พีอาร์กับการเปลี่ยนแปลงขององค์กร

พีอาร์กับการเปลี่ยนแปลงขององค์กร
Public Relation with Organization changing
โดย : อดิศักดิ์ จำปาทอง
! http://bit.ly/14cNz6s

องค์กรธุรกิจในปัจจุบันนี้ ต่างต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายหลายรูปแบบ ทั้งการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหญ่ เปลี่ยนผู้บริหาร เปลี่ยนสายธุรกิจ

adisak
adisak

จากองค์กรที่เคยอยู่กันมาอย่างสงบนับสิบปี แต่แล้ววันหนึ่งก็มีซองขาวมาวางอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เข้ามาช่วยดูแลเก็บข้าวของและเชิญให้ออกจากองค์กรไปโดยเร็ว ซึ่งเป็นตัวอย่างของการจัดการกับพนักงานที่ลอกเลียนแบบมาจากฝรั่งตะวันตกที่ยังนิยมปฏิบัติกันอย่างแพร่หลายในเมืองไทยอยู่ทุกวันนี้ จนพนักงานส่วนที่เหลือก็ทนไม่ไหวพากันลาออกไปจนเกือบหมดในที่สุด ความสูญเสียที่ใหญ่หลวงขององค์กรก็คือ พนักงานไม่มีใจเหลือให้องค์กรอีกต่อไปแล้ว ที่ยังอยู่ก็อยู่กันแบบซังกะตาย หมดเรี่ยวแรงจะผลักดันองค์กร

ผู้บริหารคิดว่า จะยังสามารถบริหารองค์กรที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้ต่อไปอีกหรือ

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว การสื่อสารดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก เพราะถึงแม้จะไม่มีการสื่อสารอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีการแลกเปลี่ยนคุยกันปากต่อปากอยู่ดี ยิ่งมีประเด็นที่ลับมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีการซุบซิบนินทามากขึ้นเป็นเงาตามตัว ปล่อยข่าวจริงบ้างเท็จบ้าง โดยเฉพาะข่าวที่เป็นลบยิ่งแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ในทางตรงกันข้าม ข่าวดีๆ มักจะอยู่กับที่ ซึ่งเป็นอันตรายต่อองค์กรอย่างยิ่ง

การสื่อสารในลักษณะเช่นนี้ เราเรียกว่า The Grapevine หรือการสื่อสารแบบไม่เป็นทางการ (Informal Communication) ซึ่งเป็นเรื่องปกติขององค์กรที่พนักงานในบริษัทจะซุบซิบคุยเล่นกันในสถานที่ทำงาน การพูดคุยกันในห้องน้ำหลังอาหารมื้อกลางวันกับเพื่อนร่วมงาน การแวะแต่งหน้าหรือแปรงฟันในห้องน้ำเป็นกลุ่มๆ ในช่วงเวลาพัก หรือแม้แต่การพูดคุยกันบนโต๊ะอาหารกลางวัน ซึ่งเชื่อได้เลยว่า การสนทนาในสถานการณ์ดังกล่าว กว่า 80% ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานแทบทั้งสิ้น

ผู้บริหารที่ฉลาดจึงมักจะใช้เส้นทางของ The Grapevine นี้ เพื่อหาข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจของตนเอง เพราะถ้ารู้ตัวว่า เมื่อขจัดมันออกไปจากองค์กรไม่ได้ ก็ควรใช้มันให้เป็นประโยชน์เสียเลยดีกว่า อย่างนี้เรียกว่า พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เช่น ผู้บริหารต้องการอยากจะทราบว่าพนักงานคิดอย่างไรกับการตกแต่งโชว์รูมใหม่ ก็อาจจะเปรยกับเลขาฯหรือผู้ช่วยฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีมากๆ สักคนหนึ่ง รับรองว่าอีกไม่นานคำตอบต่างๆ ก็จะหลั่งไหลมาหาผู้บริหารท่านนั้นเอง ที่เหลือจึงเป็นเรื่องของเทคนิคการกลั่นกรองข่าวสารเพื่อที่จะนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป

ผู้บริหารที่ให้ความสำคัญกับขั้นตอนการสื่อสารเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง หากยังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจาหรือมีประเด็นที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ เงื่อนไขก็คือว่าประเด็นเหล่านี้จะหลุดรอดออกมาภายนอกไม่ได้ เพราะจะส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรง ถ้าต้องให้ผู้มีส่วนร่วมรับรู้ ก็เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องจริงๆ เท่านั้น หากเป็นความลับ ก็ต้องลับสนิทอย่างแท้จริง เพราะบางเรื่องที่อาจมีผลกระทบต่อคนจำนวนมากๆ เป็นละเอียดอ่อน เช่น เรื่องการโยกย้ายตำแหน่ง หรือเรื่องการปรับขึ้นเงินเดือน เพราะข่าวนั้นจะไหลเข้าสู่กระแส Grapevine อย่างรวดเร็วและรุนแรง จนบางครั้งเราอาจจะควบคุมมันไว้ไม่อยู่เลยทีเดียว

เมื่อสถานการณ์ชัดเจนแน่นอน ค่อยชิงจังหวะสื่อสารไปยังผู้เกี่ยวข้อง พนักงาน และกลุ่มเป้าหมายก่อนที่ประเด็นดังกล่าวจะถูกปล่อยออกไปเป็นข่าวลือ เพราะหากถึงขั้นเป็นข่าวลือแล้วละก็ การสื่อสารที่ตามมาก็จะกลายเป็นการแก้ข่าว และหากข่าวลือนั้นถูกทำให้เชื่อแล้ว ยิ่งต้องกลายเป็นข้อแก้ตัวหนักเข้าไปอีก จังหวะในการสื่อสารจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น เนื้อหาที่สื่อสารออกไปต้องเป็นข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าจะเป็นข้อเท็จจริงที่เจ็บปวดก็ตาม เพราะการนำเสนอแต่ข้อเท็จจริง จะทำให้พนักงานยังคงเชื่อมั่นในองค์กร

การเปลี่ยนแปลงขององค์กรย่อมมีที่มาที่ไป คงไม่มีองค์กรไหนต้องการสร้างความวุ่นวาย ดังนั้น ที่มาของการเปลี่ยนแปลงจึงน่าจะเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องถ่ายทอดไปสู่พนักงานและผู้เกี่ยวข้องทุกระดับ ซึ่งวิธีการถ่ายทอดนั้น สามารถทำได้ทั้งรูปแบบที่เป็นทางการ เช่น สารจากผู้บริหาร จดหมายข่าว หรือวารสารภายใน ฯลฯ หรือรูปแบบที่ไม่เป็นทางการ เช่น การพูดคุยกับพนักงานอาวุโส พนักงานที่มีอิทธิพลทางความคิด หรืออาจเชิญผู้มีชื่อเสียงหรือมีอิทธิพลจากภายนอกมาให้ความรู้ตอกย้ำประเด็นของการเปลี่ยนแปลง

การสื่อสารเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนั้น ต้องไม่ละเลยที่จะดูแลกระแสจากภายนอกองค์กรด้วย ข่าวจากภายนอกองค์กรอาจทำให้พนักงานตีตนไปก่อนไข้ได้ หรือข่าวที่หลุดไปจากพนักงานที่ไม่พึงพอใจต่อการเปลี่ยนแปลง ทั้งๆ ที่อาจเป็นเพียงความคิดเห็นของคนเพียงคนเดียวหรือคนกลุ่มเล็กๆ ก็อาจสร้างความเข้าใจผิดเสียหายต่อองค์กรได้

ปัจจุบันองค์กรคงจะไม่ได้เผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องๆ อย่างที่ผ่านมาในอดีตเสียแล้ว แต่ทุกองค์กรกำลังเผชิญหน้ากับ Continuous Change ที่หมายถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็หมายความว่า ทั้งผู้บริหาร พนักงาน และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและไม่รู้จบเช่นกัน

โดย อ.อดิศักดิ์ จำปาทอง ในกรุงเทพธุรกิจ

! http://blog.nation.ac.th/?p=2696

สพฐ.โชว์สุดยอดงานวิจัยระดับชาติ คัด 100 เรื่อง ช่วยครูประยุกต์สอนเด็กวิเคราะห์

5 มิถุนายน 2556

นางพจมาน พงษ์ไพบูลย์ ผอ.สำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดเผยว่า สพฐ.โดยสำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา เตรียมจัดประชุมสัมมนาวิชาการ นำเสนอผลงานวิจัยระดับชาติ ระหว่างวันที่ 10-12 มิ.ย. ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชัน

งานในครั้งนี้เป็นการนำเสนอผลงานวิจัยระดับชาติประจำปี 2556 เพื่อให้ครูตลอดจนศึกษานิเทศก์ได้งานวิจัยที่มีคุณภาพเหล่านี้ ไปปรับใช้ในการเรียนการสอน เพื่อยกระดับคุณภาพนักเรียน เพราะงานวิจัยคือตัวการที่สร้างเสริมให้เด็กคิดวิเคราะห์เป็น

งานสัมมนายังปาฐกถาพิเศษจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา 3 เรื่อง 3 วัน คือ 1.พลิกโฉมการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน : หลากหลายเส้นทางสู่การปฏิรูปการศึกษาในศตวรรษที่ 21 2.ระบบการบริหารจัดการสถานศึกษาและเขตพื้นที่การศึกษาแนวใหม่ เพื่อสร้างโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และ 3.การพัฒนาทักษะอาชีพสู่โลกของงาน : ขับเคลื่อนการศึกษาเชิงรุกสู่เออีซี

สำหรับผลงานวิจัยระดับชาติที่ผ่านการคัดเลือกประจำปี 2556 มีทั้งสิ้น 100 เรื่อง ซึ่ง สพฐ.ได้แบ่งการนำเสนอออกเป็น 5 ห้อง ได้แก่ ห้อง GRAND A นำเสนองานวิจัยด้านบริหารการศึกษา การวัด/ประเมินผลทางการศึกษา การประกันคุณภาพทางการศึกษา และการนิเทศการศึกษา ห้อง GRAND B นำเสนองานวิจัยด้านพัฒนาการเรียนการสอน และวิจัยในชั้นเรียน ห้อง GRAND C นำเสนองานวิจัยโครงการสร้างวัฒนธรรมการวิจัย

ห้อง GEMINY นำเสนองานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีและบูรณาการงานอาชีพ และห้อง MARS นำเสนอการวิจัยด้านคุณภาพชีวิต กีฬา ประชาธิปไตยและอาเซียน นิทรรศการที่เกิดจากผลงานวิจัยทางการศึกษา 36 เรื่อง อาทิ กลุ่มนักธุรกิจน้อย มีคุณธรรม นำสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ 13 เรื่อง คณิตคิดสนุก 1 เรื่อง เป็นต้น การอบรมเชิงปฏิบัติการ อาทิ การจัดการเรียนรู้ด้วยยูทูบ การสร้างและเลือกใช้แอพพลิเคชั่นในการสอนแท็บเล็ต เป็นต้น

ที่มา: http://www.matichon.co.th/khaosod

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32922&Key=hotnews

มหา’ลัยลงขัน 200 ล้าน ยื่นขอใบอนุญาตทีวีดิจิตอลสาธารณะ

5 มิถุนายน 2556

ASTVผู้จัดการรายวัน – ม.รัฐ และม.เอกชน 33 แห่ง ร่วมมือเป็นเครือข่ายขอยื่นขอใบอนุญาตทีวีดิจิตอลสาธารณะประเภท 1 ควักกระเป๋าลงขันเบื้องต้น200 ล้านบาท หวังเป็นต้นแบบทีวีมีสาระเน้นข่าวสารร้อยละ 75 ที่เหลือเป็นรายการบันเทิง

วานนี้ (4 มิ.ย.) จุฬากรณ์มหาวิทยาลัยที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะประธาน ทปอ.พร้อมตัวแทนมหาวิทยาลัยรัฐ ที่เป็นสมาชิก ทปอ. 27 แห่งและมหาวิทยาลัยเอกชน 6 แห่ง ลงนามในความร่วมมือ “เครือข่ายมหาวิทยาลัยเพื่อบริการสาธารณะ”  เพื่อแสดงความพร้อมในการยื่นขอใบอนุญาตทีวีดิจิตอลช่องบริการสาธารณะประเภทที่ 1 โดย ศ.ดร.สมคิด กล่าวว่า ใน พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์พ.ศ.2551 กำหนดให้สถาบันการศึกษามีสิทธิขอรับใบอนุญาตช่องกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์โดยใช้คลื่นความถี่ประเภทสาธารณะ (Free TV) ซึ่งในการประชุม ทปอ.เมื่อวันที่ 28 เม.ย. จึงมีมติให้ยื่นขอใบอนุญาตทีวีดิจิตอลจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ยื่น โดยมอบให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นผู้แทนทปอ.ในการยื่นขอใบอนุญาต ซึ่งทางจุฬาฯทำหนังสือแจ้งมายัง ทปอ.เมื่อวันที่ 23 พ.ค. ที่ผ่านมา ว่า ได้จัดทำแผนยื่นขอใบอนุญาต เรียบร้อยแล้ว

ศ.ดร.สมคิด กล่าวต่อว่า ตนหวังว่า กสทช.จะพิจารณาเราพอสมควรเพราะสามารถมองเห็นประโยชน์ที่ประเทศชาติและประชาชนจะได้รับจากกลุ่มมหาวิทยาลัยที่เป็นเครือข่ายบริการสาธารณะนี้ และยืนยันว่า จะเป็นโทรทัศน์ที่เป็นมืออาชีพ ไม่ใช่ใครอยากทำก็ทำ หรือไม่ใช่มาแบ่งเวลากันแล้วใครอยากทำอะไรก็ทำ หรือเอานักศึกษาฝึกงาน หรือใครๆ มาทำก็ได้ แต่จะหามืออาชีพมาช่วยบริหารจัดการผังรายการเลือกผลิตรายการที่ตอบสนองความต้องการและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนเราอยากเป็นต้นแบบในการบริหารจัดการสถานีที่มีรายการที่ดีและมีสาระเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
ศ.นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาฯ กล่าวว่า ทปอ.ได้มอบหมายให้จุฬาฯ เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดทำข้อเสนอแผนงานเพื่อเตรียมเสนอต่อกสทช. ตนจึงได้จัดตั้งคณะกรรมการดำเนินงานขึ้น โดยมอบหมาย รศ.ทพ.นพ.ดร.สิทธิชัย ทัคศรี รองอธิการบดีจุฬาฯ เป็นประธาน โดยในการยื่นขอใบอนุญาตนั้น จะให้รายละเอียดทั้งหมด 3 ด้าน คือ ด้านการผลิต, บริหารผังรายการและงบประมาณ ส่วนของการบริหารงานนั้น จะดำเนินการในรูปแบบคณะกรรมการ มีตัวแทนจาก 3 ส่วนคือ ตัวแทนจากมหาวิทยาลัยที่ร่วมเป็นพันธมิตร ผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกและตัวแทนภาคเอกชน

“ส่วนผังรายการนั้น ออกอากาศ 24 ชั่วโมง จะเป็นรายการข่าวสาร ความรู้ไม่น้อยกว่า 75% ที่เหลือเป็นรายการบันเทิง โดยใช้มืออาชีพจากภายในมหาวิทยาลัยและภายนอก รวมทั้งเครือข่ายของ ม.ต่างๆ มาร่วมกันผลิตรายการส่วนงบประมาณตั้งต้นนั้น มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งลงขันกันไว้ 200 ล้านบาท” ศ.นพ.ภิรมย์ กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32920&Key=hotnews

จับ ‘สอบใหม่’ ครู ผช.โคราช ทำ 20 ข้อ คะแนนไม่ถึงครึ่ง

5 มิถุนายน 2556

ปธ.กก.สอบวินัยร้ายแรงฯ เผย’ชินภัทร’รับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ให้ความร่วมมือดี ยันแม้เกษียณการสอบต้องเดินหน้าต่อ ชี้อดบำเหน็จบำนาญจนกว่าคดียุติ

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังนายชินภัทรมารับทราบข้อกล่าวหา ฐานไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรงกรณีปัญหาทุจริตครูผู้ช่วยกรณีพิเศษหรือเหตุจำเป็น ว12 ว่า คณะกรรมการสอบสวนจะหาข้อเท็จจริง ทั้งจากผู้ถูกกล่าวหา ตลอดจน หลักฐานจากทั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงการจัดสอบครูผู้ช่วย ว12 ชุดนางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธาน ซึ่งได้ส่งเอกสารมาแล้วจำนวน 1,444 หน้า รวมถึงเอกสารที่ได้จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อีกจำนวนกว่า 1,000 หน้า หากมีการพาดพิงหรือต้องการข้อมูลข้อเท็จจริงจากผู้ใด ก็จะเชิญคนเหล่านั้นมาให้ข้อเท็จจริง หรือขอเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมต่อไป

นายอภิชาติกล่าวว่า กรอบการทำงานของคณะกรรมการสอบสวนมีเวลารวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมดภายใน 60 วัน เพื่อจัดทำบันทึกการแจ้งการรับทราบข้อกล่าวหา และสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหา ส่งให้ผู้ถูกกล่าวหาเพื่อแก้ข้อกล่าวหา หรือพยานหลักฐาน ทั้งเอกสารและพยานบุคคล ที่จะต้องเชิญมาสอบสวนภายใน 60 วัน จากนั้นคณะกรรมการสอบสวนจะพิจารณาว่าคำแก้ข้อกล่าวหาของผู้ถูกกล่าวหารับฟังได้หรือไม่ เพื่อทำความเห็นซึ่งอาจจะเสนอทั้งโทษร้ายแรง ไม่ร้ายแรง หรืออาจไม่มีโทษเลยก็ได้ เสนอต่อรัฐมนตรีว่าการ ศธ. พิจารณาวินิจฉัยในขั้นตอนสุดท้าย ทั้งนี้ คณะกรรมการสอบสวนได้นัดหารืออีกครั้งใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า

เลขาธิการ กกอ.กล่าวด้วยว่า ส่วนการยื่นอุทธรณ์ของนายชินภัทรนั้น มีความเข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นตอนการอุทธรณ์ แต่สิ่งที่นายชินภัทรสามารถกระทำได้ คือ การทักท้วง หากผู้ถูกกล่าวหาเห็นว่ากรรมการสอบสวน ทั้ง 7 คน เป็นอริแก่ผู้ถูกกล่าวหา แต่กรณีนี้นายชินภัทรไม่ได้ทักท้วงอย่างอย่างใด ส่วนหนังสือที่นายชินภัทรส่งผ่านรัฐมนตรีว่าการ ศธ. เป็นการแจ้งข้อเท็จจริงบางประการเพิ่มเติมเนื่องจากเห็นว่า คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงฯอาจจะไม่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน จึงไม่ใช่เรื่องการอุทธรณ์ ซึ่งตนจะเสนอรัฐมนตรีว่าการ ศธ.เพื่อขอรับเอกสารที่นายชินภัทรได้ส่งมา เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของสำนวนการสอบสวน

“การยื่นอุทธรณ์ สามารถทำได้เมื่อผลการสอบสวนออกมาเรียบร้อยแล้ว และผู้ถูกกล่าวหาเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับคำสั่งลงโทษ ซึ่งตามเวลาที่กำหนคดีนี้จะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2556 แม้ผู้ถูกกล่าวหาจะเกษียณอายุราชการแล้ว กระบวนการสอบสวนก็สามารถเดินต่อไปได้ โดยทางราชการจะไม่จ่ายบำเหน็จบำนาญจนกว่าคดีจะสิ้นสุด” นายอภิชาติกล่าว

นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กล่าวถึงกรณีคณะอนุกรรมการข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษาบางแห่ง มีมติให้ผู้อำนวยการโรงเรียนตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงก่อนพิจารณาให้ครูผู้ช่วยที่ทุจริตการสอบออกจากราชการ ว่า ไม่เป็นไร หากจะดำเนินการเพื่อความมั่นใจก็สามารถดำเนินการได้ ซึ่งเมื่อมีการแจ้งข้อมูลในประเด็นเหล่านี้เข้ามา จะต้องนำเข้าหารือและพิจารณาในที่ประชุม ก.ค.ศ.ต่อไป
“ตอนนี้มีแค่ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา 4 เขตแจ้งข้อมูลเข้ามายัง ก.ค.ศ.จากทั้งหมด 119 เขต ซึ่งข้อมูลที่แจ้งมา มีตั้งแต่การสั่งให้ออก ครูผู้ช่วยบางคนได้ลาออกไปก่อนและได้ไปบรรจุที่อื่นแล้ว รวมทั้งการเชิญผู้อำนวยการโรงเรียนที่ครูผู้ช่วยไปบรรจุอยู่ มาทำความเข้าใจในเรื่องของมติการให้ออก” เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าว และว่า กรณีคนที่ลาออกแล้วไปเป็นครูที่อื่นนั้น ขณะยังไม่ขอให้ความเห็น แต่คิดว่าจะต้องนำเข้าหารือในการประชุม ก.ค.ศ.ต่อไป

วันแดียวกัน ที่ห้องประชุมสำนักงานเทศบาลนครนครราชสีมา จ.นครราชสีมา นายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทุจริต กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมคณะเจ้าพนักงานสอบสวน ได้เรียกตัวบุคคลที่สอบครูผู้ช่วยของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ในเขตพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 51 ราย มาให้ปากคำกรณีทุจริตการสอบครูผู้ช่วยเมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา โดยวันนี้เป็นวันแรก มีการเรียกตัวมาสอบปากคำทั้งหมด 16 ราย และจะทยอยเรียกตัวมาสอบปากคำให้ครบทั้ง 51 ราย จนถึงวันที่ 7 มิถุนายน หลังจากนั้นจะทยอยเรียกผู้ที่อยู่ในจังหวัดใกล้เคียงมาสอบปากคำต่อไปจนครบ 344 คน

นายธานินทร์กล่าวว่า ผู้ที่เข้าข่ายทุจริตสอบครูผู้ช่วยในพื้นที่ จ.นครราชสีมา มีจำนวนทั้งสิ้น 51 ราย แบ่งเป็นผู้ที่สอบครูผู้ช่วยได้ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1-7 จำนวน 48 ราย และในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 31 จำนวน 3 ราย ซึ่งดีเอสไอมีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อข้อสอบครูผู้ช่วย ในการสอบปากคำครั้งนี้ก็ได้นำข้อสอบที่เคยทำได้คะแนนสูงมาให้ทดลองทำดูใหม่ด้วย

หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตสอบครูผู้ช่วยจะเข้าข่ายถูกดำเนินคดีอาญาได้เช่นกัน เป็นคนละส่วนกับคำสั่งเพิกถอนการบรรจุครูผู้ช่วยซึ่งเป็นเรื่องทางวินัย สำหรับการเรียกผู้เข้าข่ายทุจริตสอบครูผู้ช่วยทั้ง 51 รายมาให้ปากคำ จะเป็นกลุ่มแรก หากใครไม่ยอมมาจะมีหมายเรียกให้มาพบพนักงานสอบสวนที่กรุงเทพฯ โดยเป็นหมายเรียกในฐานะผู้ต้องหาคดีอาญา

นายธานินทร์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีผู้ต้องสงสัยเพิ่มเติมอีก 104 ราย ที่มีคะแนนสูงผิดปกติ ซึ่งอยู่ระหว่างการวิเคราะห์ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตสอบครูผู้ช่วยหรือไม่ หากมีข้อมูลและหลักฐานความผิดชัดเจนต้องถูกเพิกถอนบรรจุครูผู้ช่วยเช่นกัน

ส่วนการไล่หาตัวการใหญ่ทุจริตการสอบ นายธานินทร์กล่าวว่า ดีเอสไอได้ทำคู่ขนาน กันไป ระหว่างไล่จากล่างขึ้นบนและบนลงล่าง โดยการไล่จากข้างบนนั้น ขณะนี้กำลังรวบรวมข้อมูล และหลักฐานว่ามีผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงศึกษาธิการคนใดบ้างเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนข้างล่างนั้น ต้องมีการเรียกตัวผู้ต้องหาทั้ง 344 ราย มาสอบปากคำ ซึ่งเป็นลำดับล่างสุดที่มีการนำข้อสอบออกมา และทำการสืบสาวไปหาผู้เกี่ยวข้องระดับบนขึ้นไป

“344 รายที่ดีเอสไอเรียกมาสอบปากคำครั้งนี้ ไม่ได้เป็นจุดที่ดีเอสไอให้ความสำคัญมากนัก เนื่องจากมีข้อมูลและหลักฐานชัดเจนว่าทุจริตสอบแน่นอน เพียงแต่ต้องการเปิดโอกาสทั้ง 344 รายมาให้ปากคำเพื่อเป็นพยาน ผู้ที่ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ดีเอสไอจะกันไว้เป็นพยานโดยไม่แจ้งความในคดีอาญา ส่วนผู้ที่ไม่ยอมมา ต้องแจ้งความในคดีอาญาต่อไป” นายธานินทร์กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังดีเอสไอสุ่มเอาข้อสอบจำนวน 20 ข้อ มาให้ผู้ถูกเรียกสอบปากคำทั้ง 16 คน ทดลองทำปรากฏว่าทั้งหมดทำได้เพียง 7-8 ข้อเท่านั้น แต่บางคนได้ให้ปากคำที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี โดยเฉพาะในรายของครูผู้ช่วยของโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ที่ยอมรับว่าได้ซื้อข้อสอบจากข้าราชการครูคนหนึ่ง ในราคา 4 แสนบาท แต่ไม่รู้ว่าเอาข้อสอบมาจาก ที่ใด โดยครูที่มาติดต่ออ้างว่าทำกันหลายคน

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32919&Key=hotnews

จี้ครูไทยเปลี่ยนห้องสอนให้เป็นห้องเรียนรู้

5 มิถุนายน 2556

นักการศึกษาแนะครูไทยเปลี่ยนแนวคิดจัดสอน เปลี่ยนห้องสอนเป็นห้องเรียนรู้ เลิกวิธีบอกวิชาให้นักเรียน หันไปส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง ย้ำการทำแบบเดิมๆ แม้เคยให้ผลดี แต่ถ้ายังทำแบบเดิมต่อไปถือว่าขาดทุน เพราะทุกสิ่งในโลกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

วานนี้ (4มิ.ย.) ศ.นพ.ประเวศ วะสี ได้กล่าวในเวทีปฏิรูปการเรียนรู้สู่การศึกษาเพื่อคนทั้งมวล ครั้งที่ 17 ในหัวข้อ “ ชุมชนการเรียนรู้ครู : เปลี่ยนห้องสอนให้เป็นห้องเรียน(รู้)” จัดโดยสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน(สสค.) ว่า ในวงการธุรกิจจะมีหลักการที่รู้กันทั่วไปว่า การที่เคยทำสิ่งใดแล้วให้ผลดี แต่ถ้ายังทำแบบเดิมๆต่อไปก็จะกลายเป็นขาดทุน เพราะสิ่งต่างๆจะมีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนความคิดเป็นระยะๆ ซึ่งเรื่องของการศึกษาก็เช่นกัน การสอนแบบเดิมๆที่ครูเป็นผู้สอนบอกวิชาในห้องเรียนอาจจะเหมาะกับแค่ยุคสมัยหนึ่ง โดยเฉพาะในช่วงล่าอาณานิคม แต่ในโลกปัจจุบันคงไม่ใช่แล้ว เพราะการสอนในลักษณะดังกล่าวเป็นการจำกัดศักยภาพของคน เราจึงต้องเปลี่ยนจากห้องสอนมาเป็นห้องเรียนรู้ เพื่อเปิดพื้นที่ไปสู่การเรียนรู้ในทุกพื้นที่ของชีวิต

“การที่ใช้คำว่าสอนวิชา หรือให้ท่องจำจากหนังสือทำให้รู้สึกคับแคบมาก เหมือนอยู่แค่ในห้อง แต่หากบอกว่าเป็นการเรียนรู้จะรู้สึกเหมือนเป็นการได้เปิดออกไปสู่โลกกว้าง เพราะในโลกยังมีสิ่งที่ให้เรียนรู้ได้ไม่จำกัด ในแต่ละชุมชนก็มีแหล่งเรียนรู้จำนวนมาก ทำให้การเรียนรู้เป็นเรื่องสนุก ซึ่งในประเทศไทยมีทรัพยากรอยู่มากมาย หากเราเปลี่ยนความคิดเรื่องการเรียนรู้ได้เชื่อว่าจะก่อให้เกิดผลดีต่อประเทศเป็นอย่างมาก” ศ.นพ.ประเวศ กล่าว

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช นักวิชาการอาวุโส กล่าวว่า ครูในยุคนี้ต้องเอื้อให้เด็กได้เรียนรู้จากการลงมือทำ เปลี่ยนจากครูสอนไปเป็นครูฝึก เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้จากปฏิบัติ กระตุ้นให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยครูจะต้องมีการรวมกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน เพื่อช่วยกันพัฒนาวิธีการจัดการเรียนการสอน ดังนั้นครูยุคใหม่จึงต้องเป็นผู้เรียนด้วย

“ในอดีตเป็นการเรียนเพื่อให้ได้วิชาจากครู แต่เป้าหมายการศึกษาในโลกยุคใหม่เปลี่ยนไปแล้ว นอกจากได้วิชาให้รู้แล้วยังต้องรู้จักการนำวิชาไปใช้ให้เป็นด้วย เพื่อการดำรงชีวิตในโลกยุคใหม่ที่ไม่เหมือนอดีต ดังนั้นการศึกษาจะต้องสร้างทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ให้แก่ผู้เรียน ประกอบด้วย 1.แรงบันดาลใจต่างๆ เช่น การเป็นคนดี มีจิตอาสาทำประโยชน์ให้สังคม ฯลฯ
2.ทักษะการเรียนรู้ เพราะวิชาต่างๆมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง มีของใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา หากขาดทักษะเรียนรู้ก็จะเรียนของใหม่ไม่ได้ รู้แต่เรื่องเดิมๆ เก่าๆ
3. ทักษะการร่วมมือกับคนอื่น และ
4.ทักษะการรู้เท่าทัน มีวินัยในตนเอง” ศ.นพ.วิจารณ์ กล่าว

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32918&Key=hotnews

นัดถกปัญหา ร.ร.ขนาดเล็ก 13 มิ.ย. เล็งดัน OBEC Channel แก้ขาดครู

5 มิถุนายน 2556

คกก.แก้ปัญหาร.ร.ขนาดเล็ก ประชุมนัดแรก 13 มิ.ย.นี้ ขณะที่ สพฐ.พร้อมดัน OBEC Channel เข้าไปช่วยพัฒนาคุณภาพแก้ปัญหาขาดครู

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยถึงผลการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ที่ประชุมได้หารือแนวทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กในปีการศึกษา 2556 ที่มีปัญหาในเรื่องของครูไม่ครบชั้น โดยที่ผ่านมา สพฐ.นั้นได้พัฒนาสถานีโทรทัศน์การศึกษาขั้นพื้นฐาน (OBEC Channel) และได้สำรวจข้อมูลพบว่าขณะนี้มีโรงเรียนขนาดเล็ก จำนวน 10,000 โรงที่มีการติดตั้งจานรับสัญญาณดาวเทียมและสามารถรับชมรายการต่างจากทางช่อง OBEC Channel ซึ่งเวลานี้ในการศึกษา 2556 ก็ได้จัดทำผังรายการเรียบร้อยและมีการการสอนในทุกกลุ่มสาระวิชาของระดับประถมศึกษา เพราะฉะนั้น ก็จะพยายามส่งเสริมให้โรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล มีปัญหาการขาดแคลนครู ครูสอนไม่ครบกลุ่มสาระ ไม่ครบชั้นวิชา หันมาใช้ช่องทางนี้ให้มากยิ่งขึ้น รวมถึงส่งเสริมให้มีการใช้การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมวังไกลกังวลควบคู่กันด้วย ซึ่งเชื่อว่าจะมีโอกาสที่จะทำให้โรงเรียนได้พัฒนาคุณภาพการศึกษาได้ดียิ่งขึ้น

“มีตัวอย่างที่ดีจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) สุพรรณบุรี เขต 1 ที่นำการระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมวังไกลกังวลมาใช้ในการเรียนการสอนของนักเรียน ผลปรากฎว่าคะแนนทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) สูงขึ้นทุกชั้นปีที่มีการสอบวัดผล ซึ่งการพัฒนาเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของเขตพื้นที่การศึกษาด้วย อย่างไรก็ตาม ส่วนแนวทางการบริหารจัดการในด้านอื่น ๆ ของโรงเรียนขนาดเล็กนั้นก็จะมีการหารือในที่ประชุมคณะกรรมการเครือข่ายการศึกษาทางเลือกโรงเรียนขนาดเล็กและโรงเรียนของชุมชน ซึ่งมีดร.สิริกร มณีรินทร์ อดีต รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธานในวันที่ 13 มิถุนายนนี้”นายชินภัทร กล่าว

Source – ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32917&Key=hotnews

บิ๊กสพฐ.ก้มหน้า เซ็นรับทราบข้อกล่าวหาบกพร่องจัดสอบครูผู้ช่วย

5 มิถุนายน 2556

“ชินภัทร” ก้มหน้ารับทราบข้อกล่าวหาส่อบกพร่องจัดสอบครูผู้ช่วย ยันยังไม่คิดฟ้องร้องศาลปกครอง ยังเชื่อในความยุติธรรม ด้าน “อภิชาติ” เผยบรรยากาศดีได้รับร่วมมือดี เตรียมลุยตรวจหลักฐานเพิ่ม ก่อนประชุมนัดต่อไปอีก 2 สัปดาห์

วานนี้ (4 มิ.ย.) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่สำนักบริการงานวิทยาชุมชน (วชช.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (เลขาธิการ กกอ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังแจ้งข้อกล่าวหาต่อนายชินภัทร ว่า ครั้งนี้เป็นการสรุปคำสั่งที่ผู้บังคับบัญชาได้กล่าวหา เลขาธิการ กพฐ. ว่าอาจจะมีความบกพร่องในการสั่งการ ซึ่งถือเป็นการไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ โดยคณะกรรมการสอบสวนฯ ก็จะต้องหาข้อเท็จจริง ทั้งผู้ถูกกล่าวหา คือนายชินภัทร รวมทั้งจะต้องดูหลักฐาน ทั้งของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง การจัดสอบครูผู้ช่วยกรณีพิเศษหรือเหตุจำเป็น ว12 ที่มีนางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธาน ได้ส่งเอกสารมาจำนวน 1,444 หน้า เอกสารที่ได้จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ อีกจำนวน 1,000 กว่าหน้า จากนั้นหากมีการพาดพิงหรือต้องการข้อมูล ข้อเท็จจริงจากผู้ใด คณะกรรมการสอบสวนฯจะเชิญคนเหล่านั้นมาให้ข้อเท็จจริง หรือขอเอกสารหลักฐานได้เพิ่มเติมต่อไป

ทั้งนี้ คณะกรรมการสอบสวนฯ มีเวลารวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมด 60 วัน เพื่อจัดทำบันทึกการแจ้งการรับทราบข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาแบบ สว.3 ตามกฎคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ซึ่งออกตามพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน และส่งให้ผู้ถูกกล่าวหา คือ นายชินภัทร เพื่อแก้ข้อกล่าวหา หรือ พยานหลักฐาน ทั้งเอกสารและพยานบุคคลที่จะต้องเชิญมาสอบสวนภายใน 60 วัน จากนั้นคณะกรรมการสอบสวนฯจะพิจารณาว่าคำแก้ข้อกล่าวหาของผู้ถูกกล่าวหารับฟังได้หรือไม่ โดยการพิจารณาจากหลักฐานทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อเสนอความเห็นต่อผู้มีอำนาจแต่งตั้ง คือรัฐมนตรีว่าการศธ. พิจารณาวินิจฉัยในขั้นตอนสุดท้าย โดยทางคณะกรรมการสอบสวนฯอาจจะเสนอทั้งโทษร้ายแรง ไม่ร้ายแรง หรืออาจไม่มีโทษเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่จะต้องพิจารณากันต่อไป โดยคณะกรรมการสอบสวนฯนัดหารือรวมกันอีกครั้งในอีก 2 สัปดาห์

นายอภิชาติ กล่าวต่อว่า ส่วนการยื่นอุทธรณ์ของ นายชินภัทร ที่ยื่นต่อนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นั้นมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นตอนการอุทธรณ์ แต่สิ่งที่นายชินภัทรสามารถกระทำได้ คือ การทักท้วง หากผู้ถูกกล่าวหาเห็นว่าคณะกรรมการสอบสวนฯ เป็นอริแก่ผู้ถูกกล่าวหา ตาม กฎก.พ. ซึ่ง นายชินภัทร ได้พิจารณาแล้วว่าคณะกรรมการสอบสวนฯทั้ง 7 คนไม่ได้เป็นอริ ดังนั้นจึงไม่ได้ท้วงประเด็นดังกล่าว ส่วนหนังสือที่ นายชินภัทร ส่งผ่าน รมว.ศึกษาธิการ นั้น เป็นการแจ้งข้อเท็จจริงบางประการว่าคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงฯ น่าจะไม่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน ส่งถึง รมว.ศึกษาธิการ นั้นไม่ใช่การอุทธรณ์ แต่เป็นการส่งข้อเท็จจริงเพิ่มเติม กรณีที่ในบันทึกของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงฯไม่ได้พูดไว้บางประเด็น ซึ่งรวมถึงบทบาทการทำงานในฐานะเลขาธิการกพฐ.ด้วย ซึ่งตนจะเสนอรัฐมนตรีว่าการศธ.เพื่อขอรับเอกสารที่นายชินภัทร ได้ส่งมา เป็นส่วนหนึ่งของสำนวนการสอบสวน

“ในท้ายคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ มีความคลาดเคลื่อน เพราะขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นตอนการอุทธรณ์ โดยสิ่งที่นายชินภัทร สามารถทำได้หลังการตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ คือ การร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม(ก.พ.ค.) หรือการทักท้วงรายชื่อคณะกรรมการฯ หากเห็นว่าเป็นอริกับผู้ถูกล่าวหา ซึ่ง นายชินภัทร ก็ไม่ได้ใช้สิทธิ์นั้น โดยยินยอมรับการสอบสวนตามเวลาที่กฎหมายกำหนด ถือว่า นายชินภัทร ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยการยื่นอุทธรณ์สามารถทำได้เมื่อผลการสอบสวนออกมาเรียบร้อยแล้ว และผู้ถูกกล่าวหาเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ภายใน 30 รับจากวันที่ได้รับคำสั่งลงโทษ ซึ่งตามเวลาที่กำหนคดีนี้จะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2556 ทั้งนี้ แม้ผู้ถูกกล่าวหาจะเกษียณอายุราชการแล้ว กระบวนการสอบสวนก็สามารถเดินต่อไปได้ โดยทางราชการจะไม่จ่ายบำเหน็จ บำนาญจนกว่าคดีจะสิ้นสุด” นายอภิชาติ กล่าว

ด้าน นายชินภัทร ให้สัมภาษณ์กล่าวภายหลังเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ว่า วันนี้เป็นการเซ็นรับทราบข้อกล่าวหา ซึ่ง หลังจากวันนี้คณะกรรมการสอบสวนฯ จะใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลหลักฐานต่างๆ จากคำกล่าวหา และคณะกรรมการ.สืบสวนข้อเท็จจริง เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาที่เป็นรายละเอียดให้ผู้ถูกกล่าวหาให้รับทราบภายใน 60 วัน เพราะฉะนั้น ในช่วงเวลานี้ก็เป็นช่วงที่ตนสามารถรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ให้ชัดเจนมากขึ้น ส่วนการยื่นอุทธรณ์กับ ก.พ.ค. เป็นสิทธิที่ทำได้ภายใน 30 วันหลังจากที่ตนได้เซ็นต์รับทราบข้อกล่าวหาตั้งแต่วันที่ 27 พ.ค. ซึ่งจะสิ้นสุดการอุทธรณ์ในวันที่ 27 มิ.ย. เพราะฉะนั้น ก็ยังอยู่ในระยะเวลาที่ทำได้ แต่ตนจะขอรอดูแนวทาง และศึกษากรณีที่เกิดขึ้นในอดีตที่มีความคล้ายคลึงกันว่ามีการจัดการอย่างไรในการชี้แจงและในการใช้สิทธิ์ในการอุทธรณ์ ถ้าเป็นประโยชน์ก็อาจจะพิจารณา แต่ตอนนี้ตนยังไม่ได้ตัดสินใจ

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการฟ้องร้องต่อศาลปกครอง อย่างกรณีของนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) หรือไม่ นายชินภัทร กล่าวว่า ขอให้ดำเนินการทีละขั้นตอน โดยในขั้นตอนแรกก็เป็นการสืบสวนข้อเท็จจริงให้เกิดความเป็นธรรม แต่คงไม่ถึงขั้นฟ้องร้อง
“ผมยังเชื่อในความยุติธรรม ว่าในสังคมนี้ยังมีอยู่และยังคงอยู่ในจุดยืนตรงนี้ให้นานที่สุดเท่าที่เป็นไปได้” นายชินภัทร กล่าว

Source – ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32916&Key=hotnews

ออกนอกระบบอีกราย ครม.ไฟเขียวผลัก ม.ขอนแก่น ดูแลตัวเอง

5 มิถุนายน 2556

ม.ขอนแก่น เตรียมออกนอกระบบอีกราย หลัง ครม.ไฟเขียวร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยขอนแก่น เตรียมส่งให้กฤษฎีกาพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎร “พงศ์เทพ” ยันประชาคม มข.เห็นด้วย เพราะมีการแก้ร่าง พ.ร.บ.ที่ตรงกับความต้องการของทุกคนแล้ว

วานนี้ (4 พ.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) มหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ. … ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดังกล่าวไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป

ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.กำหนดให้มหาวิทยาลัยขอนแก่นมีฐานะเป็นนิติบุคคล เป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายอื่น และกำหนดให้มหาวิทยาลัยมีรายได้ส่วนหนึ่งจากเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นรายปี เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้ และเงินกองทุนที่รัฐบาลหรือมหาวิทยาลัยจัดตั้งขึ้นและรายได้หรือผลประโยชน์จากกองทุน รายได้ของมหาวิทยาลัยไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและให้อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมีผู้อุทิศให้หรือได้จากการซื้อหรือแลกเปลี่ยนไม่ถือเป็นที่ราชพัสดุและให้ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของมหาวิทยาลัย อีกทั้ง กำหนดให้มีสภามหาวิทยาลัย ประกอบด้วย นายกสภามหาวิทยาลัยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กรรมการโดยตำแหน่งกรรมการซึ่งเลือกจากผู้ดำรงตำแหน่งและคณาจารย์ประจำตามที่กำหนด กำหนดคุณสมบัติ วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่ง และให้สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด

ด้าน นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรี ศธ. กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติตามที่ ศธ.เสนอร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ. … ซึ่งจากนี้จะต้องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ก่อนจะเข้าสู่พิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวเคยจะเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.แล้วครั้งหนึ่ง แต่ขณะนั้นประชาคมมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ไม่เห็นด้วย มหาวิทยาลัยจึงขอถอนร่างออกจากการพิจารณาของ ครม.ในครั้งนั้น

“เหตุที่ประชาคมไม่เห็นด้วย เพราะยังมีความกังวลในหลายๆ เรื่อง อาทิ หากเปลี่ยนสถานภาพไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ หรือ ม.นอกระบบ จะทำให้ต้องมีการขึ้นค่าหน่วยกิต ทำให้นักศึกษาที่ยากจนต้องเดือดร้อน เป็นต้น ซึ่งประเด็นดังกล่าวคลาดเคลื่อนไปจากหลักการและเจตนารมณ์ของการเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับ ดังนั้น ทางสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จึงแจ้งไปยังมหาวิทยาลัย ต่อมามหาวิทยาลัยจึงได้ขอถอนเรื่องออกจาก ครม. เพื่อกลับไปทำความเข้าใจกับประชาคม” รมว.ศึกษาธิการ กล่าว

นายพงศ์เทพ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ จากการรับฟังความคิดเห็นสรุปว่า ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องการให้มหาวิทยาลัยมีระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ มีความคล่องตัว ได้รับการยอมรับในระดับสากล มีความอิสระทางวิชาการเพื่อนำไปสู่ความเป็นเลิศ ดังนั้น มหาวิทยาลัยจึงได้ปรับปรุง ร่าง พ.ร.บ.ให้สอดคล้องกับความเห็นของประชาคม จนกระทั่งมาเข้า ครม.อีกครั้ง ซึ่งจากนี้จะต้องส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาดูในเรื่องความถูกต้อง และข้อกฎหมายต่าง ๆ ก่อนจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ต่อไป

Source – ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32915&Key=hotnews

Nation University Update #7 ตอนคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ

นั่งดูคลิ๊ปเพลินครับวันนี้ .. เห็นนักศึกษาหน้าตาดี
อาจารย์ก็หล่อมาดเข้ม จึงนำมาฝากครับ

อ.ดร.อติชาต หาญชาญชัย
อ.ดร.อติชาต หาญชาญชัย

คลิ๊ปรายการ Nation University Update #7
อ.ดร.อติชาต หาญชาญชัย เล่าเรื่อง คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ
และ อ.อุดม ไพรเกษตร ผู้ดำเนินรายการ
บริเวณริมอ่างตระพังดาว มหาวิทยาลัยเนชั่น จังหวัดลำปาง
ตอนเซเว่น” เห็นนักศึกษาเล่น ninja fruit ด้วยครับ

– iClassroom
– Lab Mac
– e-Learning
– Wi-Fi
– Tablet PC : Samsung Tab 10.1
– Network : Training & Co-op

คณะสังคมศาสตร์ฯ ม.เนชั่น ใน สยามสาระพา

sujira in tv
sujira in tv

คลิ๊ปรายการสยามสาระพา
ตอน เปิดโลกการศึกษากับ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเนชั่น
ออกอากาศวันที่ 24 พฤษภาคม 2556 ทาง Nation Channel
ดำเนินรายการโดยคุณวรรณศิริ ศิริวรรณ

ในรายการได้พบกับ อ.ดร.สุจิรา หาผล คณบดี
เล่าถึงบรรยากาศการเรียนการสอน
นำเสนอบรรยากาศในห้องเรียนของ อ.อาภาพร ยกโต
ภาพกิจกรรมบวชป่า บรรยากาศในห้องเรียน และในมหาวิทยาลัย