อนกระเป๋าสตางค์ จะพาผู้ชมเข้าไปมีส่วนร่วมในการคิดรูปแบบและวางแผนการเที่ยว เทปแรกออกอากาศวันเสาร์ที่ 6 ม.ค. เวลา 17.05 น. ทางช่อง 5 เช่นกัน”

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ที่มา: http://www.matichon.co.th/

moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2371&Key=hotnews

ศรัทธาแห่งการศึกษา วิถีแห่งสันติภาพ

5 มกราคม 2550

คอลัมน์ เจาะใจจีน

โดย แทนคุณ จิตต์อิสระ eee004@hotmail.com

ความรู้คือปัจจัยที่สำคัญที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน ซึ่งจะกำหนดชะตาอนาคตของโลกและมนุษย์ให้เป็นไปตามสิ่งที่รับรู้นั้นๆ ยิ่งสังคมไทยที่กำลังเปลี่ยนแปลงตัวเองไปตามสภาวะคุกคามจากความรู้ที่ไหลบ่าเข้ามาจากทั่วทุกมุมโลกอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ระบบการศึกษาของไทยยังตั้งรับอย่างเชื่องช้า ไม่เพียงแต่ก้าวไม่ทันความเปลี่ยนแปลงไปของกระแสโลก แต่ยังขาดระบบภูมิคุ้มกันที่ดีพอ

ดังสะท้อนผ่านภาพปัญหาความเครียดต่อการแข่งขันเสรีในระบบการศึกษา ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ โดยมีปัจจัยทั้งทางเศรษฐกิจมาเป็นตัวกำหนดอย่างชัดเจน ในที่สุดผู้มีฐานะน้อยก็อาจจะกลายเป็นผู้ด้อยการศึกษาไป อีกด้านหนึ่งเป็นปัญหาการขาดระเบียบวินัยในตนเองของนักเรียน นักศึกษา ทั้งการแต่งกาย พฤติกรรม ค่านิยม ความฟุ้งเฟ้อ โดยเฉพาะประเด็นสุดท้ายการแก่งแย่งแข่งขัน และการใช้ความรุนแรงของสังคมไทย ที่เยาวชนเป็นทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ ซึ่งล้วนเป็นสิ่งสะท้อนวิกฤตศรัทธาของการศึกษาบ้านเราทั้งสิ้น

เพราะเมื่อการศึกษาไม่สามารถสร้างอุปนิสัยที่ดีให้กับมนุษย์ได้ ตรงกันข้ามกลับเป็นต้นทางแห่งความแตกต่างและแตกแยก ในที่สุดความรุนแรงในมิติต่างๆ จึงระเบิดขึ้นและขยายตัวอย่างรวดเร็ว แบ่งเป็นฝักฝ่าย พรรคพวก เป็นสถาบันนั้นสถาบันนี้ มหาวิทยาลัยนั้นมหาวิทยาลัยนี้ พวกนั้นพวกนี้ เป็นต้น

เมื่อมองเห็นปัญหา ต้องมองหาสาเหตุ จึงจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด เมื่อปัญหาของการศึกษาเกิดจากความไม่มั่นใจ หรือไม่ได้รับคุณค่าที่แท้จริงของการศึกษา ซึ่งควรหมายถึง วิธีการสร้างและขยายองค์ความรู้ไปสู่การพัฒนามนุษย์และสังคม ให้การลดความเห็นแก่ตัว ประสานสามัคคี และสมประโยชน์ คือสังคมได้รับประโยชน์ มีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้น จิตใจและปัญญาสูงขึ้น การจัดกระบวนการเรียนรู้แบบเน้นการปฏิบัติและประสบการณ์ของผู้เรียนให้เกิดแรงบันดาลใจที่ดี และมีการสร้างเสริมนวัตกรรมการเรียนรู้อยู่เสมอ รวมทั้งบุคลากรทางการศึกษาต้องมีคุณธรรม และให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ภูมิปัญญา ที่ได้จากพ่อครู แม่ครู ปราชญ์ชาวบ้าน ที่สังกัดกลุ่มหรือเครือข่ายท้องถิ่น และดำเนินการถ่ายทอดภูมิปัญญาแก่ชนรุ่นหลัง

ผมยังเชื่อมั่นในภูมิปัญญาของไทยเราที่สามารถสร้างเอกลักษณ์ที่ดีงามให้กับเยาวชนในแต่ละภูมิภาคได้ภาคภูมิใจได้ โดยไม่ต้องหมุนไปตามกระแสที่สังคมเมืองกำหนดหรือครอบงำระบบคิดของพวกเขา ซึ่งจะทำให้เยาวชนของเรามีความมั่นใจในความเพียรพยายามและประสบความสำเร็จได้ โดยบูรณาการความรู้รอบตัวกับความรู้ชุมชนและสังคม ซึ่งเป็นภาคการเรียนรู้ที่กว้างขวางหลากหลายที่สุด ผ่านกิจกรรมที่พวกเขาควรจะมีสิทธิในการเลือกแนวทางที่ตนชอบและเชื่อมั่น ทั้งการเกษตร การแพทย์พื้นบ้าน การพัฒนาอาชีพ การสืบสานภูมิปัญญาและวัฒนธรรม การอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม การอนามัยและสาธารณสุข การป้องกันยาเสพติด และสิทธิชุมชน เป็นต้น

ผมเชื่อในการศึกษาหาความรู้ที่มีคุณค่าและความงดงามเสมอ ยิ่งในสังคมไทยปัจจุบันความรู้ที่นำพาสันติภาพมาสู่ผู้คนในสังคมยิ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างที่สุด ความรู้และการศึกษาต้องมีเป้าหมาย และเป้าหมายนั้นต้องรวดเร็วและเน้นการมีส่วนร่วมในการจัดการองค์ความรู้และความคิด ปลูกฝังคุณธรรม และค่านิยมที่ดี เพื่อคุ้มครองเยาวชนให้พ้นจากภัยจากสื่อละครโทรทัศน์ที่ไม่สร้างสรรค์และพัฒนาเท่าที่ควร เต็มไปด้วยความรุนแรง ฉากตบตีกัน ความฟุ่มเฟือย ราคะวิสัย ชิงรักหักสวาท ที่มีให้เห็นทุกวันจนกลายเป็นรอยพิมพ์ฝังใจให้เลียนแบบ ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ผู้ใหญ่ต้องช่วยกันปกป้องและสร้างภูมิคุ้มกันทางความคิดให้พวกเขาให้ได้

ผมหวังว่า ปีใหม่เราจะได้สิ่งใหม่ๆ ขึ้นในระบบการศึกษาที่ต้องเน้นคุณธรรม จริยธรรมในเชิงการปฏิบัติการ ส่งเสริมการเรียนรู้และการค้นพบความชอบหรือศรัทธาแห่งการศึกษาด้วยตัวของพวกเขาเอง ที่สำคัญที่สุดการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสด้วย การศึกษา เพื่อสันติสุขของมวลมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ครับ

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ที่มา: http://www.matichon.co.th/

moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2369&Key=hotnews

กรมศาสนาเคาะประตูบ้านชวนคนเข้าวัด

5 มกราคม 2550

จับมือ”อปท.”สำรวจทุกครัวเรือน ตั้งเป้าปี”50พบพระเดือนละ2หน

นายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา (ศน.) กระทรวงวัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงแผนปฏิบัติงานของกรมการศาสนา ในปีงบประมาณ 2550 ว่า ในปีงบประมาณ 2550 กรมการศาสนาได้รับงบฯเพิ่มจากปีงบฯที่แล้ว 50% โดยได้รับ 560 ล้านบาท นอกจากนี้ จะขออนุมัติงบกลางจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นค่าสอนศีลธรรมอีกประมาณ 260 ล้านบาท ซึ่งถือว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันได้ให้ความสำคัญในเรื่องของศาสนาอย่างแท้จริง ส่วนแผนปฏิบัติงานของกรมการศาสนานั้น ได้วางหลักในเรื่องการวิเคราะห์และส่งเสริมศีลธรรมในประชาชน โดยจะหาและใช้วิถีทางต่างๆ ทำให้ประชาชนเข้าวัดปฏิบัติธรรม อย่างน้อยให้พาครอบครัวเข้าวัดเดือนละ 2 ครั้ง ซึ่งจะใช้มาตรการเชิงรุกร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ตรวจสอบรายชื่อว่าบ้านไหนยังไม่เข้าวัด ก็จะเข้าไปพูดคุยและเชิญชวนให้เข้าวัด นอกจากนี้ ในกลุ่มข้าราชการจะส่งเสริมโดยเสนอขอให้มีมติ ครม.ให้ข้าราชการทุกหน่วยงานเข้าไปปฏิบัติธรรมอย่างน้อย 5 วัน 5 คืน ในช่วงเวลา 1 ปี ส่วนกลุ่มเด็กและเยาวชน จะใช้ครูพระสอนศีลธรรมในสถานศึกษาที่ปัจจุบันมีจำนวน 1 หมื่นรูปทั่วประเทศ และขณะนี้กำลังขออนุมัติ ครม.เพิ่มครูพระอีก 1 หมื่นรูป ก็จะได้ครูพระสอนศีลธรรมในเกือบทุกสถานศึกษา

“นอกจากนี้แล้ว กรมการศาสนายังจะส่งเสริมศูนย์พระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ซึ่งเวลานี้ยังมีไม่ครบทุกพื้นที่ ปีนี้ก็จะพยายามเปิดให้ได้ใน 2 พันตำบล รวมของเดิมเป็น 4 พันตำบล จากทั้งหมด 8 พันตำบลทั่วประเทศ และจะให้มีพระมาสอนศีลธรรมในวันเสาร์-อาทิตย์ ให้เด็กได้เรียนธรรมศึกษา รวมไปถึงการสอบธรรมศึกษาชั้นตรี โท และเอกในสถานศึกษาด้วย รวมทั้งกำลังจะประสานกับทางกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้หมายเหตุในสมุดพกนักเรียนด้วยว่าเด็กที่จบ ป.6 หรือ ม.3 และม.6 คนใดที่สอบธรรมศึกษาได้ในระดับใดด้วย เพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการสมัครเรียนต่อหรือไปสมัครทำงาน โดยควรต้องให้โอกาสพิเศษกับนักเรียนเหล่านี้ด้วย เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เด็กและเยาวชนสนใจในธรรมศึกษา” อธิบดีกรมการศาสนากล่าว

นายปรีชากล่าวต่อว่า ที่ผ่านมามีนักเรียนประมาณ 1 ล้านคน ที่เรียนธรรมศึกษาในแต่ละปี จากจำนวนเด็กและเยาวชนทั้งหมดประมาณ 20 ล้านคน ซึ่งถือว่ายังมีจำนวนน้อย ตนอยากจะเห็นมีนักเรียนสัก 10 ล้านคน ที่สอบธรรมศึกษาต่อปี ซึ่งถ้าเป็นไปได้ก็จะส่งผลให้หลวงพ่อตามวัดต่างๆ จำนวน 2-3 หมื่นรูป ได้มีโอกาสมาสอนเด็ก แต่ทุกวันนี้หลวงพ่ออยากจะสอน แต่เด็กไม่อยากจะเรียน เพราะเรียนแล้วไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร แต่ถ้าทำให้การเรียนมีความหมายดังกล่าวก็จะทำให้เด็กๆ ให้ความสนใจกันมากขึ้น

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ที่มา: http://www.matichon.co.th/

moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2366&Key=hotnews