บุรินทร์ รุจจนพันธุ์

ปัญหาความโปร่งใสของตำแหน่งอธิการบดี การยึดโยงกับประชาคมภายในมหาวิทยาลัย และความเหลื่อมล้ำ

ปัญหาความโปร่งใสของตำแหน่งอธิการบดี การยึดโยงกับประชาคมภายในมหาวิทยาลัย และความเหลื่อมล้ำ
คนที่เขียนเรื่องนี้ไม่ธรรมดาครับ เพราะเชิงอรรถแน่น และร้อยเรียงได้ดี
ผมคัดลอกส่วนของปัญหาความโปร่งใส .. รายละเอียดอื่นอีกเพียบ
ที่ http://prachatai.com/journal/2013/12/50325

ในด้านหนึ่งตำแหน่งอธิการบดีนั้นถือว่าเป็นพื้นที่ขับเคี่ยวทางการเมืองเป็นอย่างยิ่ง การที่อดีตรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ พงศ์เทพ เทพกาญจนาออกมาเตือนให้ สภามหาวิทยาลัยควรมีความโปร่งใสในการสรรหาอธิการบดี ก็ยิ่งเป็นตัวชี้วัดได้ดี [10] ไม่เพียงเท่านั้นข่าวฉาวของอธิการบดีก็มีอยู่เรื่อยๆ ทั้งในระดับมหาวิทยาลัยชั้นนำสมาชิก ทปอ. และมหาวิทยาลัยนอก ทปอ. ยังไม่ต้องนับว่า ตำแหน่งอธิการบดีหลายแห่งในประเทศไทย ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และตัดขาดความมีส่วนร่วมของประชาคมในมหาวิทยาลัยนั้นๆ

ความเหลื่อมล้ำของสถาบันต่างๆ โดยโครงสร้างนั้นมีอยู่จริง ไม่นับต้องพูดถึงความเหลื่อมล้ำภายในองค์กรที่จัดฐานันดรศักดิ์ ข้าราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย ลูกจ้างชั่วคราว ที่เป็นปัญหาอย่างมากในฐานะขององค์กรแนวดิ่ง ไม่มีสหภาพแรงงานเฉกเช่นประเทศในโลกสมัยใหม่ทั้งหลาย  ในที่นี้ขอปิดท้ายด้วยงบประมาณที่มหาวิทยาลัยต่างๆ ได้รับการจัดสรร ตั้งแต่งบประมาณปี 2549-2556 ทำให้เห็นความแตกต่างของมหาวิทยาลัยต่างๆ ในระดับครีมสมาชิกทั้ง 27 แห่ง มีความแตกต่างอย่างไรกับมหาวิทยาลัยที่ไม่ถูกนับ ช่องว่างดังกล่าวแสดงถึงความเหลื่อมล้ำอย่างเป็นรูปธรรมยิ่ง มหาวิทยาลัยใหญ่จึงได้รับทั้งอภิสิทธิ์ทางเกียรติยศ เงินทอง และบทบาททางการเมือง ซึ่งที่ถือว่ามีปัญหามากในสายตาของผู้เขียนคือ ทำตัวเป็นผู้ไม่รู้ร้อนเกี่ยวกับหลักการอยู่ร่วมกันโลกสมัยใหม่ และระบอบประชาธิปไตย.

ภัยคุกคามต่อความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์กับวัฒนธรรมไทย

ภัยคุกคามต่อความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์กับวัฒนธรรมไทย

ภัยคุกคามต่อความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์กับวัฒนธรรมไทย
ภัยคุกคามต่อความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์กับวัฒนธรรมไทย

26 พ.ย.56 นักศึกษา และเพื่อนอาจารย์ มหาวิทยาลัยเนชั่น
ประกอบด้วย นายไวภพ ตุ้ยน้อย อาจารย์วิเชพ ใจบุญ และนายณภัทร เทพจันตา
เข้าร่วมสัมมนา ณ โรงแรมคุ้มภูคำ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 26 พ.ย.56
โดย กสทช. จัดเวิร์กช็อปนักศึกษา
เรื่อง ภัยคุกคามต่อความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์กับวัฒนธรรมไทย
(Threats on Cyber security and Its Implication on Thai Culture Workshop)

ตามที่ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาทุกประเทศในโลกมีอัตราการเติบโตของปริมาณผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบที่เรียกกว่า สมาร์ทโฟน ขึ้นสูงมาก วิวัฒนาการได้ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด จนทำให้ประชากรส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญและตระหนักถึงความปลอดภัยของข้อมูลที่ตนเองได้ใช้ในการทำธุรกรรมผ่านสมาร์ทโฟนดังกล่าว ทำให้เกิดช่องโหว่ให้ผู้ไม่หวังดี และแฮคเกอร์ต่างใช้โอกาสนี้ในการโจรกรรมข้อมูล และก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลและองค์กรเป็นอย่างมาก โดยปัจจุบันไทยมีจำนวนผู้ใช้เครือข่ายออนไลน์ โดยเฉพาะเฟชบุ๊คในกรุงเทพมากเป็นอันดับ 1 ของโลก ยิ่งเป็นเป้าหมายของกลุ่มแฮคเกอร์ได้โดยง่าย

กสทช. เห็นความสำคัญ ได้ประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางไซเบอร์กับวัฒนธรรมไทย ทุกภูมิภาค เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและตระหนักถึงภัยคุกคามออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ส่งเสริมให้เยาวชนและผู้เข้าร่วมประชุมใช้วัฒนธรรมนำชีวิต รู้จักใช้วัฒนธรรมในโลกไซเบอร์ รู้จักวิธีป้องกันปัญหาและวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องและเหมาะสม และเพื่อสร้างความตื่นตัวของภาคการศึกษา ประชาชนและกรรมการสภาวัฒนธรรม ตระหนักถึงภัยคุกคามต่อความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมทั้งการใช้คอมพิวเตอร์ทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยการประชุมครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 3 ผู้เข้าประชุมประกอบด้วยนักเรียนนักศึกษา รวมทั้งครูอาจารย์ ตลอดจนผู้แทนหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ผู้แทนองค์กรภาคเอกชน นักธุรกิจ และประชาชนที่สนใจ

http://www.pracharkomnews.com/hilight/%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%97%E0%B8%8A-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%81/

ตกเป็นตก ไม่ให้โอกาสไปเรียนชั้นต่อไป

ตกเป็นตก ไม่ให้โอกาสไปเรียนชั้นต่อไป
ตกเป็นตก ไม่ให้โอกาสไปเรียนชั้นต่อไป

ตกเป็นตก ไม่ให้โอกาสไปเรียนชั้นต่อไป
ผมไม่เห็นด้วยนะ เพราะเห็นอกเห็นใจเด็ก ๆ

แต่คุณจาตุรนต์ เล็งทบทวนนโยบายตกซ้ำชั้น
“จาตุรนต์” รมว.ศึกษาธิการ เล็งทบทวนนโยบายตกซ้ำชั้น  

 

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10151914363117272&set=a.423083752271.195205.350024507271

วันที่ 18 ก.ย.56 นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า มีแนวคิดที่จะให้ทบทวนนโยบายตกซ้ำชั้น เพราะได้ข้อมูลมาว่า ปัจจุบัน นักเรียนทุกคนจะได้เลื่อนชั้นอัตโนมัติ เวลาสอบตกวิชาไหนจะต้องมาซ่อมเสริมกับครู  แต่บางครั้ง หากเป็นเด็กผู้หญิงก็มาช่วยครูจัดดอกไม้ ส่วนเด็กผู้ชายมาช่วยทำความสะอาดห้องเรียนแล้วครูก็ให้ผ่าน หรือบางครั้งก็จะมีผู้ปกครองมานั่งกดดันที่โรงเรียนเพื่อต้องการให้ลูกหลานผ่านการซ่อมเสริม สิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของเด็ก เพราะเมื่อเรียนต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 ก็อ่านหนังสือไม่ออกจนส่งผลกระทบต่อคุณภาพการศึกษา ทั้งนี้การจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้จะต้องมาดูว่าจะทำอย่างไรคงไม่ใช่แค่การสั่งให้มีการซ้ำชั้นเหมือนเดิมแล้ว แต่จะต้องมาคิดเงื่อนไขต่างๆ ประกอบกันใหม่
ผมคิดว่าการไม่ให้นักเรียนตกและให้ผ่านกันหมดเป็นผลเสียอย่างมากและต้องมีการแก้ไขแต่ยังบอกไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรและต้องมีการทบทวนกัน อย่างเรื่องที่เด็กอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้แค่ประเด็นนี้ก็ให้เด็กผ่านไม่ได้แล้ว ควรจะมีเงื่อนไขในการติวเข้มจนกว่าจะผ่านแล้วจึงจะให้เลื่อนไปเรียนชั้นต่อไป ไม่ใช่ปล่อยให้เลื่อนชั้นไปแล้วก็อ่านหนังสือไม่ออก” รมว.ศึกษาธิการกล่าวและว่า ตนคิดว่าควรจะหาวิธีแก้ไขและควรต้องมาดูระบบการซ่อม ระบบการทดสอบวัดผลที่เป็นมาตรฐาน โดยจะขอหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องว่าจะทำกันอย่างไร


สั่ง อ.ก.ค.ศ เชื่อมโยงการแต่งตั้งโยกย้ายครูในพื้นที่กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวตอนหนึ่งในการประชุมมอบนโยบายในการประชุมสัมมนาคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางกาศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษา ภาคเหนือ  จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.)ว่า ที่ผ่านมาการบริหารงานบุคคลของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา  ให้ความสำคัญกับการแต่งตั้งโยกย้ายเท่านั้น แต่เป้าหมายสำคัญของการดำเนินการแต่งตั้งโยกย้ายไม่ใช่เพื่อความเป็นธรรมเท่านั้น แต่คือการเชื่อมโยงกาารแต่งตั้งโยกย้ายให้สอดรับกับการเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาและการปฏิรูปการเรียนการสอนให้มากขึ้น อ.ก.ค.ก.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาต้องมีฐานข้อมูลผลสัมฤทธิ์ของโรงเรียนในเขตพื้นที่ฯและมีข้อมูลการขาดแคลนครูเพื่อใช้ในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้าย ไม่ใช่พิจารณาเฉพาะความเป็นธรรมและการแก้ปัญหาระบบ
นายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า การแต่งตั้งโยกย้ายบรรจุครูยังต้องดูภาพรวมความขาดแคลนครูด้วย  ปัจจุบันการแต่งตั้งโยกย้ายครูในพื้นที่นั่น อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ จะพิจารณาไปตามความเห็นและความจำเป็นของแต่ละเขตพื้นที่ ขาดการดูแลในภาพรวมของประเทศ เช่นกรณีครูสอนภาษาฝรั่งเศสที่เหลือ200 กว่าคนทั่วประเทศ หากประเทศไทยมีความต้องการครูในส่วนนี้มากขึ้นก็จะเกิดคำถามว่าจะทำอย่างไร หากปล่อยให้ อ.ก.ค.ศ.เขตฯยังแต่งตั้งตามความพอใจแบบในปัจุบัน ทั้งนี้อยากให้ ก.ค.ศ.ไปคิดวิธีการและหลักเกณฑ์ โดยอาจจะต้องจัดทำข้อมูลความต้องการภาพรวมทั่วประเทศ เช่น หากต้องการให้บรรจุครูไอซีที 2,000 คนก็ให้แจ้งไปยัง อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯให้บรรจุแต่งตั้งครูตามความต้องการ
“จะมอบให้ ก.ค.ศ.ไปจัดทำหลักเกณฑ์ว่าจะประเมินการทำงานของอ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯได้อย่างไร  ซึ่งที่ผ่านมาเราไม่เคยมีการประเมินว่า อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯว่าทำงานดีหรือไม่ดีอย่างไร เมื่อมีหลักเกณฑ์การประเมินแล้วจะทำให้ทราบผลการทำงานของแต่ละอ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯทั่วประเทศ และ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯเองก็จะต้องรับผิดชอบต่อสังคมและผลประเมินที่ออกมา” รมว.ศึกษาธิการ กล่าว
นายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการประเมินวิทยฐานะก็อยากให้เชื่อมโยงกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนด้วย ที่ผ่านมาได้รับข้อมูลว่ามีผู้อำนวยการโรงเรียนหลายแห่งผ่านการประเมินวิทยฐานะที่สูง มีความก้าวหน้าในวิชาชีพแต่ผลสัมฤทธิ์ของโรงเรียนตัวเองกลับต่ำ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้
http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9560000135946
http://www.thairath.co.th/content/edu/375178
http://www.komchadluek.net/detail/20130918/168503/%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99.html

กิ่งไม้ 7 กิ่ง กับภารกิจเรื่องจริยธรรม

กิ่งไม้ 7 กิ่ง กับภารกิจเรื่องจริยธรรม
โดย : จักร์กฤษ เพิ่มพูล

7 องค์กรอิสระ .. ผนึกกำลังสร้างปรากฎการณ์ใหม่ในสังคมไทย ประกอบด้วย 1. สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน 2. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 3. สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ4. สำนักงานสภาพัฒนาการเมือง 5. สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน 6. สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ 7. สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ

องค์กร 7 องค์กร
องค์กร 7 องค์กร

เพราะมีภารกิจมากมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของ “คนดี” และ “ความดี” ที่สังคมไทยในห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา เริ่มมีทัศนคติที่เปลี่ยนไป

http://bit.ly/HcB7eL
โดยเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องไม่สำคัญมากไปกว่า “คนเก่ง” และ “คนรวย” ที่ทำให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ ทำให้มีฐานะร่ำรวย แม้สิ่งเหล่านี้จะได้มาด้วยการสูบเลือด สูบเนื้อ เพื่อนร่วมชาติ หรือฉกฉวยโอกาสในอำนาจ ไปแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้อง ฉะนั้น ในท่ามกลางสังคมที่บูชาคนเก่ง คนมีฐานะ คนดี และความดี จึงค่อยๆ เลือนหายไปจากสังคม จนเกือบไม่มีที่ยืนให้กับคนเหล่านี้อีก และเป็นจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจ ที่จะทำอะไรสักสิ่ง

เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน รายการวิทยุสถานีจราจรเพื่อสังคม เอฟเอ็ม 99.5 ช่วงประเทศไทย ไอ เลิฟ ยู และรายการ “รู้ทันสื่อ” เอฟเอ็ม 100.5 อสมท ชวนคุยเรื่อง การผนึกกำลังครั้งสำคัญของ 7 องค์กรอิสระ เพื่อภารกิจปกป้องคุ้มครองคนดี และความดี ที่ผมมีส่วนเล็กๆ ในการผลักดันให้เกิดขึ้น ผมอธิบายว่าจุดบันดาลใจสำคัญของผม นอกจากภาพใหญ่ของสังคม ที่ลดทอนคุณค่าของคนดี และความดีแล้ว เราพบว่า มีคนดีจำนวนไม่น้อยที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างสุจริต ตรงไปตรงมา เพื่อประโยชน์ของชาติและส่วนรวม จนแม้กระทั่งนักวิชาการ และสื่อมวลชน ที่ทำงานตามหลักการ ตามหน้าที่ทางวิชาชีพ ก็ยังถูกคุกคาม ใช้อำนาจโดยไม่ชอบธรรม ข่มขู่ให้หวาดกลัวโดยไม่สามารถไปสู้รบปรบมือ หรือมีพลังใดจะไปต้านทานได้

เรามีข้าราชการ ผู้ที่ทำหน้าที่ด้วยความสุจริตจำนวนมาก ที่ทำงานอย่างตรงไปตรงมา และถูกกลั่นแกล้ง ถูกฟ้อง ถูกโยกย้ายอย่างไม่เป็นธรรม เช่น กรณีของคุณถวิล เปลี่ยนศรี เลขาฯ สมช. คุณสุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง ประธานอนุกรรมการปิดบัญชีสินค้าเกษตรโครงการรับจำนำผลิตผลการเกษตร หรือโครงการจำนำข้าว ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผอ.วิจัย ทีดีอาร์ไอ คุณณัฎฐา โกมลวาทิน พิธีกรรายการ ไทยพีบีเอส ที่ถูก กสทช.ฟ้อง คนเหล่านี้จะต้องไม่โดดเดี่ยว และคนอื่นๆ ก็ต้องมีความมั่นใจในการทำหน้าที่ ในการทำหน้าที่เพื่อสร้างสังคมที่มีธรรมาภิบาล โดยไม่ต้องหวั่นเกรงภัยคุกคามใด ๆ

ผมอธิบายความคิดในการชักชวน 7 องค์กรอิสระ มาร่วมกันปกป้องคุ้มครอง คนดี และความดี และว่าภารกิจสำคัญนี้ ไม่ได้มุ่งเฉพาะคนที่มีชื่อเสียง มีบทบาทสำคัญ ที่สังคมรู้จักเท่านั้น หากแต่คนเล็กคนน้อยในสังคมนี้ เช่น แท็กซี่เก็บเงินผู้โดยสารได้และไปส่งคืน หรือพลเมืองดีที่มีจิตอาสา ช่วยเหลือคนอื่น ก็เป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจดูแลด้วย

แน่นอนว่า สังคมไทยไม่ได้สูญเสียคุณงามความดี และความดีไปจนหมดสิ้น แต่จิตสำนึกเรื่องจริยธรรมเริ่มสั่นคลอน และอาจหวังไม่ได้จากผู้ใหญ่ที่มีบทบาทเป็นแบบฉบับในสังคมมากนัก โดยเฉพาะกลุ่มนักการเมือง โครงการดีๆ เช่น “โตไปไม่โกง” ซึ่งเริ่มจากหน่ออ่อนของสังคม รวมทั้งความพยายามของผมและกลุ่มคนที่มีความเห็นตรงกัน ในการปลูกฝังอบรมบ่มเพาะจิตสำนึกในเรื่องจริยธรรม ตั้งแต่เด็กๆ จนกระทั่งในระดับมหาวิทยาลัย ที่จะจบไปเป็นกำลังหลักของสังคมไทยในอนาคต จึงเป็นแสงสว่างวาบหนึ่งที่ถูกจุดขึ้นในท่ามกลางความมืดมิด แม้จะหวังผลไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่การที่ได้เริ่มต้น และมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำต่อไปอย่างต่อเนื่อง ก็พอจะเป็นหลักประกันความมั่นใจได้ว่า สักวันหนึ่งเราจะได้สังคมที่เห็นคุณค่าของความดี และคนดีกลับคืนมา

เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ พัฒนาจริยธรรม ส่งเสริมความรู้ด้านกฎหมาย และเพิ่มศักยภาพกลไกการทำงานสื่อ ที่จังหวัดเชียงใหม่ มีอาจารย์จาก 11 สถาบัน เจ้าของและบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ 12 ฉบับในภาคเหนือเข้าร่วม เป้าหมายหลักคือสานต่อภารกิจในการปฏิรูปการเรียนการสอนวิชากฎหมายและจริยธรรมสื่อมวลชน ที่ผมได้เริ่มต้นไว้เมื่อสองปีก่อน โดยออกดอกออกผล เป็นคู่มือการเรียนการสอนวิชานี้ ซึ่งเขียนโดยกลุ่มคณาจารย์จากหลายมหาวิทยาลัย จำนวน 2 เล่มแล้ว ครั้งนี้เป็นการต่อยอด จัดทำ Course Sylabus เพื่อความชัดเจนในแนวทางการเรียนการสอน โดยมี ร.ศ.ดร.ดรุณี หิรัญรักษ์ ประธานคณะอนุกรรมการวิชาการ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และอดีตคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เป็นแม่ทัพใหญ่

จากจุดเล็ก ๆ หลายจุดจุดนี้ ในวันนี้ 7 องค์กรอิสระ ประกอบด้วย ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานสภาพัฒนาการเมือง สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ และสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ จะรวมตัวกันประกาศเปิดตัว “ภาคีเครือข่ายเสริมสร้างพลังคุณธรรมจริยธรรมของแผ่นดิน” ที่โรงแรมเดอะ สุโกศล กรุงเทพ เพื่อกอบกู้ภาวะวิกฤติคุณธรรม จริยธรรม ที่เป็นเมฆหมอกปกคลุมสังคมไทยมานาน

กิ่งไม้เล็กๆ อาจไร้พลัง แต่เมื่อมามัดรวมกันก็สามารถงัดขุนเขาสูงใหญ่ได้
http://bit.ly/HcB7eL
Tags : จักร์กฤษ เพิ่มพูล

http://www.thairath.co.th/content/pol/378132

สามัคคีคือพลัง
สามัคคีคือพลัง

หลากหลาย ไว(วัย) และ จริยธรรม เท่ากับคนสื่อยุคใหม่

“น้ำอดน้ำทนน้อยลง หนักไม่เอาเบาไม่สู้” “สมาธิสั้น” “ทำงานไม่เป็น ไม่ค่อยฟัง เถียง” วลีสั้น ๆ ที่ได้ยินบ่อยครั้ง

เมื่อกล่าวถึงคนสื่อรุ่นใหม่จากปากคนสื่อรุ่นเก่า เหมือนคำตอบที่โยนกลับสู่นักวิชาการสื่อ คนสอนสื่อ ผู้สร้างคนสื่อรุ่นใหม่ถึงผลผลิตที่ป้อนสู่อุตสาหกรรมสื่อ ใส่เครื่องหมายคำถามตัวโตๆ “เป็นความผิดคนรุ่นใหม่หรือที่เป็นอย่างนั้น” ก็คงจะไม่ใช่เพราะเป็นเพียงมุมมองคนรุ่นหนึ่งมองคนอีกรุ่นหนึ่ง

การเปลี่ยนแปลงของตัวสื่อ ไม่ใช่กระทบต่อรูปแบบการทำงานสังคมงานสื่อเพียงประการเดียว แต่มีผลพวงวงกว้าง รวมถึงการเรียนการสอนด้านสื่อก็ด้วย ทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าผู้สอนต้องงัดสารพัดเทคนิคมาใช้มากขึ้น เพื่อแข่งขันกับอาจารย์กู (กูเกิล) ที่สามารถรังสรรค์คำตอบให้แก่ผู้เรียนเพียงปลายนิ้วสัมผัสที่ป้อนสิ่งที่ต้องการจะรู้เข้าไป ผ่านแป้นคีย์บอร์ด ความรู้บนโลกไซเบอร์ที่กว้างขวาง ตอบได้ทุกด้านที่ผู้เรียนต้องการ จริงไม่จริง ถูกไม่ถูกต้อง ครบถ้วนหรือไม่ อีกเรื่องหนึ่ง แน่นอนว่าเทคโนโลยีเปลี่ยนวิธีคิดของคน ทำให้อดทนน้อยลงที่จะนั่งค้นหาคำตอบสิ่งต่างๆ บทบาทของผู้สอนจึงเป็นเสมือน “โค้ช” มากกว่าการเป็นครู เป็นผู้ชี้แนะแนวทางแสวงหาความรู้ สร้างบรรยากาศ กระตุ้นการเรียนรู้ แล้วคนสื่อแบบไหนที่สังคมสื่อในยุคปัจจุบันต้องการ

ประการแรก “หลากหลาย” มีทักษะอันหลากหลาย นักสื่อสารมวลชนคนรุ่นใหม่ ต้องเป็นคนที่มีความรู้ไม่จำเพาะความรู้เฉพาะด้านเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง จะเป็นคนสื่อที่รู้เพียงด้านวิทยุโทรทัศน์ สื่อใหม่ โฆษณา หรือประชาสัมพันธ์เพียงด้านใดด้านหนึ่งคงไม่เพียงพอ ควรมีความรู้รอบด้านอันเกี่ยวข้องกับบริบททางสังคม เศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม ร่วมด้วย การคอนเวอร์เจนซ์ของสื่อ ต้องการคนสื่อที่เข้าใจธรรมชาติของสื่อที่เปลี่ยน สามารถบูรณาการความรู้ในการทำงานเป็นนักวิชาชีพที่มีองค์ความรู้ทางวิชาการ และที่สำคัญควรเป็นคนสื่อที่รู้เท่าทันสื่อ ส่วนทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่กลายเป็นทักษะพื้นฐานที่คนสื่อยุคใหม่ต้องมี การใช้งานคอมพิวเตอร์โปรแกรมพื้นฐานในการพิมพ์งาน การนำเสนอ และการใช้โซเชียลมีเดียเป็น ไม่ว่าจะใช้งานผ่านคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค แท็บเล็ต หรือโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ทักษะด้านภาษาที่นักสื่อสารมวลชนคนรุ่นใหม่ควรจะสื่อสารได้ 2 ภาษาเป็นอย่างน้อย คือ ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ไม่ต้องมองไปไหนไกล เริ่มจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่จะมาถึงในปี 58 หรือใกล้ตัวกว่านั้น คือ การใช้ภาษาในการติดตามข่าวสาร แลกเปลี่ยนข่าวสารกับสื่อมวลชนจากทั่วทุกมุมโลก

ประการที่สอง “ไว (วัย)” ไวอันแรกคือ ปรับตัวไว วัยทำงานของคนสังคมสื่อมีความหลากหลายคนสื่อรุ่นใหม่ต้องสามารถทำงานเป็นทีม เมื่อคนหลายเจนเนอเรชั่นมาทำงานรวมกัน ความแตกต่างเรื่องวัยสัมพันธ์กับเข็มไมล์ประสบการณ์ ปัญหาและทัศนคติการทำงานที่ไม่ตรงกันเกิดขึ้นได้เสมอ ก็เหมือนองค์กรธุรกิจอื่น ที่ประกอบไปด้วยคนตั้งแต่ยุคเบบี้บูมเมอร์ ที่มีชีวิตเพื่อการทำงาน (Work for Life) คนเจนเนอเรชั่น X โตมากับพัฒนาการของสื่อ ทำงานในลักษณะสมดุลงานกับครอบครัว (Work-Life Balance) มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นตัวของตัวเองสูง และคนเจนเนอเรชั่น Y โตมากับสื่อใหม่ มีทักษะการทำงานที่หลากหลาย มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ชอบอยู่ในกรอบ การเปิดใจยอมรับ ปรับทัศนคติเข้าหากันและกัน สำคัญที่สุดคือใช้ “การสื่อสาร” เพื่อการป้องกันปัญหา ลดช่องว่างระหว่างวัยที่จะเกิดขึ้น

ไว อันที่สอง ไวต่อการเรียนรู้ ด้วยสื่อสมัยปัจจุบันที่มีการคอนเวอร์เจนซ์ เทคโนโลยีสื่อที่ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา การเรียนรู้ ปรับตัวให้เข้ากับสื่อ สามารถหยิบเอาประโยชน์ เทคโนโลยีจากสื่อ มาใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเอง คนที่พร้อม คนที่เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา จึงจะสามารถอยู่รอดในวิชาชีพนี้

ประการสุดท้าย “จริยธรรม” การเป็นคนสื่อที่มีจริยธรรม การประพฤติและปฏิบัติที่ดี มองเรื่องจริยธรรมสื่อแล้วก็น่าใจหายที่เป็นประเด็นที่ถูกหยิบยก มองเห็นความสำคัญกันน้อย ทั้งที่ในความเป็นจริงควรให้ความสำคัญระดับต้นๆ เริ่มที่ครอบครัวและสถาบันการศึกษา การไปแก้ไขเมื่อเข้าสู่สังคมสื่อกระทำได้ยาก ปัญหาจริยธรรมนับวันเป็นสิ่งที่ฝังรากลึกในสังคมทุกสังคม ตัวอย่างง่ายๆ ที่ประสบพบเจอในฐานะนักวิชาการ ผู้สอนทางด้านสื่อคือ การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ไม่ว่าจะเป็นความรู้ในรูปแบบใดก็ตาม การลอกเลียนแบบผลงานคนอื่น การหยิบ หรือนำผลงานคนอื่นมาใช้ในผลงานตนเองโดยไม่ได้ให้การอ้างอิง ถึงแหล่งที่มาของข้อมูล จนผู้เรียน บุคคลที่จะก้าวขึ้นมาเป็นคนสื่อรุ่นใหม่มองว่าเป็นเรื่องธรรมดาไม่ได้ผิดอะไร เป็นความคุ้นชินที่ทำมาตลอด หรือการใช้เทคโนโลยีในการแก้ไข ลอกเลียน บิดเบือนข้อเท็จจริง สิ่งต่างๆ เหล่านี้ควรที่จะได้รับการแก้ไข ให้ความตระหนักจากทุกภาคส่วน ลำพังจะรอองค์กรวิชาชีพสื่อ ขับเคลื่อนกลไกเรื่องนี้คงจะไม่ได้

ไม่ว่าสังคมสื่อ ภูมิทัศน์สื่อจะเปลี่ยนไปมากเท่าใด หากเรียนรู้ที่จะปรับตัว เรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจ และคงไว้ซึ่งกรอบความคิดและจุดยืนในวิชาชีพที่เปี่ยมด้วยจริยธรรมคุณธรรม ก็สามารถเป็นคนสื่อคุณภาพได้ไม่ยาก

Tags : ชินกฤต อุดมลาภไพศาล ! bit.ly/H14kJD

Daily News Flash – iSnap คือ คำตอบ

Daily News Flash – iSnap คือ คำตอบ

โดย : จักร์กฤษ เพิ่มพูล
http://bit.ly/1hyQZ6R

ความพยายามที่จะค้นหา นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเป็นทางออกให้กับหนังสือพิมพ์ อย่างน้อยเมื่อกลุ่มโพสต์ เปิดพื้นที่ของหนังสือพิมพ์ออนไลน์เป็นเจ้าแรก

เมื่อเกือบสองทศวรรษก่อน ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยอัตราเร่งที่เร็ว และแรงกว่า เมื่อกิจการหนังสือพิมพ์เผชิญกับยุคที่สื่อกระจายเสียงและภาพเข้ามาสู่สังคมไทย และเคลื่อนผ่านไป โดยที่สื่อหนังสือพิมพ์ก็ยังอยู่ได้ ปรากฏการณ์ในห้วงเวลานั้น ทำให้เจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์หลายแห่งนอนใจ และเชื่อว่าถึงอย่างไรหนังสือพิมพ์ก็ยังไม่ตาย

แต่ความมั่นใจนั้น อยู่ได้ไม่นาน ยอดขายหนังสือพิมพ์ที่ปักหัวลง เป็นอัตราผกผันกับการเติบโตขยายตัวของสื่อออนไลน์ ส่งสัญญาณเตือนให้เจ้าของกิจการพิมพ์ มองหาเครื่องมือที่จะช่วยฟื้นความมั่นใจกลับมาอีกครั้ง ข้อเสนอของนักวิชาการ ที่ให้หนังสือพิมพ์นำเสนอข่าวในรูปแบบของข่าวเชิงสืบสวน สอบสวน หรือ Investigative Reporting เพื่อสร้างความต่าง และแข่งขันกับสื่อออนไลน์ในเชิงลึก ก็ดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จมากนัก

ตรงกันข้าม เมื่อนักข่าวพลเมือง ในสื่อสังคมออนไลน์ โพสต์ภาพและเรื่องราวต่างๆ อย่างคึกคัก ทั้งกรณี เสก โลโซ เณรคำ หรือเรื่องของดาราสาว ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น หนังสือพิมพ์ก็หยิบฉวยข่าวเหล่านั้น ไปขยายความต่อ หนังสือพิมพ์กระแสหลักกลายเป็นสื่อชั้นสอง ที่ทำมาหากินกับความฉวบฉวย โดยไม่สนใจความถูกผิดอีก

ภาวะกลับตัวไม่ได้ ไปไม่ถึงนี้ อาจยกเว้นกรณี หนังสือพิมพ์แนวการเมืองเข้ม เช่น หนังสือพิมพ์แนวหน้า ไทยโพสต์ ที่มียอดขายเพิ่มขึ้น ในขณะที่อดีตหนังสือพิมพ์คุณภาพการเมืองเข้ม บางฉบับถดถอยลง

แน่นอนว่า สื่อออนไลน์ยังตอบโจทย์ทางธุรกิจไม่ได้ชัดเจน แต่พฤติกรรมผู้บริโภค โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในยุค I หนังสือพิมพ์กลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับพวกเขา บรรดาเจ้าของกิจการทั้งหลายที่คนรุ่นใหม่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ก็มุ่งไปที่สื่อใหม่ๆ พื้นที่โฆษณาของหนังสือพิมพ์ที่อย่างน้อยต้องมี 70 เปอร์เซ็นต์ สั่นคลอน หลายฉบับมุ่งไปที่งบโฆษณาภาครัฐ ที่เป็นเม็ดเงินมหาศาล แต่ก็สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดจริยธรรม และตกอยู่ภายใต้การครอบงำของผู้มีอำนาจไม่ว่าจะโดยจงใจหรือไม่ก็ตาม

การทำให้สื่อหนังสือพิมพ์ที่เงียบงัน นอนนิ่งไม่ไหวติง กลับมามีชีวิต ชีวามากขึ้น ก็ต้องทำให้ตัวหนังสือและภาพนิ่ง แปรรูปเป็นภาพและเสียงได้ และนั่นก็อาจเป็นผลให้กลุ่มคนอ่านหนังสือพิมพ์ รวมทั้งผู้ลงโฆษณา หันกลับมามองและให้ความสำคัญกับสื่อหนังสือพิมพ์ในรูปแบบของมัลติมีเดีย ด้วยความเชื่อว่า ผู้รับสารจะได้ครบในสิ่งที่เขาต้องการ ทั้งภาพและเสียง ด้วยการอ่านหนังสือพิมพ์เพียงฉบับเดียว และนั่นเป็นที่มาของ iSnap ของกลุ่มเนชั่น และ Daily News Flash เมื่อต้นปีนี้

แต่ หากดูพฤติกรรมของผู้รับสาร โดยไม่ต้องอิงกับทฤษฎีและหลักคิดใด หากผู้รับสารต้องการสื่อที่เป็นภาพและเสียง เหตุใดเขาจะต้องดูผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ที่มีขั้นตอน มีความยุ่งยากมากกว่า และต้องอาศัยสมาร์ทโฟนที่มีราคาแพง และคนโดยทั่วไปยังเข้าไม่ถึง ผลสัมฤทธิ์หรือประสิทธิภาพของการสื่อสาร จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีความสอดคล้องกันระหว่างสารที่ผู้ส่งสารต้องการสื่อไปยังผู้รับสาร หากการรับรู้ความหมายผิดไป ก็ไม่มีเหตุผลความจำเป็นที่ต้องดูภาพ ฟังเสียง หรือแม้กระทั่งดูโฆษณาผ่านสื่อหนังสือพิมพ์

เมื่อเริ่มเปิดตัว “เดลินิวส์แฟลช” ผู้บริหารอธิบายว่า เป็นอีกหนึ่งของเทคโนโลยี ที่หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ได้ร่วมมือกับบริษัท เวฟยี (ไทยแลนด์) จำกัด ทำแอพพลิเคชันมัลติมีเดีย เพื่อเชื่อมโยงสื่อหนังสือพิมพ์กับมัลติมีเดียอย่างวีดิโอหรือคลิปเข้าด้วยกัน โทรศัพท์มือถือ “สมาร์ทโฟน” ที่โหลดแอพพลิเคชันฯเวฟอายส์ จากนั้นเพียงแค่นำโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ไปถ่ายภาพที่มีสัญลักษณ์ “เดลินิวส์แฟลช” ปรากฏอยู่ในภาพข่าวหน้าหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ก็สามารถตอบสนองความต้องการในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนและผู้อ่านได้อย่างครบถ้วนเสมือนหนึ่งได้เข้าไปอยู่ร่วมรับรู้ได้สัมผัสความจริงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นวิธีการที่ง่ายกว่า iSnap ที่อาศัยพฤติกรรมชอบถ่ายรูปของคนไทย

ผ่านมาแล้ว ราวครึ่งปี เดลินิวส์แฟลช หายไป ในขณะที่ iSnap ยังอยู่ ไม่ว่าคำตอบแท้จริงจะเป็นอย่างไร แต่ความพยายามที่จะหาทางออกให้กับสื่อหนังสือพิมพ์ ก็ยังคงเป็นความพยายามอยู่ หลุมดำของโลกดิจิทัล มีเดีย กำลังดูดกลืนทุกสิ่ง

http://bit.ly/1hyQZ6R
Tags : จักร์กฤษ เพิ่มพูล

ครูพันธุ์ใหม่ ยุคดิจิทัล

ครูพันธุ์ใหม่ ยุคดิจิทัล

! http://bit.ly/19jRb58

โดย อัญญาวีร์ อุนสวัสดิ์อาภา   
สมัยอดีต “การไหว้ครู” เป็นพิธีกรรมที่ศิษย์แสดงถึงความเคารพและยอมรับนับถือครูบาอาจารย์อย่างจริงใจ ว่าเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมความรู้

และศิษย์ในฐานะผู้สืบทอดมรดกทางวิชาการจึงพร้อมใจกันปวารณาตัวเพื่อรับการถ่ายทอดวิชาความรู้ด้วยความวิริยะอุตสาหะ และสัญลักษณ์ที่มักจะพบในพานไหว้ครูแบบดั้งเดิมมักจะประกอบด้วย “ข้าวตอก” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมีระเบียบวินัย “ดอกมะเขือ” เป็นสัญลักษณ์แห่งความอ่อนน้อมถ่อมตนและการมีสัมมาคารวะ “ดอกเข็ม” เป็นสัญลักษณ์ของสติปัญญาที่ฉลาดหลักแหลม และ “หญ้าแพรก” เป็นสัญลักษณ์ของความอดทนและความมีวิริยะอุตสาหะ ซึ่งสัญลักษณ์ดังกล่าว ได้ถูกผลิตซ้ำและสืบทอดคุณค่าและความหมายเกี่ยวกับคุณลักษณะศิษย์ที่พึงประสงค์มาเป็นระยะเวลานาน

แต่ในยุคปัจจุบันสัญลักษณ์พานไหว้ครูได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และในช่วงเปิดเทอมที่ผ่านมา สื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวพิธีไหว้ครูของวัยรุ่นในโรงเรียนและสถาบันการศึกษาบางแห่ง ที่ได้สร้างสรรค์พานไหว้ครูเป็นโลโก้กูเกิล เฟซบุ๊ค และไลน์ โดยให้เหตุผลว่า เพื่อต้องการสื่อว่าโลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงและทันสมัยมากขึ้น ทั้งกูเกิล เฟซบุ๊ค และไลน์ถือเป็นสื่อใหม่ (New media) ที่วัยรุ่นได้นำมาใช้ในการติดต่อสื่อสารจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน

เมื่อข่าวดังกล่าวเผยแพร่ไป ปรากฏว่ามีกระแสตอบรับจากสังคมทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการนำสัญลักษณ์สื่อใหม่ (New media) และสื่อสังคม (Social media) มาเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมไหว้ครู โดยวัยรุ่นโดยส่วนใหญ่มองว่า พานไหว้ครูยุคใหม่เป็นการสืบทอดสัญลักษณ์และประเพณีในเชิงสร้างสรรค์ แต่ในทางกลับกันผู้ใหญ่บางคนกลับไม่เห็นด้วยเพราะมองว่าสัญลักษณ์ของพานไหว้ครูดังกล่าว อาจเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือและความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีกรรมไหว้ครูแบบดั้งเดิมให้เสื่อมถอยลงไป ซึ่งโดยความคิดเห็นส่วนตัวผู้เขียนไม่ได้นำเสนอปรากฏการณ์ดังกล่าวเพื่อตัดสินใจว่าสิ่งใดถูกหรือสิ่งใดผิด แต่สิ่งที่สนใจก็คือการสื่อสารเชิงสัญญะที่แฝงเร้นอยู่ในพานไหว้ครู สัญลักษณ์สื่อใหม่และสื่อสังคมที่ปรากฏบนพานไว้ครูได้สถาปนาความหมายและสถานภาพของ “ครูพันธุ์ใหม่ในยุคดิจิทัล” ขึ้นในสังคมไทย

อาจกล่าวได้ว่า ในยุคที่เทคโนโลยีการสื่อสารสามารถเข้าถึงผู้รับสารได้สะดวก รวดเร็ว เป็นจำนวนมาก โดยไม่จำกัดเวลาและสถานที่ สื่อใหม่ (New media) ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน ไอแพด โน้ตบุ๊ค ได้ถูกสถาปนาให้กลายเป็น “ครูพันธุ์ใหม่” ที่ สามารถแสวงหาคำตอบให้กับคนทุกเพศทุกวัยในทุกเรื่อง ทุกที่ และทุกเวลาโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และบางครั้งเราก็มักจะได้ยินครูบางท่านสบถในห้องเรียนด้วยความท้อแท้ใจในการสอนเด็กยุคใหม่ที่ก้มหน้าก้มตาดูสมาร์ทโฟน โน้ตบุ๊ค หรือไอแพดโดยไม่สนใจครูผู้สอนว่า “เด็กสมัยนี้เชื่อคอมฯ มากกว่าเชื่อครู”

ข้อมูลจากการสำรวจของเว็บไซต์ alexa.com ผู้ให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลเว็บไซต์ที่มีผู้เข้าใช้บริการมากกว่า 1 ล้านคนต่อวัน แสดงข้อมูลเชิงสถิติที่น่าสนใจว่า ปัจจุบันเฟซบุ๊ค (Facebook.com) ได้กลายเป็นเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ที่มีผู้ใช้บริการมากที่สุดในโลก รองลงมาคือกูเกิล (google.com) และ ยูทูป (http://www.alexa.com) เป็นที่น่าสังเกตว่า คนรุ่นใหม่ในยุคดิจิทัลไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันโดยปราศจากการติดต่อสื่อสารกับโลกออนไลน์ในทุกช่วงเวลาของชีวิต เช่น ตื่นนอน เดินทาง กินอาหาร เดินทาง พักผ่อน หรือแม้แต่ในยามที่ครูกำลังสอนในชั้นเรียน ผู้ส่งสารในโลกดิจิทัลยังคงสื่อสารและสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้รับสารทั้งทางตรงและทางอ้อม

จุดเด่นของสื่อใหม่คือการให้อำนาจกับผู้รับสารในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และความสามารถในการตรวจสอบข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งเปิดช่องทางการติดต่อสื่อสารและการแสดงความคิดเห็นแบบสองทาง (Two-way-communication) โดยไม่ต้องกลัวการทำโทษ หรือกลัวว่าคำตอบนั้นจะถูกหรือผิด จึงกลายเป็นเสน่ห์ดึงดูดผู้สนใจให้เข้ามาใช้บริการในเว็บไซต์มากขึ้น ซึ่งสวนทางกับจำนวนผู้อ่านหนังสือหรือตำราที่นับวันจะมีจำนวนลดลงไปเรื่อยๆ เนื่องจากการสื่อสารแบบทางเดียวไม่สามารถตอบสนองความต้องการของวัยรุ่นในยุคดิจิทัล หรือแม้แต่ครูพันธ์ดังเดิม (บุคคล) หากมุ่งที่เน้นการสอนแบบทางเดียวโดยไม่สร้างการมีปฏิสัมพันธ์แห่งการเรียนรู้ก็อาจไม่ได้รับความสนใจจากศิษย์ในยุคสมัยนี้

อย่างไรก็ดี แม้ครูพันธุ์ใหม่จะได้รับการยอมรับว่าสามารถให้ความรู้ที่รอบด้านอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีข้อจำกัด เนื่องจากไม่สามารถสร้างความรู้สึกแห่งความไว้วางใจระหว่างครูกับศิษย์ได้อย่างแท้จริง เนื่องจากผู้ส่งสารในโลกดิจิทัลแม้จะทำหน้าที่ให้ความรู้แต่ก็ไม่มีตัวตนที่สามารถสัมผัสได้ รวมทั้งไม่สามารถให้คำปรึกษาหรือเยียวยาความทุกข์ของศิษย์ได้อย่างเข้าใจ หรือแม้แต่การสร้างทัศนคติและจิตสำนึกที่ดีต่อเพื่อนมนุษย์ได้อย่างแท้จริง เพราะสื่อออนไลน์เป็นเพียงช่องทาง หรือเครื่องมือในการสื่อสารแต่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นมนุษย์ หากเป็นเช่นนี้แล้วครูพันธ์ใหม่อาจมีสถานะเป็นเพียง “เปลือก” ในการสร้างความรู้ แต่ไม่ใช่ “แก่น” ที่สร้างคุณค่าแห่งการเรียนรู้ของศิษย์แบบครูสมัยก่อนก็เป็นได้

เพราะฉะนั้นสัญลักษณ์สื่อใหม่ในพานไหว้ครูที่เปลี่ยนไปจึงสะท้อนให้เห็นเพียงรูปแบบการสื่อสารในพิธีกรรม แต่ยังขาดการสถานะครูพันธุ์ใหม่อย่างสมบูรณ์หากยังไม่ทำหน้าที่ในการสร้างจิตสำนึกของศิษย์ให้เข้าถึงความเป็นมนุษย์ (ผู้รู้จักใช้เหตุผล, ผู้มีจิตใจสูง) ได้อย่างสมบูรณ์

! http://bit.ly/19jRb58

Tags : อัญญาวีร์ อุนสวัสดิ์อาภา

แชร์ไม่แชร์ บนสื่อสังคมออนไลน์

การใช้สื่อออนไลน์อย่างโซเชียลมีเดีย คงเคยได้ยินประโยคที่ว่า ถ้าชอบต้องกด “Like” ถ้าใช่ต้องกด “Share” คงเป็นกิจกรรมที่พบได้ทั่วไป

! http://bit.ly/1b8RM0W
โดย : ชินกฤต อุดมลาภไพศาล

หรือกลายเป็นวัตรปฏิบัติของการใช้โซเชียลมีเดียไปแล้ว ก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องราวครึกโครมใหญ่โตสะเทือนสังคมออนไลน์ประเด็นการกด Like หรือ Share บางเรื่องบางประเด็นอาจจะเป็นสิ่งที่เข้าข่ายการกระทำผิด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 จนกลายเป็นกระแสทางสังคมเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการลิดรอนสิทธิ หรือเสรีภาพในการใช้สื่อออนไลน์ของผู้ใช้หรือไม่

หากพิจารณาดีๆ ตัดประเด็นเหล่านั้นออกไป สร้างกรอบปฏิบัติที่ดีของการใช้สื่อออนไลน์ โดยเริ่มต้นที่ตัวผู้ใช้สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ใช่สิ่งใหญ่โตที่จะต้องคำนึงถึงมากนัก มนุษย์ยุคสารสนเทศ การแลกเปลี่ยนแบ่งปันเป็นกิจกรรมกลุ่มทางสังคมจากยุคการแลกเปลี่ยนเชิงสิ่งของในยุคเก่าก่อนไปสู่ยุคการแลกเปลี่ยนแบบดิจิทัล ข้อมูลในรูปของ ข้อความ คลิปเสียง ภาพนิ่งภาพเคลื่อนไหว บนสื่อออนไลน์ โดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย ที่มีภูมิทัศน์ของความหลากหลายในการแบ่งปันข้อมูล อาทิ บทความออนไลน์ผ่านบล็อก คลิปวีดิโอผ่านยูทูป ข้อความ โพสต์ข้อความบนแฟนเพจเฟซบุ๊ค เป็นต้น ประเด็นของการแบ่งปันของมนุษย์ยุคออนไลน์ มี 2 สิ่งหลัก คือ การแบ่งปันสิ่งที่มีความสำคัญ และการแบ่งปันความสนุกสนาน นอกนั้นก็เป็นการแบ่งปันเพื่อสะท้อนความเชื่อของตนเอง สะท้อนบุคลิกตัวตน การแนะนำสินค้า ภาพยนตร์ และอื่นๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วการแชร์ คือ “การแบ่งปันสิ่งที่มีความน่าสนใจ”

สามประการพื้นฐานสู่การเริ่มต้นการแบ่งปันที่ดีสามารถทำได้ง่าย เริ่มจากตัวผู้ใช้ ประการแรก ระมัดระวังข้อความหรือบทสนทนา อาทิ บนเฟซบุ๊คผู้ใช้งานสามารถส่งข้อความ โพสต์ภาพถ่าย หรือวีดิโอบนหน้ากระดานคนอื่นได้ แม้จะดูเหมือนกิจกรรมการส่งข้อความหากันคล้ายการส่งผ่านอีเมล์ของคนสองคน แต่มันสามารถเห็นโดยบุคคลทั่วไปที่เป็นเพื่อนของคนใดคนหนึ่ง ระมัดระวังประเด็นส่วนตัวกลายเป็นประเด็นที่วิ่งรอบโลก สิ่งนี้พบได้ในชีวิตประจำวันตามหน้าสื่อ อาทิ ข่าวกอสซิปของดารา ผ่านเฟซบุ๊ค อินสตาแกรม คลิปหลุด แปลก จุดกระแสบนยูทูป ที่กลายเป็นประเด็นครึกโครม สื่อกระแสหลักนำไปเล่นขยายต่อ ดังนั้น เพื่อป้องกันสิ่งเหล่านี้ จึงเป็นวิจารณญาณของผู้ใช้งานที่จะพิจารณา หากรู้ว่าสึกว่าไม่สะดวกที่จะแบ่งปันกับเพื่อน เพื่อนร่วมงาน หรือคนแปลกหน้าที่ไม่สนิทชิดเชื้อ ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยง

ประการที่สอง ข้อมูลส่วนบุคคลและองค์กรข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ไม่ควรที่จะโพสต์ เพราะเป็นการเชื้อเชิญ บุคคลที่ไม่ประสงค์ดี เข้ามาใกล้ หรือคุกคามชีวิตคุณโดยไม่รู้ตัว ส่วนข้อมูลองค์กรหลายต่อหลายองค์กร ข้อมูลกิจกรรมบางอย่างเป็นสิ่งที่เป็นความลับ เช่น โครงการใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น หากข้อมูลหลุดรั่วออกไปยังคู่แข่ง ก็สร้างมูลค่าความเสียหายแก่บริษัท หลายองค์กรจึงมีการจำกัดการเข้าถึงการใช้โซเชียลมีเดีย หรือการจำกัดการเข้าใช้เว็บไซต์บางเว็บ เพราะกลัวสิ่งที่พนักงานจะแชร์ออกไปด้วยความตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม หนทางที่สะดวกกว่าคือการส่งผ่านอีเมล์ส่วนตัว และตระหนักเสมอว่าสิ่งที่กำลังนำเสนอออกไปบนโซเชียลมีเดียหากเกี่ยวข้องกับองค์กรควรสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่องค์กร

ประการที่สาม พาสเวิร์ด ดูเหมือนประเด็นที่ไม่น่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะมีใครทำกัน แต่เชื่ออย่างหนึ่งว่า เรื่องพื้นๆ ทั่วไป สามารถสร้างเป็นเรื่องราวใหญ่โตได้เสมอ พาสเวิร์ดไม่จำเป็นต้องเป็นพาสเวิร์ดบัตรเครดิต พาสเวิร์ดการล็อกอินเข้าเว็บไซต์ที่เป็นระบบสมาชิก หรือเครือข่ายโซเชียลมีเดียอื่นๆ น้อยคนนักที่ใช้เครือข่ายแต่ละแห่ง ใช้พาสเวิร์ดคนละชุดกัน หรือบางเครือข่ายก็อนุญาตให้ล็อกอิน ด้วยชุดพาสเวิร์ดผ่านเครือข่ายหนึ่งได้ เช่น คุณสามารถล็อกอินเข้ายูทูปด้วย ล็อกอินด้วยบัญชีผู้ใช้ของกูเกิล หรือล็อกอินเข้าพินเทอเรสต์ ที่สามารถล็อกอินด้วยบัญชีผู้ใช้อย่างเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ หลายต่อหลายโซเชียลมีเดีย ให้ความสะดวกแก่ผู้ใช้ที่ไม่ต้องจดจำพาสเวิร์ด หรือใช้พาสเวิร์ดหลายชุด พึงระลึกไว้เสมอ บางครั้งด้วยความคาดไม่ถึงการณ์ ให้เพราะสนิทกัน ให้เพราะเชื่อว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาในการใช้งานได้ข้อมูลส่วนตัวหลุดเพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่เสมอ

โลกของโซเชียลมีเดีย เครือข่ายสังคมการแบ่งปันทุกสิ่งอย่าง มองด้านดี เป็นที่ที่มีกิจกรรมทางสังคมขับเคลื่อนอยู่ตลอดเวลาในทุกมิติ ชีวิตส่วนตัว งาน สังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี บ่อยครั้งที่สังคมออนไลน์แห่งนี้พูดถึงการใช้งานสื่อ แต่ไม่ค่อยจะนำเสนอ การรู้เท่าทันสื่อและใช้งานสื่ออย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควรพึงระลึกเสมอว่าทุกสิ่งอย่าง ทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์จะถูกบันทึกและปรากฏอยู่ตราบนานเท่าที่ยังมีคำว่า เครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือโซเชียลมีเดีย ยังเป็นที่รู้จักของมวลมนุษย์

! http://bit.ly/1b8RM0W
Tags : ชินกฤต อุดมลาภไพศาล

P ตัวที่ 5 ของอิชิตัน ในตลาดชาเขียวพร้อมดื่ม

ผมชอบประโยคของ อ.ดรรชกร  ศรีไพศาล

ดรรชกร ศรีไพศาล - Datchakorn
ดรรชกร ศรีไพศาล – Datchakorn

ในบรรทัดสุดท้ายที่ทิ้งท้ายไว้ว่า “วันใดที่ตัน ภาสกรนที ถอนตัวจากอิชิตันไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด” อาจรวมถึงคุณตันขาย อิชิตัน แล้วไปตั้งบริษัทชาใหม่ ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็จะตามไปดื่มชายี่ห้อใหม่ของคุณตันไงครับ แล้วอิชิตันก็คงจะขาด P ตัวที่ 5 ไป

โดย ดรรชกร ศรีไพศาล จาก กรุงเทพธุรกิจ
! http://bit.ly/133OI04
! http://blog.nation.ac.th/?p=2827

หากย้อนประวัติของที่มาการแข่งขันที่เสมือนศึกสายเลือด อันมีที่มาจากต้นทางเดียวกันระหว่างโออิชิ และอิชิตัน

ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อกลุ่มบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีเบียร์ช้างเป็นเครื่องหมายการค้าสำคัญ ได้เข้าซื้อกิจการเครื่องดื่มชาเขียวพร้อมดื่มโออิชิ ของตัน ภาสกรนที ในปี พ.ศ. 2549 ด้วยมูลค่า และข้อเสนอที่ตัน ภาสกรนที ยากที่จะปฏิเสธ

แต่ด้วยวิสัยความเป็นผู้ประกอบการ ประเภท “เถ้าแก่” ที่กล้าได้ กล้าเสีย กอปรกับความคุ้นเคย และเข้าใจในธุรกิจเครื่องดื่มพร้อมดื่มประเภทต่างๆ ในประเทศไทย จึงเป็นที่มาของการกลับสู่ตลาด พร้อมกับผลิตภัณฑ์ใน Brand ใหม่ ชื่อ อิชิตัน แต่คงกลิ่นอายเดิม ทั้งรสชาติของเครื่องดื่มชาเขียว ที่ใช้สูตรในการปรุงรสชาติมาจากบุคคลคนเดียวกันกับผู้ปรุงรสชาติชาเขียวให้กับโออิชิ และรูปแบบการสร้างปรากฏการณ์ทางการตลาด ด้วย Campaign ที่เป็นสีสันของสังคมแบบโดนใจผู้บริโภค ทั้งการแจกเงิน แจกทอง เป็นต้น

เพียงไม่นานนับจากการหวนเข้าสู่ตลาดเครื่องดื่มชาเขียวพร้อมดื่ม ในปี พ.ศ. 2554 ถึงปัจจุบัน คือ พ.ศ. 2556 ตัน ภาสกรนที และอิชิตัน สามารถก้าวกระโดดขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งของตลาด ด้วยสัดส่วนทางการตลาดร้อยละ 44 ในขณะที่ผู้นำตลาดรายเดิม คือ โออิชิ ตามมาเป็นอันดับสอง สัดส่วนร้อยละ 37 ของตลาด และเป็นที่คาดการณ์ว่าตลาด จะมีอัตราการเติบโตสูงถึงร้อยละ 25 ในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ตลาดเครื่องดื่มชาเขียวพร้อมดื่ม มีมูลค่าตลาดสูงถึง 1.65 หมื่นล้านบาท

ความสำเร็จของอิชิตัน ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ (Product) หรือรสชาติของชาเขียวก็ยังไม่โดดเด่น เพราะคงยากที่จะหาผู้ใดมาให้ความเห็นเกี่ยวกับรสชาติของชาเขียวพร้อมดื่ม 2 Brand นี้ ว่า Brand ใด จะหวานหรือขมกว่ากัน หรือ Brand ใด จะมีรสชาติถูกปากคนไทยมากกว่ากัน

ปัจจัยด้านราคา (Price) ซึ่งตัน ภาสกรนที เลือกใช้ในการเปิดตัวสู่ตลาดให้แก่อิชิตัน ด้วยราคาที่ถูกกว่าของคู่แข่งขันทุกรายในตลาด นับเป็นส่วนผลักดันสำคัญให้อิชิตัน สามารถเบียดแย่งพื้นที่บนชั้นวาง และตู้แช่เครื่องดื่มในร้านค้าต่างๆ จากคู่แข่งขันได้ในระดับหนึ่ง

ดังนั้น Key Success ของการเข้าสู่ตลาดชาเขียวพร้อมดื่มในระยะเปิดตัวของอิชิตัน จึงหมายถึง ช่องทางการจัดจำหน่าย (Place) ที่ครอบคุลมตลาด และ สอดรับกับ Life Style ของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งแน่นอนว่าไทยเบฟฯ ย่อมต้องพยายามปกป้องการกระจายตัวของอิชิตันอย่างเข้มข้น กระทั่ง อาจจะนำกลยุทธ์เดียวกับที่เคยใช้ได้ผลในอดีต มาประยุกต์หรือปรับใช้อีกครั้งในศึกชาเขียวพร้อมดื่มครั้งนี้ ด้วยการใช้สายสัมพันธ์กับร้านค้าโชห่วย กว่า 300,000 แห่ง ทั่วประเทศ

แต่ ตัน ภาสกรนที รู้ดีถึงจุดอ่อนสำคัญของอิชิตันในเวลานั้น ที่อาจจะถูกโออิชิ ของไทยเบฟฯ ใช้ความพร้อมที่เหนือกว่า เบียดแย่งพื้นจนอาจจะไร้ที่ยืนในตลาดชาเขียวพร้อมดื่มได้ จึงได้หาและสร้างพันธมิตรธุรกิจที่จะขจัดจุดอ่อนด้านช่องทางการจัดจำหน่ายให้กับอิชิตัน และเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างอิชิตัน ของตัน ภาสกรนที กับกลุ่มบุญรอดฯ เจ้าของผลิตภัณฑ์เบียร์สิงห์ ที่มี Dealer กว่า 200 รายในตลาด และพร้อมที่จะเป็นผู้จัดกระจายอิชิตัน สู่ร้านค้าโชห่วยกว่า 100,000 ราย ในขณะที่การเข้าสู่ร้านค้าประเภท Modern Trade ทั่วประเทศ เป็นหน้าที่ของดีทแฮล์ม

การส่งเสริมการตลาด และส่งเสริมการขาย (Promotion) เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ผู้บริโภค และนักการตลาดทั่วไป สามารถจับกระแสความรุนแรงของการแข่งขันระหว่างโออิชิ และอิชิตันได้อย่างชัดเจน มากกว่าการศึกษาจากปัจจัยทางการตลาดด้านอื่นๆ

ในลักษณะที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน ทั้งการแจกเงิน แจกทอง แจกรถ หรือแม้แต่การพาไปท่องเที่ยว พร้อม Pocket Money อย่างจุใจ ฯลฯ ที่สำคัญ คือ ทั้งโออิชิ และอิชิตัน ต่างใช้ Promotion อย่างต่อเนื่อง ด้วยความถี่ระดับสูง จนไม่อาจจะนำแนวทางปฏิบัติดังกล่าวไปเปรียบเทียบในตำราการตลาดใดๆ ได้

อย่างไรก็ดี ดูเสมือนว่าการสร้างสรรค์ Campaign การ Promotion ของโออิชิ จะมีจังหวะที่ช้ากว่าอิชิตันอย่างน้อย 1 จังหวะอยู่เสมอ จึงอาจจะกล่าวได้ว่า ในปัจจัยด้านการ Promotion คือ Key Success สำคัญของอิชิตันอย่างแท้จริง ที่ทำให้สามารถก้าวแซงหน้าโออิชิได้อย่างเด่นชัด โดยมีส่วนการถือครองตลาดในปัจจุบันเป็นเครื่องยืนยัน และยังเป็นสิ่งยืนยันให้ทราบถึงความสำคัญของอีกหนึ่งปัจจัย ที่อยู่นอกเหนือจากปัจจัยการตลาดทั้ง 4 ในข้างต้น นั่นคือ P ตัวที่ 5 หรือ People

รูปแบบการบริหารโออิชิ ของไทยเบฟฯ ที่อยู่ภายใต้โครงสร้างการบริหารขององค์กรใหญ่ จึงอาจจะขาดความคล่องตัวในการตัดสินใจปรับเปลี่ยนแผนงานการตลาด ให้สอดรับกับกลยุทธ์การแข่งขันของคู่แข่งขันในตลาด โดยเฉพาะกับคู่แข่งขัน เช่น ตัน ภาสกรนที ที่มีรูปแบบการบริหารในลักษณะของเถ้าแก่ ที่กล้าคิด กล้าตัดสินใจ และที่สำคัญ คือ รู้ ที่จะใช้ประโยชน์จากสายสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นกับบรรดา Celebrity ในสังคม ทั้งอุดม แต้พานิช หรือสรยุทธ สุทัศนะจินดา ให้ช่วยผลักดัน Contents หรือ Story ต่างๆ ที่ตัน ภาสกรนที ได้สร้างขึ้นในแต่ละวาระ ให้สอดรับกับสถานการณ์ต่างๆ ในสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล้วน “โดน” ใจผู้บริโภคคนชั้นกลางเป็นอย่างมาก

การก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำตลาดในตลาดชาเขียวพร้อมดื่มของอิชิตันในวันนี้ เกิดขึ้นจาก P ตัวที่ 5 ซึ่งเป็นความแตกต่างที่เด่นชัดระหว่างโออิชิ ของไทยเบฟฯ และอิชิตัน ของตัน ภาสกรนที และน่าคิดต่อไปว่า วันใดที่ตัน ภาสกรนที ถอนตัวจากอิชิตันไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เสน่ห์ของอิชิตัน จะยังหลงเหลือไว้ผูกใจผู้บริโภคได้อีกหรือไม่

โดย ดรรชกร ศรีไพศาล จาก กรุงเทพธุรกิจ
! http://bit.ly/133OI04
! http://blog.nation.ac.th/?p=2827

สิทธิในการฟ้องคดี กับเสรีภาพวิชาการ

มีประเด็นข้อสังเกตเกี่ยวกับกรณี คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทค.) ฟ้องคดีนักวิชาการ และสื่อมวลชนว่า เป็นสิทธิอันชอบธรรมของ กทค.

โดย จักร์กฤษ เพิ่มพูล จาก กรุงเทพธุรกิจ
! http://bit.ly/13FdELP
! http://blog.nation.ac.th/?p=2832

ทั้งในฐานะส่วนตัว และองค์กรที่จะฟ้องคดีคนที่ทำให้พวกเขาเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือ ในขณะเดียวกันก็มีประเด็นโต้แย้งว่า ถึงแม้จะเป็นการใช้สิทธิ แต่เป็นการใช้ในลักษณะลิดรอนในการแสดงความคิดเห็นของนักวิชาการ และสื่อมวลชน ซึ่งได้รับรองโดยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือไม่

ความเป็นธรรมเรื่องที่ กทค. ใช้เป็นฐานความผิด ในการฟ้องคดีนี้ คือ การวิพากษ์เรื่องสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 1800 ซึ่งเป็นประเด็นสาธารณะ แม้จะกระทบพาดพิงไปถึงบุคคลที่ประกอบขึ้นเป็น กทค.บ้าง ก็ถือว่า กทค. เป็น public figure หรือบุคคลสาธารณะด้วย บุคคลสาธารณะย่อมได้รับการยกเว้น ในการที่สื่อหรือสาธารณชนจะติดตาม ตรวจสอบ หรือนำเสนอเรื่องราวของเขาเหล่านั้น และหากพิจารณาประกอบกับข้อยกเว้นความผิดฐานหมิ่นประมาท เรื่องประเด็นสาธารณะ การแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมต่อสาธารณะ ในประมวลกฎหมายอาญา ก็มีคำพิพากษาศาลฎีกาหลายคดีเป็นบรรทัดฐาน

คำว่า ใช้สิทธิในการลิดรอนเสรีภาพ หรือการแสดงออกในลักษณะข่มขู่ คุกคาม นอกเหนือจากการใช้สิทธิตามกฎหมาย เช่น ขู่จะฟ้องทั่วราชอาณาจักร ซึ่งทำไม่ได้โดยข้อกฎหมาย หรือข้อหา คำขอท้ายฟ้องที่มุ่งหมายจะแก้แค้นตอบแทนในแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน มุ่งหมายจะให้จำเลยรับโทษหนักกว่าที่ควร อาจตีความได้ว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ซึ่งในทางคดีแพ่งเขียนไว้ชัด แต่ในคดีอาญา ประมวลกฎหมาย มาตรา 175 บอกว่า ผู้ใดเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญา หรือว่ากระทำความผิดอาญาแรงกว่าที่เป็นความจริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

หากพิเคราะห์ในแง่เสรีภาพ นักวิชาการ และสื่อมวลชน
ใช้เสรีภาพจนเกินขอบเขต หรือไม่มีความรับผิดชอบหรือไม่

การใช้เสรีภาพจนเกินเลยไปจากหน้าที่นักวิชาการ ที่มุ่งจะเสนอแง่มุมทางวิชาการด้วยเหตุ และผลเพื่อให้สังคมตื่นรู้และเท่าทันบางเรื่องราวที่ยากเข้าถึงและเข้าใจ หรือการใช้เสรีภาพของสื่อในการรายงานและอธิบายปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น ในกรณีนี้ ไม่มีประเด็นที่จะชี้ให้เห็นเลยว่า สื่อและนักวิชาการได้ใช้เสรีภาพในทางที่จะไปกระทบต่อเกียรติยศ ชื่อเสียงของบุคคลใดในฐานะส่วนตัวเลย ตรงกันข้าม กลับแสดงให้เห็นว่า กทค. ใน กสทช. กำลังใช้สิทธิโดยไม่เข้าใจบริบท หรือบทบาทของนักวิชาการ และสื่อ ซึ่งจะส่งผลเสียหายต่อ กสทช. มากกว่า

การฟ้องร้องครั้งนี้กลับยิ่งทำให้องค์กรได้รับความเสียหายมากกว่า เพราะการที่ กสทช. ถูกวิพากษ์วิจารณ์และอาจไม่พอใจกับข้อมูลที่ได้รับการตรวจสอบนั้น ก็สามารถใช้สิทธิในการโต้แย้งเพื่อชี้แจงข้อมูลผ่านการแถลงข่าว ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงการใช้งบประมาณซื้อพื้นที่สื่อเพื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์งานของ กสทช. ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด รวมทั้งพบว่าสถานีโทรทัศน์บางช่องได้เชิญกรรมการบางท่านไปออกรายการเพื่อชี้แจง แต่กลับได้รับการปฏิเสธไม่ร่วม การกระทำเช่นนี้ย่อมอาจถูกมองได้ว่าเป็นการปฏิเสธการตรวจสอบจากภายนอก ซึ่งขัดเจตนารมณ์การเป็นองค์กรอิสระที่ต้องมีหลักธรรมาภิบาลเรื่องความโปร่งใสตรวจสอบได้” สุภิญญา กลางณรงค์ กสทช. กล่าว

กสทช. และคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทค.) ร่วมกันเป็นโจทก์ ฟ้อง ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผู้อำนวยการวิจัย มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และณัฎฐา โกมลวาทิน ผู้สื่อข่าวและผู้ดำเนินรายการ “ที่นี่ไทยพีบีเอส” จากกรณีนำเสนอข่าวการสิ้นสุดการอนุญาตสัมปทานการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 1800 ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ณ ศาลอาญา

กรณีเช่นนี้ เคยปรากฏมาก่อน จากการที่บริษัทโรงไฟฟ้าแห่งหนึ่งฟ้องผู้ร่วมรายการ และจอมขวัญ หลาวเพ็ชร พิธีกรรายการ คม ชัด ลึก ทางเนชั่นแชนแนล ศาลยกฟ้องชั้นไต่สวน โดยให้เหตุผลว่า

…การตั้งประเด็นคำถาม เกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดกับประชาชนในพื้นที่ ความไม่โปร่งใสในการประมูล เป็นการทำหน้าที่ในฐานะสื่อมวลชน

ซึ่งศาลได้ยกฟ้องผู้ร่วมรายการในเวลาต่อมา ด้วยเหตุว่าเป็นการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์สาธารณะ

ไม่ว่า กสทช. โดย กทค. จะเดินหน้าใช้อำนาจศาลข่มขู่ คุกคาม นักวิชาการและสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่ตรงไปตรงมา ตามวิชาชีพครั้งนี้อย่างไร ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของ กทค. และกสทช. ทั้งคณะอย่างเข้มข้นต่อไปได้

กสทช. ตัดสินใจเดินหน้า ไม่ถอนฟ้อง ไม่เจรจา ไม่อ่อนข้อกับคู่กรณีอย่างใดทั้งสิ้น นี่นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะเท่ากับ กสทช. กำลังยื่นดาบให้ศาลเชือดคอตัวเอง

โดย จักร์กฤษ เพิ่มพูล จาก กรุงเทพธุรกิจ
! http://bit.ly/13FdELP
! http://blog.nation.ac.th/?p=2832