Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

สมัครซ้ำถูกตัดสิทธิ์สอบครูผู้ช่วย 30 ราย

6 มิถุนายน 2556

ศึกษาธิการ * “ชินภัทร” เผยสอบครูผู้ช่วยทั่วไป 56 ยังไม่มีรายงานส่อทุจริต แต่พบผู้สอบ 30 รายส่อถูกตัดสิทธิ์ เพราะทำผิดเกณฑ์ไปสมัครหลายที่ พร้อมส่งรายชื่อให้เขตพื้นที่ฯ เชือด

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยความคืบหน้าการสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการในตำแหน่งครูผู้ช่วยกรณีทั่วไป ประจำปี 2556 ใน 79 เขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งมียอดสมัครประมาณ 84,000 คน และจะเปิดสอบระหว่างวันที่ 22-24 มิถุนายนนี้ ว่า คณะกรรมการตรวจสอบรายชื่อผู้สมัครสอบแข่งขันได้ตรวจสอบรายชื่อผู้สมัครสอบ จากรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบด้วยหมายเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ที่เขตพื้นที่การศึกษาที่เปิดสอบได้ส่งข้อมูลมาให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พบว่ามีผู้สมัครสอบเกินกว่า 1 แห่ง จำนวน 30 ราย และยังพบว่าผู้สมัครสอบแข่งขันมีชื่อ-นามสกุลซ้ำกัน แต่หมายเลขบัตรประชาชนไม่ซ้ำกัน จำนวน 77 ราย แบ่งเป็นสมัครภายในเขตพื้นที่การศึกษาเดียวกัน 5 ราย และสมัครต่างเขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 72 ราย โดยจะแจ้งข้อมูลให้เขตพื้นที่ฯ ที่เกี่ยวข้องทราบ เพื่อดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ที่กำหนดให้สมัครสอบแข่งขันได้เพียงเขตพื้นที่การศึกษาเดียวเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิ์

“กลุ่มผู้สมัครสอบแข่งขันมีชื่อ-นามสกุลซ้ำกัน แต่หมายเลขบัตรประชาชนไม่ซ้ำกันนั้น อาจจะเป็นเพราะชื่อซ้ำกันและเป็นคนละคนได้ ซึ่งจะต้องให้เขตพื้นที่ฯ ไปดำเนินการพิจารณาตรวจสอบกันต่อไป อย่างไรก็ดี ผลติดตามสถานการการสอบแข่งขันได้รับรายงานจากคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ การสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการในตำแหน่งครูผู้ช่วยกรณีทั่วไป ประจำปี 2556 พบว่าเหตุการณ์ทั่วไปเป็นปกติ และยังไม่มีรายงานว่าเขตพื้นที่ฯ ใดมีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริต หรือมีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสอบแข่งขัน จัดกวดวิชาแต่อย่างใด” เลขาธิการ กพฐ.กล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32938&Key=hotnews

องค์การค้าฯ ร่วมประมูลแทบเล็ต

6 มิถุนายน 2556

ศึกษาธิการ : องค์การค้าฯเสนอตัวเข้าร่วมประมูลแทบเล็ต ป.1 และ ม.1 ประจำปีการศึกษา 2556 โดยดึงบริษัทจากจีนเป็นคู่ค้าร่วมประมูล เนื่องจากเงินลงทุนมีไม่มาก

นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและ สวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เห็นชอบในหลักการตามที่ สกสค. เสนอที่จะเข้าร่วมประมูลการจัดซื้อคอมพิวเตอร์พกพาหรือแทบเล็ตของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และมัธยม-ศึกษาปีที่ 1 ประจำปีการศึกษา 2556 แต่เนื่องจากองค์การค้าฯไม่มีเงินลงทุนมากพอจึงต้องหา คู่ค้าร่วม

ในครั้งนี้องค์การค้าฯได้เสนอรายชื่อคู่ค้าร่วม ซึ่งเป็นบริษัทจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนจำนวน 3 บริษัท อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้องค์การค้าฯจะต้องไปคุยกับทั้ง 3 บริษัทเกี่ยวกับข้อตกลงและพิจารณาว่าบริษัทใดจะทำประโยชน์ให้แก่องค์การค้าฯ ได้มากที่สุด เพื่อคัดเลือกให้เหลือ 1 บริษัทที่จะร่วมกับองค์การค้าฯ ประมูลแทบเล็ตในครั้งนี้

“การเข้าร่วมประมูลไม่ใช่เรื่องเสียหาย บอร์ดจึงพิจารณาว่าควรเปิดโอกาสและให้สิทธิแก่องค์การค้าของ สกสค. ที่จะเข้าประมูลได้เช่นเดียวกับการประมูลเพื่อทำงานอื่นที่เกี่ยวกับภารกิจโดยตรง เพียงแต่กรณีนี้เมื่อต้องมีบริษัทคู่ค้ามาร่วมจึงต้องนำมาเสนอต่อที่ประชุม และเมื่อเลือกแล้วต้องเสนอเพื่อให้ที่ประชุมพิจารณาอีกครั้งก่อนจะเข้าร่วมประมูลด้วย”

ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32937&Key=hotnews

 

คอลัมน์: รายงาน: อาชีวะ จับมือ กฟผ. สานต่อโครงการชีววิถีฯตามแนวพระราชดำริ สู่ชุมชน

6 มิถุนายน 2556

ณพาภรณ์ ปรีเสม 
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจัดงาน EGAT CSR DAY กฟผ. ปี 2556 ร่วมทำดี 44 ปี กฟผ. จะรักและดูแลกันตลอดไป เมื่อวันที่ 20-22 พฤษภาคม 2556 ที่ผ่านมา ภายในงานมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในโครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน มุ่งนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงอันเนื่องมาจากพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษา และขยายองค์ความรู้สู่ชุมชนโดยกฟผ. ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เพื่อเฉลิมพระเกียรติ

“…สิ่งสำคัญคือเราพออยู่พอกิน อุ้มชูตัวเราได้ให้มีความพอเพียงแก่ตัวเอง พึ่งตนเองได้ หมายความว่าให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างไม่เดือดร้อน มีความเป็นอยู่อย่างประมาณตน มีกินมีใช้ตามอัตภาพ แล้วที่เหลือจึงจะขายเป็นรายได้ต่อไป…” พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่อง”เศรษฐกิจพอเพียง” พระราชทานเมื่อวันที่4 ธันวาคม 2540 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มุ่งมั่นสืบสานพระราชปณิธานในเรื่องนี้ มาดำเนินการจัดตั้ง “โครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ร่วมกับ สอศ. ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2542 โดยการน้อมนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติ ซึ่งประกอบด้วย 4 เรื่อง ได้แก่ การปลูกพืช(กสิกรรม) การเลี้ยงปลาในบ่อขนาดเล็ก (ประมง) การเลี้ยงไก่ไว้กินไข่ (ปศุสัตว์)และการบำบัดน้ำเสีย โดยใช้จุลินทรีที่มีประสิทธิภาพ (สิ่งแวดล้อม) เป็นเครื่องช่วยให้เกิดความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ขยายผลสู่ครัวเรือน สู่ชุมชน สังคมเมือง องค์กรภาครัฐและเอกชนโดยดำเนินการในวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี วิทยาลัยประมง กลุ่มวิทยาลัยการอาชีพ กลุ่มวิทยาลัยเฉพาะทาง และกลุ่มวิทยาลัยเทคโนโลยีและการจัดการ ให้คณาจารย์ นักเรียน นักศึกษา มีการเรียนการสอนและจัดทำโครงการเพื่อความรู้จริงปฏิบัติจริงของนักศึกษาแล้วนำไปถ่ายทอดและขยายผลไปยังสถาบัน โรงเรียน ชุมชนประชาชน เกษตรกร ต่อไป

วิทยาลัยที่เข้าร่วมโครงการดำเนินกิจกรรมต่างๆ อาทิ ส่งเสริมการใช้จุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพใน 4 กิจกรรม คือ การเพาะปลูก, การเลี้ยงสัตว์น้ำ, ปศุสัตว์ และการรักษาสิ่งแวดล้อม,เป็นศูนย์กลางเผยแพร่ความรู้ในการทำเกษตรกรรมตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงฯ เพื่อที่ขยายผลการดำเนินงานสู่ชุมชนท้องถิ่นได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน โครงการชีววิถีฯตามแนวพระราชดำริมีวิทยาลัยสังกัด สอศ. ทำหน้าที่ศูนย์ประสานงานเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนระดับภาค 4 แห่ง เพื่อประสานการดำเนินงาน และติดตามประเมินผลการดำเนินงานประจำปี ทั้งระดับภาค และระดับประเทศเพื่อคัดเลือกผู้มีผลงานดีเด่น เข้ารับรางวัลจาก กฟผ. และเผยแพร่ผลการดำเนินงานในระดับประเทศ

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ให้สัมภาษณ์ว่า สอศ.ได้ร่วมดำเนินโครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน กับ กฟผ. มากว่า 10 ปี ตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมา ซึ่งนักเรียนนักศึกษาในสถานศึกษาสังกัด สอศ. ได้ประโยชน์จากโครงการชีววิถีฯ มากมายสำหรับในปีนี้ สอศ. มีนโยบายที่เน้นการดำเนินการ 2 เรื่อง ได้แก่ เรื่องเกษตรธรรมชาติและเรื่องการนำจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพมาใช้ประโยชน์ ทั้งนี้สิ่งที่ทาง สอศ. ได้ดำเนินการในกลุ่มวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีกลุ่มวิทยาลัยการอาชีพ กลุ่มวิทยาลัยเฉพาะทาง และกลุ่มวิทยาลัยเทคโนโลยี และ การจัดการทั้ง 90 กว่าแห่งทั่วประเทศ ได้นำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระเจ้าอยู่หัวไปประยุกต์ใช้จัดการเรียนการสอน ซึ่งเป็นภารกิจหลักของ สอศ. โดยการนำแนวคิดนี้สู่การ ปฏิบัติในสถานศึกษา ให้นักเรียน นักศึกษาได้ปฏิบัติจริงโดยใช้พื้นที่ของสถานศึกษา และเรื่องการเผยแพร่นวัตกรรมเทคโนโลยีสู่ชุมชนโดยใช้พื้นที่ของสถานศึกษาเป็นแหล่งเรียนรู้ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้ สอศ.ได้ดำเนิน ตามรอยพระยุคลบาทด้วยใจเต็มร้อยพร้อมยืนยันที่จะดำเนินโครงการชีววิถีฯ ร่วมกับกฟผ. ต่อไปเพื่อเป็นประโยชน์ต่อนักเรียน นักศึกษา และชุมชน

ด้านนายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการ กฟผ. ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า โครงการชีววิถีเพื่อ การพัฒนาอย่างยั่งยืน กฟผ. ดำเนินการมานานแล้วมีผลสำเร็จเป็นรูปธรรมเพราะมองว่าสังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรมเหมาะสมกับการนำแนวทางชีววิถีมาประ ยุกต์ใช้ โดยการดำเนิน โครงการชีววิถีฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนองพระราชดำริเรื่องเศรษฐ กิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ลดการพึ่งพาสารเคมีลดการพึ่งพิงปัจจัยภาย นอกลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม กฟผ.จะทำองค์ความรู้ผลสำเร็จให้ครู นักเรียน นักศึกษาสังกัด สอศ.และชุมชนได้ทดลองคิด ค้นสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่ในด้านชีวภาพเพื่อความเหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม ทางกฟผ. ยินดีให้ความร่วมมือกับสถานศึกษาสังกัด สอศ.โดยความ ร่วมมือนี้นำไปสู่การขยายองค์ความรู้สู่ชุมชนต่อไป ซึ่งมีระยะเวลาความร่วมมือ 3 ปี
โอกาสนี้ยังมอบรางวัลชนะเลิศผลการดำเนินงานโครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ระดับประเทศ ประจำปี 2555 ประเภทที่ 1 การดำเนินการในวิทยาลัย ได้แก่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสระแก้วประเภทที่ 2 วิทยาลัยขยายผลสู่ชุมชนดีเด่นได้แก่ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครสวรรค์ประเภทที่ 3 นักศึกษาปัจจุบันในระบบนำไป ใช้ได้ผล ได้แก่ นายนิยม ก้องพัฒนาไพรสณฑ์ นักศึกษาวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชียงใหม่ ประเภทที่ 4 ราษฎรนำความรู้ที่ได้รับจากวิทยาลัยไปใช้ และได้ผลดีเยี่ยม นางสาวจุไรรัตน์ เพ่งพิศ เกษตรกรต.วังมะ ปรางเหนือ อ.วังวิเศษ จ.ตรัง โดยวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีตรัง ประเภทที่ 5 ชุมชนที่ได้รับความรู้และใช้ได้ ผลดีเยี่ยมได้แก่ ชุมชนบ้านห้วยแดง ต.ฝางคำ อ.สิรินธรจ.อุบลราชธานี โดยวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุบลราชธานี ประเภทที่ 6 โรงเรียนที่ได้รับการขยายผลจากวิทยาลัยและใช้ได้ผลดีเยี่ยม ได้แก่ โรงเรียนบ้านท่าล้ง อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี โดยวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุบลราชธานี ประเภทที่ 7 การคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ ได้แก่ ถังหมักอีเอ็มสะดวกใช้ โดยวิทยาลัยเกษตร และเทคโนโลยีมหาสารคามและประเภทที่ 8 งานวิจัยและนวัตกรรมในโครงการชีววิถีฯ ได้แก่ การใช้อาหารสูตรต่างกันผสมจุลินทรีย์ ที่มีประสิทธิภาพ (EM)ในการเพาะเลี้ยงไรแดง โดยวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุพรรณบุรี

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32936&Key=hotnews

‘สวนดุสิต’ เร่งปรับกลยุทธ์สร้างความอยู่รอด

6 มิถุนายน 2556

รศ.ดร.ศิโรจน์  ผลพันธิน อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (มสด.) กล่าวถึงแนวทางการบริหารมหาวิทยาลัย ว่า การ บริหารมสด.มีรูปแบบการดำเนินงานที่ชัดเจน โดยแบ่งการทำงานออกเป็น 2 ทีมคือ ทีมกลยุทธ์ มีหน้าที่วางแผนและกำหนดกลยุทธ์ตามเป้าหมายที่วางไว้ และทีมบริหารทำหน้าที่นำกลยุทธ์มาดำเนินการให้เป็นไปตามแผน ซึ่งทั้ง 2 ทีมจะมีวิธีคิดที่แตกต่างกันแต่จะร่วมกันทำให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ การบริหารงานของมสด.คำนึงถึงเรื่องความอยู่รอดเป็นสำคัญ โดยได้กำหนดภาพอนาคตว่าจะไปทางไหน และนำความเข้มแข็งและความเชี่ยวชาญที่เป็นอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยมาพัฒนาให้มีความเป็นเลิศ ด้วยการปรับหลักสูตรให้มีความน่าสนใจและรองรับความต้องการของตลาดแรงงานในปัจจุบัน

“การบริหารงานของมสด. ต้องการสร้างให้องค์กรมีความมั่งคั่ง ทั้งสติปัญญา ความคิด และนวัตกรรมต่างๆ โดยมสด.ได้กำหนดยุทธศาสตร์สำคัญเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง คือเน้นเพิ่มขีดความสามารถของบัณฑิตในสาขาที่เป็นอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยทั้ง 4 ด้านคือ อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมการบริการ การศึกษาปฐมวัย และพยาบาลผู้ดูแลเด็กและผู้สูงอายุ ตลอดจนพัฒนามหาวิทยาลัยให้มีความเข้มแข็งเพื่อเตรียมพร้อมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน” อธิการบดี มสด.กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32935&Key=hotnews

สกอ.นัดมหา’ลัยเครือข่ายความเร็วสูงปฏิบัติการเก็บองค์ความรู้พัฒนาการศึกษา-วิจัย

6 มิถุนายน 2556

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) แจ้งว่า จากที่สกอ.ได้ดำเนินการโครงการเครือข่ายสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา โดยเป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายความเร็วสูงระหว่างมหาวิทยาลัย/สถาบัน และสถาบันการศึกษาต่างๆ ภายในประเทศ เพื่อเป็นการกระจายโอกาสทางการศึกษาไปสู่ภูมิภาคและชุมชน เป็นการแบ่งปันทรัพยากรทางการศึกษาร่วมกัน และได้ดำเนินกิจกรรมทางการศึกษา ทั้งทางด้านการเรียนการสอนและการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัย/สถาบันการศึกษาต่างๆ รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างสมาชิกที่เชื่อมต่ออยู่บนเครือข่ายดังกล่าว

การประชุมเชิงปฏิบัติการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของสมาชิกเครือข่ายสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบ การณ์ ในการดูแลระบบและบริหารจัดการเครือข่ายที่จะต้องใช้งานร่วมกัน ซึ่งนอก จากการได้แลกเปลี่ยนข้อมูลแล้ว ยังจะเป็นโอกาสอันดีที่บุคลากรผู้ปฏิบัติหน้าที่จะได้มีโอกาสรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีเครือข่ายใหม่ๆ รวมทั้งการรวมกลุ่มกับเพื่อนสมาชิกเพื่อศึกษาและวิจัย และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ในการสนับสนุนการศึกษาและยังเป็นการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รายงานข่าวระบุว่า เพื่อให้การเชื่อมโยงเครือข่ายสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษากับเครือข่ายการศึกษาและวิจัยนานาชาติเกิดประโยชน์สูงสุด จึงจำเป็นต้องให้บุคลากรของสถาบันที่เป็นสมาชิกเครือข่ายสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา รับทราบข้อมูลของเครือข่ายการศึกษาและวิจัยนานาชาติ ทั้งในด้านเครือข่ายสารสนเทศและเนื้อหาบนเครือข่าย ตลอดจนกิจกรรมการวิจัยและพัฒนาของสถาบันสมาชิกเครือข่าย

ดังนั้นเพื่อการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรที่เป็นสมาชิกในเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงานบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี จึงจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การดำเนินกิจกรรมบนระบบเครือข่ายสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 27” ขึ้น ระหว่างวันที่ 15-17 ก.ค.นี้ ณ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32934&Key=hotnews

การผลิตครูสาขาที่ถูกมองข้าม

6 มิถุนายน 2556

ฉวีลักษณ์ บุณยะกาญจน
ต้นตอของปัญหาการศึกษา ที่ถูกมองข้ามไม่ว่าในหน้าหนังสือพิมพ์หรือการประชุมของผู้บริหารที่มีบทบาททางการศึกษามักจะพูดถึงสาขาที่ควรลดการผลิต สาขาที่ผลิตเพิ่มขึ้นแต่ไม่ได้มองถึงต้นตอแห่งปัญหาเลย นั่นคือแหล่งการศึกษาค้นคว้าไม่มีการสนับสนุนอย่างจริงจัง และทั้งยังขาดบุคลากรในการที่จะมาดำเนินการให้ห้องสมุดในแต่ละหน่วยงานการศึกษาขาดการศึกษาค้นคว้า จะเห็นว่าในหลายๆ ประเทศ เขาจะส่งเสริมการอ่านเด็กนักเรียนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เล็กจนโตรู้จักรักการอ่าน รู้จักการค้นคว้า ฐานะเศรษฐกิจในบ้านบางครอบครัวไม่มีหนังสือและไม่มีโอกาสแนะนำการอ่านของเด็ก แต่ทำไมเราไม่ช่วยโดยการพัฒนาการอ่านของเด็กตั้งแต่เริ่มอนุบาล รัฐช่วยให้เด็กได้รู้จักการรักการอ่าน รู้จักการค้นหนังสืออ่าน นั่นคือ มีห้องสมุดที่ดี มีบรรณารักษ์ที่ดี มีทรัพยากรในการอ่านที่ดี

เรื่องห้องสมุดรัฐประกาศมาทุกยุคทุกสมัย แต่วูบวาบมาแล้วก็ไม่เคยจริงจัง แม้แต่บรรณารักษ์ บรรณารักษ์ควรทำหน้าที่เป็นทั้งครูและเป็นบรรณารักษ์ไปด้วย ซึ่งเขาทั้งเป็นครูบรรณารักษ์ ไม่ใช่พูดว่าเป็นบรรณารักษ์ และหนักเข้าก็ให้เจ้าหน้าที่เป็นบรรณารักษ์ทำให้แหล่งค้นคว้าด้อยคุณภาพสำหรับเด็กไปมาก ถ้าเราสอนให้เขาเป็นครูบรรณารักษ์ แล้วให้ครูบรรณารักษ์สอนในวิชาที่เกี่ยวข้องกับการค้นคว้าเหล่านี้ เช่น วิชาการใช้ห้องสมุด รักการอ่าน วิชาค้นคว้า การทำรายงานการอ้างในการค้นคว้า ซึ่งวิชาเหล่านี้จะเป็นสิ่งติดตัวไปถึงการเรียนรู้ในระดับสูงและใช้ได้ในการเรียนรู้ตลอดชีวิต ไม่ว่ากระทรวงศึกษาธิการจะผลิตครูในสาขาอะไรก็ต้องใช้การศึกษาค้นคว้าเป็นส่วนประกอบทั้งสิ้น

การอ่านเป็นหน้าที่หลักของครู บรรณารักษ์ที่ต้องทำหน้าที่
คงต้องยอมรับสภาพความเป็นจริงว่า วันนี้กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับครูบรรณารักษ์น้อยมาก ทั้งที่ความสำคัญยังคงมีบทบาทสำคัญอยู่มิใช่น้อย ด้วยเหตุผลหนึ่งในหลายเหตุผลที่ว่าการจะพัฒนาเด็กไทยให้รักการอ่านได้ ห้องสมุดที่มีบรรณารักษ์มืออาชีพช่วยได้ สภาพทุกวันนี้มีทั้งการรณรงค์ มีการทำโครงการรักการอ่าน จัดประกวดให้รางวัลกันนั้นเป็นเพียงความฉาบฉวยเอาใจบรรดาท่านผู้นำที่มีอำนาจเท่านั้นเอง ปัญหาขาดความต่อเนื่องในการดูแลห้องสมุดในโรงเรียนหลายแห่งส่งเสริมกิจกรรมห้องสมุดทุ่มงบประมาณให้ห้องสมุดในช่วงที่มีการประกวดห้องสมุดเพื่อชิงรางวัลต่างๆ เมื่อได้รางวัลแล้วแทนที่จะคิดพัฒนาสานต่อให้เป็นหนึ่งของการเรียนการสอนและเป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้อย่างสมบูรณ์ กลับถอยหลังไปยิ่งกว่าที่เคยเป็น

ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากผู้บริหารจำนวนไม่น้อย นอกจากไม่ให้ความสำคัญกับครูบรรณารักษ์แล้วยังปล่อยให้ห้องสมุดอยู่กันตามยถากรรมอีกด้วย ปล่อยให้ห้องสมุดเป็นเพียงห้องเก็บหนังสือ ขาดชีวิต ไร้การรังสรรค์กิจกรรมและช่วยกระตุ้นให้เด็กไทยรักการอ่าน ทั้งๆ ที่เวลานี้มีการพัฒนาก้าวไกลด้วยโลกเทคโนโลยีเข้ามาเสริมสร้างให้ทันสมัย น่าตื่นเต้น น่าเข้าไปใช้ แบบมีชีวิตซึ่งแตกต่างไปจากยุคสมัยเดิมอีกด้วย

ดังนั้น จึงมีคำถามว่าเราจะพัฒนาเด็กไทยให้รักการอ่านได้อย่างไร หากห้องสมุดในโรงเรียนจำนวนมากขาดการพัฒนา ขาดบรรณารักษ์มืออาชีพที่ต้องสร้างสรรค์กิจกรรมเป็นแหล่งเรียนรู้ให้เด็กๆ เข้ามาใช้

นโยบายแห่งชาติมักจะพูดว่าปีนี้เป็นปีส่งเสริมการอ่าน เด็กต้องอ่านหนังสือ แต่ในฐานะที่ทำงานด้านนี้มาก็ได้แค่เฝ้ามองว่าเรามีนโยบายอะไรที่เด่นชัด ทำอย่างไรการอ่านเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการที่จะปฏิรูปการศึกษา แต่ก็เป็นงานที่เรียบที่สุด คนไม่ตื่นเต้นเหมือนไอที แท็บเล็ต และการเตรียมภาษาอังกฤษสู่ประชาคมอาเซียน

พื้นฐานการศึกษาของเราจะทำอะไรก็ทำเถิด โปรดอย่าลืมเรื่องการสนับสนุนการอ่านเลย และขออย่าทำอะไรเหมือนไฟไหม้ฟาง การสนับสนุนขอให้จริงจังและขอเป็นปีแห่งการอ่านจริงๆ
ต้องการครูบรรณารักษ์ มาทำงานแต่ไม่ผลิต

กระทรวงศึกษาธิการมองว่าบรรณารักษ์ไม่ใช่ครู จริงๆ ไม่ใช่ ถ้าเราผลิตครูบรรณารักษ์มาทำหน้าที่สอนในด้านที่เกี่ยวข้องที่กล่าวไปแล้ว ดูแลแหล่งค้นคว้า จัดหาทรัพยากรด้วยโดยให้ชั่วโมงสอนเขาน้อยลง จะทำให้เราเริ่มพัฒนาการอ่านเด็กอย่างจริงจัง กระทรวงศึกษาธิการต้องเริ่มแล้ว เมื่อ 3-4 ปีมานี้ กระทรวงศึกษาฯเคยพูดโดยรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ จะพยายามจัดสรรอัตราบรรณารักษ์ให้ครบทุกโรงเรียน รวมทั้ง กศน.ด้วย ซึ่ง กศน.ยังเป็นหน่วยงานที่ควรมีเพราะถึงประชาชนโดยตรงให้ได้ครบทุกโรงเรียนประมาณ 30,000 กว่าแห่งเป็นแบบครูบรรณารักษ์ ซึ่งค่อยบรรจุไปจะใช้เวลาบ้างก็ยิ่งดีกว่าไม่เริ่มต้น แต่ละยุคแต่ละสมัยก็เปลี่ยนความคิดไป ถ้าเราไม่เริ่มตั้งแต่วันนี้ ความเลวร้ายเรื่องเด็กไม่อ่านหนังสือ อ่านหนังสือน้อย อ่านไม่เป็น ปลูกฝังมาแต่เด็กซึมซับ หลายประเทศเขาสอนเด็กให้อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ และเก็บใจความแล้ว โปรดเถอะสนใจเรื่องใหญ่บ้าง ถ้าครูบรรณารักษ์มีสถานภาพเป็นครูสอน เชื่อเถอะเขาก็จะเต็มใจและทำงานให้กับเด็กเต็มที่ ถ้าเราทำได้ไม่ช้าเราจะต้องพบกับสิ่งที่น่ามหัศจรรย์เกิดขึ้น คือ ระดับการอ่านของเด็กไทยจะก้าวไกลกว่าที่คิด
ต้องการครูบรรณารักษ์ แต่ไม่ดูแล

เป้าหมายการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของสำนักงานคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานปีงบประมาณ 2554-2561
เป้าหมายปี 2561 คุณภาพผู้บริหาร ผู้บริหารสามารถบริหารแผนงานโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน และพัฒนาห้องสมุดได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล ผู้บริหารเป็นผู้นำในการส่งเสริมรักการอ่านและส่งเสริมการใช้ห้องสมุด เป็นแบบอย่างที่ดีในการอ่านและการใช้ห้องสมุด

คุณภาพครู เป้าหมายปีงบประมาณ 2561 ครูบรรณารักษ์สามารถบริหารงานห้องสมุดและจัดกิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล ครูบรรณารักษ์มีสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีในการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านที่มีคุณภาพและหลากหลาย ครูบรรณารักษ์บูรณาการการอ่านกับการจัดการเรียนรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ ครูบรรณารักษ์ศึกษาวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านและพัฒนาห้องสมุด

คุณภาพนักเรียน เป้าหมายปีงบประมาณ 2561 นักเรียนทุกคนเห็นคุณค่าของการใช้ห้องสมุด นักเรียนใฝ่รู้ใฝ่เรียน มีนิสัยรักการอ่านอย่างยั่งยืนและเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ นักเรียนสามารถใช้ประโยชน์จากสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและจริยธรรม นักเรียนมีทักษะในการใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง

คุณภาพโรงเรียน โรงเรียนทุกแห่งมีห้องสมุด 3 ดี (ครูบรรณารักษ์ดี ห้องสมุดดี สิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้ดี) ที่ทันสมัยและมีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานห้องสมุดและตัวบ่งชี้ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และยังทำให้ห้องสมุดเป็นแหล่งเรียนรู้ของโรงเรียนและให้บริการแก่ผู้ปกครองและชุมชน

ประกอบกับเกณฑ์ประเมินความพร้อมการเปิดหลักสูตรปริญญาตรีของสถาบันการอาชีวศึกษา ระบุชัดว่าต้องมีห้องสมุด บรรณารักษ์ ทรัพยากรสารสนเทศ ตลอดจนสื่อต่างๆ รวมทั้งเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งแน่ใจว่าตัวบรรณารักษ์ก็ควรเป็นครูบรรณารักษ์ซึ่งสอนนักศึกษาในการค้นคว้า การอ่าน การเขียนรายงาน ฯลฯ ได้เช่นกัน

เราจะผลิตครูบรรณารักษ์อย่างไร กระทรวงศึกษาธิการต้องผลิตครูบรรณารักษ์ให้เกิดทักษะแห่งอนาคต การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับครูบรรณารักษ์ที่ควรเรียนก็คือให้เรียน 5 ปี มีวิชาครูให้เพียงพอต่อมาตรฐานวิชาชีพครู ในปีสุดท้ายคือปีที่ 5 ให้ฝึกปฏิบัติงานและสอน มีวิธีการสอนการใช้ห้องสมุด การส่งเสริมการอ่าน วิชาครูที่เรียน การออกแบบและจัดการเรียนการสอน พัฒนาหลักสูตรภาษาอังกฤษสำหรับครู ภาษาไทยสำหรับครู เทคโนโลยีและสารสนเทศทางการศึกษา การศึกษากับการพัฒนาสังคม การบริหารจัดการและภาวะผู้นำทางการศึกษา การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลทางการศึกษา สถิติและสารสนเทศทางการศึกษา จิตวิทยาพื้นฐานการศึกษาจิตวิทยาการอ่าน จิตวิทยาสำหรับครูและการศึกษาพิเศษ

วิธีวิทยาการสอนวิชาห้องสมุด (ช่วยให้เด็กทำรายงานเป็น ผู้จักอ้างอิงข้อมูล เขียนรายงานที่เด็กนักเรียนในระดับต่างๆ ที่ทำในรายวิชาต่างๆ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานเบื้องต้นในความซื่อสัตย์ทางวิชาการและเป็นพื้นฐานที่จะช่วยให้เด็กรักการทำวิจัยและอยู่กับข้อเท็จจริงจนเป็นนิสัย) ในด้านห้องสมุดควรมีบริการสารสนเทศ ห้องสมุดโรงเรียนหรือศูนย์สารสนเทศโรงเรียนการจัดระบบทรัพยากรสารสนเทศ บริการสารสนเทศและบริการอ้างอิง การวิเคราะห์สารสนเทศและการจัดหมวดหมู่ การจัดการห้องสมุด การจัดการสื่อเทคโนโลยีทางการศึกษาในห้องสมุด สารสนเทศในห้องสมุดและศูนย์สารสนเทศในโรงเรียน เทคโนโลยีในการจัดการสารสนเทศ

กลุ่มความรู้ในการเป็นครูบรรณารักษ์ เน้นหนักภาษาอังกฤษสำหรับครูบรรณารักษ์ การสร้างเสริมนิสัยรักการอ่าน วรรณกรรมสำหรับเด็กและวัยรุ่น สุนทรียภาพการอ่าน จิตวิทยาการอ่าน สารสนเทศในกลุ่มประเทศอาเซียน กิจกรรมส่งเสริมการอ่านกลุ่มวิชาเลือก วิจัยในสารสนเทศศึกษา วิจัยในเรื่องพัฒนาการอ่าน การออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ในงานสารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อสารเพื่อการศึกษา สื่อมวลชนและการประชาสัมพันธ์เพื่อการศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงานห้องสมุด การเรียนรู้ด้วยการอ่าน เทคนิคการเล่าเรื่องและนิทาน อาเซียนศึกษา

หลักสูตรดังกล่าวเป็นแค่เพียงข้อเสนอแนะเท่านั้น ถ้าเรานำจำนวนหน่วยกิตและหลักการศึกษาให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์จะทำให้ได้ครูบรรณารักษ์ที่มีคุณภาพ ส่งเสริมการเรียนรู้และการอ่านของเด็ก หลักสูตรนี้ถ้าเกิดขึ้นจริงจะเป็นหลักสูตรที่ลงตัวมากในเรื่องศักยภาพของครูบรรณารักษ์ในอนาคต และเขาทำงานเป็นครูอย่างมีศักดิ์ศรี

น่าดีใจก็คือ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามเริ่มแนวคิดที่จะผลิตบรรณารักษ์ศึกษา ขึ้นมาเป็นแห่งแรก อีก 5 ปี จะมีบัณฑิตรุ่นนี้ออกไปทำหน้าที่ครูบรรณารักษ์ กระทรวงศึกษาธิการก็วางหลักเกณฑ์บรรจุครูบรรณารักษ์ในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเข้าหลักเกณฑ์ สพฐ. ในปี 2561 ที่กล่าวแล้วข้างต้นพอดี เราขอปรบมือให้คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามที่มองการณ์ไกลในการที่จะเตรียมเด็กไทย พัฒนาการอ่านและเยาวชนสู่ประชาคมอาเซียนจากการรู้จักค้นหาความรู้และการอ่านอย่างแท้จริง

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32933&Key=hotnews

สพฐ.โชว์สุดยอดงานวิจัยระดับชาติ คัด 100 เรื่อง ช่วยครูประยุกต์สอนเด็กวิเคราะห์

5 มิถุนายน 2556

นางพจมาน พงษ์ไพบูลย์ ผอ.สำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดเผยว่า สพฐ.โดยสำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา เตรียมจัดประชุมสัมมนาวิชาการ นำเสนอผลงานวิจัยระดับชาติ ระหว่างวันที่ 10-12 มิ.ย. ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชัน

งานในครั้งนี้เป็นการนำเสนอผลงานวิจัยระดับชาติประจำปี 2556 เพื่อให้ครูตลอดจนศึกษานิเทศก์ได้งานวิจัยที่มีคุณภาพเหล่านี้ ไปปรับใช้ในการเรียนการสอน เพื่อยกระดับคุณภาพนักเรียน เพราะงานวิจัยคือตัวการที่สร้างเสริมให้เด็กคิดวิเคราะห์เป็น

งานสัมมนายังปาฐกถาพิเศษจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา 3 เรื่อง 3 วัน คือ 1.พลิกโฉมการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน : หลากหลายเส้นทางสู่การปฏิรูปการศึกษาในศตวรรษที่ 21 2.ระบบการบริหารจัดการสถานศึกษาและเขตพื้นที่การศึกษาแนวใหม่ เพื่อสร้างโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และ 3.การพัฒนาทักษะอาชีพสู่โลกของงาน : ขับเคลื่อนการศึกษาเชิงรุกสู่เออีซี

สำหรับผลงานวิจัยระดับชาติที่ผ่านการคัดเลือกประจำปี 2556 มีทั้งสิ้น 100 เรื่อง ซึ่ง สพฐ.ได้แบ่งการนำเสนอออกเป็น 5 ห้อง ได้แก่ ห้อง GRAND A นำเสนองานวิจัยด้านบริหารการศึกษา การวัด/ประเมินผลทางการศึกษา การประกันคุณภาพทางการศึกษา และการนิเทศการศึกษา ห้อง GRAND B นำเสนองานวิจัยด้านพัฒนาการเรียนการสอน และวิจัยในชั้นเรียน ห้อง GRAND C นำเสนองานวิจัยโครงการสร้างวัฒนธรรมการวิจัย

ห้อง GEMINY นำเสนองานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีและบูรณาการงานอาชีพ และห้อง MARS นำเสนอการวิจัยด้านคุณภาพชีวิต กีฬา ประชาธิปไตยและอาเซียน นิทรรศการที่เกิดจากผลงานวิจัยทางการศึกษา 36 เรื่อง อาทิ กลุ่มนักธุรกิจน้อย มีคุณธรรม นำสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ 13 เรื่อง คณิตคิดสนุก 1 เรื่อง เป็นต้น การอบรมเชิงปฏิบัติการ อาทิ การจัดการเรียนรู้ด้วยยูทูบ การสร้างและเลือกใช้แอพพลิเคชั่นในการสอนแท็บเล็ต เป็นต้น

ที่มา: http://www.matichon.co.th/khaosod

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32922&Key=hotnews

มหา’ลัยลงขัน 200 ล้าน ยื่นขอใบอนุญาตทีวีดิจิตอลสาธารณะ

5 มิถุนายน 2556

ASTVผู้จัดการรายวัน – ม.รัฐ และม.เอกชน 33 แห่ง ร่วมมือเป็นเครือข่ายขอยื่นขอใบอนุญาตทีวีดิจิตอลสาธารณะประเภท 1 ควักกระเป๋าลงขันเบื้องต้น200 ล้านบาท หวังเป็นต้นแบบทีวีมีสาระเน้นข่าวสารร้อยละ 75 ที่เหลือเป็นรายการบันเทิง

วานนี้ (4 มิ.ย.) จุฬากรณ์มหาวิทยาลัยที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะประธาน ทปอ.พร้อมตัวแทนมหาวิทยาลัยรัฐ ที่เป็นสมาชิก ทปอ. 27 แห่งและมหาวิทยาลัยเอกชน 6 แห่ง ลงนามในความร่วมมือ “เครือข่ายมหาวิทยาลัยเพื่อบริการสาธารณะ”  เพื่อแสดงความพร้อมในการยื่นขอใบอนุญาตทีวีดิจิตอลช่องบริการสาธารณะประเภทที่ 1 โดย ศ.ดร.สมคิด กล่าวว่า ใน พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์พ.ศ.2551 กำหนดให้สถาบันการศึกษามีสิทธิขอรับใบอนุญาตช่องกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์โดยใช้คลื่นความถี่ประเภทสาธารณะ (Free TV) ซึ่งในการประชุม ทปอ.เมื่อวันที่ 28 เม.ย. จึงมีมติให้ยื่นขอใบอนุญาตทีวีดิจิตอลจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ยื่น โดยมอบให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นผู้แทนทปอ.ในการยื่นขอใบอนุญาต ซึ่งทางจุฬาฯทำหนังสือแจ้งมายัง ทปอ.เมื่อวันที่ 23 พ.ค. ที่ผ่านมา ว่า ได้จัดทำแผนยื่นขอใบอนุญาต เรียบร้อยแล้ว

ศ.ดร.สมคิด กล่าวต่อว่า ตนหวังว่า กสทช.จะพิจารณาเราพอสมควรเพราะสามารถมองเห็นประโยชน์ที่ประเทศชาติและประชาชนจะได้รับจากกลุ่มมหาวิทยาลัยที่เป็นเครือข่ายบริการสาธารณะนี้ และยืนยันว่า จะเป็นโทรทัศน์ที่เป็นมืออาชีพ ไม่ใช่ใครอยากทำก็ทำ หรือไม่ใช่มาแบ่งเวลากันแล้วใครอยากทำอะไรก็ทำ หรือเอานักศึกษาฝึกงาน หรือใครๆ มาทำก็ได้ แต่จะหามืออาชีพมาช่วยบริหารจัดการผังรายการเลือกผลิตรายการที่ตอบสนองความต้องการและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนเราอยากเป็นต้นแบบในการบริหารจัดการสถานีที่มีรายการที่ดีและมีสาระเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
ศ.นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาฯ กล่าวว่า ทปอ.ได้มอบหมายให้จุฬาฯ เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดทำข้อเสนอแผนงานเพื่อเตรียมเสนอต่อกสทช. ตนจึงได้จัดตั้งคณะกรรมการดำเนินงานขึ้น โดยมอบหมาย รศ.ทพ.นพ.ดร.สิทธิชัย ทัคศรี รองอธิการบดีจุฬาฯ เป็นประธาน โดยในการยื่นขอใบอนุญาตนั้น จะให้รายละเอียดทั้งหมด 3 ด้าน คือ ด้านการผลิต, บริหารผังรายการและงบประมาณ ส่วนของการบริหารงานนั้น จะดำเนินการในรูปแบบคณะกรรมการ มีตัวแทนจาก 3 ส่วนคือ ตัวแทนจากมหาวิทยาลัยที่ร่วมเป็นพันธมิตร ผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกและตัวแทนภาคเอกชน

“ส่วนผังรายการนั้น ออกอากาศ 24 ชั่วโมง จะเป็นรายการข่าวสาร ความรู้ไม่น้อยกว่า 75% ที่เหลือเป็นรายการบันเทิง โดยใช้มืออาชีพจากภายในมหาวิทยาลัยและภายนอก รวมทั้งเครือข่ายของ ม.ต่างๆ มาร่วมกันผลิตรายการส่วนงบประมาณตั้งต้นนั้น มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งลงขันกันไว้ 200 ล้านบาท” ศ.นพ.ภิรมย์ กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32920&Key=hotnews

จับ ‘สอบใหม่’ ครู ผช.โคราช ทำ 20 ข้อ คะแนนไม่ถึงครึ่ง

5 มิถุนายน 2556

ปธ.กก.สอบวินัยร้ายแรงฯ เผย’ชินภัทร’รับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ให้ความร่วมมือดี ยันแม้เกษียณการสอบต้องเดินหน้าต่อ ชี้อดบำเหน็จบำนาญจนกว่าคดียุติ

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังนายชินภัทรมารับทราบข้อกล่าวหา ฐานไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรงกรณีปัญหาทุจริตครูผู้ช่วยกรณีพิเศษหรือเหตุจำเป็น ว12 ว่า คณะกรรมการสอบสวนจะหาข้อเท็จจริง ทั้งจากผู้ถูกกล่าวหา ตลอดจน หลักฐานจากทั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงการจัดสอบครูผู้ช่วย ว12 ชุดนางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธาน ซึ่งได้ส่งเอกสารมาแล้วจำนวน 1,444 หน้า รวมถึงเอกสารที่ได้จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อีกจำนวนกว่า 1,000 หน้า หากมีการพาดพิงหรือต้องการข้อมูลข้อเท็จจริงจากผู้ใด ก็จะเชิญคนเหล่านั้นมาให้ข้อเท็จจริง หรือขอเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมต่อไป

นายอภิชาติกล่าวว่า กรอบการทำงานของคณะกรรมการสอบสวนมีเวลารวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมดภายใน 60 วัน เพื่อจัดทำบันทึกการแจ้งการรับทราบข้อกล่าวหา และสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหา ส่งให้ผู้ถูกกล่าวหาเพื่อแก้ข้อกล่าวหา หรือพยานหลักฐาน ทั้งเอกสารและพยานบุคคล ที่จะต้องเชิญมาสอบสวนภายใน 60 วัน จากนั้นคณะกรรมการสอบสวนจะพิจารณาว่าคำแก้ข้อกล่าวหาของผู้ถูกกล่าวหารับฟังได้หรือไม่ เพื่อทำความเห็นซึ่งอาจจะเสนอทั้งโทษร้ายแรง ไม่ร้ายแรง หรืออาจไม่มีโทษเลยก็ได้ เสนอต่อรัฐมนตรีว่าการ ศธ. พิจารณาวินิจฉัยในขั้นตอนสุดท้าย ทั้งนี้ คณะกรรมการสอบสวนได้นัดหารืออีกครั้งใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า

เลขาธิการ กกอ.กล่าวด้วยว่า ส่วนการยื่นอุทธรณ์ของนายชินภัทรนั้น มีความเข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นตอนการอุทธรณ์ แต่สิ่งที่นายชินภัทรสามารถกระทำได้ คือ การทักท้วง หากผู้ถูกกล่าวหาเห็นว่ากรรมการสอบสวน ทั้ง 7 คน เป็นอริแก่ผู้ถูกกล่าวหา แต่กรณีนี้นายชินภัทรไม่ได้ทักท้วงอย่างอย่างใด ส่วนหนังสือที่นายชินภัทรส่งผ่านรัฐมนตรีว่าการ ศธ. เป็นการแจ้งข้อเท็จจริงบางประการเพิ่มเติมเนื่องจากเห็นว่า คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงฯอาจจะไม่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน จึงไม่ใช่เรื่องการอุทธรณ์ ซึ่งตนจะเสนอรัฐมนตรีว่าการ ศธ.เพื่อขอรับเอกสารที่นายชินภัทรได้ส่งมา เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของสำนวนการสอบสวน

“การยื่นอุทธรณ์ สามารถทำได้เมื่อผลการสอบสวนออกมาเรียบร้อยแล้ว และผู้ถูกกล่าวหาเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับคำสั่งลงโทษ ซึ่งตามเวลาที่กำหนคดีนี้จะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2556 แม้ผู้ถูกกล่าวหาจะเกษียณอายุราชการแล้ว กระบวนการสอบสวนก็สามารถเดินต่อไปได้ โดยทางราชการจะไม่จ่ายบำเหน็จบำนาญจนกว่าคดีจะสิ้นสุด” นายอภิชาติกล่าว

นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กล่าวถึงกรณีคณะอนุกรรมการข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษาบางแห่ง มีมติให้ผู้อำนวยการโรงเรียนตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงก่อนพิจารณาให้ครูผู้ช่วยที่ทุจริตการสอบออกจากราชการ ว่า ไม่เป็นไร หากจะดำเนินการเพื่อความมั่นใจก็สามารถดำเนินการได้ ซึ่งเมื่อมีการแจ้งข้อมูลในประเด็นเหล่านี้เข้ามา จะต้องนำเข้าหารือและพิจารณาในที่ประชุม ก.ค.ศ.ต่อไป
“ตอนนี้มีแค่ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา 4 เขตแจ้งข้อมูลเข้ามายัง ก.ค.ศ.จากทั้งหมด 119 เขต ซึ่งข้อมูลที่แจ้งมา มีตั้งแต่การสั่งให้ออก ครูผู้ช่วยบางคนได้ลาออกไปก่อนและได้ไปบรรจุที่อื่นแล้ว รวมทั้งการเชิญผู้อำนวยการโรงเรียนที่ครูผู้ช่วยไปบรรจุอยู่ มาทำความเข้าใจในเรื่องของมติการให้ออก” เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าว และว่า กรณีคนที่ลาออกแล้วไปเป็นครูที่อื่นนั้น ขณะยังไม่ขอให้ความเห็น แต่คิดว่าจะต้องนำเข้าหารือในการประชุม ก.ค.ศ.ต่อไป

วันแดียวกัน ที่ห้องประชุมสำนักงานเทศบาลนครนครราชสีมา จ.นครราชสีมา นายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทุจริต กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมคณะเจ้าพนักงานสอบสวน ได้เรียกตัวบุคคลที่สอบครูผู้ช่วยของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ในเขตพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 51 ราย มาให้ปากคำกรณีทุจริตการสอบครูผู้ช่วยเมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา โดยวันนี้เป็นวันแรก มีการเรียกตัวมาสอบปากคำทั้งหมด 16 ราย และจะทยอยเรียกตัวมาสอบปากคำให้ครบทั้ง 51 ราย จนถึงวันที่ 7 มิถุนายน หลังจากนั้นจะทยอยเรียกผู้ที่อยู่ในจังหวัดใกล้เคียงมาสอบปากคำต่อไปจนครบ 344 คน

นายธานินทร์กล่าวว่า ผู้ที่เข้าข่ายทุจริตสอบครูผู้ช่วยในพื้นที่ จ.นครราชสีมา มีจำนวนทั้งสิ้น 51 ราย แบ่งเป็นผู้ที่สอบครูผู้ช่วยได้ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1-7 จำนวน 48 ราย และในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 31 จำนวน 3 ราย ซึ่งดีเอสไอมีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อข้อสอบครูผู้ช่วย ในการสอบปากคำครั้งนี้ก็ได้นำข้อสอบที่เคยทำได้คะแนนสูงมาให้ทดลองทำดูใหม่ด้วย

หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตสอบครูผู้ช่วยจะเข้าข่ายถูกดำเนินคดีอาญาได้เช่นกัน เป็นคนละส่วนกับคำสั่งเพิกถอนการบรรจุครูผู้ช่วยซึ่งเป็นเรื่องทางวินัย สำหรับการเรียกผู้เข้าข่ายทุจริตสอบครูผู้ช่วยทั้ง 51 รายมาให้ปากคำ จะเป็นกลุ่มแรก หากใครไม่ยอมมาจะมีหมายเรียกให้มาพบพนักงานสอบสวนที่กรุงเทพฯ โดยเป็นหมายเรียกในฐานะผู้ต้องหาคดีอาญา

นายธานินทร์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีผู้ต้องสงสัยเพิ่มเติมอีก 104 ราย ที่มีคะแนนสูงผิดปกติ ซึ่งอยู่ระหว่างการวิเคราะห์ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตสอบครูผู้ช่วยหรือไม่ หากมีข้อมูลและหลักฐานความผิดชัดเจนต้องถูกเพิกถอนบรรจุครูผู้ช่วยเช่นกัน

ส่วนการไล่หาตัวการใหญ่ทุจริตการสอบ นายธานินทร์กล่าวว่า ดีเอสไอได้ทำคู่ขนาน กันไป ระหว่างไล่จากล่างขึ้นบนและบนลงล่าง โดยการไล่จากข้างบนนั้น ขณะนี้กำลังรวบรวมข้อมูล และหลักฐานว่ามีผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงศึกษาธิการคนใดบ้างเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนข้างล่างนั้น ต้องมีการเรียกตัวผู้ต้องหาทั้ง 344 ราย มาสอบปากคำ ซึ่งเป็นลำดับล่างสุดที่มีการนำข้อสอบออกมา และทำการสืบสาวไปหาผู้เกี่ยวข้องระดับบนขึ้นไป

“344 รายที่ดีเอสไอเรียกมาสอบปากคำครั้งนี้ ไม่ได้เป็นจุดที่ดีเอสไอให้ความสำคัญมากนัก เนื่องจากมีข้อมูลและหลักฐานชัดเจนว่าทุจริตสอบแน่นอน เพียงแต่ต้องการเปิดโอกาสทั้ง 344 รายมาให้ปากคำเพื่อเป็นพยาน ผู้ที่ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ดีเอสไอจะกันไว้เป็นพยานโดยไม่แจ้งความในคดีอาญา ส่วนผู้ที่ไม่ยอมมา ต้องแจ้งความในคดีอาญาต่อไป” นายธานินทร์กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังดีเอสไอสุ่มเอาข้อสอบจำนวน 20 ข้อ มาให้ผู้ถูกเรียกสอบปากคำทั้ง 16 คน ทดลองทำปรากฏว่าทั้งหมดทำได้เพียง 7-8 ข้อเท่านั้น แต่บางคนได้ให้ปากคำที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี โดยเฉพาะในรายของครูผู้ช่วยของโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ที่ยอมรับว่าได้ซื้อข้อสอบจากข้าราชการครูคนหนึ่ง ในราคา 4 แสนบาท แต่ไม่รู้ว่าเอาข้อสอบมาจาก ที่ใด โดยครูที่มาติดต่ออ้างว่าทำกันหลายคน

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32919&Key=hotnews

จี้ครูไทยเปลี่ยนห้องสอนให้เป็นห้องเรียนรู้

5 มิถุนายน 2556

นักการศึกษาแนะครูไทยเปลี่ยนแนวคิดจัดสอน เปลี่ยนห้องสอนเป็นห้องเรียนรู้ เลิกวิธีบอกวิชาให้นักเรียน หันไปส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง ย้ำการทำแบบเดิมๆ แม้เคยให้ผลดี แต่ถ้ายังทำแบบเดิมต่อไปถือว่าขาดทุน เพราะทุกสิ่งในโลกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

วานนี้ (4มิ.ย.) ศ.นพ.ประเวศ วะสี ได้กล่าวในเวทีปฏิรูปการเรียนรู้สู่การศึกษาเพื่อคนทั้งมวล ครั้งที่ 17 ในหัวข้อ “ ชุมชนการเรียนรู้ครู : เปลี่ยนห้องสอนให้เป็นห้องเรียน(รู้)” จัดโดยสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน(สสค.) ว่า ในวงการธุรกิจจะมีหลักการที่รู้กันทั่วไปว่า การที่เคยทำสิ่งใดแล้วให้ผลดี แต่ถ้ายังทำแบบเดิมๆต่อไปก็จะกลายเป็นขาดทุน เพราะสิ่งต่างๆจะมีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนความคิดเป็นระยะๆ ซึ่งเรื่องของการศึกษาก็เช่นกัน การสอนแบบเดิมๆที่ครูเป็นผู้สอนบอกวิชาในห้องเรียนอาจจะเหมาะกับแค่ยุคสมัยหนึ่ง โดยเฉพาะในช่วงล่าอาณานิคม แต่ในโลกปัจจุบันคงไม่ใช่แล้ว เพราะการสอนในลักษณะดังกล่าวเป็นการจำกัดศักยภาพของคน เราจึงต้องเปลี่ยนจากห้องสอนมาเป็นห้องเรียนรู้ เพื่อเปิดพื้นที่ไปสู่การเรียนรู้ในทุกพื้นที่ของชีวิต

“การที่ใช้คำว่าสอนวิชา หรือให้ท่องจำจากหนังสือทำให้รู้สึกคับแคบมาก เหมือนอยู่แค่ในห้อง แต่หากบอกว่าเป็นการเรียนรู้จะรู้สึกเหมือนเป็นการได้เปิดออกไปสู่โลกกว้าง เพราะในโลกยังมีสิ่งที่ให้เรียนรู้ได้ไม่จำกัด ในแต่ละชุมชนก็มีแหล่งเรียนรู้จำนวนมาก ทำให้การเรียนรู้เป็นเรื่องสนุก ซึ่งในประเทศไทยมีทรัพยากรอยู่มากมาย หากเราเปลี่ยนความคิดเรื่องการเรียนรู้ได้เชื่อว่าจะก่อให้เกิดผลดีต่อประเทศเป็นอย่างมาก” ศ.นพ.ประเวศ กล่าว

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช นักวิชาการอาวุโส กล่าวว่า ครูในยุคนี้ต้องเอื้อให้เด็กได้เรียนรู้จากการลงมือทำ เปลี่ยนจากครูสอนไปเป็นครูฝึก เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้จากปฏิบัติ กระตุ้นให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยครูจะต้องมีการรวมกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน เพื่อช่วยกันพัฒนาวิธีการจัดการเรียนการสอน ดังนั้นครูยุคใหม่จึงต้องเป็นผู้เรียนด้วย

“ในอดีตเป็นการเรียนเพื่อให้ได้วิชาจากครู แต่เป้าหมายการศึกษาในโลกยุคใหม่เปลี่ยนไปแล้ว นอกจากได้วิชาให้รู้แล้วยังต้องรู้จักการนำวิชาไปใช้ให้เป็นด้วย เพื่อการดำรงชีวิตในโลกยุคใหม่ที่ไม่เหมือนอดีต ดังนั้นการศึกษาจะต้องสร้างทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ให้แก่ผู้เรียน ประกอบด้วย 1.แรงบันดาลใจต่างๆ เช่น การเป็นคนดี มีจิตอาสาทำประโยชน์ให้สังคม ฯลฯ
2.ทักษะการเรียนรู้ เพราะวิชาต่างๆมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง มีของใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา หากขาดทักษะเรียนรู้ก็จะเรียนของใหม่ไม่ได้ รู้แต่เรื่องเดิมๆ เก่าๆ
3. ทักษะการร่วมมือกับคนอื่น และ
4.ทักษะการรู้เท่าทัน มีวินัยในตนเอง” ศ.นพ.วิจารณ์ กล่าว

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32918&Key=hotnews