Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ไฟเขียว อ.ก.ค.ศ.เขตฯ ตั้ง ผอ.พรีเมียม สั่งยุบ กก.กลั่นกรองเหตุย้ายข้ามเขตได้เอง เตรียมชง ก.ค.ศ.เห็นชอบเกณฑ์แต่งตั้งใหม่

24 มิถุนายน 2556

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน แหล่งข่าวระดับสูงจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) วิสามัญเกี่ยวกับการพัฒนานโยบายและระบบบริหารงานบุคคล เมื่อเร็วๆ นี้ ที่มีนายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เป็นประธาน ได้พิจารณาการแต่งตั้งผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มพรีเมียม ที่ปัจจุบันมีคณะกรรมการกลั่นกรองของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นผู้พิจารณาคัดเลือก เพื่อนำเสนอให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาพิจารณาแต่งตั้ง ว่าควรจะต้องปรับเปลี่ยนในเรื่องดังกล่าวหรือไม่ หลังจากที่มีผู้ออกมาคัดค้านเรื่องนี้ และที่ประชุมคณะกรรมการ กพฐ.ได้ให้นายอภิชาติในฐานะกรรมการ กพฐ.พิจารณาเรื่องนี้ โดยที่ประชุมมีมติให้ปรับเปลี่ยนในเรื่องนี้แล้ว คือให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ เป็นผู้พิจารณากลั่นกรองผู้บริหารโรงเรียนพรีเมียม โดยไม่จำเป็นต้องมีคณะกรรมการกลั่นกรองของ สพฐ.เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เสนอว่าหลักเกณฑ์การโยกย้ายผู้บริหารสถานศึกษาปกติ สามารถให้ผู้บริหารสถานศึกษาจากเขตพื้นที่ฯ หนึ่งไปยังอีกเขตพื้นที่ฯ หนึ่งได้อยู่แล้วตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดึงเรื่องนี้มาไว้ที่ส่วนกลางด้วยการให้มีคณะกรรมการกลั่นกรองของ สพฐ.

แหล่งข่าวระดับสูง สพฐ.กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ที่ประชุมได้เห็นชอบให้ปรับหลักเกณฑ์การนับการดำรงตำแหน่งครบตามที่กำหนดหรือไม่ จากเดิมให้นับถึงช่วงที่เปิดให้ยื่นความจำนงโยกย้ายประจำปีถึงวันที่ 15 สิงหาคม โดยได้เปลี่ยนให้นับอายุการดำรงตำแหน่งตามปีงบประมาณถึงวันที่ 30 กันยายน อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้สำนักงาน ก.ค.ศ.จะต้องนำเสนอหลักเกณฑ์การโยกย้ายผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มพรีเมียมเข้าที่ประชุม ก.ค.ศ.ที่มีรัฐมนตรีว่าการ ศธ.เป็นประธาน ได้พิจารณาเห็นชอบต่อไป

“เมื่อมีการปรับหลักเกณฑ์การโยกย้ายผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มพรีเมียม โดยให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ เป็นผู้พิจารณาเองแล้ว จึงเท่ากับว่ากลุ่มโรงเรียนพรีเมียมที่ สพฐ.ตั้งขึ้นมาจะไม่มีแล้ว เพราะหลักๆ ที่ สพฐ.ตั้งโรงเรียนกลุ่มนี้ขึ้นมาเพื่อดูแลเชิงการบริหารงานบุคคลในส่วนของการโยกย้ายผู้บริหารเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนอื่นๆ ” แหล่งข่าวระดับสูง สพฐ.กล่าว

ด้านนางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการ ก.ค.ศ.กล่าวต่อว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบที่จะไม่ให้มีคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ตามที่มีการเสนอกันมา เพราะเห็นว่าปกติแล้วหลักเกณฑ์การโยกย้าย ได้เปิดให้ย้ายต่างเขตพื้นที่ฯ ได้อยู่แล้ว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33114&Key=hotnews

‘ยูเนสโก’ ชี้การศึกษามีผลต่อแรงงาน

24 มิถุนายน 2556

ASTVผู้จัดการรายวัน – “พงษ์เทพ” เผยไทยลงทุนด้านการศึกษาเยอะแต่ผลตอบรับไม่น่าพอใจ ขณะที่ยูเนสโกเดินหน้าทบทวนการศึกษาไทยหลังพบเด็กในเมืองเข้าถึงการศึกษามากกว่าเด็กชนบท สลัมครูขาดคุณภาพ ผอ.ยูเนสโก กรุงเทพฯ ชี้มีผลกระทบการแข่งขันทางแรงงานของไทย
วานนี้ (23 มิ.ย.) ที่โรงแรมเซ็นทราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ได้จัดประชุมสัมมนาวิชาการระหว่างประเทศ ประจำปี 2556 เรื่อง “การศึกษาเพื่ออนาคตประเทศไทย” ระหว่างวันที่ 23-25 มิ.ย. โดยมีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน กล่าวว่า การศึกษาเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของอนาคตประเทศ โดยเฉพาะในโลกยุคปัจจุบันที่เป็นโลกยุคของความรู้ ไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ลงทุนเรื่องการศึกษาเยอะมาก แต่ผลตอบรับยังไม่น่าพอใจ ดังนั้นจึงต้องเร่งพัฒนาโดยเฉพาะเรื่องคุณภาพที่ไม่ใช่แค่เรื่อง การให้การศึกษา และที่ศธ.กำลังทำอยู่ขณะนี้คือเรื่องการปฏิรูปหลักสูตร ในระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา อย่างไรก็ตามการพัฒนาคุณภาพศึกษาต้องการการยอมรับ ความเข้าใจ การมีส่วนร่วม จึงจะ สามารถจะขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าวให้เกิดการพัฒนาได้

Dr. Gwa ng-Jo Kim ผู้อำนวยการยูเนสโก กรุงเทพฯ กล่าวว่า ตนเองทำงานอย่างใกล้ชิดกับประเทศไทยมากว่า 4 ปีและเรียนรู้ระบบการศึกษาของไทย พบว่าเด็กในเมืองหรือพื้นที่ที่เศรษฐกิจเติบโตเข้าถึงจะสามารถเข้าถึงการศึกษาในอัตราที่สูง ส่วนพื้นที่ห่างไกลในชนบทหรือผู้อพยพ ในสลัม หรือจากชาติพันธุ์ต่างๆ จะเข้าถึงการศึกษาได้น้อย และคุณภาพการศึกษามีผลการแข่งขันของแรงงานไทย Mr.David Atchoarena ผู้อำนวยการ Division for Planning and Development of Education Systems ของยูเนสโก กล่าวว่า ถือเป็นครั้งแรกที่ยูเนสโกร่วมมือกับ OECD ที่จะทบทวนนโยบายด้านการศึกษาของไทยใน 4 ด้าน ได้แก่

1.คุณภาพครู

2.การปฏิรูปหลักสูตร ที่ ศธ.

3.การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียน และ

4.การเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารเคลื่อนที่หรือ Mobile learning

อาทิ นโยบายแท็บเล็ตสำหรับนักเรียนชั้น ป.1 อย่างไรก็ตาม การทบทวนนโยบายดังกล่าวอาจจะยังไม่เห็นผลเต็มที่ เนื่องจากเป็นนโยบายที่ถือว่ายังดำเนินการมาได้ไม่นานพอ อย่างไรก็ตาม การทบทวนนโยบายด้านการศึกษาของไทยจะเริ่มประมาณเดือนกันยายนหรือตุลาคม และคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคมหรือต้นปีหน้า

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33113&Key=hotnews

ศธ.-คุมเข้มทุจริตสอบครูผู้ช่วย

24 มิถุนายน 2556

วันที่ 23 มิ.ย. นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เดินทางตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมสนามสอบแข่งขันบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ครั้งที่ 1 ประจำปี 2556 ในพื้นที่เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) เขต 1 ที่ร.ร.สันติราษฎร์วิทยาลัย โดยนายพงศ์เทพกล่าวว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่ควบคุมการสอบทุกพื้นที่เข้มงวดในการตรวจสอบให้เพิ่มมากขึ้น หลังจากวันที่ 22 มิ.ย.พบการนำโทรศัพท์มือถือเข้าไปในห้องสอบ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการทุจริตหรือไม่ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบ

นายพงศ์เทพกล่าวว่า ได้รับรายงานการสอบครูผู้ช่วยในวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการสอบวันแรก ได้เกิดเหตุการณ์ผิดปกติเล็กน้อยไม่ร้ายแรง โดยพบว่าสนามสอบโรงเรียนสันติราษฎร์ฯ มีผู้เข้าสอบนำโทรศัพท์มือถือเข้าห้องสอบ 2 ราย ซึ่งคณะกรรมการประจำสนามสอบได้แจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว โดยขณะนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กำลังตรวจสอบว่าโทรศัพท์ทั้งสองเครื่องมีการสื่อสารในระหว่างการสอบที่นำไปสู่การทุจริตในการสอบหรือไม่ ซึ่งจะใช้เวลานานเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับ สตช.

ที่ จ.นครราชสีมา มีการวางมาตรการเข้มงวดทุกห้องสอบ โดยเฉพาะสนามสอบที่โรงเรียนปักธงชัยประชานิรมิตร อ.ปักธงชัย ซึ่งเป็น 1 ใน 3 สนามสอบของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) นครราชสีมา เขต 3 คณะกรรมการควบคุมห้องสอบได้กำชับให้ผู้เข้าห้องสอบทุกคนถอดรองเท้าและเสื้อคลุม เพื่อป้องกันซุกเครื่องมือสื่อสารหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เข้าห้องสอบ ส่วนผู้เข้าสอบสุภาพสตรีที่มีผมยาวต้องมัดผม เปิดหู เพื่อป้องกันการใส่หูฟังสัญญาณต่างๆ ด้วย
นายพิสิษฐ์ ชดกิ่ง ผอ.สพป.นครราชสีมา เขต 3 กล่าวว่า จากผู้สมัครสอบ 2,749 ราย แต่มีตำแหน่งว่างเพียง 7 อัตรา ตลอด 2 วันที่จัดสอบยังไม่พบปัญหาทุจริต มีเพียงการส่งข้อสอบกระจายไปตามห้องต่างๆ ที่ล่าช้ากว่าเวลาปกติเล็กน้อย ซึ่งก็ได้ต่อเวลาให้ผู้สอบตามความเป็นจริง โดยพบว่ามีผู้ขาดสอบมากกว่า 200 คน หรือเฉลี่ยห้องละ 2-3 คน ส่วนข้อสอบทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่ สภ.ปักธงชัย มีเจ้าหน้าที่เฝ้าตลอด 24 ช.ม.

ส่วนพื้นที่ สพป.ศรีสะเกษ เขต 3 อ.ขุขันธ์ มีการเปิดสนามสอบ 5 แห่ง มีผู้เข้าสอบ 6,280 คน โดยมีเจ้าหน้าที่คุมห้องสอบ และเจ้าหน้าตำรวจคุมเข้ม ว่าที่ร.ต.สำรวย นกงาม รอง ผอ.สพป.ศรีสะเกษ เขต 3 กล่าวว่า มาตรการป้องกันการทุจริตตั้งแต่การเริ่มสมัครสอบต้องกรอกรหัสบัตรประชาชน 13 หลัก และในบัตรประจำตัวผู้สมัครสอบจะต้องมีการพิมพ์ลายนิ้วมือด้วย ส่วนวันสอบก็มีการป้องกันการใช้คลื่นสัญญาณ การสื่อสารต่างๆ และการป้องกันการนำโพย หรือเอกสารการทุจริตเข้าห้องสอบ
ที่สนามสอบร.ร.บุรีรัมย์พิทยาคม จ.บุรีรัมย์ วันที่สอง สพม.เขต 32 พร้อมคณะกรรมการ และเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 30 นาย คุมเข้มป้องกันทุจริต จากการสอบวันแรกไม่พบความผิดปกติ มีเพียงผู้เข้าสอบ 2 คนที่หลงลืมนำโทรศัพท์มือถือเข้าไปในห้องสอบ แต่คณะกรรมการเห็นว่าไม่มีเจตนาทุจริต ซึ่งสนามสอบบุรีรัมย์มีผู้เข้าสอบ 365 คน รับเข้าบรรจุ 6 อัตรา

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33112&Key=hotnews

สกศ.ระดมสมองการศึกษาเน้นคุณภาพ

24 มิถุนายน 2556

รมว.ศธ.ชี้ขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาต้องเน้นเรื่องคุณภาพ การยอมรับ ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วม สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.)จัดประชุมสัมมนาวิชาการระหว่างประเทศ ประจำปี 2556 เรื่อง “การศึกษาเพื่ออนาคตประเทศไทย” ระหว่างวันที่ 23-25 มิถุนายน โดยมีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศธ.) เป็นประธานเปิดงาน มีคณาจารย์ ผู้ทรงคุณวุฒิทางการศึกษาทั้งไทยและต่างประเทศ เข้าร่วมประมาณ 1,000 คน โดยนายพงศ์เทพ กล่าวว่า การศึกษาเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของอนาคตและประเทศ ซึ่งประเทศไหนไม่มีการศึกษาเท่ากับไม่มีอนาคต ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ลงทุนเรื่องการศึกษาเยอะมาก แต่ผลตอบรับที่ได้กลับมายังไม่น่าพอใจ ดังนั้นจึงต้องเร่งพัฒนาการศึกษา โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพ

นายพงศ์เทพ กล่าวต่อว่านายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ให้ความสำคัญใส่ใจเรื่องการศึกษามาโดยตลอด และสิ่งที่เราทำในขณะนี้ คือเรื่องคุณภาพการศึกษา ซึ่งไม่ใช่เพียงเรื่องการให้การศึกษา ความเสมอภาค แต่สิ่งที่ศธ.กำลังทำอยู่ขณะนี้ ได้แก่ เรื่องการปฏิรูปหลักสูตร ในระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ถือเป็นการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ต้องการการยอมรับ ความเข้าใจ การมีส่วนร่วม จึงจะสามารถจะขับเคลื่อนเรื่งดังกล่าวให้เกิดการพัฒนาได้

Dr. Gwang-Jo Kim ผู้อำนวยการยูเนสโก กรุงเทพฯ กล่าวว่าตนทำงานอย่างใกล้ชิดกับประเทศไทยกว่า 4 ปีและเรียนรู้ระบบการศึกษาของไทย ซึ่งมีความก้าวหน้า จากตัวเลขล่าสุดปี 2012 ของสถาบันสถิติของยูเนสโกหรือ UIS รายงานอัตราการเข้าเรียนอย่างหยาบทั้งระดับประถมและมัธยมต้นของประเทศไทยมีมากกว่า 90% ดัชนีความเสมอภาคหญิงชายของประเทศ อยู่ที่ 1:00 ทุกระดับของการศึกษาขั้นพื้นฐาน หมายความว่าเด็กหญิงชายเข้าเรียนเสมอภาคกันในการศึกษาขั้นพื้นฐาน

ทั้งนี้ ในปี 2010ประเทศไทยใช้จ่ายงบประมาณ 3.8% ของ ผลิตภัณฑ์มวลรวมระดับประเทศหรือGDP สำหรับด้านการศึกษาจากสถาบันสถิติของยูเนสโก พบว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศอาเซียนที่ใช้งบประมาณด้านการศึกษามากที่สุด โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้การศึกมาพัฒนาประเทศ
ผอ.ยูเยสโก กล่าวต่อว่าประเทศไทยได้แสดงภาวะผู้นำในเรื่องที่เป็นวาระด้านการศึกษาระดับโลก ความเคลื่อนไหวเรื่องการศึกษาเพื่อปวงชนทั่วโลกในปี 1990 ตั้งแต่นั้นมา ประเทศไทยได้ดำเนินการทำให้การศึกษาเป็นประชาธิปไตยและแบ่งปันประสบการณ์นวัตกรรมใหม่ๆ แต่ยังมีปัญหาเรื่องความเสมอภาคทางการศึกษา อาทิ เด็กในเมืองหรือพื้นที่ที่เศรษฐกิจเติบโตเข้าถึงจะสามารถเข้าถึงการศึกษาในอัตราที่สูง ส่วนพื้นที่ห่างไกลในชนบทหรือผู้อพยพ ในสลัม หรือจากชาติพันธุ์ต่างๆ ที่ฐานะทางเศรษฐกิจสังคมต่ำ จะเข้าถึงการศึกษาได้น้อย

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33111&Key=hotnews

ป.ตรี อาชีวศึกษาต้องให้ สกอ.รับทราบ

ป.ตรี อาชีวศึกษาต้องให้ สกอ.รับทราบ ป้องกันบัณฑิตรับราชการไม่ได้
เพราะก.ค.ศ.-ก.พ. ไม่รับรองและตีค่าเงินเดือน

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

โดย ทีมข่าวการศึกษา ไทยรัฐออนไลน์
20 มิถุนายน 2556, 05:00 น.

นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ได้อนุมัติหลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยี/สายปฏิบัติการ ของสถาบันการอาชีวศึกษา ทำให้มีข้อสงสัยว่าจะต้องส่งหลักสูตรให้ สกอ.รับทราบก่อนหรือไม่นั้น โดยหลักการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) และคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) จะตีค่าเงินเดือนของใบปริญญาบัตร ก็ต่อเมื่อหลักสูตรนั้นได้รับการรับทราบจากสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สกอ.) หาก สกอ.ไม่รับทราบ ก.ค.ศ.และ ก.พ. ก็จะไม่รับรองและตีค่าเงินเดือนให้ ซึ่งบัณฑิตที่จบหลักสูตรนั้นๆ ก็จะเข้ารับราชการไม่ได้ และยิ่งถ้าเป็นวิชาชีพเฉพาะหลักสูตรนั้นก็จะต้องผ่านสภาวิชาชีพด้วย เช่น หลักสูตรแพทยศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยใดก็ตามเมื่อสภามหาวิทยาลัยอนุมัติหลักสูตรแล้วจะต้องส่งให้แพทยสภาก่อน เมื่อผ่านแพทยสภาแล้วจึงจะส่งมาให้ สกอ.รับทราบ จากนั้นจึงจะส่งให้ ก.พ.และ ก.ค.ศ.ตีค่าเงินเดือน เป็นต้น

เลขาธิการ กกอ.กล่าวต่อว่า หากไม่มีขั้นตอนให้ สกอ.รับทราบ บัณฑิตก็จะรับราชการไม่ได้ แต่หากคิดว่าผู้ที่จบหลักสูตรใดก็ตามจะไม่เข้ารับราชการแน่นอนก็ไม่จำเป็นต้องให้ สกอ.รับทราบก็ได้ อย่างไร ก็ตาม ที่ผ่านมามีปัญหาว่า บางมหาวิทยาลัยส่งหลักสูตรให้ สกอ.รับทราบ ขณะที่หลักสูตรเดียวกันบางมหาวิทยาลัยก็ไม่ส่ง จึงเกิดกรณีสมัครสอบบรรจุเข้ารับราชการครูไม่ได้ เนื่องจาก ก.ค.ศ.ไม่รับรอง ทั้งที่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของผู้เรียนเลย แต่เป็นความบกพร่องของสถาบันหรือมหาวิทยาลัย ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ก็น่าจะส่งมาให้ สกอ.รับทราบ.

http://www.thairath.co.th/content/edu/352317

ฐานข้อมูลคุณวุฒิที่ได้รับการรับรอง

ระบบรับรองคุณวุฒิ

ฐานข้อมูลคุณวุฒิ
ฐานข้อมูลคุณวุฒิ

https://accreditation.ocsc.go.th/accreditation/search/curriculum

! 203.21.42.34/acc/index.html
ได้ค้นคำว่า ระบบรับรองคุณวุฒิ พบว่า รัฐบาลไทยทำรายการให้คนไทยสืบค้นหลักสูตรว่าหลักสูตรใดได้มาตรฐาน ดูแลโดย สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)
ซึ่งมีคุณวุฒิทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
ตัวอย่างนี้เป็นหลักสูตรหนึ่งในทั้งหมด 90 หลักสูตร ของ มหาวิทยาลัยเนชั่น (เดิมมหาวิทยาลัยโยนก)

! goo.gl/FONkf

สพฐ.จัดแข่งโอลิมปิกหุ่นยนต์ระดับภูมิภาคชวนคนไทยชมผลงานเด็ก นร.หาตัวแทนไป ตปท.

21 มิถุนายน 2556

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ร่วมกับสถาบันพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ และบริษัท แกมมาโก้ (ประเทศไทย) จำกัด จัดการแข่งขันโอลิมปิกหุ่นยนต์ประจำปี 2556 ใน 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อเฟ้นหาตัวแทนเด็กไทยไปแข่งขันโอลิมปิกหุ่นยนต์โลก WRO 2013 : World Robot Olympiad 2013 กลางเดือนพฤศจิกายน 2556 ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ร่วมกับสถาบันพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ และบริษัท แกมมาโก้ (ประเทศไทย) จำกัด จัดโครงการการแข่งขันโอลิมปิกหุ่นยนต์ประจำปี 2556 (WRO 2013 : World Robot Olympiad 2013) เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นให้ครูและนักเรียนได้มีโอกาสพัฒนาทักษะการเขียนโปรแกรมหุ่นยนต์คอมพิวเตอร์ และนำมาประยุกต์ใช้งานต่างๆ ด้วยตนเอง รู้จักการทำงานร่วมกันเป็นทีม อีกทั้งยังเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กันเองทั้งในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ ซึ่งเปิดรับสมัครนักเรียนในระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษาทั่วประเทศ โดยจะจัดการแข่งขันชิงชนะเลิศเป็นตัวแทนในระดับภูมิภาค

นายชินภัทร กล่าวอีกว่า ในปีนี้ได้มีการจัดการแข่งขันประเภทหุ่นยนต์อัตโนมัติ แบ่งเป็นรุ่นอายุไม่เกิน 12 ปี รุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี และรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี ประกอบด้วย ภาคใต้ระหว่างวันที่ 4-5 กรกฎาคม 2556 ณ โรงเรียนเทศบาลภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ภาคกลางระหว่างวันที่ 17-18 กรกฎาคม 2556 ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา จังหวัดชลบุรี และภาคอีสานระหว่างวันที่ 19-20 สิงหาคม 2556 ณ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม ส่วนภาคเหนือได้จัดการแข่งขันไปแล้วเมื่อวันที่ 13-14 มิถุนายน 2556 ณ มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก ผู้ชนะเลิศในระดับภาคก็จะได้ไปแข่งขันชิงแชมป์ประเทศไทย ระหว่างวันที่ 4-6 กันยายน 2556 ณ ศูนย์การค้าเซียร์รังสิต จังหวัดปทุมธานี และเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันโอลิมปิกหุ่นยนต์โลก WRO 2013 : World Robot Olympiad 2013 กลางเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศ อินโดนีเซีย

“ในรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ เรายังจัดให้มีการจัดการแข่งขันอีก 2 ประเภท ได้แก่ การประกวดโครงงานหุ่นยนต์อัตโนมัติ ภายใต้แนวคิด “World Heritage : หุ่นยนต์กับการอนุรักษ์มรดกโลก” และประเภทโรบอทซอคเกอร์ หรือการแข่งขันหุ่นยนต์เตะฟุตบอล ซึ่งทางคณะกรรมการได้เล็งเห็นถึงประโยชน์เพื่อเพิ่มพูนวิสัยทัศน์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแก่เยาวชนให้สามารถเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาทักษะ ความคิดริเริ่มในการพัฒนาหุ่นยนต์ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาวงการอุตสาหกรรมต่อไปในอนาคต จึงขอเชิญชวนครู นักเรียน และประชาชนทุกท่านไปชมความสามารถด้านหุ่นยนต์และร่วมให้กำลังใจเด็กไทยทั้งในภูมิภาคต่างๆ โดยทั่วกัน” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33100&Key=hotnews

คอลัมน์: การศึกษา: เดินเครื่องหลักสูตรใหม่ปี’ 57 ฝัน ‘ครูสอนน้อย-เด็กรู้เยอะ’

21 มิถุนายน 2556

ใกล้เป็นความจริงไปทุกขณะสำหรับการปฏิรูปหลักสูตรและตำราการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามนโยบายของ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่ต้องการให้เด็กใช้เวลาเรียนในห้องเรียนน้อย แต่ได้ความรู้เยอะ

เพราะที่ผ่านมาเด็กไทยเรียนถึง 1,000-1,200 ชั่วโมงต่อปี เรียนเนื้อหาตำราเยอะจนสะพายกระเป๋าหลังแอ่น แต่กลับได้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำเมื่อเทียบกับบางประเทศที่เรียนแค่ 600-800 ชั่วโมงต่อปี แต่กลับได้ผลสัมฤทธิ์ที่สูงกว่า

โดยขณะนี้คณะทำงาน 6 ชุด ที่เป็นคณะทำงานย่อยของคณะกรรมการปฏิรูปหลักสูตรและตำราการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่มี นายภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการ ศธ. เป็นประธาน ได้ปรับรื้อหลักสูตรคืบหน้าไปมากแล้ว คาดว่าภายในเดือนกันยายนนี้น่าจะแล้วเสร็จ

จากการเปิดเผยของนายภาวิช ระบุว่า หลักสูตรใหม่ จะแบ่งการจัดการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ออกเป็น 6 กลุ่มสาระวิชา ได้แก่ 1.กลุ่มภาษาและวรรณกรรม 2.วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี 3.เทคโนโลยีสารสนเทศ 4.สังคมและความเป็นมนุษย์ 5.โลก ภูมิภาคและอาเซียน และ 6.ชีวิตกับโลกของงาน

โดยคณะทำงานกลาง จะมาดูความเชื่อมโยงและความซ้ำซ้อนใน 6 กลุ่มของสาระวิชา ซึ่งหากเจอว่าซ้ำซ้อน ก็ต้องบูรณาการให้สั้นลงนส่วนของระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ใและ 2 จะเน้นทักษะ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ส่วนวิชาที่เหลือ จะนำ 6 กลุ่มสาระวิชา มารวมแล้วแยกเป็น 4 วิชา ได้แก่ 1.บ้านของเรา โลกของเรา 2. ชีวิตกับการเรียนรู้ จะทำอย่างไรถึงจะสร้างความอยากรู้อยากเห็นของนักเรียน 3.เด็กในวิถีประชาธิปไตย เป็นการเรียนรู้เพื่ออยู่ในสังคมแบบมีส่วนร่วม ความมีจิตสาธารณะ ศาสนา และ 4.ศิลปะและพลานามัยเพื่อชีวิต

การจัดหลักสูตรสำหรับระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-2 ดังกล่าว ก็เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม ส่วนตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ขึ้นไป จะจัดการศึกษาออกเป็น 6 กลุ่มสาระวิชา แต่จะมีรายละเอียดที่แตกย่อยออกไปในแต่ละระดับชั้น เช่น ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จะเน้นการเรียนในทางลึกมากขึ้น โดยจะมีการแยกวิชาออกเป็นฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา รวมทั้งจะมีทางเลือกให้กับนักเรียนเพื่อเรียนต่อในมหาวิทยาลัย และสำหรับนักเรียนที่ไม่ต้องการเรียนต่อมหาวิทยาลัย จะให้ทางเลือกเพื่อเรียนต่อสายอาชีพระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ซึ่งในหลักสูตรเดิมนั้น จะมีทางเลือก

ให้กับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายเพื่อการเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเท่านั้น ส่วนเด็กที่ไม่ได้เรียนต่อ จะไม่ได้มีการส่งเสริมหรือให้ทางเลือกอะไร

“เนื้อหาของหลักสูตรใหม่ อาจจะไม่เปลี่ยนมาก เพราะจริงๆ แล้วเนื้อหาที่ใช้ในการเรียนการสอนได้มีการปรับเปลี่ยนมาเป็นลำดับอยู่แล้ว เพียงแต่หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ใช้ในปัจจุบันจะมี 8 กลุ่มสาระวิชา แต่ของใหม่จะเหลือเพียง 6 กลุ่มสาระ ซึ่งตำราต่างๆ อาจจะต้องค่อยๆ ปรับปรุง โดยอาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 3 ปีนับจากมีการประกาศใช้”นายภาวิช กล่าว   หลักสูตรใหม่ จะกำหนดทักษะที่เด็กหจำเป็นต้องใช้ 10 ประการเมื่อจบการศึกษา อาทิ ทักษะด้านไอซีที การงานและอาชีพ เป็นต้น

ส่วนการเรียนการสอนไม่ได้ลดการเรียนรู้ แต่จะลดการเรียนในห้องเรียน เพิ่มกิจกรรมนอกห้องเรียน โดยจะต้องเน้นประสบการณ์เรียนรู้ใน 6 ด้าน ได้แก่ 1.การอ่านเพื่อการเรียนรู้ ต่อไปครูต้องกระตุ้นให้เด็กอ่านมากขึ้น 2.การเรียนการสอนแบบโครงการ ทั้งด้านสังคม ศาสนา วิทยาศาสตร์ และจะนำไปสู่ทักษะที่พึงประสงค์ เช่น การค้นหาปัญหา การทำงานร่วมกับผู้อื่น 3.ไอซีที 4.คุณธรรมและจิตสาธารณะ 5.ความเป็นประชาธิปไตย และ 6.อาชีพ

ทั้งนี้ การปรับหลักสูตรใหม่ จะทำให้ลดชั่วโมงเรียนในห้องเรียนลง โดยระดับประถมศึกษา จะเหลือการเรียนในห้องเรียนประมาณ 600 ชั่วโมงต่อปี และจะเรียนนอกห้องเรียน 400 ชั่วโมงต่อปี จะมีผลทำให้นักเรียนเรียนในห้องเรียนเพียง 5 คาบต่อวัน จากเดิมเรียนประมาณ 6-7 คาบ
ส่วนมัธยมศึกษา จะเหลือ 6 คาบต่อวัน

โดยในวันที่ 27 มิถุนายนนี้ นายภาวิช จะประชุมหารือกับคณะทำงานทั้ง 6 ชุดเพื่อพิจารณาหลักสูตรที่แต่ละส่วนรับผิดชอบอยู่ จากนั้นนำมาประกอบเป็นหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งชาติ ก่อนนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งชาติ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการ ศธ. เป็นประธาน พิจารณา

คาดว่าในปีการศึกษา 2557 จะเริ่มนำร่องใช้หลักสูตรรอบแรกในโรงเรียนที่เป็นเครือข่ายของสถาบันอุดมศึกษาจำนวน 30 แห่ง รวมประมาณ 3,000 โรงเรียน ครอบคลุมทั้งสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) และโรงเรียนสาธิตต่างๆ

และจะให้โรงเรียนนำร่องสร้างเครือข่ายโรงเรียนแห่งละ 10 แห่ง ซึ่งจะทำให้ขยายโรงเรียนที่ใช้หลักสูตรใหม่เป็น 30,000 กว่าแห่ง

ขณะที่ นายพินิติ รตะนานุกูล ผู้ตรวจขราชการ ศธ. ในฐานะประธานคณะทำงานกลุ่มโลก ภูมิภาคและอาเซียน ระบุว่า กลุ่มโลก ภูมิภาคและอาเซียน มีความคืบหน้าในการดำเนินงานเกือบ 100% แล้ว โดยกลุ่มนี้ จะเป็นวิชาที่เชื่อมโยงเรื่องประวัติศาสตร์ สังคม รวมถึงเรื่องอาเซียน
โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ ที่จะต้องเขียนขึ้นใหม่ เพราะที่ผ่านมาประเทศใดเขียนประวัติศาสตร์ ก็จะเข้าข้างตัวเอง ทำให้เกิดความขัดแย้ง

แต่ในหลักสูตรใหม่จะเขียนประวัติศาสตร์ที่สร้างความเข้าใจที่ดีร่วมกัน
และหลักสูตรในกลุ่มของตนเองจะต้องมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มอื่นๆ ด้วย เพื่อให้การเรียนการสอนเป็นไปตามเป้าหมาย ที่ต่อไปเยาวชนในยุคศตวรรษที่ 21 จะต้องรู้เท่าทันในเรื่องต่างๆ อย่างรอบด้าน อาทิ รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ไอที เป็นต้น

โดยในการประชุมวันที่ 27 มิถุนายนนี้ แต่ละกลุ่มจะมาดูว่าแต่ละวิชาจะมีความเชื่อมโยงกันตรงจุดใดบ้าง
ถือเป็นความก้าวหน้าของการปฏิรูปหลักสูตร ซึ่งจากนี้ต้องลุ้นว่าตำราเรียน รวมถึงผู้ปฏิบัติอย่างครูและบุคลากร จะสามารถนำมาปฏิบัติให้เกิดผลตรงตามเป้าหมายแค่ไหน ล่าสุดผู้อำนวยการโรงเรียนดังต่างออกมาขานรับกับการปรับหลักสูตร

จากนี้โจทย์ใหญ่ของการปฏิรูปให้เกิดผลสัมฤทธิ์คงอยู่ที่ครู เพราะหากครูไม่เข้าใจ…ต่อให้หลักสูตรดีและตำราเจ๋งแค่ฅไหน ผลสัมฤทธิ์ก็ไปไม่ถึงตัวเด็กอยู่ดี

–มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 – 27 มิ.ย. 2556–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33099&Key=hotnews

ก.ค.ศ.ตั้งศูนย์ฯการจัดสอบครูผู้ช่วย สพฐ.

21 มิถุนายน 2556

ก.ค.ศ.ตั้งศูนย์ฯการจัดสอบครูผู้ช่วย สพฐ. เพื่อให้การสอบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า ตามที่จะมีการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ครั้งที่ 1/2556 ระหว่างวันที่ 22-24 มิถุนายน 2556 นี้ ใน 78 เขตพื้นที่การศึกษา และ 1 สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการสอบแข่งขันครั้งนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ สำนักงาน ก.ค.ศ. จึงได้ตั้งศูนย์อำนวยการประสานงานการสอบแข่งขันฯขึ้น โดยมี นายสุบรรณ ไชยศิริโชติ รองเลขาธิการ ก.ค.ศ. ทำหน้าที่ ผู้อำนวยการศูนย์ฯ และใช้พื้นที่สำนักงาน ก.ค.ศ. ชั้น 5 อาคารรัชมังคลาภิเษก กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นสถานที่ปฏิบัติงาน โดย ศูนย์ฯดังกล่าวนี้จะมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำ ปรึกษา และให้เสนอแนะเกี่ยวกับการสอบแข่งขันฯ จากเขตพื้นที่การศึกษา และส่วนราชการ รวมทั้งติดตามการดำเนินงานของคณะ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาจากผู้แทน ก.ค.ศ. และอำนวยความสะดวกในการสอบแข่งขันฯ ซึ่งจะเปิดให้บริการตั้งแต่ วันที่ 21-25 มิถุนายน 2556 นี้ เวลา 08.00-18.00 น. หรือสามารถโทรศัพท์สอบถามได้ที่ 0-2280-2835 ,0-2280-1094 และ 0-2280-3273 ซึ่งทางสำนักงาน ก.ค.ศ. ได้จัดเจ้าหน้าที่ไว้ให้บริการตอบข้อหารือ และอำนวยความสะดวกในการสอบแข่งขันฯด้วย

ที่มา: http://www.naewna.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33098&Key=hotnews

สภาการศึกษาเปิดตัวแอพสโตร์คลังวิจัยฐานพัฒนา กศ.ไทย

21 มิถุนายน 2556

นายประกอบ รัตนพันธ์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศึกษาสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยภายหลังการประชุมสัญจรและตรวจเยี่ยมสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ว่า กมธ.การศึกษาได้ให้ความสำคัญกับ สกศ.เป็นอันดับแรก เพราะถือเป็นหัวใจหลักในการจัดทำแผนการศึกษาของชาติ ซึ่งจากการรับฟังรายงานจาก น.ส.ศศิธาราพิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการ สกศ. แล้วกมธ.การศึกษา มีความพอใจในผลการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนพัฒนาการศึกษาของชาติ ที่กำลังจัดทำพิมพ์เขียว ซึ่งมีวิสัยทัศน์ที่ดี เพราะได้มีการสอบถามความเห็นจากคนไทยทั้งประเทศว่า ต้องการให้การศึกษาของชาติในอนาคตเป็นอย่างไร รวมถึงการระดมสมองนักวิชาการไทยและต่างประเทศด้วย

ด้าน น.ส.ศศิธารา กล่าวว่า สกศ.มีแผนงานด้านนโยบาย 5 เรื่องซึ่งจะแล้วเสร็จภายในปี 2556 โดยเฉพาะเรื่องการปรับปรุงแผนการศึกษาแห่งชาติซึ่งใช้มาระยะเวลาหนึ่งแล้วและขาดความทันสมัยในหลายเรื่อง เช่น การเป็นประชาคมอาเซียน การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งในสมัยที่เขียนแผนการศึกษาฯ ยังคิดแต่เรื่องคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะว่า เด็กกี่คน ต้องมีคอมพิวเตอร์กี่เครื่อง ยังไม่มีเรื่องแท็บเล็ต อินเทอร์เน็ตไร้สาย ดังนั้น จึงต้องมีการปรับปรุงแผนการศึกษาฯ ให้สอดคล้องกับสภาพสังคมเศรษฐกิจ และการเติบโตของประเทศในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ สกศ. ได้ลงนามความร่วมมือกับสภาวิจัยแห่งชาติซึ่งต่อไปงานวิจัยด้านการศึกษาทั้งหมดจะสอดคล้องกับกรอบงานวิจัยของประเทศเพื่อเชื่อมโยงเครือข่าย และในสัปดาห์หน้าจะมีการเปิดตัวแอพ สโตร์(App store) เพื่อเผยแพร่ข้อมูลผลงานวิจัยทางการศึกษาของ สกศ. ซึ่งสามารถสืบค้นและดาวน์โหลดงานวิจัยผ่านระบบปฏิบัติการไอโอเอสของแอปเปิล (App Store) และผ่านเว็บเบส (Web base)ของ สกศ. ได้ โดยขณะนี้มีผลงานวิจัยที่จะนำขึ้นสู่ระบบแล้ว 1,300 เรื่อง

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33097&Key=hotnews