Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ห่วงอนาคตเด็กออกกลางคัน สพฐ.เร่งแนะแนวทุนการศึกษาเด็กชายแดนใต้-รู้ลึกโลกมุสลิม

9 กรกฎาคม 2556

ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ กทม.เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 56 นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวตอนหนึ่งในการเป็นประธาน เปิดการประชุมสัมมนาวิชาการ 1 ทศวรรษ ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ฐานการศึกษาของปวงชนว่า สพฐ. เป็นหน่วยงานหลักของกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ที่ดำเนินการมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว ในการส่งเสริมสนับสนุนการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้แก่เด็กและเยาวชนวัยเรียน ทั้งนี้ หากมองไปข้างหน้า สิ่งที่ สพฐ. ต้องคำนึงถึงและถือเป็นแนวทางสำคัญเพื่อเตรียมคนให้ก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และประชาคมโลกอย่างเต็มภาคภูมินั้น จะต้องส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ การปฏิรูปหลักสูตรให้สนองกับความต้องการของผู้เรียน และพัฒนาครูด้วยการปรับการเรียนเปลี่ยนการสอนให้เท่าทันกับเทคโนโลยี

“โจทย์สำคัญของการศึกษาในเวลานี้ คือ จะผลิตคนอย่างไรให้ตรงกับความต้องการของประเทศ จะทำอย่างไรให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ จึงถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องมาร่วมกันคิด โดยการปรับปรุงและพลิกโฉมการจัดการศึกษาอย่างไรก็ดี เรายังมีปัญหาใหญ่ที่จะต้องเร่งแก้ นั่นคือปัญหาเด็กออกกลางคันซึ่งเด็กกลุ่มนี้เมื่อออกไปก็ไม่สามารถไปประกอบอาชีพได้ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องมาร่วมกันคิดว่าจะแก้ปัญหานี้และสร้างอาชีพให้กับเด็กกลุ่มนี้ได้อย่างไร”

นายจาตุรนต์ กล่าวและว่า อยากฝากไปถึง สพฐ. ว่า ไม่อยากให้ไปยึดติดกับเงินอุดหนุนรายหัวของนักเรียนจนไม่ปล่อยเด็กไปเรียนสายอาชีวะ เพราะขณะนี้สัดส่วนการเรียนสายอาชีพและสายสามัญยังไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ที่ 50:50

วันเดียวกัน นายกมล รอดคล้ายรองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า สพฐ. ได้เตรียมสนองแนวนโยบายใน 3 เรื่องหลักคือ

1.การพัฒนาหลักสูตร ที่จะปรับรูปแบบการเรียนการสอนควบคู่ไปด้วย เช่นการปรับชั่วโมงเรียนให้น้อยลง เน้นบูรณาการการเรียนการสอน กิจกรรม การคิดวิเคราะห์ให้มากขึ้น

2.แนวทางแก้ปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการเคารพและไม่เปลี่ยนอัตลักษณ์ของคนในพื้นที่ต้องพัฒนาให้ได้ประโยชน์จากระบบปกติที่รัฐมีอยู่ ไม่ใช่ไปรื้อโครงสร้างตามความต้องการของใครก็ตามที่เรียกร้อง

3.สนับสนุนและส่งเสริมให้เยาวชนในพื้นที่ได้เรียนรู้โลกกว้างและรู้จักโลกมุสลิมอย่างลึกซึ้ง เช่น หากเยาวชนรู้และเข้าใจว่าประเทศมาเลเซียหรือตุรกีเจริญเพราะอะไร และชาวมุสลิมในประเทศเหล่านี้มีคุณภาพชีวิตอย่างไรบ้างปัญหาในพื้นที่ชายแดนใต้จะได้ไม่เป็นอย่างเช่นทุกวันนี้

“สพฐ.มีทุนการศึกษาที่ดูแลนักเรียนในพื้นที่ได้จำนวนมาก เช่น นักเรียนทุนภูมิทายาทอยู่กว่า 5,000 คน ทุนอาชีวะกว่า 500 คน และทุนอุดมศึกษาอีก 800 คน ซึ่งทั้งหมดนี้ยังไม่ได้รับการดูแลอย่างเป็นระบบ เรียนจบก็ไม่ได้แนะแนวว่ามีช่องทางเรียนต่อ หรือควรทำงานอะไรได้บ้าง เราก็จะดูแลในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ของผู้เรียนทุกคน”นายกมล กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33297&Key=hotnews

อึ้ง! สอบครูผู้ช่วยผ่านแค่ 6 %

9 กรกฎาคม 2556

เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ประจำปี 2556 ที่เขตพื้นที่การศึกษาเปิดสอบ จำนวน 79 เขต จาก 34 สาขาวิชาเอก โดยมีอัตราว่าง 1,070 อัตรา เปิดสอบระหว่างวันที่ 22-24 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า ขณะนี้ได้รับรายงานจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ที่ดำเนินการสอบแข่งขันครบทั้ง 79 เขตแล้ว ปรากฏว่ามีผู้สมัครสอบ 84,584 คน เป็นผู้มีสิทธิสอบ 83,930 คน และเป็นผู้ที่สอบผ่านทั้งสิ้น 5,074 คน คิดเป็นร้อยละ 6.05 ของผู้มีสิทธิสอบ ทั้งนี้ สพท.ที่ไม่มีผู้สอบผ่านเลย ได้แก่ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) จันทบุรี เขต 2 เปิดสอบ 2 กลุ่มวิชา คือ คณิตศาสตร์และนาฏศิลป์ ส่วนกลุ่มวิชาที่ไม่มีผู้สอบแข่งขันได้ มี 1 กลุ่มวิชา คือ วิชาภาษาเกาหลี และกลุ่มวิชาที่ไม่มีผู้สมัครสอบ ได้แก่ กลุ่มวิชากายภาพบำบัด

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อว่า ได้มอบให้สำนักงานพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ (สพร.) สพฐ. ไปวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดอย่างละเอียด จำแนกเป็นรายเขตพื้นที่การศึกษา และรายวิชาเอกว่าสอบได้กี่คน และวิชาเอกไหนบ้างที่ไม่มีผู้สอบได้ ซึ่งแนวทางการแก้ไข อาจต้องใช้วิธีการขอใช้บัญชีจากเขตพื้นที่การศึกษาข้างเคียง หรืออาจต้องขอเปิดสอบเสริม นอกจากนี้จะต้องไปวิเคราะห์ความยากง่ายของข้อสอบด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33296&Key=hotnews

 

ศาลแขวงลำปางกำหนดไกล่เกลี่ยเงินกยศ.ปี 2556

ศาลชวนไปไกล่เกลี่ย
ศาลชวนไปไกล่เกลี่ย

http://www.newsplus.co.th/5913

8 ก.ค.56 นายมาโนช  รัตนนาคะ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงลำปาง เปิดแถลงข่าว ว่าด้วยกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาได้ยื่นฟ้องนักเรียน นักศึกษา ของสถาบันการศึกษา ในจังหวัดลำปาง และจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดลำปาง ที่ได้กู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา และผิดนัดไม่ชำระหนี้เกิน 5 ปี โดยฟ้องต่อศาลแขวงลำปาง รวมทั้งสิ้นกว่า 1,200 คดีรวมเป็นผู้กู้และผู้ค้ำประกันทั้งสิ้นประมาณ 2,000–3,000 คน

ศาลแขวงลำปางจึงกำหนดให้มีการไกล่เกลี่ยคดีกองทุนฯ ดังกล่าว เพื่อให้จำเลยได้มีโอกาสเจรจาไกล่เกลี่ยกับกองทุนฯ ในการผ่อนชำระหนี้เป็นรายเดือน ซึ่งหากตกลงกันได้ทางกองทุนฯ จะดำเนินการตามสัญญาขึ้นใหม่ เพื่อให้จำเลยชำระหนี้เป็นรายเดือน คดีจึงยุติข้อพิพาทจากศาลได้โดยการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และในการทำสัญญานี้จำเลยจะได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมและค่าทนายความ อันเป็นการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาและเป็นการแบ่งเบาภาระของจำเลยในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน โดยการไกล่เกลี่ยจะจัดขึ้นในวันที่ 13-16, 22–23 สิงหาคม 2556 เวลา 09.00–16.00น. ณ อาคารศาลแขวงลำปาง ถนนรอบเวียง ตำบลหัวเวียง อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง

สำหรับข้อแนะนำในการมาศาลเพื่อไกล่เกลี่ยคดีกองทุนฯ
1. ผู้กู้และผู้ค้ำประกันต้องมาศาล ตามกำหนดวันที่ปรากฏในหมายเรียก
2. หากมาศาลไม่ได้ ต้องทำหนังสือมอบอำนาจ เพื่อมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมาทำการแทน
3. หากไม่มาศาล และไม่มีหนังสือมอบอำนาจ ไม่สามารถไกล่เกลี่ยและไม่สามารถทำสัญญาได้และเสียประโยชน์ดังนี้
3.1 ศาลอาจมีคำพิพากษาให้จำเลยต้องชำระหนี้ทั้งหมดตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องไม่มีโอกาสผ่อนชำระพร้อมดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และค่าทนายความ
3.2 กองทุนฯ อาจแจ้งชื่อจำเลยไปยังบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ(เครดิตบูโร)
ทำให้เสียเครดิตในการทำนิติกรรมกับสถาบันการเงินอื่นๆ ในอนาคต

ผลการจัดโครงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาก่อนฟ้องคดี ปี 2549 – 2552
ผลการจัดโครงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาก่อนฟ้องคดี ปี 2549 – 2552

http://www.thailandchonburi.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538775518&Ntype=10

เอกสารประกอบหนังสือมอบอำนาจ
1.หนังสือมอบอำนาจ
2.แนบสำเนาทะเบียนบ้านและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทศาลแขวงลำปาง
โทร. 0-5432-2889, 0-5422-5152 ต่อ 211, 212 หรือ 082-6224211

http://www.newsplus.co.th/5913

กยศ.จ่อฟ้องนักเรียน 9 หมื่นราย (ข่าว ธ.ค.2550)

studentloan
studentloan

นายธาดา มาร์ติน ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า กยศ.ได้หารือร่วมกับสำนักงานศาลยุติธรรมเพื่อขอให้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเด็กนักเรียนนักศึกษาที่กู้ยืมเงินกยศ.ก่อนถูกดำเนินคดี เพราะในปี 2551 นี้ กยศ. อาจต้องดำเนินคดีตามกฎหมายกับเด็กนักเรียนนักศึกษาประมาณ 90,000 ราย เนื่องจากมีหนี้ค้างชำระ กยศ.เกิน 4 งวดขึ้นไป โดยเป็นหนี้ที่กำหนดชำระหนี้ในรุ่นปี 42-46

http://news.sanook.com/economic/economic_228616.php
http://www.decha.com/main/showTopic.php?id=1374
http://www.studentloan.or.th/audit/forum/viewthread.php?forum_id=1&thread_id=4353

ทั้งนี้ กยศ.ได้ขอให้ศาลยุติธรรมทำการไกล่เกลี่ยกับผู้ถูกฟ้อง โดยนัดเจรจากับผู้กู้ยืมที่ยังค้างชำระหนี้ เพื่อให้มาผ่อนชำระหนี้คืน กยศ.ใน 2 กรณี คือทำคำรับรองขอชำระหนี้ที่ค้างชำระและทำสัญญาประนีประนอมยอมความนอกศาล หากไม่ดำเนินการก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ซึ่งกยศ.ได้จัดโครงการไกล่เกลี่ยฯ ขึ้น ใน 9 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, ศรีสะเกษ, บุรีรัมย์, ร้อย เอ็ด, ขอนแก่น, สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช และสงขลา ขึ้นในวันที่ 8 ม.ค.-8 มี.ค.51 นี้

นายธาดา กล่าวว่า การฟ้องร้องเด็กนักเรียนนักศึกษาครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า กยศ.จะเอาผิดกับผู้กู้ยืมเงินแต่อย่างใด แต่เป็นสัญญาที่กยศ.ต้องดำเนินการ เพราะถือว่าเด็กนักเรียนผิดนัดชำระหนี้เช่นเดียวกับผู้กู้เงินจากสถาบันการเงินทั่วไป เพราะหากไม่กู้ยืม กยศ.ก็จะมีความผิดตามระเบียบเช่นกัน และการเปิดโครงการไกล่เกลี่ยครั้งนี้จะทำให้เด็กนักเรียนนักศึกษามีโอกาสมาติดต่อเพื่อชำระหนี้ที่ค้างอยู่ รวมทั้งช่วยลดปริมาณคดีที่จะฟ้องคดีในศาลและลดภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีกับผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกัน ที่สำคัญยังช่วยเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับ กยศ. และสร้างจิตสำนึกในการชำระหนี้ ตลอดจนขั้นตอนการดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทฯ

กยศ.ต้องการให้เด็กนักเรียนนักศึกษาที่กู้ยืมเงินมาร่วมโครงการทุกรายเพราะจะได้ไม่ถูกดำเนินคดี ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทั้งค่าไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง ค่าธรรมเนียมศาลหรือค่าทนายความ ที่สำคัญผู้กู้ยืมเงินจะได้รับโอกาสมากขึ้นในการผ่อนผันการชำระหนี้ และเมื่อไกล่ เกลี่ยข้อพิพาทเสร็จแล้วยังทราบผลทันที โดยไม่ต้องเสียเวลามาศาลเพื่อฟังการพิจารณาคดี รวมทั้งยังมีส่วนร่วมในการตัดสินใจหาวิธีชำระหนี้ที่เหมาะสมกับตัวเองอีกด้วย

นอกจากนี้ กยศ.ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการและการอบรมเกี่ยวกับการนำระบบอี-สติวเด้นท์โลน หรือการกู้ยืมเงินผ่านระบบอินเทอร์เน็ต มาใช้ในการกู้ยืมเงินตั้งแต่ปีการศึกษา 2551 เป็นต้นไป โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-31 ม.ค.2551 นี้ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับสถานศึกษา นักเรียนนักศึกษาที่จะขอกู้ยืมเงินจาก กยศ.ให้มีความเข้าใจที่ตรงกันและทำให้ได้รับเงินที่กู้ยืมรวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย

นายธาดา กล่าวว่า ในปีการศึกษา 50 ต้องยอมรับว่าผู้กู้ยืมเงินจาก กยศ.อาจได้รับเงินล่าช้า เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย แต่กยศ.ได้พยายามหาแนวทางเพื่อให้เด็กนักเรียนนักศึกษาได้รับเงินโดยเร็วที่สุดแล้ว จนล่าสุดธนาคารกรุงไทยได้โอนเงินให้สถานศึกษากว่า 90% แล้ว โดยยืนยันว่าในปีการศึกษาหน้าเป็นต้นไป เมื่อนำระบบอี-สติวเด้นท์โลนเข้ามาใช้แล้วปัญหาทุกอย่างจะหมดไปแน่นอน

ก่อนหน้านีนายธาดา ได้ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับเด็กนักเรียนนักศึกษาที่ยังไม่ได้รับเงินกู้จากสถานศึกษา โดยขอให้สำรวจรายชื่อจากสถานศึกษาให้ชัดเจนก่อนว่าได้รับคัดเลือกให้เป็นบุคคลที่ได้รับเงินกู้หรือไม่จากนั้นจึงตรวจสอบไปที่ธนาคารกรุงไทยว่ามีการโอนเงินแล้วหรือไม่ หากมีปัญหาจริง ๆ ก็ขอให้ติดต่อมาที่สำนักงานของ กยศ.ได้

ทั้งนี้ที่ผ่านมาธนาคารกรุงไทย ได้โอนเงินให้จนเกือบครบตามสัญญาที่สถานศึกษาส่งมาให้แล้ว แต่ก็พบว่ายังมีบางส่วนที่ยังไม่ได้รับเงินกู้จาก กยศ.เพราะมีปัญหาเรื่องการขอโควตาเกินงบประมาณที่ กยศ.จัดให้ ซึ่งเรื่องนี้ต้องตรวจสอบรายละเอียดให้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่งก่อน.

สพฐ.ยันจำเป็นแปรญัตติเพิ่มงบปี57 จ้างบุคลากร-ซ่อมอาคารเรียน-เยียวยาครูใต้

8 กรกฎาคม 2556

นายกมล รอดคล้าย รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รองเลขาธิการ กพฐ.) กล่าวว่า ตามที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ ขอให้แต่ละหน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) แปรญัตติงบประมาณ ปี 2557 โดยในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เสนอขอแปรญัตติจำนวน ทั้งสิ้น 17,705 ล้านบาท โดยที่จะแบ่งเป็น 3 เรื่อง คือ 1.การจ้างครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 2,886 ล้านบาท เนื่องจากจะต้องจ้างภารโรง จำนวน 11,641 คน และมีครูสาขาที่ขาดแคลนอีก 5,290 อัตรา โดยอาจจะต้องไปจ้างคนที่เกษียณแล้วมาช่วย หรือจ้างครูปัจจุบันด้วย 2.การซ่อมแซม ปรับปรุงอาคารเรียนและครุภัณฑ์ ซึ่งของบประมาณไป 10,258 ล้านบาท

โดย สพฐ.จะใช้เงินปรับปรุงห้องเรียนหรืออาคารเรียนที่อายุเกิน 30 ปี จำนวน 39,474 หลัง เนื่องจากอาคารเรียนส่วนใหญ่เริ่มทรุดโทรม นอกจากนี้ ยังรวมถึงการย้ายโรงเรียนโยธินบูรณะเพื่อใช้สร้างรัฐสภาแห่งใหม่ โดยสถานที่แห่งใหม่จะสร้างอาคารนอน และอาคารอเนก ประสงค์เพิ่มเติม ที่สำคัญสพฐ.จะสร้างสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาใน 3 จังหวัดภาคใต้ และทั่วประเทศอีก 13 แห่ง รวม 16 แห่ง และ 3.การพัฒนาห้องปฏิบัติการในโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนโดยทั่วไปหากมีห้องภาษาอังกฤษ ห้องแท็บเล็ตเพิ่ม โรงเรียนเหล่านี้จะได้รับการพัฒนา มากขึ้น

รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ รมว.ศึกษาธิการยังมีนโยบายดูแลครูในจังหวัดภาคใต้ โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ  1.ให้เงินชดเชยและเยียวยาผู้ประสบภัยคนละ 4 ล้านบาท ต่อคน ซึ่งรัฐบาลมีเจตนารมณ์ที่จะให้เงินในส่วนนี้ ซึ่งทางกระทรวงศึกษาธิการ มีครูที่ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนใต้จำนวน 158 คน ทั้งนี้ ศูนย์ปฏิบัติการจังหวัดชายแดนภาคใต้จะเป็นผู้ดำเนินการของบประมาณในส่วนนี้ ซึ่ง ปี’57 นี้จะขอแปรญัตติให้คนละ 1 ล้านบาท ในปี’ 58 อีกคนละ 1 ล้านบาท และปี’59 คนละ 2 ล้านบาท โดยรมว.ศธ.จะพยายามหาช่องทางของบฯ สนับสนุนมาดูแลครูให้ได้ตามที่ต้องการ

ที่มา: http://www.matichon.co.th/khaosod

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33286&Key=hotnews

สช.คัด ร.ร.เอกชนต้นแบบ

8 กรกฎาคม 2556

นายบัณฑิต ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กล่าวว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศธ. มอบนโยบายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) โดยมีเรื่องสำคัญ คือ การเน้นการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ เพราะถือเป็นหัวใจหลัก คนที่จะดำเนินการได้คือครูผู้สอน โดยรมว.ศธ.เน้นการพัฒนาครู และการพัฒนาภาษาต่างๆ รวมทั้งให้ใช้เทคโนโลยีในปัจจุบันให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่เด็กค้นคว้ามาแล้วไม่คิดต่อ จะทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์ทางการเรียนการสอน สช.จะไปสานต่อว่าจะพัฒนาการศึกษาไทย โดยเฉพาะการศึกษาเอกชนให้เจริญก้าวหน้าอย่างไร

เลขาธิการ กช. กล่าวต่อว่า รมว.ศธ.ยังให้สช.ไปดูรูปแบบ ร.ร.เอกชนที่มีการเรียนการสอนที่ดี นำมาเป็นต้นแบบพัฒนาการศึกษาเอกชนในภาพรวม โดยตนมอบหมายให้กลุ่มงานการศึกษาสามัญไปถอดแบบร.ร.ที่ประสบความสำเร็จ ว่าทำอย่างไรจัดการเรียนการสอน โดยสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน ได้ 70 เปอร์เซ็นต์ ใน 5 วิชาหลัก ได้ต่อเนื่องติดต่อกันทุกปี ทั้งนี้ยอมรับว่าร.ร.เอกชนวุฒิครูจะแค่ปริญญาตรี แต่จะมีทักษะความสามารถสูง อย่างไรก็ตาม จะให้เวลาถอดแบบประมาณ 3-6 เดือน เพราะต้องไปหารือและศึกษาการเรียนการสอนใน ร.ร. ซึ่งผู้บริหารและครูจะมีส่วนสำคัญผลักดันให้ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ ยังเสนอเรื่องงบฯ ในการขึ้นเงินเดือนครูเอกชน 15,000 บาท โดยรมว.ศธ.รับจะไปดำเนินการหางบฯ ให้ อาจจะแปรญัตติหรือไม่ก็ของบฯ กลางสนับสนุน

ที่มา: http://www.matichon.co.th/khaosod

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33284&Key=hotnews

ยกเครื่องงานพีอาร์คุรุสภา

8 กรกฎาคม 2556

รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ ประธานคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์งานคุรุสภา เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่างานประชาสัมพันธ์ของคุรุสภาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของงานประจำ หรือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากกว่าการประชาสัมพันธ์เชิงรุก ซึ่งยังไม่เกิดประโยชน์ต่อสมาชิกคุรุสภากว่า 5 แสนคนอย่างแท้จริง จึงจำเป็นต้องมีการยกเครื่องการประชาสัมพันธ์งานคุรุสภาใหม่ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สมาชิก และส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าในอาชีพ เพื่อให้ครูมีขวัญและกำลังใจในการพัฒนางานอย่างเต็มที่มากขึ้น

“งานประชาสัมพันธ์ของคุรุสภาเหมือนตกหลุมดำกับงานประจำ จนเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาองค์กร และก่อให้เกิดผลลบต่อภาพลักษณ์ของคุรุสภา ทั้งที่คุรุสภามีงานเชิงบวกที่ควรเผยแพร่ต่อสังคมมากมาย เช่น ผลงานของครูที่มีแนวคิดที่ดี ครูที่ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ ไม่ใช่มีแต่ข่าวเชิงลบจนเป็นภาพที่ติดอยู่ในใจของสังคม ทั้งเรื่องครูข่มขืนเด็ก หรือครูเป็นหนี้สิน” รศ.ดร.สุขุมกล่าวและว่า ดังนั้นคิดว่าในเร็ว ๆ นี้น่าจะต้องมีการจัดอบรมเครือข่ายและตัวแทนครูที่เกี่ยวข้องกับงานประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศ เพื่อให้เข้าใจการทำงานประชาสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน และยังเป็นการสร้างนักประชาสัมพันธ์มืออาชีพให้แก่องค์กรด้วย.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33283&Key=hotnews

ประถม-มัธยมอยู่ร่วมกันเข้มแข็ง ‘ชินภัทร’ ชี้ต้องขับเคลื่อนพร้อมกันคุณภาพ นร.ต่อเนื่อง/ดันลูกหม้อเติบโต

8 กรกฎาคม 2556

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.)เปิดเผยถึงกรณีที่สมาพันธ์ผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยองค์กรเครือข่ายการมัธยมศึกษา ได้ร่วมกันเสนอต่อนายจาตุรนต์ ฉายแสงรมว.ศึกษาธิการ เพื่อขอแยกตั้งสำนักงานคณะกรรมการการมัธยมศึกษาว่า เรื่องการปฏิรูปการศึกษาทุกฝ่ายสามารถเสนอความเห็นได้ แต่ก็ต้องวิเคราะห์หรือประมวลข้อคิดเห็นทั้งข้อดีและข้อเสียก่อน และการปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้ เราควรทุ่มเทให้กับการปฏิรูปหลักสูตร เน้นเรื่องของงานวิชาการเป็นหลัก เพราะการปฏิรูปการศึกษารอบแรกเราได้เสียเวลาไปกับการปฏิรูปโครงสร้างมามาก และโดยส่วนตัวก็เห็นว่าวันนี้กลไกการทำงานของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ยังดำเนินไปได้ด้วยดี

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่าสำหรับกรณีที่สมาพันธ์ฯ แสดงความห่วงใยว่า ปัจจุบันผู้บริหารที่เข้าใจการมัธยมศึกษา ในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ลดน้อยลงนั้นตนเองมองว่า สพฐ. ไม่มีปัญหาเรื่องการขาดช่วงของผู้รอบรู้เรื่องการมัธยมศึกษาและการเกษียณอายุราชการก็เป็นเรื่องปกติของวิถีชีวิตของข้าราชการ ซึ่งก็จะมีคนใหม่หมุนเวียนเข้ามาทำงาน และเชื่อว่าสามารถสานต่องานแทนคนรุ่นเดิมได้ส่วนข้อเสนอการแยกตั้งองค์กรหลักใหม่เพื่อสร้างผู้บริหารด้านการมัธยม ที่มาจากสายมัธยมโดยตรงนั้นก็เป็นข้อเสนอหนึ่งแต่เห็นว่าการสร้างคนใหม่ต้องใช้เวลาดังนั้น ควรพัฒนาคนที่มีอยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพซึ่งจะใช้เวลาน้อยกว่า

“เรื่องที่ชาวมัธยมรู้สึกน้อยใจว่าดูแลประถมมากกว่านั้น คงไม่จริง สพฐ. ดูแลทั้งสองฝ่ายเท่าเทียมกัน จนหลายครั้งยังถูกต่อว่าจากฝ่ายประถมว่าดูแลฝ่ายมัธยมมากเกินไปด้วยซ้ำ ผมขอบอกว่าผมมองการมัธยมเปรียบเสมือนหัวรถจักร เป็นพี่ใหญ่ที่มีประสบการณ์สูงทั้งด้านวิชาการและด้านการบริหาร ส่วนประถมเป็นเหมือนน้อง แต่ในการบริหารผมใช้หลักการเดียวกันคือโรงเรียนมาตรฐานสากลไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่หรือเล็กก็มุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน จึงเห็นว่าทั้งมัธยมและประถมควรอยู่ด้วยกัน เพื่อสร้างความเข้มแข็งและพัฒนาคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งดีกว่าแยกกันอยู่” นายชินภัทร กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33282&Key=hotnews

คอลัมน์: สถานี ก.ค.ศ.: แนวทางป้องกันและการแก้ไขปัญหา กรณีนักเรียนถูกล่วงละเมิดสิทธิ

8 กรกฎาคม 2556

ประสาน ยินดีชัย ผู้อำนวยการภารกิจเสริมสร้างและมาตรฐานวินัย
ด้วยปรากฏว่า มีนักเรียนเป็นจำนวนมากถูกล่วงละเมิดสิทธิทั้งล่วงละเมิดทางร่างกายและล่วงละเมิดทางเพศ อันเกิดจากการกระทำของครูที่สอนและมีความใกล้ชิดกับนักเรียนเหล่านั้น และบุคคลภายนอก สำนักงาน ก.ค.ศ.มีความห่วงใย และตระหนักถึงสิทธิเสรีภาพของเด็กนักเรียนที่ถูกกระทำ จึงขอวิงวอนให้เพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษาพึงปฏิบัติดังนี้

1.ครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องไม่กระทำการล่วงละเมิดทางร่างกายนักเรียน โดยไม่มีสิทธิหรือโดยมิชอบ อันได้แก่การทำร้ายร่างกาย การลงโทษนักเรียนเกินกว่าเหตุ หรือโดยวิธีที่ไม่เหมาะสม

2.ครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องไม่กระทำการล่วงละเมิดทางเพศ หรือมีพฤติการณ์ไม่เหมาะสมในทางเพศกับนักเรียนดังต่อไปนี้
2.1 กระทำชำเรา ไม่ว่ากระทำโดยที่นักเรียนยินยอมหรือไม่ก็ตาม หรือกระทำอนาจารต่อนักเรียน เช่น สัมผัส กอดรัด จับต้องอวัยวะอันพึงสงวน หรือแตะต้องเนื้อตัวร่างกายด้วยอารมณ์ใคร่
2.2 กระทำการใดๆ อันเป็นการส่งเสริมให้นักเรียนค้าประเวณี ซึ่งรวมถึงการใช้บริการทางเพศจากนักเรียน
2.3 กระทำการใดๆ อันเป็นลักษณะมีความสัมพันธ์ในทางชู้สาวกับนักเรียน เช่น การอยู่กับนักเรียนตามลำพัง ในที่รโหฐานหรือในสถานที่อันไม่เหมาะสม เว้นแต่มีเหตุผลอันสมควร
2.4 กระทำการใดๆ อันเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถานภาพนักเรียน เช่น พานักเรียนไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ที่ไม่เหมาะสม โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร

3.ครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องไม่กระทำการใดอันเป็นการล่วงละเมิดด้วยวาจา อากัปกิริยา เช่น พูดจาเกี้ยวพาราสี พูดดูหมิ่น หยาบคาย หลอกลวง หรือกระทำการใดอันเป็นการบีบคั้นจิตใจนักเรียน

4.ให้ตระหนักในหน้าที่ของครูและบุคลากรทางการศึกษาที่จะต้องสอดส่องดูแลด้วยความเข้าใจ จิตวิทยาวัยรุ่นประกอบด้วยหลักเมตตาธรรม พร้อมทั้งประสานกับพ่อแม่ ผู้ปกครองของนักเรียน

5.ให้ถือเป็นหน้าที่ของครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องให้ความช่วยเหลือนักเรียนที่ถูกละเมิดทางเพศตามความเหมาะสม

ดังนั้น ผู้บริหารสถานศึกษาควรให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา กรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง นักเรียน ในเรื่องกฎหมายเกี่ยวกับการปกป้องคุ้มครองสิทธินักเรียน
นอกจากนี้ผู้บริหารสถานศึกษายังจะต้องควบคุม ดูแล มิให้ครูและบุคลากรทางการศึกษามีพฤติการณ์ดังกล่าวข้างต้น ในกรณีที่มีเหตุการณ์ล่วงละเมิดสิทธินักเรียน ต้องรีบดำเนินการให้ความช่วยเหลือบำบัดและฟื้นฟูจิตใจของนักเรียนทันที และรายงานผู้บังคับบัญชาหน่วยงานต้นสังกัด เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33281&Key=hotnews

๑ ทศวรรษ สพฐ. “ฐานพลังการศึกษาของปวงชน”

8 กรกฎาคม 2556

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ เป็นกฎหมายแม่บทด้านการศึกษาฉบับแรกของประเทศไทย มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำหนดสิทธิและเสรีภาพ ที่สนองต่อรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๔๐ ซึ่งมีการกำหนดกรอบทิศทางการดำเนินงานปฏิรูปการศึกษาในยุคปัจจุบัน กำหนดให้กระทรวงศึกษาธิการ เป็นหน่วยงานหลัก รับผิดชอบการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๑๒ ปี โดยการขยายการศึกษาภาคบังคับจาก ๖ ปี เป็น ๙ ปี ตามมาตรา ๑๐ ที่บัญญัติไว้ว่า “การจัดการศึกษาต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษา ขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า ๑๒ ปีที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บ ค่าใช้จ่าย”

เพื่อให้การบริหารราชการในกระทรวงศึกษาธิการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้มีการตราพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.๒๕๔๖ ขึ้น ซึ่งเป็นการกำหนดขอบเขตอำนวจหน้าที่ของส่วนราชการต่าง ๆ ของกระทรวงศึกษาธิการให้ชัดเจน มิให้เกิด การปฏิบัติงานซึ่งซ้อนทับกันระหว่าง ส่วนราชการของกระทรวงศึกษาธิการพร้อมทั้งเป็นการจัดระบบบริหารราชการในระดับต่าง ๆ ของกระทรวงศึกษาธิการให้มีเอกภาพ สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ

จากการที่พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.๒๕๔๖ มีการบังคับใช้ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คือ การควบรวมหน่วยงานสำคัญ ๑๔ กรม กลายมาเป็น ๕ องค์กรหลัก ซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคลและเป็นกรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน จึงถือเอาวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๔๖ เป็นวันสถาปนา สพฐ.

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็น ๑ ใน ๕ องค์กรหลัก เกิดจากการควบรวมหน่วยงานระดับกรม ๓ กรม ได้แก่ กรมวิชาการ (วก.) กรมสามัญศึกษา (สศ.) และ สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.) เข้าไว้ด้วยกัน มีพันธกิจในการพัฒนาและส่งเสริมสนับสนุนการจัดการศึกษา ขั้นพื้นฐานให้ประชากรวัยเรียนทุกคน ได้รับการศึกษาอย่างมีคุณภาพ โดยพัฒนาผู้เรียนให้เป็นบุคคลที่มีความรู้คู่คุณธรรม มีความสามารถตามมาตรฐานการศึกษาและนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพระดับสากล

สพฐ.เป็นองค์กรขนาดใหญ่ แบ่งการบริหารราชการในส่วนกลางระดับสำนักและเทียบเท่าสำนัก ๑๙ สำนัก และ ส่วนภูมิภาคครอบคลุม ๗๗ จังหวัด ทั่วประเทศ ได้แก่สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษา(สพป.) จำนวน ๑๘๓ เขตพื้นที่การศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.) ๔๒ เขตพื้นที่การศึกษา มีสถานศึกษาในสังกัดที่รับผิดชอบ ๓๑,๑๑๖ แห่ง ครูและบุคลากรทางการศึกษา ๔๒๒,๕๑๘ คน

ซึ่งทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นพลังสำคัญในการวางแผน กำหนดนโยบาย วางยุทธศาสตร์ และการปฏิบัติที่เป็น รูปธรรมเพื่อจัดการศึกษาให้แก่เด็กนักเรียนไทยกว่าเจ็ดล้านสามแสนคน
นับแต่เริ่มก่อตั้ง สพฐ.จวบจนปัจจุบันมีผู้บริหารที่ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการ กพฐ. ตามลำดับ ดังนี้
๑. นายไพฑูรย์ จัยสิน ดำรงตำแหน่งระหว่าง กรกฎาคม – กันยายน ๒๕๔๖
๒. ดร.คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยาดำรงตำแหน่งระหว่างปี พ.ศ.๒๕๔๖ – ๒๕๔๗
๓. ดร.พรนิภา ลิมปพยอม ดำรงตำแหน่งระหว่างปี พ.ศ.๒๕๔๗ – ๒๕๔๙
๔. ดร.คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยาดำรงตำแหน่ง ระหว่างปี พ.ศ.๒๕๔๙ – ๒๕๕๒
๕. ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน ดำรงตำแหน่งระหว่างปี พ.ศ.๒๕๕๒ – ปัจจุบัน

๑ ทศวรรษ สพฐ.
ในโอกาสการสถาปนาครบรอบ ๑ ทศวรรษ สพฐ. จึงจัดให้มีการประชุมสัมมนาทางวิชาการ ระหว่างวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ โดยการเชื่อมโยง บูรณาการงานประชุมสัมมนาทางวิชาการของหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัด สพฐ.ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคตลอดช่วงเวลาดังกล่าว มีการระดมความคิดของทุกภาคส่วนของสังคม ในการปรับเปลี่ยนทิศทางการศึกษาขั้นพื้นฐานในการสร้างฐานรากของสังคมอนาคต และกำหนดประเด็นการพัฒนาที่สำคัญในทศวรรษต่อไปเพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบาย เกิดประสิทธิภาพและเป็นไปตามวัตถุประสงค์

อีกทั้งยังได้เชิญผู้บริหารระดับสูงกระทรวงศึกษาธิการ ผู้บริหารระดับสูง บุคลากรทางการศึกษา ศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารโรงเรียน ครู แขกผู้มีเกียรติ และ คณะทำงานจำนวนประมาณ ๗,๕๐๒ คน เข้าร่วมประชุมสัมมนาทางวิชาการในวาระครบรอบ ๑ทศวรรษ สพฐ. ระหว่างวันที่ ๘-๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ โรงแรมมิราเคิลแกรนด์คอนเวนชั่น วิภาวดีรังสิตหลักสี่กรุงเทพมหานคร

ในวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ จะมีการถ่ายทอดสด พิธีเปิดตั้งแต่เวลา ๑๐.๐๕ – ๑๑.๐๐ น. โดย ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จะกล่าวรายงานต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมร่วมรับฟังปาฐกถาพิเศษ จากรัฐมนตรี ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBTจากนั้น ศ.นพ.วิจารณ์พานิช จะบรรยายพิเศษในหัวข้อ “มองไปข้างหน้า: การศึกษาขั้นพื้นฐานในทศวรรษที่ ๒”

ส่วนภาคบ่ายจะเป็นการเสวนา “มองอดีตเพื่อกำหนดอนาคต” โดยจัดกิจกรรม ออกเป็น ๒ กลุ่มผู้ฟัง ได้แก่ ห้องที่ ๑ หัวข้อ”ปัจจัยและเงื่อนไขความสำเร็จของการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน” ซึ่งจะเป็นการเสวนา วิพากษ์ การศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อกำหนดอนาคต และการมองในเชิงสารสนเทศผลการดำเนินงาน ที่ผ่านมา และผลกระทบรวมทั้งแนวทางสำคัญของการบริหารจัดการงบประมาณ บุคลากร ฯลฯ สำหรับมุมมองของผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ที่จะส่งผลให้เกิดการพัฒนาในอนาคตวิทยากรประกอบด้วย รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ และ รศ.ดร.สุธรรม วาณิชเสนี

ห้องที่ ๒ “การให้วัคซีนกับ Generation Z” หรือ วัคซีนที่จำเป็นสำหรับ Gen Z ซึ่งเป็นเด็กรุ่นใหม่ ที่เกิดในช่วงกลางทศวรรษ ที่ ๑๙๙๐s จนถึงปัจุบัน โดยการมองในเชิงกระบวนการเรียนรู้ เกี่ยวกับเด็กและการดูแลเด็ก การดูแลช่วยเหลือนักเรียน การป้องกัน เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กรุ่นใหม่ เติมในด้านจิตใจและความคิด นำมาสู่กระบวน การพัฒนาครูและการนิเทศ สำหรับกลุ่มผู้ฟัง คือผู้อำนวยการกลุ่มนิเทศติดตามและประเมินผล การจัดการศึกษา โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ และ ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เป็นวิทยากรร่วมเสวนาภายในงานจะมีการจัดนิทรรศการ เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพใน การพัฒนา สู่ความสามารถของเด็กไทย ภายใต้การจัดการศึกษาที่เป็นรูปธรรมของ สพฐ.ในรอบ ๑ ทศวรรษ แบ่งเป็น ๕ โซน ได้แก่ โซน ๑ : “ก้าวย่าง…บนเส้นทางการพัฒนา”ที่ผู้ชมจะได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการ รวมถึงการบันทึกเหตุการณ์สำคัญๆ ของ สพฐ.ซึ่งจะนำเสนอในลักษณะTime Line โซนที่ ๒ : “ก้าวกล้า…พัฒนาคน” ที่จะแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญของการศึกษาที่เน้นทางด้านโอกาส ในการ เตรียมความพร้อมและความรู้ให้กับเด็กปกติที่ได้รับ การพัฒนาเต็มตามศักยภาพ และเด็กด้อยโอกาส ที่ได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างทั่วถึง โซน ๓ : “ก้าวล้ำ…ผู้นำวิชาการ”เป็นการแสดงความหลากหลายในการพัฒนาครูและนักเรียน โดยเฉพาะการพัฒนาครู อาทิ บันได ๕ ขั้น การปรับเปลี่ยนการเรียนการสอน Independent Study รวมถึงความพยายามในการปฏิรูปหลักสูตร เพื่อให้เกิดความพร้อม และการนิเทศเต็มพิกัด พร้อมทั้งการสนับสนุนและพัฒนาคุณภาพเด็ก ทั้งเด็กพิการ และเด็กที่มีความสามารถพิเศษ

โซน ๔ : “ก้าวมั่น…ด้วยประกันคุณภาพ” นำเสนอการบริหารจัดการโรงเรียนในหลายรูปแบบ อาทิ โรงเรียนในฝัน โรงเรียนดี ประจำตำบล โรงเรียนดีศรีตำบล โรงเรียนมาตรฐานสากล ฯลฯ ที่มีความเหมาะสมกับบริบทของแต่ละโรงเรียน ในด้านความพร้อมด้านทรัพยากร รวมไปถึงการประเมินผลและการพัฒนาคุณภาพของโรงเรียนเหล่านั้น และโซน ๕ : “ก้าวไกล…สู่ศตวรรษใหม่ ICT”ที่จะแสดงให้เห็นถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการเรียนการสอน เช่น การถ่ายทอดสดโรงเรียนทางไกล ไกลกังวล การจัด OBECChannel ที่มีการบรรจุกิจกรรมหลากหลายไว้ในช่องรายการ รวมถึงการจัดการเรียนการสอน

โดยใช้ Tablet เป็นสื่อในการเรียนการสอนนับตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๖ เป็นต้นมาจวบจนวันนี้ ครบหนึ่งทศวรรษที่ สพฐ.ไม่เคยหยุดนิ่ง มุ่งนำนวัตกรรมทาง การศึกษา มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมและทันสมัยเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ คิด วิเคราะห์และ การสร้างคุณลักษณะที่ดี เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญตาม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติเพื่อ นำไปสู่เป้าหมายให้เด็กไทยเติบโตและพัฒนาอย่างมีศักยภาพและมีคุณภาพ

หนึ่งทศวรรษแห่งความมุ่งมั่น สพฐ.พร้อมรับความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์จากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างขุมพลังการมีส่วนร่วมจัดการศึกษา ขับเคลื่อน และพัฒนาคุณภาพเด็กไทย ให้เป็น “ฐานพลังการศึกษาของ ปวงชน”..

“ขอแสดงความยินดีในโอกาสที่ สพฐ.ดำเนินงานมาครบ ๑ ทศวรรษ ขอให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาการศึกษาของชาติสืบไป”
นายจาตุรนต์ ฉายแสง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33280&Key=hotnews