‘พงศ์เทพ’ จี้พัฒนาโรงเรียนเอกชน ฝึกคิดวิเคราะห์รู้ภาษาที่ 3 – รับปฏิรูปหลักสูตร

4 เมษายน 2556

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวมอบนโยบายให้กับผู้บริหารโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศเมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ปัจจุบันนักเรียนไทยต้องเรียนหนังสือมากถึง 1,200 ชั่วโมงต่อปี ซึ่งใช้เวลามากกว่ามาตรฐานที่ยูเนสโกกำหนดไว้ 800 ชั่วโมงต่อปี แต่ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษากลับต่ำลง ทำให้ต้องมาทบทวนการเรียนการสอนในปัจจุบัน ซึ่งก็พบว่าเด็กมีความเครียด ใช้ทรัพยากรมาก ดังนั้น ศธ.จึงปฏิรูปหลักสูตรใน 2 ประเด็นหลัก คือ เวลาเรียน จะทำอย่างไรที่จะลดเวลาเรียนให้น้อยลง 200 ชั่วโมง และปรับวิธีการเรียนการสอนจากการท่องจำเป็นคิดวิเคราะห์ และคิดสร้างสรรค์ แต่จะต้องรู้วิธีหาข้อมูล วิเคราะห์และตรวจสอบว่าข้อมูลนั้นเชื่อถือได้หรือไม่ และต้องนำความรู้ที่มีอยู่มาปรับใช้กับสถานการณ์ต่างๆ ทั้งในการเรียน ชีวิตประจำวัน และการทำงานในอนาคต ไม่ใช่เรียนเพื่อทำข้อสอบอย่างเดียว

รมว.ศธ.กล่าวต่อว่า อยากฝากให้ผู้บริหารและครูช่วยดำเนินการ คือ

1.ภาษาอังกฤษ ขณะนี้ทุกคนต้องรู้ภาษาและสื่อสารได้ โดยภาษาอื่นๆ ที่จะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมเป็นภาษาที่สาม ทั้ง เกาหลี เยอรมัน ฝรั่งเศส และภาษาอาเซียน อาทิ บาฮาซ่า พม่า เวียดนาม เป็นต้น

2.คุณธรรม จริยธรรม ศธ.จะเน้นสร้างให้เด็กคิดวิเคราะห์เป็นแล้ว ยังต้องการให้เด็กรุ่นใหม่มีคุณธรรม มีศีลธรรมด้วย ซึ่งโรงเรียนจะต้องทำให้เด็กซึมซับสิ่งเหล่านี้และจัดทำหลักสูตร และมีหลายโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนที่ดี อาทิ โรงเรียนดรุณสิขาลัย โรงเรียนนานาชาติต่างๆ เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการจัดทำหลักสูตรใหม่ เมื่อการปฏิรูปหลักสูตรแล้วเสร็จตามที่คาดภายในปี’56 ศธ.จะปรับวิธีการเรียนการสอนใหม่ โดยครูจะต้องจัดการเรียนให้สอดคล้องกับหลักสูตรใหม่ การทดสอบต่างๆ และการเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ทั้งการสอบ แอดมิชชั่น และสอบตรง ก็ต้องออกข้อสอบให้ตรงกับหลักสูตร คือ เน้นคิด วิเคราะห์ มีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถปรับใช้ความรู้ได้

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 5 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32367&Key=hotnews

ห้องเรียนอีพี กศน. โอกาสคนนอกระบบ

4 เมษายน 2556

ณัชชารีย์ วิเชียรรัตน์

นาทีนี้..การเตรียมความพร้อมให้แก่คนของประเทศ เพื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะทักษะภาษาอังกฤษและภาษาเพื่อนบ้านในอาเซียน ซึ่งสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สำนักงาน กศน.) เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่เร่งเสริมทักษะภาษาอังกฤษให้คนไทยวัยผู้ใหญ่ ที่อยู่นอกระบบโรงเรียน โดยเปิดสอนหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ภาคภาษาอังกฤษ หรือที่เรียกว่า หลักสูตรอีพี ( English Program: EP)

ปลายปีที่ผ่านมา สำนักงาน กศน. จังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ ได้ประเดิมเปิดห้องเรียนอีพี จังหวัดละ 1 ห้องเรียน เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการ กศน. และคณะได้ลงพื้นที่ภาคใต้ เพื่อตรวจเยี่ยม พร้อมทั้งรับฟังปัญหา การจัดการเรียนการสอนอีพี ของ กศน. จังหวัดตรัง กระบี่ และสุราษฎร์ธานี ซึ่งพบว่าแต่ละพื้นที่มีรูปแบบการจัดการเรียนการสอนในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน คือ นักศึกษาจะได้เรียนกับครูชาวต่างชาติ โดยมีครูไทยเป็นพี่เลี้ยง สอนแบบบูรณาการวิชาต่าง ๆ เน้นสื่อสารโต้ตอบระหว่างครูกับนักศึกษา และนักศึกษาด้วยกันเองบ่อย ๆ และมีการจัดกิจกรรมนอกห้องเรียน โดยพาไปทัศนศึกษาเพื่อได้พบปะกับชาวต่างชาติที่มาท่องเที่ยวในพื้นที่นั้น ๆ เป็นต้น

การเปิดสอนอีพีในช่วงแรกของ กศน.ไม่ได้ราบรื่น เหมือนแผนการดำเนินงานที่เขียนไว้ เพราะเจออุปสรรคที่ต้องรอการปรับปรุงแก้ไข ทั้งหนังสือเรียนตามหลักสูตรที่ใช้ในการสอน ค่าตอบแทนครูชาวต่างชาติ การต่อวีซ่าและการทำสัญญาจ้างสอนของครูต่างชาติในประเทศไทย เป็นต้น ซึ่ง นางกานดา ทองคลองไทร ผอ.กศน.จังหวัดสุราษฎร์ธานี เล่าว่า กศน.จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้เลือก กศน.อำเภอเกาะสมุย เป็นพื้นที่นำร่องเปิดห้องเรียนอีพี เพราะมีชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก และประชาชนในพื้นที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร โดยเปิดสอนทั้งระดับ ม.ต้น และ ม.ปลาย มีนักศึกษา44 คน มีครูผู้สอนเป็นชาวอังกฤษ สอนวันจันทร์-พุธ เวลา 18.00-21.00 น. และวันอาทิตย์ 09.00-16.00 น.

“แม้ กศน.อำเภอเกาะสมุย จะได้ครูเจ้าของภาษาที่มีประสบการณ์สูงมาสอน แต่ก็ยังพบปัญหาว่าหนังสือที่ส่วนกลางให้สอนใช้คำศัพท์ที่ยากเกินไป ไม่เหมาะสมกับพื้นฐานภาษาอังกฤษของคนที่เข้ามาเรียน เช่น วิชาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีคำศัพท์เฉพาะ และเป็นศัพท์ระดับมหาวิทยาลัย อีกทั้งครูผู้สอนก็ไม่มีพื้นฐานในวิชาที่สอน จึงต้องแก้ปัญหาด้วยการให้เด็กได้อ่านวิชานี้เป็นภาษาไทยก่อน เมื่อมาเรียนเป็นภาษาอังกฤษจะได้เข้าใจง่ายขึ้น และความหมายไม่ผิดเพี้ยน ซึ่งส่วนตัวมองว่าไม่ควรนำหลักสูตรภาษาไทยมาแปลเป็นภาษาอังกฤษ แต่ควรที่จะจัดทำหลักสูตรอีพีขึ้นมาเป็นการเฉพาะจะดีกว่า นอกจากนี้ควรปรับเพิ่มค่าตอบแทน และสวัสดิการให้ครูต่างชาติด้วย เพราะที่ได้รับอยู่ปัจจุบันอัตราเดือนละ 20,000 บาท ถือว่าน้อยเกินไป โดยเฉพาะพื้นที่เกาะสมุย ซึ่งมีค่าครองชีพสูงมาก จึงอาจทำให้ครูต่างชาติอยู่สอนกับ กศน. ได้ไม่นาน และจะเกิดปัญหาการขาดครูตามมาอีก” นางกานดา บอกถึงความกังวล

ด้าน นางสุวดี ผิวดี ครูอาสาสมัคร กศน.อำเภอเมืองกระบี่ กล่าวว่า กศน.อำเภอเมืองกระบี่ เปิดห้องเรียนอีพี ระดับ ม.ต้น เรียนวันจันทร์-พฤหัสบดี ตั้งแต่เวลา09.00-15.30 น. มีนักศึกษา 18 คน โดยมีครูชาวฟิลิปปินส์เป็นผู้สอน ซึ่งในการเรียนนอกจากจะแจกหนังสือเรียนในวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน เศรษฐกิจพอเพียง และทักษะการเรียนรู้ ซึ่งเป็นวิชาที่ใช้เรียนในภาคเรียนที่1 แล้วที่นี่ยังแจกจีแพด (G-Pad) แก่ทุกคน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนการสอน โดยเฉพาะการโหลดแอพพลิเคชั่นที่เป็นประโยชน์ อาทิ ดิคชันนารี กริยา3 ช่อง รวมถึงติดต่อสื่อสาร และส่งการบ้านครูด้วย

ขณะที่ผู้เรียนทั้งที่ กศน.จังหวัดตรัง กระบี่ และสุราษฎร์ธานี ซึ่งในทุกพื้นที่มีพื้นฐานการศึกษาที่แตกต่างกันคือ จบการศึกษาตั้งแต่ชั้น ป.6 จนถึงปริญญาตรี ทำงานหลากหลายอาชีพ ทั้งคนเก็บขยะ พนักงานโรงแรม ไกด์นำเที่ยว พนักงานองค์การบริหารส่วนตำบล พนักงานบริษัท โดยทุกคนต่างบอกถึงความรู้สึกที่คล้ายคลึงกันว่า รู้สึกว่าตัวเองโง่มานานแล้วกับภาษาอังกฤษ และดีใจที่ กศน. เปิดห้องเรียนอีพี เพราะการเรียนภาษาอังกฤษโดยทั่วไป

ต้องเสียความใช้จ่ายสูงมาก พวกตนไม่มีเงินไปเรียน และเมื่อมาเรียนกับครูเจ้าของภาษาแล้วทำให้สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ กล้าพูดคุยกับชาวต่างชาติมากขึ้น โดย นางพัชรี ช้างเผือก อายุ 43 ปี บอกว่า แม้ตนเองจะจบการศึกษาระดับปริญญาตรีมาแล้ว แต่ก็ยังพูดคุยโดยใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้ ซึ่งตนเชื่อว่ายังมีผู้ที่จบปริญญาตรีอีกหลายคนที่เป็นเหมือนตนเอง ดังนั้นขอชวนให้มาเรียนภาษาอังกฤษกันใหม่ โดยต้องไม่อาย เพราะภาษาอังกฤษจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตคนไทยมากขึ้น
นายประเสริฐ ย้อนถึงที่มาของโครงการเปิดสอนหลักสูตรอีพีว่า สำนักงาน กศน. มีนโยบายเตรียมความพร้อมประชาชน เพื่อก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในปี 2558 โดยเฉพาะการใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษากลางที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร จึงมอบให้ กศน.จังหวัดทุกแห่งเปิดห้องเรียนอีพีขึ้น โดยนำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของ กศน. มาแปลและสอนเป็นภาษาอังกฤษทุกวิชา โดยให้เรียนฟรีทุกคน เพราะถือเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งรัฐบาลอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายหัวให้คนละ 6,000 บาทต่อภาคเรียน ในการเปิดสอนนั้น ปีแรกนำร่องเปิดจังหวัดละ 1 ห้องเรียน โดยให้ กศน.จังหวัดเป็นผู้คัดเลือกว่าจะเปิดสอนในพื้นที่ใดก่อน สามารถเปิดได้ทั้งระดับประถมฯ ม.ต้น และม.ปลาย ทั้งนี้ในแต่ละระดับต้องจัดการเรียนการสอนไม่น้อยกว่า 4 วันต่อสัปดาห์ เป็นเวลา22ปี 4 ภาคเรียน

“ยอมรับว่าหลักสูตรอีพีเป็นเรื่องใหม่ ที่ กศน. ต้องปรับปรุง และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ แต่หากรอให้พร้อมทุกอย่างแล้วค่อยเปิดสอนเราคงไม่ได้เปิดหลักสูตรนี้ เนื่องจาก กศน. จัดการศึกษาให้คนด้อยโอกาส และผู้เรียนก็ไม่มีความพร้อมมากนัก ดังนั้นคงต้องช่วยกันประคับประคอง และ กศน.ก็พร้อมที่จะพัฒนาปรับปรุงในทุกเรื่อง”เลขาธิการ กศน. กล่าว

แม้มีหลากหลายปัญหาที่ต้องแก้ไข แต่การให้โอกาสทางการศึกษาแก่ประชาชนที่อยู่นอกรั้วโรงเรียน ได้เริ่มต้นตั้งหลักกับภาษาที่ไม่คุ้นเคย ถือเป็นการปูทางให้คนในพื้นที่มีความพร้อมรับทั้งนักท่องเที่ยว และพร้อมในการเปิดประตูสู่ประชาคมอาเซียนของไทย.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 5 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32366&Key=hotnews

ศธ.เร่งเดิน 8 งานด่วน ตามฝันฮับภูมิภาค

4 เมษายน 2556

โพสต์ทูเดย์ ศึกษาธิการเร่งเดิน 8 งานด่วน เตรียมพร้อมรวมกลุ่มประชาคมอาเซียน
นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียนของกระทรวงศึกษาธิการว่า ที่ประชุมได้กำหนด 8 ประเด็นเร่งด่วนที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ต้องปรับแผนงานโครงการให้สอดคล้องกับภาพรวมของกระทรวงฯ เพื่อพัฒนาเป็นเมืองการศึกษานานาชาติรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน

ประเด็นเร่งด่วนที่ต้องเร่งดำเนินการได้แก่

1. การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษภาษาเพื่อนบ้านและภาษาอื่น2.การสร้างความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอาเซียนในทุกมิติรวมถึงด้านวัฒนธรรมซึ่งมอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)รับผิดชอบ

3. การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา การจัดทำกรอบมาตรฐานคุณวุฒิแห่งชาติ เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางการศึกษาของภูมิภาค และการถ่ายโอนหน่วยกิต การเปิดเสรีทางการศึกษารวมทั้งการเชื่อมโยงกับกรอบมาตรฐานคุณวุฒิของอาเซียน มอบให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบ

4. การศึกษานโยบายและจุดเน้นของประเทศสมาชิกอาเซียน โดยเฉพาะความก้าวหน้าการเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายของ7 วิชาอาชีพ และ 32 ตำแหน่งงาน มอบให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ดูแล

5. จัดตั้งคณะทำงานระดับผู้ปฏิบัติในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อประชุมและแลกเปลี่ยนข้อมูล ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างเครือข่ายระหว่างกันในภูมิภาค

6. การอำนวยความสะดวกด้านกฎระเบียบ เช่น การขอและต่ออายุวีซ่าให้กับครู หรือนักเรียนต่างชาติ

7. การประชาสัมพันธ์การดำเนินงานของกระทรวง รวมทั้งการนำเสนอรูปแบบปฏิบัติที่ดีระหว่างสถานศึกษา

8. ตั้งหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบเฉพาะเรื่องเพื่อไม่ให้การทำงานซ้ำซ้อน
ที่ประชุมยังเห็นชอบ 5 ยุทธศาสตร์เพื่อรองรับการเป็นประชาคมอาเซียนได้แก่ การให้ความสำคัญกับการศึกษา การลงทุนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การส่งเสริมการจ้างงานที่เหมาะสม การส่งเสริมเทคโนโลยีสารสนเทศ และการอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเชิงประยุกต์

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32365&Key=hotnews

พิจารณ์ TOR แท็บเล็ตผ่านเว็บ

4 เมษายน 2556

ASTVผู้จัดการรายวัน – ศธ.เตรียมแขวนร่าง ทีโออาร์เว็บกรมบัญชีกลาง ทำประชาพิจารณ์ 5 เม.ย.นี้ ก่อนให้บริษัทในและต่างประเทศร่วมประมูล

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ (ศธ.)กล่าวภายหลังการประชุม ว่า ที่ประชุมได้หารือการจัดทำร่างทีโออาร์แท็บเล็ต 1.8 ล้านเครื่อง แจกนักเรียน ป.1 และม.1 ประจำปีการศึกษา 2556 ให้เรียบร้อยก่อนจะนำขึ้นเว็บไซต์กรมบัญชีกลาง www.cgd.go.th เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป ได้เข้ามาร่วมประชาพิจารณ์ร่างดังกล่าว ซึ่งหากมีข้อทักท้วง เราก็จะนำข้อทักท้วงหรือคิดเห็นเหล่านั้นมาปรับปรุงให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด ก่อนจะมีการประกาศทีโออาร์อย่างเป็นทางการ และจะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศเข้าร่วมประมูลแข่งขันกัน

แหล่งข่าวจากกรรมการบริหารนโยบาย 1 แท็บเล็ตต่อ 1 นักเรียน เปิดเผยว่า การนำร่างทีโออาร์ขึ้นประชาพิจารณ์บนเว็บไซต์นั้น คาดว่าจะเริ่ม 5 เม.ย.นี้ เป็นเวลา3 วัน หากมีข้อท้วงติงก็นำกลับไปปรับปรุงและประกาศขึ้นเว็บไซต์อีกครั้ง หากไม่มีประเด็นท้วงติงที่สำคัญ จะสามารถประกาศทีโออาร์เป็นทางการต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32364&Key=hotnews

สหรัฐส่งอาสาสมัครสอน’อังกฤษ’เด็กไทย

4 เมษายน 2556

นายกมล รอดคล้าย รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย จัดกิจกรรมต้อนรับหน่วยอาสาสมัครเพื่อสันติภาพสหรัฐอเมริกา รุ่นที่ 125 จำนวน 47 คน ที่จะมาสอนภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนในโรงเรียนสังกัด สพฐ.ระดับประถมศึกษา และโรงเรียนขยายโอกาสทั่วประเทศ เป็นเวลา 2 ปี โดยจะกระจาย ไปทำงานในโรงเรียนตามจังหวัดต่างๆ ทั้งนี้ กลุ่มอาสาสมัครจะร่วมมือกับครูในโรงเรียนอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยให้ครูที่สอนระดับประถมในชนบทพัฒนาเทคนิคการสอน และวิธีการสอนให้นักเรียน โดยครูเหล่านี้จะเข้ามาช่วยสอนภาษาให้กับเด็กนักเรียน และจะมาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับคนในพื้นที่ ต่างๆ ด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32363&Key=hotnews

ทปอ.ถกกองทัพเลื่อนเกณฑ์ทหาร

4 เมษายน 2556

เมื่อวันที่ 3 เมษายน นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เปิดเผยว่า ตามที่ที่ประชุม ทปอ.มีมติให้เลื่อนการเปิดภาคเรียนที่ 1 ของมหาวิทยาลัยที่เป็นสมาชิก ทปอ. 27 แห่ง จากเดือนมิถุนายนของทุกปี ออกไปเป็นเดือนสิงหาคม-กันยายน โดยเริ่มตั้งแต่ปีการศึกษา 2557 เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 นั้น การเลื่อนเปิดภาคเรียนดังกล่าวจะมีผลกระทบกับหลายเรื่อง และเมื่อเร็วๆ นี้ ได้หารือเป็นการภายในกับนายทหารระดับสูงที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอให้ช่วยขยับช่วงระยะเวลาในการเข้ารับการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้าเป็นทหารกองประจำการ หรือการเกณฑ์ทหาร จากปัจจุบันที่จะต้องเกณฑ์ทหารในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี ไปเป็นในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม เพื่อให้นักศึกษาจบปริญญาตรีก่อน เพราะหากไม่ขยับจะทำให้นักศึกษาเสียประโยชน์ เบื้องต้นกองทัพยินดีที่จะให้ความร่วมมือ ซึ่งเร็วๆ นี้จะทำหนังสือไปยังทุกกองทัพเพื่อขอความร่วมมือในเรื่องดังกล่าวด้วย

“ปีนี้เริ่มมีปัญหาแล้ว เพราะบางมหาวิทยาลัยที่นำร่องปรับการเปิดภาคเรียนตามอาเซียน เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) นักศึกษาจะจบหลังการเกณฑ์ทหาร ทำให้ไม่สามารถนำวุฒิปริญญาตรีไปแสดงได้ ดังนั้น ปีนี้ มจธ.จึงแก้ปัญหาโดยไปเจรจากับทางทหาร เพื่อขอผ่อนผันโดยใช้ใบรับรองจากมหาวิทยาลัย จากเดิมที่จะต้องเป็นใบที่สำเร็จการศึกษาแล้ว แต่เป็นใบที่ระบุว่าคาดว่าจะจบการศึกษาอย่างแน่นอน แต่ที่มีปัญหามากที่สุดคือปีการศึกษา 2557 ที่จะมีปัญหาทั้งระบบ เพราะมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่เลื่อนเปิดเทอมรับอาเซียนแล้ว ดังนั้น ต้องขอความร่วมมือกับกองทัพ เพื่อเลื่อนการเกณฑ์ทหารทั่วประเทศ” นายสมคิดกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32361&Key=hotnews

คอลัมน์: อาชีวะ…สร้างสรรค์: V-ChEPC ต้นแบบนวัตกรรมอาชีวศึกษา เจียระไนคนคุณภาพ

4 เมษายน 2556

นับเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) หลังจากที่ได้ผสานความร่วมมือกับกลุ่มบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งได้แก่ บริษัทพีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด บริษัทอูเบะ เคมิคอลส์ (เอเซีย) จำกัด (มหาชน) บริษัท ดาว เคมิคอล ประเทศไทย จำกัด และบริษัทสตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มูลนิธิศึกษาพัฒน์ สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย จัดทำโครงการพัฒนาช่างเทคนิควิศวกรรมเคมี (Vocational Chemical Engineering Practice College หรือ V-ChEPC) จนกระทั่งสามารถผลิตช่างเทคนิคที่มีคุณภาพตามความต้องการเข้าสู่สถานประกอบการอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กล่าวว่า โครงการ V-ChEPC มีวัตถุประสงค์ที่จะผลิตกำลังคนระดับช่างเทคนิค หรือระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) เพื่อป้อนอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานของประเทศที่มีการขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องและมีความต้องการช่างเทคนิคที่มีทักษะสูงเฉพาะด้านเป็นจำนวนมาก โดยเลือกวิทยาลัยเทคนิคมาบตาพุด จังหวัดระยอง เป็นสถานศึกษาทดลองนำร่อง ดำเนินการจัดการเรียนการสอนตั้งแต่ พ.ศ. 2551 และได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินโครงการจากกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ต่อเนื่องมาเป็นเวลานานกว่า 6 ปีแล้ว มูลค่ากว่า 59.8 ล้านบาท

จุดเด่นของโครงการดังกล่าว คือ การจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ Constructionism ให้นักศึกษาได้เรียนรู้และฝึกงาน ผ่านกระบวนการเรียนรู้เพื่อการสร้างสรรค์ด้วยปัญญา จัดกิจกรรมที่หล่อหลอมทักษะการคิด การวิเคราะห์ การแก้ปัญหา การแสวงหาความรู้ สร้างองค์ความรู้ใหม่ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการใฝ่เรียนรู้ จากครูผู้สอนและครูฝึกในสถานประกอบการ ขณะที่ครูฝึกและครูผู้สอนเองก็ยังสามารถใช้ประสบการณ์ที่ได้จากการสอน มาพัฒนางานวิชาการและการปรับบทบาทเป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้ (Facilitator)

“ความสำเร็จของโครงการที่เด่นชัด คือ ผู้สำเร็จการศึกษามีงานทำ 100% ในอัตราเงินเดือนที่ค่อนข้างสูง เพราะคนกลุ่มนี้ถือว่าได้รับการบ่มเพาะทำให้มีคุณลักษณะตามที่สถานประกอบการต้องการ บทเรียนที่ได้รับจากโครงการนี้ คือการยกระดับคุณภาพการผลิตช่างเทคนิคต้องได้รับความร่วมมือจากสถานประกอบการอย่างจริงจังและเป็นระบบ โดยมีคณะกรรมการบริหารโครงการและคณะทำงานที่มีภาคอุตสาหกรรมเป็นผู้นำ ขณะเดียวกันสถานศึกษาต้องปรับระบบบริหารให้ยืดหยุ่น คล่องตัว ใช้หลักการและกระบวนการเรียนรู้เพื่อการสร้างสรรค์ด้วยปัญญา (Constructionism)เพื่อพัฒนาทักษะการคิด วิเคราะห์ ปรับหลักสูตร ระบบการฝึกงาน และการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการ

“V-ChEPC จึงเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมทางการศึกษาที่เป็นเป้าหลอมให้การผลิตนักศึกษาอาชีวศึกษามีคุณภาพตามความต้องการของสถานประกอบการอย่างแท้จริง สอศ. มีแนวคิดจะขยายผลรูปแบบการเรียนดังกล่าวลงไปสู่วิทยาลัยอื่นๆ ด้วย โดยจัดเตรียมงบประมาณพัฒนาวิทยาลัยเทคนิคมาบตาพุดให้สามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ อุปกรณ์ และองค์ความรู้ที่มีอยู่ เพื่อต่อยอดให้เป็นศูนย์ศึกษาวิเคราะห์ วิจัย เผยแพร่นวัตกรรมการเรียนรู้ และเป็นต้นแบบในการพัฒนาครูอาชีวศึกษาสู่การเป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้ (Facilitator) เป้าหมายเพื่อพัฒนาทักษะผู้เรียนตามที่สถานประกอบการต้องการต่อไป” ดร.ชัยพฤกษ์กล่าว

ถือเป็นตัวอย่างความสำเร็จ ในการผสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ในการจัดการศึกษาจนสามารถผลิตช่างฝีมือที่มีคุณภาพ ป้อนสู่ภาคอุตสาหกรรมได้ตรงตามความต้องการของสถานประกอบการจริงๆ ซึ่งเชื่อว่า จะเกิดโครงการดีๆ เช่นนี้ เพื่อผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพในสาขาอื่นๆ ต่อไป
www.vec.go.th

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32362&Key=hotnews

สกอ.ชี้ ICT ม.ศิลปากร นอกที่ตั้ง ไม่ผ่านการประเมิน ยุติรับนศ.นิเทศฯ ปี 2556

http://www.ict.su.ac.th/th/
http://www.ict.su.ac.th/th/

เกณฑ์ประเมินนอกที่ตั้ง ที่น่าจะเป็นส่วนสำคัญให้ผลคือ “ไม่ผ่าน”
โดยเกณฑ์การตรวจประเมินการจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้ง ปีงบประมาณ 2555

มี 7 ประเด็น

1. ประเด็นการเปิดดำเนินการหลักสูตร
2. ประเด็นด้านอาจารย์
3. ประเด็นด้านสถานที่
4. ประเด็นด้านสิ่งสนับสนุนทางการศึกษาและการจัดบริการนักศึกษา
5. ประเด็นด้านนักศึกษา
6. ประเด็นด้านการบริหาร การประสานงานระหว่างศูนย์กับสถานที่ตั้งหลัก
7. ประเด็นอื่นที่มีผลต่อคุณภาพการศึกษาและผลประโยชน์ของนักศึกษา

นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ที่ได้พบในการตรวจประเมิน
http://www.scribd.com/doc/133785663/


ที่มา : .1009news.in.th
2 เม.ย.2556 คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ลงเผยแพร่เอกสารการประกาศยุติการรับนักศึกษาเข้าเรียนต่อในหลักสูตรนิเทศศาสตร์ประจำปี 2556 โดยชี้แจงว่า สกอ.มีมติพิจารณาการประเมินให้ไม่ผ่านมาตรฐาน โดยมีรายละเอียดชี้แจงดังต่อไปนี้

แถลงการณ์จากคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มศก.
เรื่องการรับนักศึกษาหลักสูตรนิเทศศาสตร์ ประจำปีการศึกษา 2556
http://www.ict.su.ac.th

ด้วยวันที่ 28 มีนาคม 2556 มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้รับเอกสารแจ้งเรื่อง ผลการพิจารณากรณีทักท้วงผลการประเมิน ของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ตามหนังสือเลขที่ ศธ. 0506(5) / ว 354 ลงวันที่ 22 มีนาคม 2556 กรณีมหาวอทยาลัยศิลปากร ได้ทำหนังสือทักท้วงผลการตรวจประเมินการจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้ง ณ ศูนย์การศึกษา อาคาร กสท. บางรัก ของหลักสูตรนิเทศศาสตร์ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร “ไม่ผ่าน” ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการด้านมาตรฐานอุดมศึกษาในการประชุมครั้งที่ 2/2556 เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2556 ได้พิจารณาวินิจฉัยผลการทักท้วงของมหาวิทยาลัยศิลปากรแล้ว มีมติยืนยันผลการประเมิน “ไม่ผ่าน” นั้น

จากมติของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาดังกล่าว มีผลให้คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ต้องยุติการรับนักศึกษาใหม่ในปีการศึกษา 2556 หากยังคงเปิดรับนักศึกษาใหม่อยู่ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจะไม่รับทราบหลักสูตรทั้งในและนอกที่ตั้ง นับตั้งแต่วันที่แจ้งให้ทราบและประกาศต่อสาธารณะ รวมทั้งแจ้งสำนักงาน ก.พ. ต่อไป

ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในการประชุมวาระด่วนที่สุด เมื่อวันอังคารที่ 2 เมษายน 2556 ได้มีการพิจารณาในเรื่องดังกล่าว และที่ประชุมมีมติให้คณะฯ ดำเนินการเกี่ยวกับการรับนักศึกษาหลักสูตรนิเทศศาสตร์ ประจำปี 2556 ดังต่อไปนี้

1. ในปีการศึกษา 2556 คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร จะยุติการรับนักศึกษาหลักสูตรนิเทศศาสตร์ ในระบบกลาง (Admission) นอกสถานที่ตั้ง ณ ศูนย์การศึกษา อาคาร กสท. โทรคมนาคม บางรัก กรุงเทพ ตามมติ สกอ.

2. คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จะเปิดรับนักศึกษาใหม่ ประจำปี 2556 ในสถานที่ตั้งหลักที่วิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี โดยวิธีรับตรง จำนวน 100 คน ใน 2 สายวิชา ได้แก่ สายวิชาการลูกค้าสัมพันธ์ จำนวน 40 คน และสายวิชาวารสารและหนังสือพิมพ์ จำนวน 60 คน

ทั้งนี้ การคัดเลือกนักศึกษาเข้าเรียนในสายวิชาดังกล่าว คณะฯ จะใช้รูปแบบและเกณฑ์ในหการรับเข้าศึกษา เช่นเดียวกับการคัดเลือกนักศึกษา ในระบบกลาง (Admission) หากนักเรียนสนใจที่จะสมัครเข้าเรียนในสายวิชาดังกล่าวของคณะฯ ขอให้ติดตามข้อมูลต่างๆ จาก เว็บไซต์ www.ict.su.ac.th ต่อไป

ด้าน อาจารย์ศาสวัต บุญศรี อาจารย์ประจำคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นและสรุปมติดังกล่าวของสกอ.ว่า

1. หลักสูตรนิเทศ คณะไอซีที โดนประเมินจาก สกอ. ว่าไม่ผ่านเกณฑ์การตั้งนอกที่ตั้ง (สกอ. ทำเพื่อป้องกันผู้บริโภค มาเรียนแล้วโดนหลอก) สกอ. ได้ทำการปิดเพียบ พูดง่าย ๆ คือให้กลับเรียนเพชรบุรี (หรือวิทยาเขตอื่น ๆ)

2. สกอ.สั่งห้ามรับนักศึกษาในปีการศึกษาใหม่ หากยังรับให้ปีหนึ่งเรียนที่บางรัก จะทำการปิดหลักสูตร (ย้ำว่า หลักสูตร ไม่ใช่คณะ) และจะส่งเรื่องให้ กพ. ให้รับรองวุฒิ

3. ปี 2-4 นิเทศยังเรียนเหมือนเดิม ส่วนธุรกิจและออกแบบ ถือว่าการที่ปีสี่มาเรียนที่บางรักไม่มีปัญหา เพราะเรียนในวิทยาเขตที่ตั้งมาแล้วเกิน 50% ของหน่วยกิต

4. ทางอธิการฯและคณะได้หารือด่วน มีหลายทางเลือกมาก สุดท้ายอธิการเสนอให้ปีหนึ่งนิเทศ ปี 56 กลับไปเรียนเพชรบุรี (กลับยังที่ตั้ง) เมื่อได้สำรวจอาคารสถานที่ พบว่าหอในรับเพิ่มได้อีกราว 150 คน โดยเปิดเฉพาะสาขาลูกค้าสัมพันธ์และวารสารฯ เพราะการสร้างสตูดิโอสำหรับเอกที่เหลือยังไม่พร้อม การเรียนการสอนยังเหมือนธุกิจและออกแบบคือ ปีสี่กลับมาเรียนบางรัก

5. ทางสภามหาวิทยาลัยมีนโยบายตั้งแต่เลือกอธิการฯ ว่าใครคนใดได้เป็นต้องทำ city campus แห่งใหม่ให้ลุล่วง โดยท่านอธิการจะเปิดทำ TOR แล้วมีแผนคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณ 4 ปี เมื่อนั้น นิเทศไอซีที ก็สามารถกลับมาเต็มตัวได้ในแคมปัสแห่งใหม่

6. เหตุผลที่ไม่ผ่าน ขอบอกคร่าว ๆ คือ สกอ. ไม่นับตลิ่งชันเป็นอีกหนึ่งวิทยาเขต นอกจากนั้นยังชี้ว่าอัตราส่วนอาจารย์ต่อนักศึกษามีน้อยเกินไป บวกกับไม่มีตำแหน่งทางวิชาการและจบปริญญาเอก (ในส่วนวุฒิการศึกษาและตำแหน่งวิชาการเป็นเรื่องจริง แต่ประเด็นอาจารย์พิเศษนั้น ท่านคณบดีท่านเก่าได้วางระบบไว้เพื่อเน้นอาจารย์พิเศษ สายนิเทศจำเป็นต้องเรียนกับมืออาชีพโดยมีอาจารย์ประจำสนับสนุนทางวิชาการ ส่งผลให้เด็กได้รับความรู้จากทั้งสองด้าน) รวมไปถึงมาตรฐานการเรียนที่ยังไม่ถึงเกณฑ์ ยิ่งเทียบกับหลักสูตรแบบเดียวกันของมหาลัยอื่น (แต่บัณฑิตจบแล้วมีงานทำประมาณ 90% และได้เสียงตอบรับจากนายจ้างในระดับดี อันนี้ไม่รู้ว่าเชื่อเกณฑ์ที่วัดหรือความพึงพอใจจากนายจ้างที่ทำงานในสายวิชาชีพจริงดี)

silpakorn university
silpakorn university

http://issuu.com/ictsilpakorn/docs/20130402

http://www.isranews.org/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/item/20386-ict-silpakorn-1.html
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1364925371&grpid=01&catid=&subcatid=
http://men.postjung.com/668575.html
http://www.thairath.co.th/content/edu/336594
http://www.1009news.in.th/2013/04/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%9A/1270

 ———————————————

ศิษย์เก่าสาขานิเทศศาสตร์รายหนึ่ง
คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มศก. ให้ข้อมูลกับ “สำนักข่าวอิศรา” ว่า เดิม หลักสูตรนิเทศศาสตร์ มีทั้งหมด 5 เอก ได้แก่ภาพยนตร์ วิทยุโทรทัศน์ โฆษณา วารสารศาสตร์ และลูกค้าสัมพันธ์ ซึ่งเดิมทุกเอก ทุกชั้นปี จะให้เรียนที่ตึก กสท.บางรัก แต่ล่าสุด ให้ยุบ 3 เอกแรก เหลือแค่เอกวารสารศาสตร์กับลูกค้าสัมพันธ์ และให้ย้ายไปเรียนที่วิทยาเขต จ.เพชรบุรี โดยให้เหตุผลว่า ตึก กสท.บางรักเล็กเกินไปในการจัดการเรียนการสอน ทั้งๆ ที่วาแตล (หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาการโรงแรม) กับมัลติมีเดีย (หลักสูตรศิลปบัณฑิต สาขาการออกแบบมัลติมีเดีย) ของวิทยาลัยนานาชาติ มศก. ก็เรียนที่ กสท.บางรักเช่นกัน
ที่มา http://www.isranews.org/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/item/20386-ict-silpakorn-1.html

————————————————————-

หลังจากเกิดกระแสดังกล่าวขึ้น”มติชนออนไลน์” ได้ติดต่อขอข้อมูลเบื้องต้น
จาก ผ.ศ.ชัยชาญ ซึ่งเป็นการ ถาม-ตอบ ใน 3 ประเด็น ดังนี้ 

@ คำสั่งดังกล่าว ถือว่า “มีผลสิ้นสุด” หรือไม่ หรือมีแนวทางดำเนินการต่อไปได้อีก 
 คำสั่งดังกล่าว “ถือเป็นการสิ้นสุด” ครับ ไม่สามารถขอทบทวนได้ ด้วยประการทั้งปวง
 เพราะว่าได้มีการตรวจเยี่ยมมาแล้วสองครั้ง ในแต่ละครั้งก็มีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามาตรวจ โดยในหนึ่งวันทำการ มีการสัมภาษณ์ผู้บริหาร อาจารย์ นักศึกษา และเข้าชมสถานที่ ตลอดจนตรวจเอกสารตามระเบียบปฏิบัติของเรื่องนี้
ส่วนรายละเอียดไม่ได้อยู่ในมือผมขณะนี้จึงไม่สามารถอธิบายได้แนะนำให้ สอบถามจากสกอ.ซึ่งจะได้รายละเอียดที่เป็นจริงมากกว่าในส่วนของผมไม่สามารถ พูดอะไรได้มากกว่านี้อย่างไรก็ตามเท่าที่อ่านจากเฟซบุ๊คนักศึกษาส่วนใหญ่ไม่ ค่อยจะเห็นด้วยกับความเห็นของคณะกรรมการจากสกอ.มากนัก
@ จากกรณีนี้ ส่งผลกระทบกับ เด็กนักเรียนที่เลือกคณะนี้ ในระบบรับตรงแล้ว ทางคณะหรือมหาวิทยาลัย จะดำเนินการอย่างไร 
 เท่าที่ทราบจากเฟซบุ๊คของหลายๆคนว่าทางมหาวิทยาลัยก็สอบถามไปแล้วเพื่อ หาทางเยียวยาแก้ไขในเรื่องนี้นะครับซึ่งก็เป็นขั้นตอนที่มหาวิทยาลัยจะต้อง รีบดำเนินการให้เร็วที่สุดภายหลังที่หาข้อมูลประกอบการพิจารณาทางเลือกและ แก้ไขและเมื่อได้ข้อสรุปที่ชัดเจนแล้วจากคณะวิชาและมหาวิทยาลัยเท่าที่ทราบ ปีนี้ก็มีเด็กโควตาน้อยกว่าปกติและส่วนใหญ่ก็วางแผนสมัครแอดมิชชั่นกลางอยู่ แล้ว
 @ มีผลกระทบต่อ นักศึกษารุ่นปัจจุบันที่กำลังศึกษาอยู่ที่ในบางรัก หรือไม่
 ไม่มีผลกระทบกับนักศึกษาปัจจุบันตั้งแต่ปีที่สองขึ้นไป จบแล้วก็ยังได้รับการรับรองว่าผ่านหลักสูตรที่ทั้ง สกอ.และ กพ. รับรองครับ

กสทช. ต้องตอบโจทย์สังคม

กสทช. ตอบโจทย์สังคม เรื่องทีวีสาธารณะในระบบดิจิทัล ได้ไหม
จาก กรุงเทพธุรกิจ 3 เมษายน 2556

วนิดา วินิจจะกูล
วนิดา วินิจจะกูล

มีกี่คนที่รู้และเข้าใจว่า… กสทช. มีประกาศ เรื่อง แผนการเปลี่ยนระบบการรับส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์เป็นระบบดิจิทัล และ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2555

ซึ่งทั้ง 2 ประกาศนี้ มีผลบังคับใช้แล้ว เพราะประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อปลายปีที่แล้ว

การที่ประชาชนไม่ติดตามกฎหมายก็คงไม่น่าแปลกใจ แต่สำหรับ 2 ประกาศนี้ และระเบียบอื่นๆ ที่สืบเนื่องกัน เป็นเรื่องที่ทุกคนปล่อยผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้ เพราะจะส่งผลต่อสิทธิและผลประโยชน์ของประชาชน และลูกหลานของเราอย่างมากที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว เพราะจะเป็นการจัดสรรคลื่นความถี่ ซึ่งเป็นทรัพยากรของคนทั้งประเทศ เป็นทีวีสาธารณะ ในระบบดิจิทัล จำนวน 12 ช่อง ไปให้กับผู้ประกอบการทีวีวิทยุ ทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ๆ ที่อยากจะเข้ามาแบ่งเค้กก้อนนี้ (ความจริงยังมีทีวีช่องธุรกิจอีกที่ยังต้องถกเถียงกันอีกเยอะ)

จากวงเสวนา “ปีแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคทีวีดิจิทัล : กสทช.ควรทำอย่างไรให้บรรลุเจตนารมณ์การปฏิรูปสื่อ” และจากการประชุมเชิงปฏิบัติการในกลุ่มนักวิชาการ หัวข้อ “การปฏิรูปสื่อในทีวีดิจิทัลสาธารณะ : รูปแบบที่ควรจะเป็น

มีหลายประเด็นที่ กสทช. ต้องออกมา “ตอบ
จะงุบงิบทำไป แบบค้านสายตาคนดู คงจะไม่ได้

เบื้องต้นขอให้ข้อมูลไว้ก่อนว่า กิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ ที่ กสทช. กำหนดจะให้ใบอนุญาตสำหรับกิจการบริการสาธารณะ มี 3 ประเภท

กิจการบริการสาธารณะประเภทที่ 1 ออกให้สำหรับกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการส่งเสริมความรู้ การศึกษา ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม การเกษตร และการส่งเสริมอาชีพอื่นๆ สุขภาพ อนามัย กีฬา หรือการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน

กิจการบริการสาธารณะประเภทที่ 2 ออกให้สำหรับกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยสาธารณะ

กิจการบริการสาธารณะประเภทที่ 3 ออกให้สำหรับกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกระจายข้อมูลข่าวสารเพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างรัฐบาลและประชาชนและรัฐสภากับประชาชน การกระจายข้อมูลข่าวสารเพื่อการส่งเสริมสนับสนุนในการเผยแพร่และให้การศึกษาแก่ประชาชนเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข บริการข้อมูลข่าวสารอันเป็นประโยชน์สาธารณะแก่คนพิการ คนด้อยโอกาส หรือกลุ่มความสนใจที่มีกิจกรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือบริการข้อมูลข่าวสารอันเป็นประโยชน์สาธารณะอื่น

อ่านมาถึงบรรทัดนี้ ประชาชนอย่างเราๆ เกิดคำถาม ข้อสงสัย อะไร หรือไม่ ?

แต่ในวงเสวนา ฟันธง ตรงไปถึง กสทช. ว่าต้องตอบ อย่างน้อยในเรื่องต่อไปนี้

กสทช. จะนิยามคำว่า “กิจการบริการสาธารณะ” ว่าอย่างไร และเหมือนหรือต่างจาก “ทีวีสาธารณะ” อย่างไทยพีบีเอส อย่างไร ตลอดจนเรื่องรูปแบบรายการ สัดส่วนรายการ ผังรายการ กลไกการกำกับดูแล เป็นต้น ประเด็นเหล่านี้ส่งผลอย่างมากต่อเนื้อหาสาระ คุณภาพของรายการ และเป็นเงื่อนไขการหารายได้ของแต่ละช่อง

กิจการฯ ประเภทที่ 2 เขียนไว้ไม่เกิน 2 บรรทัด แต่ กสทช. กำหนดจะให้ใบอนุญาตถึง 2 ช่อง ซึ่งขณะนี้ กองทัพบก ช่อง 5 ประกาศตัวชัดเจนมาตั้งแต่ 2-3 เดือนที่แล้วว่า จะยื่นขออนุญาตเพื่อให้ช่อง 5 เป็นช่องเพื่อความมั่นคงของรัฐ เรียกว่า ประกาศไว้ ใครก็ห้ามแย่ง แล้วล่าสุด กสทช.ก็ให้สิทธินั้นไปแล้วโดยอัตโนมัติ

ส่วนอีกช่อง ที่บอกว่าเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ ก็คาดเดากันได้อย่างไม่น่าพลาดว่า โทรทัศน์ตำรวจ คงขอจอง

ข้อสังเกตที่คาใจมากที่สุดอีกเรื่อง คือ การที่ พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงฯ พ.ศ. 2551 มาตรา 9 และ 11 เปิดช่องให้หน่วยงานรัฐด้านความมั่นคงหารายได้จากการให้เช่าเวลาได้ไม่เกินร้อยละ 40 และการโฆษณาได้เท่าที่เพียงพอต่อการประกอบกิจการ ซึ่งสถานีวิทยุจุฬาฯ บอกว่าแค่ร้อยละ 20 เขาก็อยู่ได้สบายๆ แล้ว และถ้าสถานีจะดำเนินการเองเพียงร้อยละ 60 เช่นนี้ควรจะยังเรียกว่า “กิจการบริการสาธารณะ” อีกหรือ ?

นอกจากนี้ เรื่องที่ กสทช. ควรต้องตอบด้วยในเชิงของการปฏิรูปสื่อ คือ การจัดสรรคลื่นความถี่ทีวีสาธารณะครั้งนี้ จะทำให้เกิดการจัดสรรโครงสร้างความสัมพันธ์ของกลุ่มต่างๆ ในสังคมอย่างไร ให้ถ่วงดุลกันอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม ซึ่งเป็นหัวใจของการปฏิรูปสื่อที่เรียกร้องกันมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2540

ม. เนชั่น และเหล่านักวิชาการทางสายนิเทศศาสตร์ ที่เข้าร่วมประชุมจากทั่วประเทศ
จึงทำข้อเสนอถึง กสทช. ขอให้ “ตอบโจทย์” สังคมในเรื่องเหล่านี้
ผลจะเป็นอย่างไร ต้องช่วยกันติดตาม !

http://bit.ly/10rHgYQ

http://blog.nation.ac.th/?p=2552

อาชีวะเปิด ป.ตรีน่าห่วง ร.ร.เอกชนชี้หลักสูตรไม่รองรับ-มทร.ลั่นเป็นตัวเลือก

3 เมษายน 2556

นายนำยุทธ สงค์ธนาพิทักษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดี มทร. 9 แห่ง กล่าวว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาขึ้น 19 แห่ง และเตรียมความพร้อมที่จะจัดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับ ปวช. ถึงระดับปริญญาตรีนั้น ในส่วนของมทร. 9 แห่งคงไม่ได้รับผลกระทบเท่าใดนัก เพราะที่ผ่านมาแต่ละมหาวิทยาลัยเตรียมความพร้อม รวมถึงจัดทำหลักสูตรให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาด พร้อมได้รับการเปิดกว้างมากขึ้นจาก สกอ.เพื่อให้จัดการเรียนการสอนหลักสูตรต่อเนื่องให้กับผู้ที่สำเร็จการศึกษา ระดับ ปวส. แม้ในอนาคตอาจจะมีบ้างที่นักศึกษา ปวช.และ ปวส.อาจเลือกเรียนต่อในสถานศึกษาสังกัดสอศ. แต่ มทร.เองจะเป็นอีกทางเลือกที่สำคัญ ที่นักเรียนเลือกเรียนในหลักสูตรที่ตรงความต้องการ

“ในการประชุมอธิการบดี มทร. 9 แห่ง ผมได้ส่งสัญญาณเรื่องนี้ให้ทุกสถาบันเตรียมพร้อมรับการแข่งขันในอนาคต คิดว่าทุกสถาบันมีความเข้มแข็ง และเตรียมพร้อมต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับหลักสูตรระดับ ป.ตรี 4 ปี รองรับเด็กที่จบ ม.6 และปวช. ขณะที่หลักสูตรต่อเนื่อง 2 ปีที่จะรับเด็ก ปวส.เอง เราก็ไม่ได้ทิ้ง แม้ที่ผ่านมาจะพบข้อมูลว่ามีนักเรียนสนใจเรียน ปวส.ทั้งในสังกัดของสอศ. และโรงเรียนอาชีวะเอกชนน้อยลงก็ตาม หลังจากที่ สอศ.เปิดสอน ป.ตรี คิดว่าโรงเรียนอาชีวะเอกชนจะเป็นหน่วยงานที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด เพราะหลักสูตรที่เปิดสอนอาจจะไม่สอดรับกับหลักสูตรที่จะไปเรียนต่อ ปวส.หรือ ป.ตรี จึงทำให้เด็กเลือกที่จะเรียนในสถาบันที่เรียน ปวช.หรือ ปวส.แล้วเรียนต่อที่เดียวจนจบ ป.ตรีได้เลย ซึ่ง มทร.เองอาจจะต้องคิดและเตรียมหลักสูตรเพื่อรองรับเด็กกลุ่มนี้ด้วย” ประธานที่ประชุมอธิการบดี มทร.กล่าว

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 4 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32348&Key=hotnews