Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

‘มหา’ลัยเถื่อน’ ผุดอีก 2 แห่ง สกอ.ตั้งศูนย์ปราบแล้ว ‘กำจร’ เชื่อยังไม่มีการเจาะข้อมูลสถาบันทำวุฒิปลอม

17 กรกฎาคม 2556

พญาไท * เผยมีมหา’ลัยเถื่อนผุดอีก 2 แห่ง ด้าน สกอ.ตั้งศูนย์ปราบแล้ว รวมพวกปลอมวุฒิด้วย “กำจร” ชี้จะจับขบวนการได้ มหา’ลัยต้องร่วมเป็นเจ้าทุกข์ ปัดยังไม่มีการเจาะฐานข้อมูลมหา’ลัยเพิ่มชื่อคนจบการศึกษา แต่หากประกาศใช้ร่าง พ.ร.บ.การอุดมศึกษาฯ ปัญหานี้จะหมดไป
รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยถึงหลังจากที่ ศ.ภาวิช ทองโรจน์ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ออกมาเตือนสถาบันการศึกษาเรื่องการโฆษณาปลอมวุฒิผ่านเว็บไซต์ ทำให้ขณะนี้มีผู้มาให้ข้อมูลกับตนเพิ่มเติม เป็นมหาวิทยาลัย 2 แห่งที่ไม่ได้รับขออนุญาตดำเนินการเป็นมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ลักษณะเดียวกันกับมหาวิทยาลัยอดัมสัน ประเทศฟิลิปปินส์ และมหาวิทยาลัยโรชวิลล์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง

ส่วนการจัดตั้งศูนย์ปราบปรามที่จะมาจัดการการรับจ้างปลอมวุฒิการศึกษาและมหาวิทยาลัยเถื่อน ขณะนี้แม้จะยังไม่มีการจัดตั้งเป็นทางการ แต่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ก็ทำหน้าที่เหมือนศูนย์รับร้องเรียนเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว การจัดตั้งศูนย์ปราบปรามฯ จะนำกรณีศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ซึ่งเคยเป็นผู้เสียหายหลังจากถูกเว็บไซต์บางแห่งอ้างชื่อและเผยแพร่ตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย สุดท้ายสามารถติดตามหาผู้ทำผิดมาลงโทษได้

“ปัญหาการจับกุมกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้คือ หากเราให้ข่าวผ่านสื่อมาก พวกนี้จะก็ไหวตัวทัน จับได้แต่ผู้ซื้อวุฒิปลอม ในข้อหาใช้เอกสารเท็จ หรือจับได้แต่พวกปลาซิวปลาสร้อย ไม่สามารถจับต้นตอได้ ส่วนการโพสต์ผ่านเว็บไซต์ว่ารับทำวุฒิปลอมนั้นยังทำอะไรไม่ได้มาก เพราะไม่มีตัวบุคคลที่จะกล่าวหา หากจะดำเนินคดีคงต้องอาศัย พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาดำเนินการ แต่หากสถาบันการศึกษาไหนพบว่ามีการแอบอ้างชื่อ นำตราสัญลักษณ์มหาวิทยาลัยไปโฆษณาชวนเชื่อ หรือจับได้ว่ามีการใช้วุฒิปลอม ก็ต้องเป็นเจ้าทุกข์กล่าวโทษ ซึ่งก็จะใช้กฎหมายอาญามาดำเนินการได้” รศ.นพ.กำจรกล่าว

ส่วนกรณีที่มีการระบุว่ากลุ่มมิจฉาชีพสามารถเจาะฐานข้อมูลมหาวิทยาลัยเพื่อเพิ่มรายชื่อได้นั้น จากการตรวจสอบปัจจุบันยังไม่พบมหาวิทยาลัยใดเจอปัญหานี้ แต่ที่อาจเป็นไปได้คือ การซื้อตัวเจ้าหน้าที่ที่ดูแลฐานข้อมูล อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้แก้ได้หากใช้ ร่าง พ.ร.บ.การอุดมศึกษา พ.ศ… ซึ่งให้อำนาจ สกอ.ขอข้อมูลจากมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะข้อมูลนิสิตนักศึกษามาเก็บไว้ได้ โดยจะต้องเป็นข้อมูลที่สถาบันการศึกษารับรองแล้ว พร้อมตัวเลขบัตรประชาชน 13 หลัก มีรายละเอียดการเรียนของแต่ละบุคคล ทั้งเกรดรายวิชา เกรดเฉลี่ย หากบุคคลใดถูกรีไทร์หรือออกกลางคัน ก็จะระบุว่าออกไปปีไหน ซึ่งฐานข้อมูลที่เก็บไว้ที่ สกอ.และมหาวิทยาลัยจะต้องตรงกัน เมื่อมีการร้องขอให้ตรวจสอบ ก็จะต้องตรวจสอบที่ สกอ.และมหาวิทยาลัย หากตรงกันก็เชื่อถือได้ แต่หากข้อมูลของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ตรง ก็ให้ตั้งข้อสันนิษฐานได้ว่าเกิดปัญหาขึ้น จะได้เข้าไปตรวจสอบต่อไป

ขณะที่นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการ กกอ. กล่าวว่า ขณะนี้ สกอ.ได้จัดตั้งศูนย์ดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว โดยมีตนเป็นประธาน ซึ่งจากนี้หากใครมีข้อมูลหรือเบาะแสของกลุ่มมิจฉาชีพกับเรื่องดังกล่าว สามารถแจ้งได้ที่ โทร.0-2610-5451 หรือ 0-2610-9200 ต่อ 5451.

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33377&Key=hotnews

สกอ.ส่งเทียบเชิญสถาบันประชุม ‘เทคโนโลยีอวกาศ’

17 กรกฎาคม 2556

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) แจ้งว่า รศ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุมศึกษา (กกอ.) ได้ทำหนังสือถึงผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษา เพื่อร่วมการประชุมวิชาการเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศแห่งชาติ ประจำปี 2556 จัดโดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ สทอภ. ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีภารกิจหลักในการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศของประเทศไทย ได้ร่วมกับสมาคมวิชาชีพ จัดประชุมวิชาการเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเป็นประจำทุกปี

ในปี 2556 นี้ สทอภ. และสมาคมวิชาชีพ ได้แก่ กรมแผนที่ทหาร สมาคมสำรวจข้อมูลระยะไกลและสารสนเทศภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย สมาคมการสำรวจและการแผนที่ สมาคมภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย สมาคมธรณีวิทยาแห่งประเทศไทย สมาคมการแผนที่แห่งประเทศไทย และสมาคมระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะไทย กำหนดจัดประชุมวิชาการเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศแห่งชาติ ประจำปี 2556 ระหว่าง 25-27 ธ.ค. ที่อิมแพ็ค คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ เมืองทองธานี จ.นนทบุรี เพื่อให้มีการนำผลงานวิจัยไปประยุกต์ใช้อย่างเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้เยาวชนได้เรียนรู้ เข้าใจเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศและสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้

ที่มา: http://www.matichon.co.th/khaosod

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33378&Key=hotnews

บิ๊ก ร.ร.เฮ! แต้มเกิน 60% ขึ้นบัญชีทุกคน เล็งชง ก.ค.ศ.รื้อเกณฑ์-ให้สพท.สอบเอง สมัครข้ามเขตได้-เหลือเฉพาะบัญชีพื้นที่

17 กรกฎาคม 2556

นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงาน ก.ค.ศ.ได้จัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาผู้อำนวยการสถานศึกษา และรองผู้อำนวยการสถานศึกษาเสร็จแล้วและรอเสนอให้ที่ประชุม ก.ค.ศ.พิจารณาเห็นชอบในการประชุมเดือนสิงหาคม โดยได้มีการปรับหลักเกณฑ์ใหม่ด้วยการให้คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษา ดำเนินการสรรหาเองทั้งหมดและไม่ต้องให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นผู้ดำเนินการออกข้อสอบเช่นเดียวกับการสอบครั้งที่ผ่านมา และไม่ต้องมีการขึ้น บัญชีในส่วนกลาง แต่ให้มีการขึ้นบัญชีเป็นรายเขตพื้นที่การศึกษาทั้งหมดเพราะไม่มีส่วนกลางสอบให้แล้ว

เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าวต่อว่า โดยผู้ที่ได้คะแนนร้อยละ 60 ตามหลักเกณฑ์ที่ ก.ค.ศ.กำหนด จะได้รับการขึ้นบัญชีเป็นเวลา 2 ปี เพื่อรอการบรรจุแต่งตั้ง ซึ่งเดิมการสอบครั้งที่ผ่านมาให้ขึ้นบัญชีเท่ากับอัตราว่างที่ประกาศไว้เท่านั้น และต่อมามีการเรียกร้องให้ประกาศรายชื่อ แต่ก็ไม่ได้มีการขึ้นบัญชีรอการบรรจุ ฉะนั้นการปรับเปลี่ยนเกณฑ์ใหม่นี้ จะทำให้ผู้ที่ได้คะแนนตามเกณฑ์มีสิทธิได้รับการบรรจุเป็นผู้อำนวยการสถานศึกษา และรองผู้อำนวยการสถานศึกษา

“เรื่องการสมัครสอบ จะเสนอให้มีการสมัครสอบข้ามเขตพื้นที่การศึกษาได้ เนื่องจากอาจมีบางคนอยากจะไปเป็นผู้บริหารในภูมิลำเนา การเปิดให้สอบข้ามเขตพื้นที่การศึกษาได้ จะเป็นการให้สิทธิและโอกาส ซึ่งจะเร็วกว่าการขอยื่นย้ายตามปกติ แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการพิจารณาของที่ประชุม ก.ค.ศ.” เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าว และว่า การสอบผู้อำนวยการสถานศึกษาและรองผู้อำนวยการสถานศึกษา จะแบ่งเป็นกลุ่มทั่วไป และกลุ่มประสบการณ์เช่นเดิม โดยคุณสมบัติจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานตำแหน่งที่กำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม หากเรื่องนี้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม ก.ค.ศ.แล้ว แต่ละ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา ที่ไม่มีการขึ้นบัญชีไว้ สามารถไปดำเนินการสอบคัดเลือกได้ แต่หากมีบัญชีเก่าและยังไม่ครบ 2 ปีก็ยังไม่ควรเปิดสอบใหม่ เพราะจะทำให้บัญชีเก่าถูกยกเลิก

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33380&Key=hotnews

คอลัมน์: กศน.เพื่อนเรียนรู้: “สุดยอด กศน.โอกาสใหม่ของหลายชีวิต”

17 กรกฎาคม 2556

ทีมข่าวการศึกษา
ขณะที่เขียนเรื่องนี้การชิงชัยของเหล่า NF ทั้ง 18 ทีม เพื่อค้นหา “สุดยอด กศน.” นั้นกำลังขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้น และขณะที่คุณๆ กำลังอ่านเรื่องนี้อยู่ก็คงจะทราบแล้วว่า NF ทีมใดที่คว้ารางวัลสุดยอด กศน.แห่งปี…ขอแสดงความยินดีไว้ ณ ที่นี้ด้วย

“สุดยอด กศน.” เป็นการสร้างปรากฏการณ์ เป็นมิติใหม่ในวงการศึกษาไทย ที่กล้าก้าวข้ามกรอบความคิดเดิมๆ ไปสู่โลกแห่งการเรียนรู้ในรูปโฉมใหม่ ที่แม้แต่ชาว กศน.เองต่างก็ไม่คาดคิดว่าจะมีใครกล้าเปิดเวทีให้พวกเขาและเธอได้อวดฝีมือสู่สาธารณชน

สำหรับกรอบคิดเดิมที่เปรยไว้ คือภาพชินตาที่ กศน.เข้าไปส่งเสริมอาชีพเลี้ยงปากท้องประชาชนให้กินดีอยู่ดี ก็ยังคงดำเนินไปตามนโยบาย แต่สิ่งที่ถูกคิดสร้างขึ้นใหม่นี้ต้องเรียกว่าเป็นการอัพเกรดคุณภาพของคน กศน.ขึ้นมาอีกระดับ

อาจารย์สมพงษ์ จิตระดับ จากคณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในประธานคณะกรรมการตัดสินการประกวด สุดยอดกศน. บอกกล่าวต่อสังคมถึงโครงการสุดยอด กศน. ว่าอยากให้สังคมมองมุมใหม่ว่า กศน.ไม่ได้ทำแค่การสร้างอาชีพกับการอ่านออกเขียนได้ แต่คุณภาพชีวิตคน กศน.ก็มีความเท่าเทียมคนอื่น มีโอกาสเหมือนกันทำไมสังคมต้องไปกดคน กศน.ว่าคุณต้องอยู่แค่นี้ หรือมองว่าชีวิตคน กศน.ต้องทำแบบนี้ๆทำไมเราทำให้ กศน.ดีกว่า แตกต่างกว่า…นี่คือก้าวใหม่ มิติใหม่ของ กศน.ที่อยากให้สังคมพิจารณา

…นิยาม “สุดยอด กศน.”
“คำนี้มีความโดดเด่น คมคาย ในการนำมาใช้กับกลุ่มเป้าหมายของเด็ก กศน.ที่ขาดทั้งโอกาสและมีปัญหาคุณภาพชีวิต”สุดยอด กศน.” จึงเป็นสุดยอดของตัวกิจกรรมที่สามารถดึงส่วนที่ขาดความสมบูรณ์ในชีวิตให้ปรากฏออกนี่เป็นเรื่องความงดงามทางการศึกษา จากความที่ไม่มีอะไรเลย จากความธรรมดา ให้เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา เกิดความแตกต่าง และเป็นกิจกรรมเชิง Action ที่มีความคิดสร้างสรรค์”

อาจารย์สมพงษ์ กล่าวและว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้เป็นการทำงานกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ ถ้าเขาไม่เข้ามาในวงจรของ กศน. ก็อาจจะเป็นส่วนสร้างปัญหาในประเทศไม่น้อย แต่พอเขาได้รับโอกาสทางการศึกษาเขาจะพาชีวิตที่ขรุขระไปสู่เส้นทางที่สำเร็จเรามาถูกทางแล้วซึ่งผมไม่อยากมองเป็นกระแสแฟชั่น แต่ควรเป็นการต่อยอดในเชิงความคิดและเชิงปรัชญา นำเอาการเรียนรู้ตลอดชีวิตประสบการณ์ของแต่ละคน มาแปรเป็นสารเพื่อส่งไปให้ผู้ชมรับรู้

...3 นาทีสุดAmazing
ประธานคณะกรรมการตัดสิน ยังยกตัวอย่างความคิดสร้างสรรค์จากทีมกศน.สิงห์บุรี ที่ใช้เวลา 3 นาทีสุดอลังการ”มันโชะเด๊ะเลยเห็นหลายมิติ เห็นประวัติศาสตร์ เห็นความเป็นอาเซียน และเห็นความหลากหลายของกลุ่มด้วย เป็นโชว์อลังการมาก เข้าเกณฑ์ทั้งหมดและได้คอนเซปต์ของ กศน. ผมว่ายิ่งกว่ามืออาชีพเสียอีก เป็นความสุดยอดทั้งเชิงปรัชญา มีกระบวนการคิดเบ็ดเสร็จ จบโชว์แล้วเราได้สิ่งที่เป็น สาระมีคุณประโยชน์ มันไม่ใช่แค่เรื่องความบันเทิงแต่สอดแทรกเรื่องประวัติศาสตร์ และเรื่องความเป็นอาเซียนเข้าไปด้วยใน 3 นาทีแต่เราได้ก้อนความคิดใหญ่ ผมว่าเป็นความAmazing (อะเมซิ่ง)”

อาจารย์สมพงษ์ บอกอีกว่า การที่ กศน.ลงทุนจัดกิจกรรมนี้ขึ้น เงินรางวัลนั้นไม่มาก ถ้าเทียบกับเด็กทั้งประเทศ หรือถ้าเทียบกับการที่เราลงทุนกับเด็กที่มีโอกาสมากๆ ผมคิดว่าเทียบกันไม่ได้เลยฉะนั้น ผมคิดว่าเราต้องให้กำลังใจกับเด็กที่ชนะเลิศ แต่ขณะเดียวกันจะทำอย่างไรให้เกิดพลังที่ไม่หยุดหย่อนกับกลุ่มผู้แพ้ อย่าให้ความพยายาม ความมุ่งมั่นของเขาต้องสูญเปล่า สุดยอด กศน.คือผลงาน ในขณะที่สุดยอดเด็ก กศน.ที่เราจะได้คือความเพียร ความตั้งใจ และความคิดเชิงคุณภาพผ่านงานแสดงที่ออกมา เป็นสุดยอดของทั้งผู้แพ้และผู้ชนะ

“ผมถือว่าโครงการเป็นเรื่องที่ Amazing มาก เพราะนี่คือปรัชญาของการคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น” อาจารย์สมพงษ์กล่าว

และจะเชื่อหรือไม่ว่าโครงการสุดอะเมซิ่งนี้ ได้สร้างความประทับใจแก่บุคคลที่มีโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสุดยอด กศน. อย่าง”บิณฑ์บันลือฤทธิ์” ในฐานะคณะกรรมการตัดสินการประกวด ถึงกับยกนิ้วให้”ผมรู้สึกทึ่งมาก”

โชว์หลายชุดจากเด็ก กศน.นั้นตีโจทย์การศึกษาตลอดชีวิตออกมาดีมากหลายทีมพยายามนำความรู้มาดัดแปลงให้คนดูเข้าใจว่าการศึกษานอกระบบเป็นอย่างไร มีประโยชน์อย่างไร บอกเล่าว่าการเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอายุ เวลา เราสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต และโดยส่วนตัวก็ทำให้ความคิดเกี่ยวกับการเรียนกศน.เปลี่ยนไป เพราะสังเกตจากกองเชียร์และทีมนักแสดงของ กศน. ส่วนมากอายุ 18-20 ปีทั้งนั้นเดี๋ยวนี้คนนิยมเรียน กศน.กันมากขึ้น เพราะหลักสูตรเรียนเร็วแต่มีคุณภาพ ได้ความรู้จริงๆเป็นประโยชน์ต่อหลายๆ คน ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ไม่ใช่แค่เรียนแบบงูๆปลาๆแต่เรียนเพื่อเรียนรู้จบแล้วสามารถประกอบอาชีพได้

ด้าน”ครูต้อ-มารุต สาโรวาท”ศิลปินและผู้กำกับละครชื่อดัง ยืนยันว่า”สุดยอด กศน.” เป็นคอนเซปต์ ที่สร้างคนสร้างงาน สร้างศักยภาพ สร้างตัวตนให้มีความสามารถ และอยากให้มีกิจกรรมนี้ทุกปี
“ทุกโชว์มีความคิดสร้างสรรค์ เป็น3 นาทีที่มีค่า ดูสนุก ได้เนื้อหาสาระ และสามารถพัฒนาต่อยอดไปได้ ครูเชื่อว่าทุกคนสามารถพัฒนาไปสู่อาชีพได้ โดยพัฒนาเอาส่วนที่ดีที่สุดในแต่ละคนที่มีอยู่นำมาจัดเป็นการแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจมีเนื้อหาสาระ สามารถดึงดูดผู้คนได้ สื่อสารในวงกว้างได้ และถ้าพัฒนาต่อไปดีๆมีการต่อยอดไปทำให้เป็นงานที่ดูเป็นสากล สามารถสื่อสารกับทั้งอาเซียนก็ยังได้”
ปิดท้ายที่”ครูจี๊ด-สุนทร สุจริตฉันท์”อดีตนักร้องนำวงรอยัลสไปรท์ส ผู้ประกาศข่าวและพิธีกรที่มาช่วยพัฒนาทักษะของเด็ก กศน. บอกตรงๆ ว่าก่อนมาร่วมงานกับสุดยอด กศน. ยังมองไม่เห็นศักยภาพเด็ก กศน.มากนัก

“ผมมองว่า กศน.กำลังสร้างคนที่รู้จริงด้วยการทาบกิ่ง คือเขาสรรหาคนที่เป็นมือหนึ่ง ด้านการแสดง เช่นผู้กำกับ นักแสดงชื่อดังหลายคน มาสอนให้เป็นการเฉพาะ ทั้งการร้องเพลงการเต้น และการแสดง ให้ครูอาจารย์เหล่านี้มาเป็นที่ปรึกษาเป็นรายทีม เอาตัวจริงเสียงจริงมาทาบกิ่งกับเด็ก กศน.ซึ่งจะซึมซับความรู้และสามารถเติบโตได้ทันที”
….ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเกินคาดกับ สุดยอด กศน. ที่สร้างทางเลือกและโอกาสใหม่ให้หลายชีวิต

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33381&Key=hotnews

สมศ.เปิดร่างเกณฑ์ประเมินรอบ 4 ปลายปี ยืนยันปรับไม่มากเน้นกัลยาณมิตร พร้อมเริ่มประเมินสภามหาวิทยาลัย

17 กรกฎาคม 2556

ศ.ดร.ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ ผอ.สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 7-8 พ.ย.นี้ สมศ.ได้กำหนดจัดงานประชุมนานาชาติด้านการประกันคุณภาพ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยจะมีการประกาศร่างตัวบ่งชี้และเกณฑ์ประเมินคุณภาพภายนอกรอบสี่ (พ.ศ.2559-2563) เพื่อให้สถานศึกษาได้เตรียมความพร้อมล่วงหน้า โดยเกณฑ์ตัวบ่งชี้ต่าง ๆ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่อยากใช้คำว่าเป็นการพัฒนาหรือปรับปรุงเพื่อให้การประเมินง่าย มีความชัดเจนและเที่ยงตรงมากขึ้น โดย สมศ.ยังคงหลักการเดิมที่มุ่งเน้นการประเมินที่ไม่เพิ่มภาระให้แก่สถานศึกษา เป็นการประเมินสร้างสรรค์และเป็นกัลยาณมิตร ขณะเดียวกันตัวบ่งชี้สามมิติที่ประกอบด้วย ตัวบ่งชี้พื้นฐาน อัตลักษณ์หรือเอกลักษณ์ และมาตรการส่งเสริมก็จะยังคงนำมาใช้ในการประเมินเช่นเดิม แต่อาจมีการพัฒนาในรายละเอียดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเกณฑ์ตัวบ่งชี้ในหัวข้อการประเมินคุณภาพศิษย์และคุณภาพครู

ผอ.สมศ.กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ สมศ.จะยกระดับการวัดผลการประเมิน จากเดิมที่มี 5 ระดับได้แก่ ดีมาก ดี พอใช้ ปรับปรุง และปรับปรุงเร่งด่วน เปลี่ยนเป็นระดับต่ำสุดคือ ปรับปรุง และเพิ่มระดับสูงสุดของผลประเมินเป็นดีเยี่ยมหรือดีเลิศ เพื่อตอบสนองนโยบายในการประเมินที่ต้องการเห็นพัฒนาการที่มากขึ้นกว่าเดิมของสถานศึกษา

“พร้อมกันนี้ สมศ.ยังได้ตั้งคณะทำงานเพื่อพัฒนาเกณฑ์การประเมินสถานศึกษาในแต่ละระดับ เช่น ระดับอุดมศึกษา ได้มีคณะทำงานยกร่างเกณฑ์ประเมินสภามหาวิทยาลัยขึ้น จากเดิมที่การประเมินรอบสามกำหนดให้สภามหาวิทยาลัยประเมินตนเอง ดังนั้นในการประเมินรอบสี่ สมศ.จะประเมินสภามหาวิทยาลัยด้วยซึ่งจะต้องนำเกณฑ์ดังกล่าวไปทดลองใช้และเข้าสู่การพิจารณาในบอร์ดก่อนประกาศให้ทราบต่อไป” ผอ.สมศ. กล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33382&Key=hotnews

กศน.โคราชคว้าแชมป์สุดยอด กศน.

17 กรกฎาคม 2556

เมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่อิมแพค เมืองทองธานี สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ได้จัดงานโครงการจัดการแข่งขันด้านความสามารถพิเศษของนักศึกษา กศน. “สุดยอด กศน.” รอบชิงชนะเลิศ โดยมี นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธาน ซึ่ง นายจาตุรนต์ กล่าวตอนหนึ่งว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการให้โอกาสและสร้างโอกาสทางการศึกษาอย่างเสมอภาค และเท่าเทียม การได้มาเป็น รมว.ศธ. ครั้งนี้ จะมาสานต่อนโยบายของ รมว.ศธ. คนก่อน ๆ แต่จะเน้นเพิ่มด้านการให้โอกาสทางการศึกษาอย่างมีคุณภาพทั้งระบบ รวมถึง กศน. ซึ่งเป็นการศึกษานอกระบบด้วย เพื่อให้คนที่เรียน กศน.เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจว่า การจัดการศึกษานอกระบบก็มีคุณภาพ ขณะเดียวกันก็จะเพิ่มอัตราการ อ่านออกเขียนได้ และให้โอกาสคนวัยทำงานที่ยังไม่จบการศึกษาภาคบังคับที่มีอยู่ถึงร้อยละ 52 ได้เรียนต่อ รวมถึงให้ความสำคัญกับการ ฝึกอาชีพ และพัฒนาการศึกษา จะเน้นพัฒนาสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ มาพัฒนาครู

“จากนี้ไปผมจะเพิ่มคุณภาพการศึกษานอกระบบไปพร้อมกับการศึกษาในระบบ ให้ผู้เรียนที่มีเวลาน้อย กระจายอยู่ตามภาคส่วนต่าง ๆ ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามต้องมีการส่งเสริมให้ประชาชนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตลอดชีวิต ซึ่งเป็นสาระสำคัญของการปฏิรูปการศึกษา” นายจาตุรนต์ กล่าว

สำหรับผลการแข่งขันสุดยอดกศน.รอบชิงชนะเลิศ ปรากฏว่า ทีม กศน.นครราชสีมา ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท พร้อมโล่รางวัลเกียรติยศจาก รมว.ศธ., รองชนะเลิศอันดับที่ 1 คือ ทีม กศน.สิงห์บุรี ได้รับเงินรางวัล 80,000 บาท พร้อมโล่ เกียรติยศ จาก รมช.ศธ., รองชนะเลิศอันดับที่ 2 คือ ทีม กศน.สระแก้ว รับเงินรางวัล 60,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศจากเลขาธิการ กศน. และรางวัลชมเชย 3 รางวัล คือ ทีมอุทัยธานี ทีมปัตตานี ทีมนครศรีธรรมราช ได้รับเงินรางวัล รางวัลละ 10,000 บาท นอกจากนี้ยังมีรางวัลป๊อปปูลาร์โหวต 3 ทีมคือ ทีม กศน.ยโสธร, นครราชสีมา, สมุทรปราการ

ด้านนายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการ กศน. กล่าวว่า สุดยอด กศน.ในปีนี้ซึ่งเป็นปีแรก ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก นักศึกษาได้แสดงออก และความร่วมมือจากภาคีเครือข่าย หลังจากนี้ กศน. จะสนับสนุนทีมชนะเลิศอันดับที่ 1-3 ได้แสดงออกบนเวทีที่ใหญ่ขึ้น อาทิ ไทยแลนด์กอตทาเลนท์ และการแสดงเวทีอื่น ๆ และปีหน้าจะปรับปรุงการแสดงให้ดีขึ้น สำหรับเงินรายได้ทั้งหมดจากการโหวตจะ นำส่งเข้ากระทรวงการคลัง.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33383&Key=hotnews

สอศ.ทุ่มงบพัฒนาศูนย์ฝึกอาชีวะ เปิด 200 แห่งยกระดับฝีมือ-สร้างอาชีพใหม่

17 กรกฎาคม 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันไทยเป็นประเทศที่เร่งพัฒนาในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ และด้านโครงสร้างพื้นฐาน ส่งผลให้มีความต้องการแรงงานเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการยกระดับฝีมือแรงงานของทุกภาคส่วน ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้สำรวจพบว่าปัจจุบันมีประชาชนที่ไม่มีงานทำ ถูกเลิกจ้าง หรืออยู่ในช่วงหางานทำ ตลอดจนกลุ่มเกษตรกร และกลุ่มผู้สูงอายุ ที่อยากปรับเปลี่ยนอาชีพของตัวเองอยู่จำนวนหนึ่ง ดังนั้น ในปีงบประมาณ 2556 สอศ.จึงใช้งบฯ 53,963,300 บาท จัดโครงการพัฒนาศูนย์อบรมอาชีวศึกษาในสถานศึกษาประมาณ 200 แห่ง เพื่อยกระดับฝีมือให้กับประชาชนในกลุ่มดังกล่าวไม่น้อยกว่า 2 หมื่นคนผ่านหลักสูตรอบรมระยะสั้นโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ระหว่างเดือน มิ.ย.-ส.ค.นี้ โดยมีแนวทางการอบรม 2 รูปแบบ คือ 1.กลุ่มที่ต้องการยกระดับฝีมือ และ 2.กลุ่มที่ต้องการปรับเปลี่ยนอาชีพใหม่
เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อว่า สอศ.เปิดอบรมใน 7 ประเภทอาชีพ ประกอบด้วย 1.ประเภทช่างอุตสาหกรรม เช่น ช่างทำเหล็กดัด ช่างติดตั้งไฟฟ้าภายในอาคาร 2.ประเภทศิลปกรรม เช่น เทคนิคชุบเครื่องประดับอัญมณี ช่างตัดสติ๊กเกอร์ 3.ประเภทคหกรรม เช่น สอนทำอาหาร ช่างเสริมสวย-แต่งหน้า 4.ประเภทเกษตรกรรม เช่น การเพาะเห็ดเพื่อการค้า การขยายพันธุ์พืชไม้ประดับเพื่อการค้า 5.ประเภทประมง เช่น การเพาะเลี้ยงปลาน้ำจืด การเพาะเลี้ยงปลาสวยงาม 6.ประเภทอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เช่น การนวดแผนไทย สปาเพื่อสุขภาพ และ 7.ประเภทเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น เปิดสอนคอมพิวเตอร์เพื่องานธุรกิจ โดยสถานศึกษาที่เปิดสอนในแต่ละสาขาอาชีพนั้น สอศ.ได้คัดเลือกโดยเน้นว่าต้องเชี่ยวชาญและมีวัสดุอุปกรณ์ในสาขานั้นๆ เช่น วิทยาลัยเทคนิคชุมพร เปิดสอนงานท่อสุขภัณฑ์ เป็นต้น

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 18 ก.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33384&Key=hotnews

‘สสวท.’ช่วยร่างหลักสูตร

17 กรกฎาคม 2556

นางพรพรรณ ไวทยางกูร ผอ.สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กล่าวถึงการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของ ศธ. ว่า จริงๆ แล้วที่ผ่านมา สสวท.ปฏิรูปหลักสูตรในส่วนการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์อยู่ก่อน ซึ่งทำร่วมกับวิทยาลัยครู มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา ผ่านโจทย์ที่ว่า ถ้าจะเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ให้ได้ผลสำเร็จ ทำให้เด็กคิดเป็น วิเคราะห์เป็น เนื้อหาการจัดการเรียนการสอนต้องเป็นอย่างไร จะบูรณาการ และจะใช้เทคโนโลยีอย่างไร โดยได้ศึกษาเปรียบเทียบหลักสูตรของชาติต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จในการวัดการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือพิซ่า (Pisa) เบื้องต้นหลักสูตร สสวท.จะแยกคณิตศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ ออกเป็นประถมฯ ม.ต้น ม.ปลาย ซึ่งแผนกการเรียนใดไม่เน้นเรียนวิทยาศาสตร์มาก ใช้เป็นพื้นฐาน เช่น แพทย์ วิศวกรรม เป็นต้น หากจะให้เด็กคิดวิเคราะห์ได้ ต้องให้เด็กมีเวลาทำกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้มากขึ้น

ผอ.สสวท. กล่าวต่อว่า หลักสูตร ศธ.ที่เริ่มร่างไปแล้ว เนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เราได้เข้าไปช่วย โดยนำหลักสูตรที่เรากำลังจัดทำไปร่วมร่างด้วย สำหรับหลักการร่างหลักสูตรใหม่ของ ศธ. หากจะผลักดันเรื่องนี้ให้เป็นพื้นฐานการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ เรื่องอาชีพ ต้องวิเคราะห์ว่าจะปรับเวลาเรียนทั้งหมดหรือไม่

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 18 ก.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33385&Key=hotnews

ปฏิรูปหลักสูตรเปิดรับฟังครู

17 กรกฎาคม 2556

ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ ประธานคณะกรรมการปฏิรูปหลักสูตรและตำราการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะทำงานได้ร่างหลักสูตรเสร็จไปกว่าร้อยละ 90 แล้ว และวันที่ 15-16 ก.ค. คณะทำงานจะร่วมรับฟังความคิดเห็นจากครูระดับประถมศึกษาทุกสังกัดทางภาคอีสาน เพื่อนำข้อเสนอต่าง ๆ ไปปรับปรุงเพิ่มเติมร่างหลักสูตรดังกล่าว ซึ่งจะต้องสรุปร่างหลักสูตรป.1-ป.3 ให้เสร็จภายในวันที่ 19 ก.ค. นี้ และหลักสูตรป.4-ป.6 ในวันที่ 2 พ.ค. ส่วนกรณีที่มีข่าวว่ากลุ่มครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์จะเสนอให้รมว.ศึกษาธิการ ชะลอการปรับหลักสูตรใหม่ 6 กลุ่มการเรียนรู้ เนื่องจากเห็นว่าหลักสูตรปัจจุบันเพิ่งใช้ และหลักสูตรใหม่เร่งรัดทำเร็วเกินไป โดยไม่มีคนในวงการครูเข้าไปมีส่วนร่วมนั้น ตนเห็นว่าการเสนอให้ชะลอสามารถทำได้ แต่ขอยืนยันว่าในการทำหลักสูตรนี้มีตัวแทนจากกลุ่มครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย 16 สถาบันและสภาคณบดีครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ส.ค.ศ.ท.) เข้ามาร่วมตั้งแต่ต้น รวมทั้งมีการชี้แจงทำความเข้าใจกับกลุ่มนี้มาก่อน แต่คนที่คัดค้านคงไม่ได้เข้าร่วมตั้งแต่ต้นจึงไม่ทราบเรื่อง อีกทั้งคนที่มาร่วมทำหลักสูตรก็ได้คัดเลือกมาจากทุกสายไม่เฉพาะแค่สายครู เนื่องจากหลักสูตรที่ทำจะต้องมีความหลากหลาย อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาตนได้หารือกับนายจาตุรนต์เรื่องนี้แล้วและ รมว.ศึกษาธิการ ยืนยันให้เดินหน้าต่อไป.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 18 ก.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33386&Key=hotnews

ชักดาบเงินกู้ กยศ. ทนุศักดิ์ งัดไม้ตายจับขึ้นบัญชีแบล็กลิสต์

ชักดาบเงินกู้ กยศ. ทนุศักดิ์ งัดไม้ตายจับขึ้นบัญชีแบล็กลิสต์

นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง ไล่จับเด็กกู้เงิน กยศ.แล้วเบี้ยวหนี้ หลังพบพฤติกรรมของผู้สำเร็จการศึกษาไปแล้ว มีงานทำแต่นำไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย จึงจำเป็นต้องลงโทษสถานหนักถึงขั้นแบล็กลิสต์ พร้อมสร้างหลักเกณฑ์ใหม่ ในปีการศึกษา 57 ผู้กู้ทุกคนต้องยินยอมให้ถูกขึ้นแบล็กลิสต์ หลังสำเร็จการศึกษาไปแล้ว 3 ปี ยังเบี้ยวหนี้

นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง ในฐานะที่กำกับกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า นักเรียนและนักศึกษาที่กู้เงินจาก กยศ.ในปีการศึกษาหน้า หรือปีการศึกษา 2557 ต้องทำสัญญายอมรับการถูกขึ้นบัญชีดำ หรือแบล็กลิสต์กับศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หรือเครดิตบูโร เพื่อป้องกันการไม่ชำระหนี้ หรือเบี้ยวหนี้ หลังจากพบว่า อัตราการเบี้ยวหนี้ของนักเรียนและนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาไปแล้วและครบกำหนดชำระหนี้ เบี้ยวหนี้ถึง 50%

คลิ๊ปนักศึกษา กยศ. เข้าหัวข้อแรงบันดาลใจ
คลิ๊ปนักศึกษา กยศ. เข้าหัวข้อแรงบันดาลใจ

สิ่งที่น่าเป็นห่วงตอนนี้คือ การเบี้ยวหนี้ของนักเรียนและนักศึกษา เมื่อสำเร็จการศึกษาไปแล้วครบ 2 ปี และในปีที่ 3 ที่ต้องทยอยชำระหนี้คืน กยศ.พร้อมจ่ายดอกเบี้ย 1% ต่อปี ซึ่งถือเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก แต่ปรากฏว่า อัตราการเบี้ยวเพิ่มขึ้นจากเดิมเมื่อหลายปีก่อน เคยลดลงเหลือ 28% ปัจจุบันเพิ่มขึ้นจาก 40% และ 50% ในที่สุด

นายทนุศักดิ์ กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 57 จะเริ่มใช้ในเดือน ต.ค.นี้ สำนักงบประมาณได้ตัดงบสนับสนุน กยศ. 5,500 ล้านบาท เหลือ 23,000 ล้านบาท ทำให้มีเงินเหลือเพียงพอที่จะปล่อยกู้ให้แก่นักเรียนและนักศึกษาใหม่ในปีการศึกษา 57 ได้เพียง 35,000 คนเท่านั้น เพราะ กยศ.จะไม่ตัดสิทธิ์การเล่าเรียนของผู้กู้เดิมเป็นอันขาด เนื่องจากเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อนักเรียนและนักศึกษาที่ต้องเลิกเรียนกลางคันได้

ทั้งนี้ในปัจจุบัน กยศ.มีนักเรียนและนักศึกษาที่กู้เงินประมาณ 800,000-900,000 คน โดยมีอัตราการเข้าใหม่และสำเร็จการศึกษาประมาณปีละ 200,000 คน โดยมีรายได้หลักจากการสนับสนุนเงินงบประมาณของรัฐบาล และรายได้จากการชำระหนี้ของรุ่นพี่เพื่อนำเงินที่ชำระนั้น ไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนให้แก่น้องๆ รุ่นต่อๆ ไป โดยเมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นวันที่ครบกำหนดชำระหนี้ (กรณีชำระเป็นรายปี) พบว่ามีมาชำระหนี้เพียง 25,000 ล้านบาท จากจำนวนเงินที่ครบชำระทั้งหมด 50,000 ล้านบาท หรือเบี้ยวหนี้ถึง 50% จึงมีผลกระทบต่อสภาพคล่องของ กยศ.อย่างหนัก

ลูกหนี้ของ กยศ.ที่ไม่มาชำระหนี้ จะถูกเบี้ยปรับในอัตรา 15% แต่เด็กๆคิดว่าเป็นความผิดเล็กๆน้อยๆ จึงนำเงินไปใช้อย่างอื่นหมด เช่น ซื้อโทรศัพท์มือถือ และรถจักรยานยนต์ เป็นต้น โดยไม่ยอมจ่ายหนี้คืน กยศ.จึงจำเป็นต้องลงโทษอย่างหนัก โดยจะเสนอ รมว.คลัง ขึ้นบัญชีดำ 2 กรณีคือ 1.ผู้กู้ก่อนปีการศึกษา 2557 หากสำเร็จการศึกษาครบแล้ว 5 ปีไม่มาชำระจะขึ้นแบล็กลิสต์ทันที และ 2.ผู้กู้ตั้งแต่ปี 57 เป็นต้นไปหากครบ 3 ปีไม่ชำระหนี้ก็จะขึ้นแบล็กลิสต์เช่นเดียวกัน ซึ่งการขึ้นแบล็กลิสต์จะมีผลกระทบต่อการเข้าถึงแหล่งการเงินและโอกาสในการหางานทำในอนาคตด้วย

นายทนุศักดิ์ กล่าวอีกว่า จากจำนวนผู้สำเร็จการศึกษาที่กู้เงินจาก กยศ.มีผู้ที่มีงานทำประมาณ 70% ที่เหลืออีก 30% ไม่มีงานทำ ซึ่งในส่วนนี้กระทรวงการคลังจะร่วมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สมาคมผู้ประกอบการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือให้มีงานทำและจะร่วมกับกองทุนตั้งตัวได้ เพื่อให้ผู้ที่สำเร็จการศึกษาแล้ว แต่ยังไม่มีงานมีโอกาสเป็นเจ้าของกิจการของตนเองได้ด้วย ซึ่งปัจจุบัน กยศ.ปล่อยกู้ค่าครองชีพแก่นักเรียนตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 (ม.4) เนื่องจากรัฐบาลมีโครงการเรียนฟรีไปจนถึง ม.6 โดยจะปล่อยกู้เป็นค่าเล่าเรียน และค่าครองชีพในระดับอาชีวะจนถึงปริญญาตรี.

http://www.thairath.co.th/content/eco/357172

กยศ. ให้โอกาส

มี 32 สถานศึกษาทุจริต กยศ.

กยศ. ให้ชีวิต