นโยบาย ศธ.ต้นเหตุการศึกษาไทยตกต่ำ

นโยบาย ศธ.ต้นเหตุการศึกษาไทยตกต่ำ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 เมษายน 2556 21:27 น.

http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000050418

ครูไทย (teacher)
ครูไทย (teacher)

แฉเรื่องเน่าๆ ในวงการการศึกษาของไทย ล้วนเป็นต้นเหตุให้ “เด็ก” จบการศึกษาคุณภาพต่ำลง! ชี้ปัญหาใหญ่สุดอยู่ที่กระบวนการผลิต “ครู” และนโยบาย ศธ.ในการเพิ่มวิทยฐานะครู ผิดพลาด เพราะข้อเท็จจริงครูประถม-มัธยมทำงานวิจัยไม่เป็น ต้องจ้างทำฉบับละ 6 หมื่น-1 แสนบาท แถมยังถูกวิชามารจากกรรมการพิจารณารีดเงินอีกคนละ 3 หมื่น สุดช้ำกว่า 90% ผลงานปลอม! วันนี้ระบบการศึกษาไทย กำลังนำไปสู่ “ระบบกินตัวเอง” เชื่อไม่รีบจัดการ การศึกษาของไทยจะดิ่งเหว

คนไทยอ่านหนังสือวันละ 7 บรรทัด

ระบบการศึกษาไทยห่วย

ประชาธิปไตยไทยไม่ไปไหนเพราะการศึกษาเรายังไม่ดีเพียงพอ

ยิ่งเรียนยิ่งโง่ ฯลฯ

 

เมื่อพูดถึงระบบการศึกษาไทย อย่าแปลกใจที่เรามักจะได้ยินคำกล่าวเหล่านี้อยู่เสมอ แม้ประเทศไทยจะมีการปฏิรูปการศึกษามาแล้ว 2 ครั้งใหญ่ คือการปฏิรูปการศึกษา พ.ศ. 2542 ที่มี พ.ร.บ.การศึกษา 2542 ได้มีการแบ่งขั้วอำนาจการบริหารงานใหม่ในกระทรวงศึกษาธิการเป็น 5 แท่ง ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวง สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา แท่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และครั้งที่สองกับการปฏิรูปการศึกษาในชื่อเรียกว่า การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 (2552-2561) โดยมีประเด็นหลัก 4 ประเด็น ได้แก่ กระบวนการเรียนรู้ใหม่, ครูยุคใหม่/ครูพันธุ์ใหม่ และครูสาขาขาดแคลน, สถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ใหม่ และการบริหารจัดการใหม่

แต่การปฏิรูปการศึกษาไทยเดินมาถูกทางหรือยัง หรือนับวันยิ่งก้าวเข้าสู่วังวนที่ทำให้การศึกษาไทยเดินหน้าไม่ถึงไหน?

เร่งผลิตครู-คุณภาพตก

ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ นักวิจัยสถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า หลังจากที่ได้เข้าไปเก็บข้อมูลและทำวิจัยเกี่ยวกับการศึกษาไทยก็พบว่าประเทศไทยมีปัญหาเรื่องของระบบการศึกษาอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องของ “ปัญหาครู” ที่ถือเป็น “จุดบอด” ที่แก้ยากที่สุด ยิ่งแก้ ยิ่งเข้าสู่วังวน

ปัญหาแรกเป็นปัญหาเรื่องจำนวนครู ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องยอมรับว่ารัฐบาลไทยปล่อยปละละเลยดูแลครูมานานมาก และนานกว่า 20 ปี

“เดิมเราต้องยอมรับว่ามหาวิทยาลัยปิดจะเป็นแหล่งที่ผลิตครูที่มีคุณภาพอย่างมาก โดยเฉพาะในคณะศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ ซึ่งอาจารย์ของมหาวิทยาลัยปิดเหล่านี้ก็จบการศึกษาจากต่างประเทศ เช่น คุรุศาสตร์ จุฬาฯ เป็นคณะที่มีการเรียนการสอนที่ทันสมัย และมีคุณภาพมาก แต่ท้ายที่สุดแล้วมีคำถามว่าเด็กที่มีคุณภาพเหล่านั้นมีสักกี่เปอร์เซ็นต์ที่เลือกที่จะประกอบอาชีพครู ความจริงคือมีน้อยมาก นอกนั้นไปทำอาชีพอื่น”

ปัญหานี้ทำให้รัฐบาลที่ผ่านมาเลือกแก้ปัญหาครูขาดแคลนด้วยการผลิตครูอย่างไม่อั้น เพื่อขยายฐานครู แต่ต้องยอมรับเลยว่าในขั้นตอนนี้ทำให้คุณภาพการศึกษาของครูตกลง

“ครูรู้แค่ไหน ก็จะสอนแค่นั้น หลักการมันมีอยู่แค่นั้น ถ้าได้ครูที่เรียนรู้มากๆ โดยเฉพาะมีโอกาสไปเรียนต่างประเทศ หรือมีโอกาสได้เรียนจากอาจารย์ที่เรียนจบมาจากต่างประเทศ ก็จะมีมุมมองด้านการศึกษาที่กว้างขวางกว่า แต่ถ้าครูเรียนจากครูที่ไม่ได้จบมาจากต่างประเทศ ซ้ำยังไม่ได้เรียนกับครูที่มีมุมมองกว้างขวาง ครูก็จะมีความรู้เท่าที่ครูของครูถ่ายทอดมาแค่นั้น เมื่อมาสอนนักเรียน ความรู้ที่สอนก็มีแค่ความรู้ที่ได้รับมา หรือบางทีอาจน้อยกว่า”

“ครู” ระบบกินตัวเอง!

ดร.ยงยุทธกล่าวต่อว่า กระทรวงศึกษาธิการนั้นมีครูอยู่จำนวนมาก และตัวกระทรวงศึกษาธิการก็มีงบประมาณบริหารมาก คิดเป็น 4.5-4.8% ของ GDP แต่ปรากฏว่าคุณภาพครูตกลงไปเรื่อยๆ เหมือนระบบที่กำลังกินตัวเอง อย่างที่กล่าวไปว่า การเร่งผลิตครูทำให้ครูที่มีความรู้กว้างขวางนั้นน้อยลง ครูที่จบจากต่างประเทศก็มีองค์ความรู้ใหม่ๆ มาถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ แต่ลูกศิษย์ไม่มีเวลาเพิ่มเติมความรู้ ก็ใช้ความรู้เท่าที่เก็บเกี่ยวจากอาจารย์มาให้ส่งต่อไปให้เด็กอีกรุ่น ความรู้ก็ไม่ทันสมัย เพราะความรู้ต้องเพิ่มเติมอยู่ตลอด ความรู้ก็จะหดหายไปเรื่อยๆ และโดยเฉพาะในทุกวันนี้ที่ครูมีภารกิจจำนวนมากมาย ทั้งภารกิจที่กระทรวงมอบหมายให้ และการเลื่อนวิทยฐานะ ยิ่งทำให้ครูห่างไกลต่อการสอน คุณภาพของการสอนหนังสือก็ตกลงไปเรื่อยๆ อย่างน่าเสียดาย

life long learning คือ หลักการเรียนรู้ตลอดอายุขัยของคนเรา ตอนนี้เราอยู่ศตวรรษที่ 20 แล้ว ก็ต้องพยายามเรียนรู้นวัตกรรมใหม่ๆ เพิ่มเติมตลอดเวลา แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่ ครูที่เพิ่มเติมความรู้ให้ตัวเองเหลือน้อยลงทุกที

วิธีการคัดเลือกคนเป็น “ครู”

ปัญหาต่อเนื่องที่ตามมาจากการเร่งผลิตครู คือครูเกือบทั้งหมดจะเป็นครูที่จบในประเทศไทย ทำให้องค์ความรู้ด้านการศึกษาไทยไม่ได้ยกระดับแล้ว และเนื่องจากปัญหาการขาดแคลนครู ก็ทำให้กระทรวงศึกษาธิการไม่มีเวลาคัดกรองครู ทั้งด้านความสามารถและจริยธรรมที่เข้มข้นเพียงพอ

กระทรวงศึกษาธิการ แค่ต้องการให้คนมาสอบ ไม่ได้มีการกลั่นกรองอย่างแท้จริง ดังนั้นไม่แปลกใจที่มีการประกาศรับสมัครครูให้ไปรวมกันอยู่ตรงกลาง ดูแค่วิทยฐานะว่าเป็นครู แต่ไม่เคยกำหนดคุณสมบัติที่เชี่ยวชาญ เช่น ครูภาษาอังกฤษ ต้องเป็นครูที่จบเอกด้านภาษาอังกฤษ เป็นต้น

ดร.ยงยุทธ กล่าวด้วยว่า ในพื้นที่ที่ห่างไกลจะยิ่งพบปัญหานี้ คือครูสอนวิชาคณิตศาสตร์ อาจไม่ได้เป็นครูที่จบคณิตศาสตร์มา เมื่อไม่ได้จบสาขาที่สอนมาโดยตรง ไม่มีความเชี่ยวชาญที่แท้จริง การศึกษาของครูไทยจำนวนไม่น้อยจึงเป็นไปในรูปแบบการสอนแบบ “งูๆ ปลาๆ”

เมื่อเป็นเช่นนี้ในการเรียนการสอนที่ครูไม่มีความเชี่ยวชาญในสาขานั้นอย่างแท้จริง ทำให้การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนค่อนข้างมีน้อย ส่วนใหญ่จึงใช้การสอนแบบท่องจำเพราะเป็นวิธีการสอนที่ง่ายที่สุด ทักษะความคิดของเด็กจึงไม่มี

ประเทศไทยพึ่งพาครูอาจารย์สูงมาก แม้แต่คำพูด ครูเว้นวรรคตรงไหน เด็กก็เว้นวรรคตรงนั้น ครูก็เลยสอนตามตำราเป๊ะ แต่ลองนึกภาพดู ถ้าครูคนไหนเว้นวรรคตรงไหนผิด เด็กก็ผิดตามด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

จุดนี้เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ปัญหาคุณภาพการศึกษาไทยต่ำลงไปเรื่อยๆ

ปัญหาก.ศธ.ขาดการบริหารเป็นองค์รวม

ปัญหาจากส่วนกลางเป็นอีกปัญหาหนึ่ง ที่กระทบเรื่องของคุณภาพครูด้วย ตั้งแต่ระดับการบริหารงาน และระดับปฏิบัติการ

ระดับการบริหารงาน ปัญหาเกิดหลายระดับ ตั้งแต่ตัวผู้นำกระทรวงศึกษา หรือรัฐมนตรีก็มีการเปลี่ยนผู้นำ หรือรัฐมนตรีบ่อยมาก ลักษณะกิจกรรมก็จะเปลี่ยนตามนวัตกรรมของแต่ละคนที่เข้ามา ซึ่งไม่ได้เป็นการสานงานต่อกัน ข้าราชการก็มีหน้าที่ในการปรับตัวให้ทัน

“การวางนโยบายที่ดีจะต้องวางนโยบายที่ชัดเจน มีแผนการทำงานที่ต่อเนื่อง ดังนั้นไม่แปลกใจที่ปฏิรูปการศึกษารอบแรกในปี 2542 ถึงสอบตก และการปฏิรูปการศึกษารอบ 2 ทำมา 3 ปีแล้ว ก็ไม่ไปถึงไหน เพราะคนที่มาใหม่ก็ไม่ได้สานต่อ ไม่ได้ให้ความสนใจ”

จากนั้นการแบ่งงานในกระทรวงศึกษาธิการก็เป็นปัญหา เพราะการแบ่งงานเป็น 5 แท่งใหญ่ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวง, สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, แท่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.), สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)

โดยปัญหาเกิดขึ้นเมื่อแต่ละแท่งมีการบริหารงานที่เป็น พ.ร.บ.ของตัวเอง โดยเฉพาะ สพฐ., อาชีวะ และ สกอ. ซึ่งเป็นแท่งที่มีขนาดใหญ่ แต่ละแท่งไม่ต้องพึ่งพากัน ซึ่งตรงจุดนี้เองที่เป็นปัญหาเพราะไม่เกิดการทำงานแบบบูรณาการกัน คือมีแต่ “แท่ง” แต่ไม่มี “ท่อ”

“นายกฯ ยิ่งลักษณ์ เพิ่งขอข้อมูลเรื่องอุปสงค์-อุปทานว่าจะเตรียมการศึกษาอย่างไรเพื่อให้ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม ปัญหาคือ พอนายกฯ เรียกข้อมูลขึ้นมา ไม่มีข้อมูลให้นายกฯ ได้เลย ต่างคนต่างมีข้อมูลที่ไม่สามารถนำมาเชื่อมต่อกันได้ ดังนั้นเรื่องของการ management information system เรียกว่าไม่มี และไม่ใช่ประชุมครั้งเดียว ประชุมไปสองครั้งแล้ว ข้อมูลก็ไม่สามารถหาให้นายกฯ ได้”

การที่นายกรัฐมนตรีต้องการข้อมูลดังกล่าวเป็นเพราะว่ารัฐบาลต้องการดูว่าคนในประเทศมีเพียงพอต่อตลาดแรงงานหรือไม่ ทั้งคนจบปริญญาตรี และคนจบ ปวช.ปวส. เพื่อจะเตรียมรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน

“จริงๆ หลังจากนายกฯ ออกนโยบาย 4 ประสาน พัฒนา 4 เรื่อง ก็อยากได้ข้อมูลด้วยว่า การทำรถไฟระบบราง ก็ต้องใช้คน 5 แสนคน ยังพบว่างานวิจัยก็ไม่พอที่จะสนับสนุนข้อมูล เพราะแต่ละแท่งต่างคนต่างทำงาน แต่ตอนนี้ต้องปรับ เพราะต้องเป็นแหล่งผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพ เช่น เด็กชั้น ม.3 ต้องส่งเข้าไปเรียนอาชีวศึกษาเท่าไร เข้าระบบสามัญเท่าไร ต้องชัดเจน”

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในกระทรวงศึกษาธิการในขณะนี้กลับพบว่าแต่ละแท่งต่างแย่งชิงเด็กเข้าเรียนแท่งของตัวเองมากกว่า แทนที่จะแบ่งสันปันส่วนตามสัดส่วนที่รัฐบาลได้วางแผนไว้เพื่อให้สอดคล้องกับตลาดแรงงานหรือการพัฒนาประเทศ

“ที่แย่งจำนวนเด็กกันมากเพราะรัฐบาลมีงบรายหัว ดังนั้นใครมีเด็กมากก็จะได้เงินมาก ซึ่งจริงๆ ไม่ถูกต้อง เลยกลายเป็นว่าต่อไป สพฐ.จะมาสอนอาชีวะเองอีก ปลัดกระทรวงศึกษาธิการก็ต้องจัดการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างนี้ให้ได้ก่อน”

ขณะเดียวกันเมื่อย้อนมาดูแผนปฏิรูปการศึกษารอบ 2 ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่า แต่ละแท่งไม่มีศาสตร์ที่จะมาบูรณาการงานกันอยู่ดี แถมยังมีการแย่งค่าใช้จ่ายรายหัว หรือ per head ที่หนักขึ้น แต่ละแท่งแข่งกันเอง ไม่เหมือนการบริหารงานในพื้นที่ ที่จะมีการช่วยเหลือกัน และบูรณาการกันที่ดีกว่า

 

 

ผลสอบ
ผลสอบ

ผู้บริหาร รร.ต้องรับผิดชอบ A net-O net

นอกจากนี้จากการศึกษาในระดับผู้บริหารโรงเรียน จะพบว่าปัญหาการบริหารงานระดับโรงเรียนก็มีไม่น้อย โดยดูได้จากผลการทดสอบ A-net O-net ของเด็กในแต่ละโรงเรียนเป็นอย่างไร ควรจะมีการเก็บเป็นสถิติ เพื่อดูว่าผู้บริหารโรงเรียนนั้นทำให้เด็กมีอัตราของคะแนนเพิ่มขึ้นได้หรือไม่ ถ้าอัตราไม่เพิ่มขึ้นเลย ผู้บริหารก็ควรจะต้องมีการรับผิดชอบ ไม่เหมือนปัจจุบันนี้ที่ไม่มีการเก็บข้อมูลสถิติตรงนี้เลย แล้วผู้บริหารก็ไม่คิดว่าจะต้องรับผิดชอบอะไร ซึ่งไม่ถูกต้อง

“ต้องยอมรับนะว่า จะให้ทุกโรงเรียนมีอัตราหรือค่าเฉลี่ยของคะแนนที่สอบสูงเท่ากันคงไม่ได้ แต่ว่าอย่างน้อยแต่ละโรงเรียนต้องมีการพัฒนาขึ้นมา อย่างน้อยต้องให้อยู่ในระดับค่าเฉลี่ยของประเทศ ค่อยๆ พัฒนาให้ค่าเฉลี่ยของคะแนนขึ้นไป”

โดยผู้บริหารจะต้องรับผิดชอบคุณภาพของเด็ก, การจัดการการศึกษาจะต้องเน้นที่ประสิทธิผลที่เพิ่มขึ้นด้วยอย่าเดิมพันแต่ตำแหน่ง แต่ขาดการวิจัยทางวิชาการ หรือขาดการพัฒนาวิชาการ และให้มีการโยกย้ายผู้บริหารโรงเรียนให้น้อยลง เพราะคนเก่ากำลังทำงานได้ดี แต่พอคนใหม่มาก็ต้องเริ่มทำโครงการใหม่ วัสดุครุภัณฑ์ที่จัดมาแล้วก็สูญเปล่า

โครงสร้างเงินเดือนครู-ไม่จูงใจ

นอกจากนี้กระบวนการจัดการเรื่องเงินเดือนครูก็เป็นอีกหนึ่งปัญหา

ดร.ยงยุทธกล่าวว่า เรื่องเงินเดือนครูเป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวกับแรงบันดาลใจการเป็นครู ทุกวันนี้คนที่ไม่ควรได้เงินเดือนมาก แต่ได้มาก มีจำนวนไม่น้อย เพราะขั้นวิ่งมีมาก ดังนั้นมองว่าหลักการควรจะเปลี่ยนโครงสร้างเงินเดือน เป็นให้เงินเดือนครูสูง และขั้นวิ่งไม่มาก

“เงินเดือนแรกเข้า สมมติ 10,000 บาท ทำงานไป 30 ปีเกษียณ เงินเดือนอยู่ที่ 45,000-50,000 บาท ตรงนี้เสนอว่าควรย่นให้ขั้นวิ่งไม่ต้องสูง ให้เงินเดือนสูงตั้งแต่แรก จะทำให้เกิดแรงจูงใจให้ครูที่มีคุณภาพเข้ามาประกอบอาชีพครูมากขึ้นได้”

ภารกิจของครู-กันครูออกจากนักเรียน

เมื่อมาดูที่ภารกิจครู ก็พบว่า ครู 1 คนมีภาระมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะครูในต่างจังหวัด จะพบว่างานราชการจากส่วนกลางที่กระจายลงในพื้นที่นั้น ไม่ว่าจะเป็นงานของกระทรวงศึกษาธิการ หรืองานจากกระทรวงอื่นๆ ล้วนแต่กำหนดให้ครูในพื้นที่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการชุดต่างๆ มากมาย ซึ่งเป็นระบบที่ทำให้ครูห่างจากการสอนอย่างมาก

ซ้ำร้าย กระทรวงศึกษาธิการยังออกระเบียบเกี่ยวกับการสร้างผลงานวิชาการเพื่อให้ได้ค่า “วิทยฐานะ” ยกระดับตัวครูเอง ทำให้ครูหลายคนมุ่งเน้นที่จะได้วิทยฐานะที่เพิ่มขึ้น แต่ปัญหาคือประสิทธิผลไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะหลายคนจ้างคนอื่นทำงานให้ แล้วครูคนอื่นที่ทำงานให้ก็ไม่มีเวลาสอนหนังสือเด็กนักเรียน

ส่วนครูคนไหนทำงานวิชาการเองก็มักจะมีการบังคับเด็กให้มาทำตามงานวิจัยของครูคนนั้นๆ ซึ่งไม่ได้พุ่งเป้าไปที่การให้เด็กเป็นศูนย์กลางการเรียนการสอนตามวัตถุประสงค์ของการปฏิรูปการศึกษาแต่อย่างใด

“วิทยฐานะทุกวันนี้ก็เหมือนกับการซื้อใบปริญญา ตรงนี้เป็นจุดอ่อนของนโยบายที่มองว่าต้องแก้ในส่วนของวิชาการ แต่ลืมในเรื่องของจรรยาบรรณ และความรับผิดชอบในเนื้องานของครูผู้สอน”

นอกจากนี้คนประเมินให้วิทยฐานะก็ยังเป็นคนกันเอง เกิดคำถามเรื่องความโปร่งใสขึ้นมากมายอีก

“ตรงนี้ต้องแก้โดยการเข้าไปดู work process 1. ขั้นตอนการได้มา การเลื่อนขั้นแต่ละขั้นเป็นอย่างไร 2. ใครเป็นคนพิจารณา แต่งตั้งโดยใคร คณะกรรมการคือใคร ควรเป็นกลาง โปร่งใส และ 3. มีการทำวิจัยเรื่องอะไรบ้าง มีคุณค่าต่อระบบการศึกษาหรือไม่”

สำหรับปัญหาการเลื่อนวิทยฐานะนี้ ดร.สมยงค์ แก้วสุพรรณ อดีตประธาน อ.ค.ก.ศ. (อนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา) เขตพื้นที่การศึกษา และรองประธานเครือข่ายองค์กรวิชาชีพครูแห่งประเทศไทย ซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจจับการทุจริตในกระบวนการเลื่อนวิทยฐานะในเขตขอนแก่น กล่าวว่า ปัญหาการเลื่อนวิทยฐานะของครูเป็นปัญหาใหญ่มาก และพบว่ามีขบวนการหากินกับทั้งรับจ้าง และการให้ผ่านงานวิจัยของครูด้วย โดยเฉพาะในภาคอีสาน

“ครูประถม ครูมัธยม เขาเรียกว่าให้มาเป็นครู เน้นทำการสอนมาตลอด พอกระทรวงศึกษาธิการ และ ก.ค.ศ. (คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา) ให้มีการเลื่อนวิทยฐานะขึ้นมา ด้วยการที่ครูต้องทำการวิจัยแบบพิจารณาจากเอกสาร บอกได้เลยว่าเมื่อครูทำไม่เป็นก็ต้องจ้าง”

ฉะนั้นพูดได้เลยว่า กว่า 90% ของเอกสารเหล่านั้นไม่ใช่ผลงานของครูที่แท้จริง!

แล้วขบวนการหากินในการรับจ้างทำงานเพื่อให้ครูเลื่อนวิทยฐานะก็ทำกันเป็นอาชีพเสริมหากินกันเป็นล่ำเป็นสัน

ตั้งแต่ขั้นตอนของการเลือกคณะกรรมการเพื่อมาอ่านผลงาน ซึ่งจะมีหน้าที่ในการชี้งานชิ้นนั้นๆ ว่าผ่านหรือไม่ผ่าน ขั้นตอนนี้จะมีคณะ อ.ค.ก.ศ. หรือ อนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่จะทำการประสานอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ให้มาเป็นกรรมการอ่านผลงาน ซึ่งจะมีคนหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นนายหน้าในการติดต่ออาจารย์จากมหาวิทยาลัยมา ซึ่งอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเหล่านี้ เรียกได้ว่าส่วนใหญ่มักจะมีการเรียกเงินค่าอ่านผลงาน หรือนายหน้าจะเป็นคนเสนอค่าอ่านผลงานให้ ตกราคาต่อราย รายละ 3 หมื่นบาท ซึ่งจะมีการเรียกครูเจ้าของผลงานนั้นๆ มาคุยก่อนวันที่จะอ่านผลงานเพียงไม่กี่วัน สุดท้ายผลงานของครูในกระบวนการนี้ก็จะได้ประเมิน “ผ่าน”

ส่วนในขั้นตอนการทำผลงานของครู ขั้นตอนนี้จะมีขบวนการรับจ้างทำผลงานเลื่อนวิทยฐานะ โดยเมื่อมาเป็นครูครั้งแรก มักจะได้เป็นครูผู้ช่วย ก็ยังไม่มีสิทธิเลื่อนวิทยฐานะ แต่เมื่อทำงานไป 2 ปี และเป็นครูได้ 6 ปีสำหรับคนที่จบปริญญาตรีมา 4 ปีสำหรับคนที่จบปริญญาโทมา และ 2 ปีสำหรับคนที่จบปริญญาเอกมา ก็จะสามารถทำผลงานเพื่อขอเลื่อนขั้นได้ การเลื่อนขั้นตรงนี้จะได้วิทยฐานะชำนาญการ ซึ่งจะมีรายได้เพิ่มจากเงินเดือนอีกเดือนละ 3,500 บาท หลังจากนั้นจะมีการขอเลื่อนขั้นเป็นผู้ชำนาญการพิเศษ ซึ่งจะต้องมีการทำวิจัย

“ปัญหามันเกิดตรงนี้ ในขั้นการทำวิจัย ครูที่จบปริญญาตรีมามักจะทำไม่เป็น จะต้องจ้างครูด้วยกันที่จบปริญญาโท หรือปริญญาเอก หรือจ้างอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ มาทำให้”

สนนราคาค่าจ้างทำวิจัยเพื่อเลื่อนขั้นในการเป็นผู้ชำนาญการพิเศษนี้จะอยู่ที่ 60,000-100,000 บาททีเดียว!
คนที่ได้วิทยฐานะเป็นผู้ชำนาญการพิเศษนี้จะได้เงินเพิ่มเติมจากเงินเดือนอีกเดือนละ 12,000 บาท ตรงนี้ทำให้ครูพยายามทำทุกทางที่จะเลื่อนขั้นมาอยู่จุดนี้ ซึ่งตอนนี้ก็มีครูที่อยู่ระดับชำนาญการพิเศษมากที่สุด
ถ้าจ้างทำวิจัยปริญญาเอก ที่ http://thainame.net/edu/?p=1044

 

ส่วนวิทยฐานะในลำดับต่อไป คือ เชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษ นั้น มีครูที่ได้วิทยฐานะขั้นนี้น้อย เพราะว่างานวิจัยที่ทำจะต้องมีฐานะเทียบเท่าวิทยานิพนธ์ ซึ่งยาก แต่ถ้าใครทำได้ก็เท่ากับมีฐานะเท่าข้าราชการซี 9

ปัญหาครูเงินเดือนน้อย พอมีค่าวิทยฐานะให้ ก็กลายเป็นการทำอย่างไรก็ได้ให้ตนเองมีผลงาน แม้จะไม่ได้ทำเอง และแม้จะต้องเสียเงินเสียทองซื้อมาก็ตาม!

ที่ผ่านมาครูจำนวนมากจึงดิ้นรนหาเงินมาจ่ายเพื่อการเลื่อนวิทยฐานะทั้ง 2 ขั้นตอน คือขั้นตอนของการจ้างทำผลงานวิชาการ และขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการเพื่อประเมินให้ “สอบผ่าน” ได้ จึงนับว่าคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้มาอย่างยิ่ง!

ดังนั้น นโยบายในการเลื่อนวิทยฐานะของกระทรวงศึกษาธิการครั้งนี้จึงกลายเป็นการแก้ปัญหาหนึ่ง นำมาสู่อีกปัญหาหนึ่งที่รุนแรงกว่าเดิม เพราะก่อให้เกิดการทุจริตในการนำเสนอผลงานของครูทั้งประเทศ

ที่สำคัญสุด ครูเหล่านี้เมื่อได้เลื่อนวิทยฐานะสูงขึ้น จะช่วยในการพัฒนาคุณภาพของการศึกษาได้หรือไม่

ถึงเวลาหรือยังที่กระทรวงศึกษาธิการควรจะต้องรื้อทั้งระบบและจัดระบบใหม่ครั้งใหญ่

ถ้าไม่ผ่าตัดและปล่อยให้ปัญหาต่อเนื่องไปเรื่อยๆ แล้ว จะเขียนนโยบายและแผนการปฏิรูปการศึกษาอีกกี่ฉบับ ก็แก้ไขได้ยาก เพราะต้นตอของคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยจะพัฒนาไปได้หรือไม่อยู่ที่ “ครู” และผู้บริหารของกระทรวงศึกษาธิการเป็นหลัก!!

ที่มา http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000050418

คดีกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา

กองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา
กองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา

http://www.facebook.com/media/set/?set=a.453918268018597.1073741862.228245437252549

พบข่าว และภาพใน page ของมหาวิทยาลัย เป็นการประชาสัมพันธ์ว่า
นายมาโนช รัตนนาคะ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดลำปาง เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนฟ้องคดีกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา ร่วมกับ กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ประจำปีงบประมาณ 2556 เพื่อให้คู่พิพาทได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการเจรจาไกล่เกลี่ย และตัดสินใจระงับข้อพิพาทด้วยตนเองก่อนนำคดีเข้าศาล เพื่อลดปริมาณคดีที่จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล และลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีของคู่พิพาททุกฝ่าย อันเป็นการสร้างความพึงพอใจแก่ลูกหนี้กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาและสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคม ตลอดจนเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายในหมู่ประชาชนมากยิ่งขึ้น โดยในปีนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 2,490 ราย วงเงินกว่าสามร้อยล้านบาท ณ ศาลแขวงลำปาง ในระหว่างวันที่ 25-27 เมษายน 2556
http://www.thairath.co.th/content/edu/339784
http://th.a2-news.com/News/id/123914.0

วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ.2556

กยศ.แจ้งผู้กู้ค้างชำระเกิน5งวด ไกล่เกลี่ยก่อนฟ้องคดีปี56

ผจก.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) แจ้งผู้กู้ยืมเพื่อการศึกษา รุ่นปี 2542-2551 ที่ค้างชำระเกิน 5 งวด ไปไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา ก่อนฟ้องคดีประจำปี 2556…

นักศึกษา
นักศึกษา

เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2556 น.ส.มุจลินท์ กำชัย รองผู้จัดการรักษาการแทน ผจก.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ได้เปิดเผยว่า ด้วยกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ร่วมกับสำนักระงับข้อพิพาทสำนักงานศาลยุติธรรม ได้จัดโครงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาก่อนฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้กู้ยืมที่ถึงกำหนดชำระหนี้ รุ่นปี 2542-2551 ที่มีหนี้ค้างชำระเกิน 5 งวดขึ้นไป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกันที่จะถูกบอก เลิกสัญญามาติดต่อชำระหนี้ที่ค้างชำระ หรือมาติดต่อขอผ่อนชำระหนี้ในโครงการฯ โดยมีกำหนดจัดขึ้นที่ศาลจังหวัดนครราชสีมา ในระหว่างวันที่ 18–21 เม.ย. 2556

ส่วนผู้ที่อยู่จังหวัดอื่นๆ สามารถติดต่อได้ที่ศาลจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ โดยยังมีเวลาให้ผู้กู้ยืมที่ต้องชำระ 5 งวดขึ้นไป ไปเข้าร่วมโครงการไกล่เกลี่ยได้ ดังนี้ ศาลจังหวัดนครราชสีมา ระหว่างวันที่ 18–21 เม.ย. 2556 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ระหว่างวันที่ 23–25 เม.ย. 2556 ศาลแขวงลำปาง ระหว่างวันที่ 25–27 เม.ย. 2556 ศาลแขวงขอนแก่น ระหว่างวันที่ 27 เม.ย.–1 พ.ค. 2556 และศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก ระหว่างวันที่ 7–12 พ.ค. 2556

ทั้งนี้ ผู้ที่จะเข้าโครงการไกล่เกลี่ย จะต้องไปเข้าร่วมด้วยตนเอง พร้อมนำเอกสารที่สำคัญไปด้วย อาทิ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ของผู้กู้และผู้ค้ำประกัน สำเนาเปลี่ยนชื่อ (ถ้ามี) สำเนาใบทะเบียนสมรส ของผู้กู้และผู้ค้ำประกัน (ถ้ามี) และเอกสารอื่นๆ ผู้ที่จะเข้าโครงการไกล่เกลี่ย สามารถดูรายละเอียดได้ที่ ศูนย์สายใจ กยศ. โทร.02-61004888 หรือทาง http://www.studentloan.or.th/index.php

เครือข่ายการศึกษาเตรียมยื่น 4 ข้อเสนอปฏิรูปการศึกษาไทย

26 เมษายน 2556

เครือข่ายการศึกษา เตรียมยื่น 4 ข้อเสนอปฏิรูปการศึกษาไทย “ศ.ระพี” ชี้การปฏิรูปการศึกษาคือการปฏิรูปจิตใต้สำนึกของมนุษย์

วานนี้ (25 เม.ย.) ศ.ระพี สาคริก นายกสมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทย เปิดเผยว่า จากการที่ตนได้เข้าร่วมประชุมระดมความคิดเห็น การขับเคลื่อนข้อเสนอการปฏิรูปการศึกษา จากเครือข่ายด้านการศึกษากว่า 400 แห่งทั่วประเทศ เพื่อนำเสนอในงานสมัชชาปฏิรูประดับชาติครั้งที่ 3 ของสำนักงานปฏิรูปร่วมกับสมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทยที่โรงเรียนรุ่งอรุณ เมื่อเร็วๆ นี้ ตนได้ให้ความเห็นว่าการปฏิรูปการศึกษาไทย คือ การปฏิรูปจิตใต้สำนึกของมนุษย์ เช่น การเป็นคนดี การรู้จักช่วยเหลือสังคม เป็นต้น ที่สำคัญเราต้องปฏิรูปให้เด็กของเรา สามารถรับผิดชอบตนเอง และเป็นผู้ที่คอยศึกษาหาความรู้ได้ด้วยตนเอง เพราะครูจริงๆแล้วอยู่ที่ตัวเรา หากเราเน้นปฏิรูปใจเราเองให้ได้ จะทำให้การศึกษาทุกเรื่องทำได้สำเร็จ

นายชัชวาล ทองดีเลิศ เลขาธิการสมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทย กล่าวว่า ข้อเสนอจากเวทีปฏิรูปประเทศไทยด้านการศึกษาได้ข้อสรุปร่วมกัน 4 ข้อ ประกอบด้วย

1.การจัดการศึกษาให้มีคุณภาพอย่างแท้จริงนั้น ต้องมีหน่วยงานที่รองรับการจัดการศึกษาที่หลากหลาย สอดคล้องกับศักยภาพของเด็กแต่ละคนและสภาพจริงของพื้นที่ เพื่อทำหน้าที่สนับสนุนการพัฒนาหลักสูตร กระบวนการจัดการเรียนรู้ มาตรฐานและการวัดผลที่หลากหลาย สอดคล้องกับศักยภาพของเด็กและสภาพจริงของพื้นที่

2.ต้องมีระบบสนับสนุนที่ชัดเจน ทั้งทางด้านวิชาการ งบประมาณและการลดหย่อนภาษี

3.ต้องมี พ.ร.บ. การศึกษาทางเลือกตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตร 12 และ

4.การฟ้องศาลปกครองการละเมิดสิทธิกรณีการยุบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กและการละเลยการปฏิบัติหน้าที่กรณีการไม่จ่ายงบประมาณรายหัวกับเด็กเรียนที่บ้าน ต้องสามารถทำได้และเกิดผลได้จริง ซึ่งข้อสรุปดังกล่าว ทางสมาคมการศึกษาทางเลือกไทย จะนำเสนอสู่เวทีสมัชาปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 พ.ค.-2 มิ.ย. 2556 ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทคบางนา

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32528&Key=hotnews

สอบครูผู้ช่วยส่อทุจริตชัด ก.ค.ศ.ให้สอบใหม่ 509 คน

26 เมษายน 2556

ก.ค.ศ. มั่นใจสอบครูผู้ช่วยมีทุจริตแน่ ตัดสินใจให้ 509 คนที่ทำคะแนนสูงเว่อร์เข้าสอบใหม่ ก่อนส่งข้อมูลให้อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯสอยออกจากราชการ

วานนี้(25เม.ย.)นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาว่า ที่ประชุมได้พิจารณากรณีทุจริตสอบครูผู้ช่วย โดยเชิญคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่มี นายพิษณุ ตุลสุข ผู้ตรวจราชการศธ. เป็นประธาน , ตัวแทนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และ ดร.ชอบ ลีซอ อดีตนักวิชาการเชี่ยวชาญด้านการสอบวัดผลของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น พื้นฐาน (สพฐ.) มาร่วมพิจารณาคะแนนสอบของผู้ที่ทำคะแนนสอบได้เกิน 90 % หรือ 180 คะแนน จำนวน 509 คน ซึ่งพบข้อมูลบ่งชี้ชัดว่าเฉลยข้อสอบรั่วออกไปจริง

“ ข้อสอบวิชาหลักข้อหนึ่ง มีคำตอบถูก 3 ข้อ แต่กรรมการจัดพิมพ์ข้อสอบเห็นความผิดพลาดนี้ก่อน จึงจัดการเปลี่ยนโจทย์ข้อสอบข้อดังกล่าวเพื่อให้มีคำตอบข้อเดียว จึงส่งผลให้คำตอบที่ถูกต้องเปลี่ยนไปจากข้อเดิม แต่ปรากฎว่าในจำนวนกลุ่ม 509 คนนั้น ทำข้อสอบข้อนี้ผิดถึง 344 คน ทั้งๆที่ข้อสอบข้อนี้ไม่ได้ยาก ตรงนี้เป็นตัวบ่งชี้ว่า มีการนำเฉลยข้อสอบออกไปเปิดเผยก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังพบพิรุธอื่นๆที่บ่งชี้ในทิศทางเดียวกัน เช่น ผู้เข้าสอบบางรายใช้เวลาทำข้อสอบเพียง 10 นาทีและหลับในห้องสอบแต่กลับได้คะแนนเต็มในวิชานั้น รวมถึงมีการยึดยางลบเฉลยข้อสอบได้ด้วย “นายพงศ์เทพ กล่าว

รมว.ศธ.กล่าวต่อไปว่า จากผลการสอบสวนดังกล่าว ที่ประชุม ก.ค.ศ. จึงมีมติให้ส่งข้อมูลไปให้คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(อ.ก.ค.ศ.)เขตพื้นที่การศึกษา ใช้ประกอบการสอบสวน โดยให้ อ.ก.ค.ศ.ไปดึงข้อมูลผลการเรียน และผลการสอบประเภทอื่นๆของบุคคลเหล่านั้นมาเปรียบเทียบด้วย และที่สำคัญจะมีการนำผู้ที่ได้คะแนนสูงเป็นพิเศษทั้ง 509 คนมาเข้ารับการทดสอบอีกครั้ง เพื่อดูว่ายังทำข้อสอบได้ดีอย่างเหลือเชื่อเหมือนเดิมอีกหรือไม่ ซึ่งผลการทดสอบใหม่จะเป็นหลักฐานบ่งชี้ที่มีน้ำหนักมากขึ้นว่าใครทำข้อสอบได้ด้วยความสามารถของตนเอง และใครไม่ได้ทำเอง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างวางระบบทดสอบให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครมีโอกาสรู้ข้อสอบได้ก่อนอีก

นายพงศ์เทพ กล่าวอีกว่า เมื่อผลการทดสอบดังกล่าว พร้อมผลการสอบสวนอื่น ๆ ออกมาแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา ต้องหาทางดำเนินการเอาผู้ที่โกงการสอบและได้บรรจุเป็นครูไปแล้วออกจากราชการ ส่วนการจัดการกับผู้นำข้อสอบออกมานั้น เป็นหน้าที่ของดีเอสไอซึ่งรับคดีนี้เป็นคดีพิเศษแล้ว

ด้านนายพิษณุ กล่าวว่า ข้อสอบที่มีปัญหาคือข้อที่ 34 ซึ่งเฉลยข้อสอบเดิมเป็นข้อ ก แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโจทย์แล้วข้อที่ถูกต้องเปลี่ยนเป็นข้อ ข ขณะเดียวกันดร.ชอบ ได้วิเคราะห์แล้วว่ามีความยากง่ายอยู่ที่ 71 % เท่ากับว่าผู้เข้าสอบ 100 คนมีโอกาสตอบถูก 71 คน แต่ในกลุม 509 คนกลับตอบผิดถึง 344 คน ดังนั้นจึงมั่นใจได้เลยว่ามีการลักเฉลยข้อสอบออกไปก่อนการจัดพิมพ์ข้อสอบ

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32527&Key=hotnews

มหา’ลัยไม่รับออกข้อสอบคัดเลือกครูผู้ช่วย

26 เมษายน 2556

ก.ค.ศ.เป็นห่วงเขตพื้นที่การศึกษาเจอปัญหาไม่มีสถาบันอุดมศึกษารับออกข้อสอบคัดเลือกครูผู้ช่วยรอบใหม่ให้ กำชับเขตที่มีปัญหาปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การจัดสอบไม่ได้ ต้องแจ้งก.ค.ศ.ภายใน 3 พ.ค.นี้

วานนี้ (25 เม.ย.)  นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางศึกษา (ก.ค.ศ.) กล่าวถึงการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการ เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ประจำปี 2556 ที่กำหนดให้เขตพื้นที่การศึกษารวมกันจัดสอบตามกลุ่มเขตตรวจราชการ 12 เขต และให้สถาบันอุดมศึกษาเป็นผู้ออกข้อสอบแข่งขันให้แทนการใช้ข้อสอบชุดเดียวกันทั้งประเทศว่า ขณะนี้เท่าที่ทราบจะมีเพียงเรื่องของการออกข้อสอบที่บางพื้นที่ได้ไปติดต่อสถาบันอุดมศึกษาแล้วแต่ไม่รับทำให้ เพราะอาจจะไม่สะดวกในการดำเนินการ ดังนั้นอาจจะพิจารณาให้เขตพื้นที่การศึกษาดำเนินการออกข้อสอบเองได้ แต่ทั้งหมดนี้ต้องมีเหตุและผลขึ้นอยู่กับการอนุมัติของที่ประชุม ก.ค.ศ.

“หากคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษาใดที่เปิดสอบครูผู้ช่วยรอบใหม่ไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ได้จะต้องแจ้งเหตุผลและความจำเป็นมาที่สำนักงานก.ค.ศ.ภายในวันที่ 3 พฤษภาคม เพื่อจะได้รวบรวมเข้าพิจารณาในที่ประชุม ก.ค.ศ. ครั้งต่อไป” เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าว

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32526&Key=hotnews

‘พงศ์เทพ’ ลั่นกู้ชื่อเสียงศธ.ทุกฝ่ายร่วมมือ

26 เมษายน 2556

“พงศ์เทพ”ฝากทุกฝ่ายกรณีการสอบครูผู้ช่วย ดูแลให้เกิดความโปร่งใส กู้ชื่อเสียงศธ.กลับคืนขึ้นกับความร่วมมือทุกฝ่าย

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ศึกษาธิการ มอบนโยบายในการประชุมสัมมนาเรื่องการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับเป็นข้าราชการครูและ บุคลากรทางการศึกษาตำแหน่งครูผู้ช่วย โดยมีผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สถาบันการพลศึกษา วิทยาลัยชุมชน สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและมัธยมศึกษา รวมทั้งผู้อำนวยการกลุ่มบริหารงานบุคคลจากทั่วประเทศ กว่า 500 คน เข้าร่วมประชุมว่า การสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับเป็นข้าราชการครูและ บุคลากรทางการศึกษาตำแหน่งครูผู้ช่วย การสอบบรรจุครูผู้ช่วยซึ่งกำลังจะมีขึ้นในเร็ว ๆ นี้ นั้น มีความสำคัญอย่างมากเพราะเป็นกระบวนการคัดคนมาเป็นพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ของชาติ ที่สำคัญ การสอบบรรจุข้าราชการครูครั้งนี้ เป็นการจัดสอบครั้งล่าสุดนับจากเกิดกรณีทุจริตสอบครูผู้ช่วยซึ่งกำลังดำเนินการสอบสวนอยู่ เพราะฉะนั้น จะต้องช่วยกันทำให้การสอบบรรจุข้าราชการครูกลับมาได้รับการยอมรับเชื่อมั่นจากสังคมอีกครั้ง

“ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ บรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน( สพฐ.) หรือเขตพื้นที่การศึกษา จะต้องช่วยกับดูแลการสอบบรรจุข้าราชการครูครั้งนี้อย่างเต็มที่ เพื่อให้เกิดความโปร่งมใส เป็นธรรม ไม่เกิดการทุจริจสอบขึ้น ให้สังคมเกิดการยอมรับกระทรวงศึกษาธิการ จริง ๆ แล้ว กระทรวงศึกษาธิการ หน้าที่ในการสร้างคน ถ้าคนที่สร้างออกไปมีคุณธรรม จริยธรรม ไม่ทุจริต สังคมก็จะดีตาม กระบวนการในการคัดเลือกบุคคลมาเป็นพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ทำหน้าที่สร้างคนจึงมีความสำคัญ เพราะฉะนั้น การสอบบรรจุครูจะต้องทำให้ทุกคนมั่นใจได้ว่า ไม่มีการทุจริต ไม่มีกรโกงข้อสอบ ไม่มีใครรู้ข้อสอบก่อน มิฉะนั้นแล้ว เราก็จะได้แม่พิมพ์พ่อพิมพ์ที่บิดเบี้ยว ไม่สามารถสร้างคนอย่างที่เราหวังได้”

นายพงศ์เทพ กล่าวต่อว่า อยากให้ทุกฝ่ายช่วยกันสอดส่องดูแลด้วย ถ้าระแคะระคายรู้อะไรมาให้รีบแจ้งมาที่ สพฐ. สำนักรัฐมนตรี หรือแม่ทั่งตน และนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษิการ ทั้งนี้ เพราะกรณีทุจริตการสอบครูผู้ช่วยที่เกิดขึ้นนั้น จริงแล้ว น่าจะรู้ตัวล่วงหน้าก่อนเพราะเรื่องเกิดในหลายพื้นที่ มีการเรียนคนไปติว น่าจะได้ระแคะระคายก่อนพอสมควร เพราะฉะนั้น การสอบครูผู้ช่วยครั้งนี้ จึงอยากให้ช่วยกันสอดส่องดูแลอย่างใกล้ชิด

“ขณะเดียวกัน การสอบครูผู้ช่วยครั้งนี้ ให้เขตพื้นที่การศึกษารวมกลั่มกันจัดสอบเอง โดยให้ประสานสถาบันการศึกษาในพื้นที่ช่วยออกข้อสอบให้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับการสอบ ให้ผู้เข้าสอบเกิดความมั่นใจ เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญสุด คือ การเลือกสถานบันการศึกษาที่จะมาทำหน้าที่ออกข้อสอบ เพราะสถาบันการศึกษาก็มีหลากหลาย จึงต้องออกสถาบันการศึกษาที่เชื่อถือได้ สามารถออกข้อสอบได้ดี ตรงไปตรงมา ไม่ทำให้การสอบมีปัญหา ไม่ทำให้ผู้เข้าสอบบางคนอยู่ในฐานะได้เปรียบ”นายพงศ์เทพ กล่าวและย้ำว่า การสอบครูผู้ช่วยครั้งนี้ จะแก้ตัวได้สำเร็จ ให้สังคมกลับมาเกิดความเชื่อถือได้หรือไม่ จะกู้ชื่อเสียงกระทรวงศึกษาธิการกลับมาได้หรือไม่ อยู่ที่ความร่วมมือของทุกฝ่าย

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32525&Key=hotnews

‘พงศ์เทพ’ ลั่นกู้ชื่อเสียงศธ.ทุกฝ่ายร่วมมือ

26 เมษายน 2556

“พงศ์เทพ”ฝากทุกฝ่ายกรณีการสอบครูผู้ช่วย ดูแลให้เกิดความโปร่งใส กู้ชื่อเสียงศธ.กลับคืนขึ้นกับความร่วมมือทุกฝ่าย

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ศึกษาธิการ มอบนโยบายในการประชุมสัมมนาเรื่องการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับเป็นข้าราชการครูและ บุคลากรทางการศึกษาตำแหน่งครูผู้ช่วย โดยมีผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สถาบันการพลศึกษา วิทยาลัยชุมชน สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและมัธยมศึกษา รวมทั้งผู้อำนวยการกลุ่มบริหารงานบุคคลจากทั่วประเทศ กว่า 500 คน เข้าร่วมประชุมว่า การสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับเป็นข้าราชการครูและ บุคลากรทางการศึกษาตำแหน่งครูผู้ช่วย การสอบบรรจุครูผู้ช่วยซึ่งกำลังจะมีขึ้นในเร็ว ๆ นี้ นั้น มีความสำคัญอย่างมากเพราะเป็นกระบวนการคัดคนมาเป็นพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ของชาติ ที่สำคัญ การสอบบรรจุข้าราชการครูครั้งนี้ เป็นการจัดสอบครั้งล่าสุดนับจากเกิดกรณีทุจริตสอบครูผู้ช่วยซึ่งกำลังดำเนินการสอบสวนอยู่ เพราะฉะนั้น จะต้องช่วยกันทำให้การสอบบรรจุข้าราชการครูกลับมาได้รับการยอมรับเชื่อมั่นจากสังคมอีกครั้ง

“ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ บรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน( สพฐ.) หรือเขตพื้นที่การศึกษา จะต้องช่วยกับดูแลการสอบบรรจุข้าราชการครูครั้งนี้อย่างเต็มที่ เพื่อให้เกิดความโปร่งมใส เป็นธรรม ไม่เกิดการทุจริจสอบขึ้น ให้สังคมเกิดการยอมรับกระทรวงศึกษาธิการ จริง ๆ แล้ว กระทรวงศึกษาธิการ หน้าที่ในการสร้างคน ถ้าคนที่สร้างออกไปมีคุณธรรม จริยธรรม ไม่ทุจริต สังคมก็จะดีตาม กระบวนการในการคัดเลือกบุคคลมาเป็นพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ทำหน้าที่สร้างคนจึงมีความสำคัญ เพราะฉะนั้น การสอบบรรจุครูจะต้องทำให้ทุกคนมั่นใจได้ว่า ไม่มีการทุจริต ไม่มีกรโกงข้อสอบ ไม่มีใครรู้ข้อสอบก่อน มิฉะนั้นแล้ว เราก็จะได้แม่พิมพ์พ่อพิมพ์ที่บิดเบี้ยว ไม่สามารถสร้างคนอย่างที่เราหวังได้”

นายพงศ์เทพ กล่าวต่อว่า อยากให้ทุกฝ่ายช่วยกันสอดส่องดูแลด้วย ถ้าระแคะระคายรู้อะไรมาให้รีบแจ้งมาที่ สพฐ. สำนักรัฐมนตรี หรือแม่ทั่งตน และนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษิการ ทั้งนี้ เพราะกรณีทุจริตการสอบครูผู้ช่วยที่เกิดขึ้นนั้น จริงแล้ว น่าจะรู้ตัวล่วงหน้าก่อนเพราะเรื่องเกิดในหลายพื้นที่ มีการเรียนคนไปติว น่าจะได้ระแคะระคายก่อนพอสมควร เพราะฉะนั้น การสอบครูผู้ช่วยครั้งนี้ จึงอยากให้ช่วยกันสอดส่องดูแลอย่างใกล้ชิด

“ขณะเดียวกัน การสอบครูผู้ช่วยครั้งนี้ ให้เขตพื้นที่การศึกษารวมกลั่มกันจัดสอบเอง โดยให้ประสานสถาบันการศึกษาในพื้นที่ช่วยออกข้อสอบให้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับการสอบ ให้ผู้เข้าสอบเกิดความมั่นใจ เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญสุด คือ การเลือกสถานบันการศึกษาที่จะมาทำหน้าที่ออกข้อสอบ เพราะสถาบันการศึกษาก็มีหลากหลาย จึงต้องออกสถาบันการศึกษาที่เชื่อถือได้ สามารถออกข้อสอบได้ดี ตรงไปตรงมา ไม่ทำให้การสอบมีปัญหา ไม่ทำให้ผู้เข้าสอบบางคนอยู่ในฐานะได้เปรียบ”นายพงศ์เทพ กล่าวและย้ำว่า การสอบครูผู้ช่วยครั้งนี้ จะแก้ตัวได้สำเร็จ ให้สังคมกลับมาเกิดความเชื่อถือได้หรือไม่ จะกู้ชื่อเสียงกระทรวงศึกษาธิการกลับมาได้หรือไม่ อยู่ที่ความร่วมมือของทุกฝ่าย

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32525&Key=hotnews

สสวท.ดันระบบ”สเต็มศึกษา” เพิ่มศักยภาพแข่งขันประเทศ

26 เมษายน 2556

สสวท.ดันระบบ “สเต็มศึกษา” พัฒนาศักยภาพแข่งขันไทย ตั้งเป้าพัฒนาความรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นร.ทุกระดับชั้นปีละ 4% โดยวัดผลจากคะแนนโอเน็ต ชี้หากไม่รีบพัฒนาจะตกกับดักประเทศรายได้ปานกลาง สูญเสียอำนาจแข่งขัน ขณะที่ผลวิจัยการศึกษาไทยชี้ 20 ปีการศึกษาไทยยังไม่กระเตื้อง ขวัญสรวงแนะตีกรอบแก้ปัญหารายพื้นที่ อย่าหวังแก้ทั้งระบบ เพราะเป็นเรื่องยาก

ศ.เกียรติคุณ ดร.มนตรี จุฬาวัฒนทล ประธานกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เปิดเผยว่า สสวท.ได้จัดทำร่างแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี พ.ศ.2555-2559 ตั้งเป้าพัฒนาเด็กไทยให้มีความสามารถระดับนานาชาติภายในปี 2570 หรือผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ของนักเรียนทุกช่วงชั้นจะต้องเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 ต่อปี ซึ่งจะวัดผลจากการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) โดยจะใช้ระบบ STEM Education หรือ “สเต็มศึกษา” เป็นกลยุทธ์หลักในการพัฒนา
ด้านการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ จะมีการตั้ง 3 หน่วยงาน ได้แก่ 1.การตั้ง “สเต็มอคาเดมี” 10 จังหวัด เพื่อนำร่องโครงการ กระจายอยู่ใน 4 ภาคของประเทศ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างเลือกจังหวัดที่เหมาะสมในการจัดตั้ง ซึ่ง สสวท.จะร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา (กอศ.) ในการดำเนินการ ส่วนบทบาทหน้าที่ของสเต็มอคาเดมี จะมีผู้เชี่ยวชาญ และสเต็มแอมบาสเดอร์ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำกับผู้ที่สนใจ อันได้แก่ ครู นักเรียน ผู้มีความสามารถพิเศษหรือประชาชนทั่วไป

หน่วยงานที่ 2 คือ “iStem” เป็นคลังความรู้ ผู้สนใจสามารถเข้าถึงได้ผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือร้านสะดวกซื้อ ซึ่งใน iStem นี้จะมีคลังความรู้ ตำราหรืออุปกรณ์ที่น่าสนใจ หน่วยงานที่ 3 คือ Hall of fame เป็นหอเกียรติยศที่รวบรวมผู้มีชื่อเสียง ประสบความสำเร็จด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของระบบสเต็มและเป็นแรงจูงใจแก่นักเรียนนักศึกษา
ประธานบอร์ด สสวท.กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ สสวท.ต้องการผลักดันระบบสเต็มศึกษาให้เกิดขึ้น เนื่องจากมองว่าหากเรายังไม่พัฒนาความรู้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เราก็จะสูญเสียศักยภาพการแข่งขันไปเรื่อยๆ เพราะระบบสเต็มจะตอบคำถามให้กับผู้เรียนวิทยาศาสตร์ได้ว่า เรียนไปแล้วสามารถนำไปทำอะไรได้บ้าง และระบบสเต็มยังทำให้เกิดการบูรณาการในความรู้ เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ

“ตอนนี้เราเป็นประเทศมีรายได้ระดับปานกลาง หรือ Middle income แต่ถ้าเราไม่พัฒนาศักยภาพการแข่งขัน เราจะตกอยู่ในช่วง Middle income trap หรือตกอยู่ในกับดักรายได้ปานกลาง และเอสเอ็มอี เราจะตายหมด เหลือเพียงธุรกิจผู้ประกอบการรายใหญ่เท่านั้น ดังนั้นเราต้องหลุดพ้นจากช่วงนี้ไปให้ได้ด้วยการต้องเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน เราต้องเปลี่ยนความคิดพื้นฐานของเรา เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ พลิกสถานการณ์ หรือที่เรียกว่า Game changer ยกตัวอย่างเช่น การมีระบบ 3G หรือสมาร์ทโฟน ก็เป็น Game changer”

วันเดียวกัน ที่บริษัท ปิโก (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดผลงานวิจัยเรื่อง “ระบบการศึกษาไทยขั้นพื้นฐาน (จากอนุบาลถึงมัธยมปลาย) ความก้าวหน้าและความล้มเหลว” โดย ดร.สุธรรม วาณิชเสนี ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเทคนิคเชิงระบบ ในฐานะหัวหน้าคณะวิจัย เปิดเผยวิจัยที่ใช้ระยะเวลาศึกษากว่า 2 ปีว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาจะพบว่าการศึกษาไทยไม่ได้ก้าวหน้าไปไหนเลย โดยเฉพาะเรื่องผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน เทียบจากผลสอบโอเน็ต

และผลสอบโครงการวิจัยนานาชาติ (พิซา) ทั้งที่ไทยมีการปฏิรูปการศึกษาและและโครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษามากมาย 2 ทศวรรษ จนเกิดคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับการศึกษาไทย จะก้าวต่อไปอย่างไร

ดร.สุธรรมกล่าวอีกว่า การวิจัยได้ลงลึกทั้งระบบการศึกษาไทยเพื่อดูแต่ละปัญหาว่ามีอะไรบ้าง แล้วเกิดได้อย่างไร และส่งผลกระทบต่ออย่างไร ซึ่งทำให้พบว่า ไม่ว่าจะจับที่จุดไหนของระบบก็พบปัญหาการศึกษาทั้งนั้น เพียงว่าจะมีปัญหามากหรือน้อย อาทิ อย่างเรื่องการผลิตครูล้น ได้ส่งผลกระทบต่อการแข่งขันสอบเป็นครูผู้ช่วย เกิดการทุจริตสอบบรรจุ ได้ครูไม่เก่งเข้าไปในระบบ ส่งผลต่อคุณภาพการสอน ผลสัมฤทธิ์นักเรียนตกต่ำ เป็นต้น ขณะที่โครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ตั้งแต่ระดับบนสุดลงมาล่างสุด ก็มีการดำเนินงานที่สลับซับซ้อน อาทิ การบริหารโรงเรียน ต้องขึ้นกับเขตพื้นที่การศึกษา และขึ้นกับ ศธ. ส่วนการบริหารงานบุคคล โรงเรียนต้องขึ้นกับคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่ฯ และต้องไปขึ้นกับ ก.ค.ศ. และคุรุสภา โดยจะสังเกตได้ว่ากว่าเด็กคนหนึ่งจะจบการศึกษาขั้นพื้นฐานต้องผ่านระบบมากมาย เพราะมีการกระจายอำนาจที่ยังดึงๆ กันอยู่

“ผลวิจัยชี้ชัดว่าระบบการศึกษาไทยอ่อนแอทุกส่วน แต่ที่ผ่านเราเลือกจะแก้ปัญหาแค่บางส่วน แต่หวังจะให้ระบบการศึกษาดีขึ้น ฉะนั้นผลวิจัยเสนอว่าหากจะแก้ปัญหาทั้งระบบจริงๆ จะต้องเข้าใจปัญหาทั้งหมดก่อน และแก้ปัญหาทั้งระบบไปด้วยกัน ซึ่งเป็นเรื่องยาก แต่ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้”
นายขวัญสรวง อติโพธิ วิทยากรด้านการพัฒนาเมืองและพัฒนาสังคม คุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า เห็นด้วยกับการแก้ปัญหาการศึกษาทั้งระบบ เพราะการแก้ปัญหาแบบเดิมไม่ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร ขณะที่การแก้ปัญหาระบบการศึกษาไทย หากมองภาพรวมแล้ว คิดหาทางแก้คงทำได้ยาก เพราะมีมากและหลากหลาย ฉะนั้นอยากให้ตีกรอบแคบ โดยอาจแบ่งเป็นรายพื้นที่จังหวัด แล้วแก้ปัญหาให้ขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรมจะดีกว่า อาทิ รร.ในจังหวัดเพชรบุรี มีทั้ง รร.ชั้นนำในเมืองและ รร.ขนาดเล็กในชนบท เราจะทำอย่างไรไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำการพัฒนา อันนำไปสู่ปัญหา รร.ขนาดเล็ก และการแข่งขันเพื่อเข้าเรียนต่างๆ อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นต้น.

ที่มา: http://www.thaipost.net

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32524&Key=hotnews

สอศ.ผุดหลักสูตรดูแลผู้สูงวัย

26 เมษายน 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาแรงงานเข้าร่วมประชุม พร้อมกำชับให้ดูแลกลุ่มสตรี ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงวัย โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้รับนโยบายให้ดูแลกลุ่มผู้ด้อยโอกาสและผู้สูงวัย ส่วนผู้ด้อยโอกาสนั้นที่ประชุมหยิบยกประเด็นเด็กที่เรียนจบ ม.3 และต้องการทำงาน แต่ติดปัญหากฎหมายแรงงานมาหารือ ซึ่ง สอศ.วางแผนไว้ว่าจะประสานกับสถานประกอบการเพื่อดึงเด็กกลุ่มนี้มาทำงานควบคู่กับการเรียนอาชีวะ ส่วนผู้สูงอายุนั้น สอศ.จะจัดโครงการฝึกอบรมอาชีพ โดยใช้ศูนย์อบรมอาชีพในสถานศึกษาของ สอศ. จำนวน 121 ศูนย์ทั่วประเทศเป็นสถานที่อบรม ทั้งนี้ ศูนย์ดังกล่าวเป็นโครงการของรัฐบาลที่ให้วิทยาลัยที่มีศักยภาพโดดเด่นเฉพาะด้านเปิดอบรมอาชีพแก่ประชาชน เช่น วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ เด่นเรื่องอาหารนานาชาติ ก็เปิดอบรมไม่น้อยกว่า 75 ชั่วโมง ให้กับผู้สูงอายุเพื่อนำความรู้ไปประกอบอาชีพ

เลขาธิการ กอศ.กล่าวว่า นอกจากหลักสูตรอบรมแล้ว สอศ.ยังเปิดสอนหลักสูตรการดูแลเด็กและผู้สูงอายุ ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาวิชาการบริหารงานคหกรรมศาสตร์ด้วย แต่ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากมองว่าเมื่อเรียนจบไปอาชีพยังไม่มั่นคง ทั้งๆ ที่อาชีพบริการผู้สูงอายุนั้น ในปัจจุบันเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานอย่างมาก โดยปีการศึกษา 2555 มีสถานศึกษาเปิดสอนทั้งสิ้น 4 แห่ง คือ วิทยาลัยการอาชีพ (วก.) เชียงราย มีผู้เรียน 17 คน วก.พล 8 คน วิทยาลัยเทคนิค (วท.) เดชอุดม 3 คน และ วท.สุวรรณภูมิ 1 คน ดังนั้น สอศ.เตรียมจับมือกับผู้ประกอบการที่ทำงานด้านนี้ ซึ่งนอกจากจะยกระดับฝีมือของผู้เรียนแล้วยังเพิ่มคุณวุฒิให้กับผู้ประกอบการได้อีกด้วย

–มติชน ฉบับวันที่ 26 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32523&Key=hotnews

เปิดเว็บฝึกอาชีพระยะสั้น

26 เมษายน 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จัดทำสื่อพัฒนาอาชีพในรูปแบบคลิปวิดีโอสอนทำอาชีพระยะสั้น 1,365 เรื่อง เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ www.edltv.vec.go.th เพื่อให้ประชาชนที่สนใจได้เรียนรู้และนำไปประกอบอาชีพ โดยจัดแบ่งอาชีพออกเป็นหมวดหมู่

ประกอบด้วย คหกรรม พาณิชยกรรม/บริการธุรกิจ ศิลปกรรม อุตสาหกรรม วิชาสามัญ เทคโนโลยีและการสื่อสาร และอาชีพ อื่นๆ เช่น หากเลือกครัวการอาชีพวังฯ หมวดคหกรรม จะพบหัวข้อให้เลือกเรียนรู้หรือฝึกปฏิบัติตาม อาทิ การสอนทำกุ้งเนื้อทอง ข้าวต้มเบญจรงค์ ขนมแป้งจี่เผือก เป็นต้น หากเลือกวงจรอิเล็กทรอนิกส์ หมวดอุตสาหกรรม จะมีหัวข้อ เช่น ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสารกึ่งนำและหัวต่อพีเอ็นจังก์ชั่น เป็นต้น

“คลิปวิดีโอแต่ละเรื่องจะมีความยาวแล้วแต่ความยากง่ายของแต่ละอาชีพที่สอน ผู้สนใจเข้าไปเลือกเรียนได้ฟรี แต่หากอยากเรียนกับครูจริง สามารถติดต่อไปยังวิทยาลัยของ สอศ.ที่เปิดศูนย์อบรมหลักสูตร 75 ชั่วโมง ขึ้นไป เพื่อนำความรู้ไปประกอบอาชีพได้” เลขาธิการ กอศ. กล่าว

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 26 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32522&Key=hotnews