บุรินทร์ รุจจนพันธุ์

สะท้อนภาพจังหวัดผ่านคำขวัญ(itinlife394)

คำขวัญขี้เหล้า
คำขวัญขี้เหล้า

มีโอกาสได้อ่านอะไรในเฟซบุ๊คมากมาย แล้ววันหนึ่งก็มีเพื่อนในเฟสให้คำขวัญ(ขี้เหล้า)เมืองลำปาง  พบในแฟนเพจฮาคนเมือง เป็นการเขียนเชิงล้อเลียนเสมือนบ่นให้ฟังด้วยภาษาล้านนา อ่านแล้วก็เชื่อว่าคนต่างถิ่นไม่เข้าใจแน่ เพราะเป็นภาษาถิ่น และสถานที่ในท้องถิ่น มีนิยามศัพท์ดังนี้ เยี่ยวเหี้ยคือถ่ายเบาไม่เป็นที่ คืนฮุ่งคือตลอดทั้งคืน เตวคือเดิน คนขี้ฮ่อนคือคนที่รู้สึกร้อนง่าย ร้านอาหารกลางคืนได้แก่ มดแดง มดยิ้ม ปลาทูแช็ค กิ๊บบอน ลาบศรีชุม ตลาดได้แก่ตลาดอัศวิน กาดกองต้า คลองถม กาดมืด ห้างเซ็นทรัลพลาซ่า แล้วก็พูดถึงหลักกิโลขนาดใหญ่ และฟาร์มแกะฮักยู

หน้าที่ของคำขวัญจังหวัดก็จะสะท้อนความภูมิใจ ความโดดเด่น เอกลักษณ์ และอัตลักษณ์ของจังหวัด ให้ทราบว่าจังหวัดมีอะไรดี ลำปางมีคำว่าขวัญว่า ถ่านหินลือชา รถม้าลือลั่น เครื่องปั้นลือนาม งามพระธาตุลือไกล ฝึกช้างใช้ลือโลก ซึ่งให้ข้อมูลว่าเป็นแหล่งที่มีถ่านหินสำหรับใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีรถม้าเพื่อการเดินทางและปัจจุบันหันมาเน้นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว มีดินขาวเป็นวัตถุดิบในจังหวัดจึงมีโรงงานเซรามิกจำนวนมากผลิตได้สวยงามและราคากันเอง มีวัดเก่าแก่และมีวัดสถาปัตยกรรมพม่าจำนวนมากที่สุดในไทย มีศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยที่จัดช้างแสดงให้นักท่องเที่ยวชม

เมื่อเวลาเปลี่ยนไปเอกลักษณ์ และอัตลักษณ์ของแต่ละจังหวัดก็มักจะเปลี่ยนตาม เช่น ส้มโอหวานของนครปฐม และทุเรียนของนนทบุรีก็เคยผ่านวิกฤตน้ำท่วมปี 2554 ทำให้สวนส้มโอเสียหายกว่าร้อยละ 70 สวนทุเรียนเสียหายกว่าร้อยละ 98 หรือฝึกช้างใช้ของลำปางก็หยุดฝึกช้างเป็นผลจากรัฐบาลประกาศเลิกสัมปทานทำไม้ปี 2532 หรือ โอ่งมังกรของราชบุรีก็ได้รับความนิยมลดลง หรืองาช้างและหน่อไม้ไร่ของอุทัยธานีก็หายไปจากคำขวัญใหม่แล้ว หรือดอกไม้งามสามฤดูก็ไม่มีในคำขวัญของเลยแล้ว โลกเรามีการเปลี่ยนแปลงในทุกเรื่อง การปรับตัวปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมย่อมทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน แต่การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดังเช่นคำขวัญจังหวัด

have and have not
have and have not

http://www.oknation.net/blog/countrygirl/2012/04/23/entry-1

http://www.snc.lib.su.ac.th/snclibblog/?p=10967

http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1973817

http://www.facebook.com/photo.php

http://www.thainame.net/รถม้

นโยบาย ศธ.ต้นเหตุการศึกษาไทยตกต่ำ

นโยบาย ศธ.ต้นเหตุการศึกษาไทยตกต่ำ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 เมษายน 2556 21:27 น.

http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000050418

ครูไทย (teacher)
ครูไทย (teacher)

แฉเรื่องเน่าๆ ในวงการการศึกษาของไทย ล้วนเป็นต้นเหตุให้ “เด็ก” จบการศึกษาคุณภาพต่ำลง! ชี้ปัญหาใหญ่สุดอยู่ที่กระบวนการผลิต “ครู” และนโยบาย ศธ.ในการเพิ่มวิทยฐานะครู ผิดพลาด เพราะข้อเท็จจริงครูประถม-มัธยมทำงานวิจัยไม่เป็น ต้องจ้างทำฉบับละ 6 หมื่น-1 แสนบาท แถมยังถูกวิชามารจากกรรมการพิจารณารีดเงินอีกคนละ 3 หมื่น สุดช้ำกว่า 90% ผลงานปลอม! วันนี้ระบบการศึกษาไทย กำลังนำไปสู่ “ระบบกินตัวเอง” เชื่อไม่รีบจัดการ การศึกษาของไทยจะดิ่งเหว

คนไทยอ่านหนังสือวันละ 7 บรรทัด

ระบบการศึกษาไทยห่วย

ประชาธิปไตยไทยไม่ไปไหนเพราะการศึกษาเรายังไม่ดีเพียงพอ

ยิ่งเรียนยิ่งโง่ ฯลฯ

 

เมื่อพูดถึงระบบการศึกษาไทย อย่าแปลกใจที่เรามักจะได้ยินคำกล่าวเหล่านี้อยู่เสมอ แม้ประเทศไทยจะมีการปฏิรูปการศึกษามาแล้ว 2 ครั้งใหญ่ คือการปฏิรูปการศึกษา พ.ศ. 2542 ที่มี พ.ร.บ.การศึกษา 2542 ได้มีการแบ่งขั้วอำนาจการบริหารงานใหม่ในกระทรวงศึกษาธิการเป็น 5 แท่ง ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวง สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา แท่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และครั้งที่สองกับการปฏิรูปการศึกษาในชื่อเรียกว่า การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 (2552-2561) โดยมีประเด็นหลัก 4 ประเด็น ได้แก่ กระบวนการเรียนรู้ใหม่, ครูยุคใหม่/ครูพันธุ์ใหม่ และครูสาขาขาดแคลน, สถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ใหม่ และการบริหารจัดการใหม่

แต่การปฏิรูปการศึกษาไทยเดินมาถูกทางหรือยัง หรือนับวันยิ่งก้าวเข้าสู่วังวนที่ทำให้การศึกษาไทยเดินหน้าไม่ถึงไหน?

เร่งผลิตครู-คุณภาพตก

ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ นักวิจัยสถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า หลังจากที่ได้เข้าไปเก็บข้อมูลและทำวิจัยเกี่ยวกับการศึกษาไทยก็พบว่าประเทศไทยมีปัญหาเรื่องของระบบการศึกษาอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องของ “ปัญหาครู” ที่ถือเป็น “จุดบอด” ที่แก้ยากที่สุด ยิ่งแก้ ยิ่งเข้าสู่วังวน

ปัญหาแรกเป็นปัญหาเรื่องจำนวนครู ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องยอมรับว่ารัฐบาลไทยปล่อยปละละเลยดูแลครูมานานมาก และนานกว่า 20 ปี

“เดิมเราต้องยอมรับว่ามหาวิทยาลัยปิดจะเป็นแหล่งที่ผลิตครูที่มีคุณภาพอย่างมาก โดยเฉพาะในคณะศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ ซึ่งอาจารย์ของมหาวิทยาลัยปิดเหล่านี้ก็จบการศึกษาจากต่างประเทศ เช่น คุรุศาสตร์ จุฬาฯ เป็นคณะที่มีการเรียนการสอนที่ทันสมัย และมีคุณภาพมาก แต่ท้ายที่สุดแล้วมีคำถามว่าเด็กที่มีคุณภาพเหล่านั้นมีสักกี่เปอร์เซ็นต์ที่เลือกที่จะประกอบอาชีพครู ความจริงคือมีน้อยมาก นอกนั้นไปทำอาชีพอื่น”

ปัญหานี้ทำให้รัฐบาลที่ผ่านมาเลือกแก้ปัญหาครูขาดแคลนด้วยการผลิตครูอย่างไม่อั้น เพื่อขยายฐานครู แต่ต้องยอมรับเลยว่าในขั้นตอนนี้ทำให้คุณภาพการศึกษาของครูตกลง

“ครูรู้แค่ไหน ก็จะสอนแค่นั้น หลักการมันมีอยู่แค่นั้น ถ้าได้ครูที่เรียนรู้มากๆ โดยเฉพาะมีโอกาสไปเรียนต่างประเทศ หรือมีโอกาสได้เรียนจากอาจารย์ที่เรียนจบมาจากต่างประเทศ ก็จะมีมุมมองด้านการศึกษาที่กว้างขวางกว่า แต่ถ้าครูเรียนจากครูที่ไม่ได้จบมาจากต่างประเทศ ซ้ำยังไม่ได้เรียนกับครูที่มีมุมมองกว้างขวาง ครูก็จะมีความรู้เท่าที่ครูของครูถ่ายทอดมาแค่นั้น เมื่อมาสอนนักเรียน ความรู้ที่สอนก็มีแค่ความรู้ที่ได้รับมา หรือบางทีอาจน้อยกว่า”

“ครู” ระบบกินตัวเอง!

ดร.ยงยุทธกล่าวต่อว่า กระทรวงศึกษาธิการนั้นมีครูอยู่จำนวนมาก และตัวกระทรวงศึกษาธิการก็มีงบประมาณบริหารมาก คิดเป็น 4.5-4.8% ของ GDP แต่ปรากฏว่าคุณภาพครูตกลงไปเรื่อยๆ เหมือนระบบที่กำลังกินตัวเอง อย่างที่กล่าวไปว่า การเร่งผลิตครูทำให้ครูที่มีความรู้กว้างขวางนั้นน้อยลง ครูที่จบจากต่างประเทศก็มีองค์ความรู้ใหม่ๆ มาถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ แต่ลูกศิษย์ไม่มีเวลาเพิ่มเติมความรู้ ก็ใช้ความรู้เท่าที่เก็บเกี่ยวจากอาจารย์มาให้ส่งต่อไปให้เด็กอีกรุ่น ความรู้ก็ไม่ทันสมัย เพราะความรู้ต้องเพิ่มเติมอยู่ตลอด ความรู้ก็จะหดหายไปเรื่อยๆ และโดยเฉพาะในทุกวันนี้ที่ครูมีภารกิจจำนวนมากมาย ทั้งภารกิจที่กระทรวงมอบหมายให้ และการเลื่อนวิทยฐานะ ยิ่งทำให้ครูห่างไกลต่อการสอน คุณภาพของการสอนหนังสือก็ตกลงไปเรื่อยๆ อย่างน่าเสียดาย

life long learning คือ หลักการเรียนรู้ตลอดอายุขัยของคนเรา ตอนนี้เราอยู่ศตวรรษที่ 20 แล้ว ก็ต้องพยายามเรียนรู้นวัตกรรมใหม่ๆ เพิ่มเติมตลอดเวลา แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่ ครูที่เพิ่มเติมความรู้ให้ตัวเองเหลือน้อยลงทุกที

วิธีการคัดเลือกคนเป็น “ครู”

ปัญหาต่อเนื่องที่ตามมาจากการเร่งผลิตครู คือครูเกือบทั้งหมดจะเป็นครูที่จบในประเทศไทย ทำให้องค์ความรู้ด้านการศึกษาไทยไม่ได้ยกระดับแล้ว และเนื่องจากปัญหาการขาดแคลนครู ก็ทำให้กระทรวงศึกษาธิการไม่มีเวลาคัดกรองครู ทั้งด้านความสามารถและจริยธรรมที่เข้มข้นเพียงพอ

กระทรวงศึกษาธิการ แค่ต้องการให้คนมาสอบ ไม่ได้มีการกลั่นกรองอย่างแท้จริง ดังนั้นไม่แปลกใจที่มีการประกาศรับสมัครครูให้ไปรวมกันอยู่ตรงกลาง ดูแค่วิทยฐานะว่าเป็นครู แต่ไม่เคยกำหนดคุณสมบัติที่เชี่ยวชาญ เช่น ครูภาษาอังกฤษ ต้องเป็นครูที่จบเอกด้านภาษาอังกฤษ เป็นต้น

ดร.ยงยุทธ กล่าวด้วยว่า ในพื้นที่ที่ห่างไกลจะยิ่งพบปัญหานี้ คือครูสอนวิชาคณิตศาสตร์ อาจไม่ได้เป็นครูที่จบคณิตศาสตร์มา เมื่อไม่ได้จบสาขาที่สอนมาโดยตรง ไม่มีความเชี่ยวชาญที่แท้จริง การศึกษาของครูไทยจำนวนไม่น้อยจึงเป็นไปในรูปแบบการสอนแบบ “งูๆ ปลาๆ”

เมื่อเป็นเช่นนี้ในการเรียนการสอนที่ครูไม่มีความเชี่ยวชาญในสาขานั้นอย่างแท้จริง ทำให้การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนค่อนข้างมีน้อย ส่วนใหญ่จึงใช้การสอนแบบท่องจำเพราะเป็นวิธีการสอนที่ง่ายที่สุด ทักษะความคิดของเด็กจึงไม่มี

ประเทศไทยพึ่งพาครูอาจารย์สูงมาก แม้แต่คำพูด ครูเว้นวรรคตรงไหน เด็กก็เว้นวรรคตรงนั้น ครูก็เลยสอนตามตำราเป๊ะ แต่ลองนึกภาพดู ถ้าครูคนไหนเว้นวรรคตรงไหนผิด เด็กก็ผิดตามด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

จุดนี้เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ปัญหาคุณภาพการศึกษาไทยต่ำลงไปเรื่อยๆ

ปัญหาก.ศธ.ขาดการบริหารเป็นองค์รวม

ปัญหาจากส่วนกลางเป็นอีกปัญหาหนึ่ง ที่กระทบเรื่องของคุณภาพครูด้วย ตั้งแต่ระดับการบริหารงาน และระดับปฏิบัติการ

ระดับการบริหารงาน ปัญหาเกิดหลายระดับ ตั้งแต่ตัวผู้นำกระทรวงศึกษา หรือรัฐมนตรีก็มีการเปลี่ยนผู้นำ หรือรัฐมนตรีบ่อยมาก ลักษณะกิจกรรมก็จะเปลี่ยนตามนวัตกรรมของแต่ละคนที่เข้ามา ซึ่งไม่ได้เป็นการสานงานต่อกัน ข้าราชการก็มีหน้าที่ในการปรับตัวให้ทัน

“การวางนโยบายที่ดีจะต้องวางนโยบายที่ชัดเจน มีแผนการทำงานที่ต่อเนื่อง ดังนั้นไม่แปลกใจที่ปฏิรูปการศึกษารอบแรกในปี 2542 ถึงสอบตก และการปฏิรูปการศึกษารอบ 2 ทำมา 3 ปีแล้ว ก็ไม่ไปถึงไหน เพราะคนที่มาใหม่ก็ไม่ได้สานต่อ ไม่ได้ให้ความสนใจ”

จากนั้นการแบ่งงานในกระทรวงศึกษาธิการก็เป็นปัญหา เพราะการแบ่งงานเป็น 5 แท่งใหญ่ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวง, สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, แท่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.), สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)

โดยปัญหาเกิดขึ้นเมื่อแต่ละแท่งมีการบริหารงานที่เป็น พ.ร.บ.ของตัวเอง โดยเฉพาะ สพฐ., อาชีวะ และ สกอ. ซึ่งเป็นแท่งที่มีขนาดใหญ่ แต่ละแท่งไม่ต้องพึ่งพากัน ซึ่งตรงจุดนี้เองที่เป็นปัญหาเพราะไม่เกิดการทำงานแบบบูรณาการกัน คือมีแต่ “แท่ง” แต่ไม่มี “ท่อ”

“นายกฯ ยิ่งลักษณ์ เพิ่งขอข้อมูลเรื่องอุปสงค์-อุปทานว่าจะเตรียมการศึกษาอย่างไรเพื่อให้ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม ปัญหาคือ พอนายกฯ เรียกข้อมูลขึ้นมา ไม่มีข้อมูลให้นายกฯ ได้เลย ต่างคนต่างมีข้อมูลที่ไม่สามารถนำมาเชื่อมต่อกันได้ ดังนั้นเรื่องของการ management information system เรียกว่าไม่มี และไม่ใช่ประชุมครั้งเดียว ประชุมไปสองครั้งแล้ว ข้อมูลก็ไม่สามารถหาให้นายกฯ ได้”

การที่นายกรัฐมนตรีต้องการข้อมูลดังกล่าวเป็นเพราะว่ารัฐบาลต้องการดูว่าคนในประเทศมีเพียงพอต่อตลาดแรงงานหรือไม่ ทั้งคนจบปริญญาตรี และคนจบ ปวช.ปวส. เพื่อจะเตรียมรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน

“จริงๆ หลังจากนายกฯ ออกนโยบาย 4 ประสาน พัฒนา 4 เรื่อง ก็อยากได้ข้อมูลด้วยว่า การทำรถไฟระบบราง ก็ต้องใช้คน 5 แสนคน ยังพบว่างานวิจัยก็ไม่พอที่จะสนับสนุนข้อมูล เพราะแต่ละแท่งต่างคนต่างทำงาน แต่ตอนนี้ต้องปรับ เพราะต้องเป็นแหล่งผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพ เช่น เด็กชั้น ม.3 ต้องส่งเข้าไปเรียนอาชีวศึกษาเท่าไร เข้าระบบสามัญเท่าไร ต้องชัดเจน”

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในกระทรวงศึกษาธิการในขณะนี้กลับพบว่าแต่ละแท่งต่างแย่งชิงเด็กเข้าเรียนแท่งของตัวเองมากกว่า แทนที่จะแบ่งสันปันส่วนตามสัดส่วนที่รัฐบาลได้วางแผนไว้เพื่อให้สอดคล้องกับตลาดแรงงานหรือการพัฒนาประเทศ

“ที่แย่งจำนวนเด็กกันมากเพราะรัฐบาลมีงบรายหัว ดังนั้นใครมีเด็กมากก็จะได้เงินมาก ซึ่งจริงๆ ไม่ถูกต้อง เลยกลายเป็นว่าต่อไป สพฐ.จะมาสอนอาชีวะเองอีก ปลัดกระทรวงศึกษาธิการก็ต้องจัดการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างนี้ให้ได้ก่อน”

ขณะเดียวกันเมื่อย้อนมาดูแผนปฏิรูปการศึกษารอบ 2 ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่า แต่ละแท่งไม่มีศาสตร์ที่จะมาบูรณาการงานกันอยู่ดี แถมยังมีการแย่งค่าใช้จ่ายรายหัว หรือ per head ที่หนักขึ้น แต่ละแท่งแข่งกันเอง ไม่เหมือนการบริหารงานในพื้นที่ ที่จะมีการช่วยเหลือกัน และบูรณาการกันที่ดีกว่า

 

 

ผลสอบ
ผลสอบ

ผู้บริหาร รร.ต้องรับผิดชอบ A net-O net

นอกจากนี้จากการศึกษาในระดับผู้บริหารโรงเรียน จะพบว่าปัญหาการบริหารงานระดับโรงเรียนก็มีไม่น้อย โดยดูได้จากผลการทดสอบ A-net O-net ของเด็กในแต่ละโรงเรียนเป็นอย่างไร ควรจะมีการเก็บเป็นสถิติ เพื่อดูว่าผู้บริหารโรงเรียนนั้นทำให้เด็กมีอัตราของคะแนนเพิ่มขึ้นได้หรือไม่ ถ้าอัตราไม่เพิ่มขึ้นเลย ผู้บริหารก็ควรจะต้องมีการรับผิดชอบ ไม่เหมือนปัจจุบันนี้ที่ไม่มีการเก็บข้อมูลสถิติตรงนี้เลย แล้วผู้บริหารก็ไม่คิดว่าจะต้องรับผิดชอบอะไร ซึ่งไม่ถูกต้อง

“ต้องยอมรับนะว่า จะให้ทุกโรงเรียนมีอัตราหรือค่าเฉลี่ยของคะแนนที่สอบสูงเท่ากันคงไม่ได้ แต่ว่าอย่างน้อยแต่ละโรงเรียนต้องมีการพัฒนาขึ้นมา อย่างน้อยต้องให้อยู่ในระดับค่าเฉลี่ยของประเทศ ค่อยๆ พัฒนาให้ค่าเฉลี่ยของคะแนนขึ้นไป”

โดยผู้บริหารจะต้องรับผิดชอบคุณภาพของเด็ก, การจัดการการศึกษาจะต้องเน้นที่ประสิทธิผลที่เพิ่มขึ้นด้วยอย่าเดิมพันแต่ตำแหน่ง แต่ขาดการวิจัยทางวิชาการ หรือขาดการพัฒนาวิชาการ และให้มีการโยกย้ายผู้บริหารโรงเรียนให้น้อยลง เพราะคนเก่ากำลังทำงานได้ดี แต่พอคนใหม่มาก็ต้องเริ่มทำโครงการใหม่ วัสดุครุภัณฑ์ที่จัดมาแล้วก็สูญเปล่า

โครงสร้างเงินเดือนครู-ไม่จูงใจ

นอกจากนี้กระบวนการจัดการเรื่องเงินเดือนครูก็เป็นอีกหนึ่งปัญหา

ดร.ยงยุทธกล่าวว่า เรื่องเงินเดือนครูเป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวกับแรงบันดาลใจการเป็นครู ทุกวันนี้คนที่ไม่ควรได้เงินเดือนมาก แต่ได้มาก มีจำนวนไม่น้อย เพราะขั้นวิ่งมีมาก ดังนั้นมองว่าหลักการควรจะเปลี่ยนโครงสร้างเงินเดือน เป็นให้เงินเดือนครูสูง และขั้นวิ่งไม่มาก

“เงินเดือนแรกเข้า สมมติ 10,000 บาท ทำงานไป 30 ปีเกษียณ เงินเดือนอยู่ที่ 45,000-50,000 บาท ตรงนี้เสนอว่าควรย่นให้ขั้นวิ่งไม่ต้องสูง ให้เงินเดือนสูงตั้งแต่แรก จะทำให้เกิดแรงจูงใจให้ครูที่มีคุณภาพเข้ามาประกอบอาชีพครูมากขึ้นได้”

ภารกิจของครู-กันครูออกจากนักเรียน

เมื่อมาดูที่ภารกิจครู ก็พบว่า ครู 1 คนมีภาระมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะครูในต่างจังหวัด จะพบว่างานราชการจากส่วนกลางที่กระจายลงในพื้นที่นั้น ไม่ว่าจะเป็นงานของกระทรวงศึกษาธิการ หรืองานจากกระทรวงอื่นๆ ล้วนแต่กำหนดให้ครูในพื้นที่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการชุดต่างๆ มากมาย ซึ่งเป็นระบบที่ทำให้ครูห่างจากการสอนอย่างมาก

ซ้ำร้าย กระทรวงศึกษาธิการยังออกระเบียบเกี่ยวกับการสร้างผลงานวิชาการเพื่อให้ได้ค่า “วิทยฐานะ” ยกระดับตัวครูเอง ทำให้ครูหลายคนมุ่งเน้นที่จะได้วิทยฐานะที่เพิ่มขึ้น แต่ปัญหาคือประสิทธิผลไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะหลายคนจ้างคนอื่นทำงานให้ แล้วครูคนอื่นที่ทำงานให้ก็ไม่มีเวลาสอนหนังสือเด็กนักเรียน

ส่วนครูคนไหนทำงานวิชาการเองก็มักจะมีการบังคับเด็กให้มาทำตามงานวิจัยของครูคนนั้นๆ ซึ่งไม่ได้พุ่งเป้าไปที่การให้เด็กเป็นศูนย์กลางการเรียนการสอนตามวัตถุประสงค์ของการปฏิรูปการศึกษาแต่อย่างใด

“วิทยฐานะทุกวันนี้ก็เหมือนกับการซื้อใบปริญญา ตรงนี้เป็นจุดอ่อนของนโยบายที่มองว่าต้องแก้ในส่วนของวิชาการ แต่ลืมในเรื่องของจรรยาบรรณ และความรับผิดชอบในเนื้องานของครูผู้สอน”

นอกจากนี้คนประเมินให้วิทยฐานะก็ยังเป็นคนกันเอง เกิดคำถามเรื่องความโปร่งใสขึ้นมากมายอีก

“ตรงนี้ต้องแก้โดยการเข้าไปดู work process 1. ขั้นตอนการได้มา การเลื่อนขั้นแต่ละขั้นเป็นอย่างไร 2. ใครเป็นคนพิจารณา แต่งตั้งโดยใคร คณะกรรมการคือใคร ควรเป็นกลาง โปร่งใส และ 3. มีการทำวิจัยเรื่องอะไรบ้าง มีคุณค่าต่อระบบการศึกษาหรือไม่”

สำหรับปัญหาการเลื่อนวิทยฐานะนี้ ดร.สมยงค์ แก้วสุพรรณ อดีตประธาน อ.ค.ก.ศ. (อนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา) เขตพื้นที่การศึกษา และรองประธานเครือข่ายองค์กรวิชาชีพครูแห่งประเทศไทย ซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจจับการทุจริตในกระบวนการเลื่อนวิทยฐานะในเขตขอนแก่น กล่าวว่า ปัญหาการเลื่อนวิทยฐานะของครูเป็นปัญหาใหญ่มาก และพบว่ามีขบวนการหากินกับทั้งรับจ้าง และการให้ผ่านงานวิจัยของครูด้วย โดยเฉพาะในภาคอีสาน

“ครูประถม ครูมัธยม เขาเรียกว่าให้มาเป็นครู เน้นทำการสอนมาตลอด พอกระทรวงศึกษาธิการ และ ก.ค.ศ. (คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา) ให้มีการเลื่อนวิทยฐานะขึ้นมา ด้วยการที่ครูต้องทำการวิจัยแบบพิจารณาจากเอกสาร บอกได้เลยว่าเมื่อครูทำไม่เป็นก็ต้องจ้าง”

ฉะนั้นพูดได้เลยว่า กว่า 90% ของเอกสารเหล่านั้นไม่ใช่ผลงานของครูที่แท้จริง!

แล้วขบวนการหากินในการรับจ้างทำงานเพื่อให้ครูเลื่อนวิทยฐานะก็ทำกันเป็นอาชีพเสริมหากินกันเป็นล่ำเป็นสัน

ตั้งแต่ขั้นตอนของการเลือกคณะกรรมการเพื่อมาอ่านผลงาน ซึ่งจะมีหน้าที่ในการชี้งานชิ้นนั้นๆ ว่าผ่านหรือไม่ผ่าน ขั้นตอนนี้จะมีคณะ อ.ค.ก.ศ. หรือ อนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่จะทำการประสานอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ให้มาเป็นกรรมการอ่านผลงาน ซึ่งจะมีคนหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นนายหน้าในการติดต่ออาจารย์จากมหาวิทยาลัยมา ซึ่งอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเหล่านี้ เรียกได้ว่าส่วนใหญ่มักจะมีการเรียกเงินค่าอ่านผลงาน หรือนายหน้าจะเป็นคนเสนอค่าอ่านผลงานให้ ตกราคาต่อราย รายละ 3 หมื่นบาท ซึ่งจะมีการเรียกครูเจ้าของผลงานนั้นๆ มาคุยก่อนวันที่จะอ่านผลงานเพียงไม่กี่วัน สุดท้ายผลงานของครูในกระบวนการนี้ก็จะได้ประเมิน “ผ่าน”

ส่วนในขั้นตอนการทำผลงานของครู ขั้นตอนนี้จะมีขบวนการรับจ้างทำผลงานเลื่อนวิทยฐานะ โดยเมื่อมาเป็นครูครั้งแรก มักจะได้เป็นครูผู้ช่วย ก็ยังไม่มีสิทธิเลื่อนวิทยฐานะ แต่เมื่อทำงานไป 2 ปี และเป็นครูได้ 6 ปีสำหรับคนที่จบปริญญาตรีมา 4 ปีสำหรับคนที่จบปริญญาโทมา และ 2 ปีสำหรับคนที่จบปริญญาเอกมา ก็จะสามารถทำผลงานเพื่อขอเลื่อนขั้นได้ การเลื่อนขั้นตรงนี้จะได้วิทยฐานะชำนาญการ ซึ่งจะมีรายได้เพิ่มจากเงินเดือนอีกเดือนละ 3,500 บาท หลังจากนั้นจะมีการขอเลื่อนขั้นเป็นผู้ชำนาญการพิเศษ ซึ่งจะต้องมีการทำวิจัย

“ปัญหามันเกิดตรงนี้ ในขั้นการทำวิจัย ครูที่จบปริญญาตรีมามักจะทำไม่เป็น จะต้องจ้างครูด้วยกันที่จบปริญญาโท หรือปริญญาเอก หรือจ้างอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ มาทำให้”

สนนราคาค่าจ้างทำวิจัยเพื่อเลื่อนขั้นในการเป็นผู้ชำนาญการพิเศษนี้จะอยู่ที่ 60,000-100,000 บาททีเดียว!
คนที่ได้วิทยฐานะเป็นผู้ชำนาญการพิเศษนี้จะได้เงินเพิ่มเติมจากเงินเดือนอีกเดือนละ 12,000 บาท ตรงนี้ทำให้ครูพยายามทำทุกทางที่จะเลื่อนขั้นมาอยู่จุดนี้ ซึ่งตอนนี้ก็มีครูที่อยู่ระดับชำนาญการพิเศษมากที่สุด
ถ้าจ้างทำวิจัยปริญญาเอก ที่ http://thainame.net/edu/?p=1044

 

ส่วนวิทยฐานะในลำดับต่อไป คือ เชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษ นั้น มีครูที่ได้วิทยฐานะขั้นนี้น้อย เพราะว่างานวิจัยที่ทำจะต้องมีฐานะเทียบเท่าวิทยานิพนธ์ ซึ่งยาก แต่ถ้าใครทำได้ก็เท่ากับมีฐานะเท่าข้าราชการซี 9

ปัญหาครูเงินเดือนน้อย พอมีค่าวิทยฐานะให้ ก็กลายเป็นการทำอย่างไรก็ได้ให้ตนเองมีผลงาน แม้จะไม่ได้ทำเอง และแม้จะต้องเสียเงินเสียทองซื้อมาก็ตาม!

ที่ผ่านมาครูจำนวนมากจึงดิ้นรนหาเงินมาจ่ายเพื่อการเลื่อนวิทยฐานะทั้ง 2 ขั้นตอน คือขั้นตอนของการจ้างทำผลงานวิชาการ และขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการเพื่อประเมินให้ “สอบผ่าน” ได้ จึงนับว่าคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้มาอย่างยิ่ง!

ดังนั้น นโยบายในการเลื่อนวิทยฐานะของกระทรวงศึกษาธิการครั้งนี้จึงกลายเป็นการแก้ปัญหาหนึ่ง นำมาสู่อีกปัญหาหนึ่งที่รุนแรงกว่าเดิม เพราะก่อให้เกิดการทุจริตในการนำเสนอผลงานของครูทั้งประเทศ

ที่สำคัญสุด ครูเหล่านี้เมื่อได้เลื่อนวิทยฐานะสูงขึ้น จะช่วยในการพัฒนาคุณภาพของการศึกษาได้หรือไม่

ถึงเวลาหรือยังที่กระทรวงศึกษาธิการควรจะต้องรื้อทั้งระบบและจัดระบบใหม่ครั้งใหญ่

ถ้าไม่ผ่าตัดและปล่อยให้ปัญหาต่อเนื่องไปเรื่อยๆ แล้ว จะเขียนนโยบายและแผนการปฏิรูปการศึกษาอีกกี่ฉบับ ก็แก้ไขได้ยาก เพราะต้นตอของคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยจะพัฒนาไปได้หรือไม่อยู่ที่ “ครู” และผู้บริหารของกระทรวงศึกษาธิการเป็นหลัก!!

ที่มา http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000050418

คดีกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา

กองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา
กองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา

http://www.facebook.com/media/set/?set=a.453918268018597.1073741862.228245437252549

พบข่าว และภาพใน page ของมหาวิทยาลัย เป็นการประชาสัมพันธ์ว่า
นายมาโนช รัตนนาคะ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดลำปาง เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนฟ้องคดีกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา ร่วมกับ กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ประจำปีงบประมาณ 2556 เพื่อให้คู่พิพาทได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการเจรจาไกล่เกลี่ย และตัดสินใจระงับข้อพิพาทด้วยตนเองก่อนนำคดีเข้าศาล เพื่อลดปริมาณคดีที่จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล และลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีของคู่พิพาททุกฝ่าย อันเป็นการสร้างความพึงพอใจแก่ลูกหนี้กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาและสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคม ตลอดจนเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายในหมู่ประชาชนมากยิ่งขึ้น โดยในปีนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 2,490 ราย วงเงินกว่าสามร้อยล้านบาท ณ ศาลแขวงลำปาง ในระหว่างวันที่ 25-27 เมษายน 2556
http://www.thairath.co.th/content/edu/339784
http://th.a2-news.com/News/id/123914.0

วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ.2556

กยศ.แจ้งผู้กู้ค้างชำระเกิน5งวด ไกล่เกลี่ยก่อนฟ้องคดีปี56

ผจก.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) แจ้งผู้กู้ยืมเพื่อการศึกษา รุ่นปี 2542-2551 ที่ค้างชำระเกิน 5 งวด ไปไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา ก่อนฟ้องคดีประจำปี 2556…

นักศึกษา
นักศึกษา

เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2556 น.ส.มุจลินท์ กำชัย รองผู้จัดการรักษาการแทน ผจก.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ได้เปิดเผยว่า ด้วยกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ร่วมกับสำนักระงับข้อพิพาทสำนักงานศาลยุติธรรม ได้จัดโครงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาก่อนฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้กู้ยืมที่ถึงกำหนดชำระหนี้ รุ่นปี 2542-2551 ที่มีหนี้ค้างชำระเกิน 5 งวดขึ้นไป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกันที่จะถูกบอก เลิกสัญญามาติดต่อชำระหนี้ที่ค้างชำระ หรือมาติดต่อขอผ่อนชำระหนี้ในโครงการฯ โดยมีกำหนดจัดขึ้นที่ศาลจังหวัดนครราชสีมา ในระหว่างวันที่ 18–21 เม.ย. 2556

ส่วนผู้ที่อยู่จังหวัดอื่นๆ สามารถติดต่อได้ที่ศาลจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ โดยยังมีเวลาให้ผู้กู้ยืมที่ต้องชำระ 5 งวดขึ้นไป ไปเข้าร่วมโครงการไกล่เกลี่ยได้ ดังนี้ ศาลจังหวัดนครราชสีมา ระหว่างวันที่ 18–21 เม.ย. 2556 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ระหว่างวันที่ 23–25 เม.ย. 2556 ศาลแขวงลำปาง ระหว่างวันที่ 25–27 เม.ย. 2556 ศาลแขวงขอนแก่น ระหว่างวันที่ 27 เม.ย.–1 พ.ค. 2556 และศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก ระหว่างวันที่ 7–12 พ.ค. 2556

ทั้งนี้ ผู้ที่จะเข้าโครงการไกล่เกลี่ย จะต้องไปเข้าร่วมด้วยตนเอง พร้อมนำเอกสารที่สำคัญไปด้วย อาทิ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ของผู้กู้และผู้ค้ำประกัน สำเนาเปลี่ยนชื่อ (ถ้ามี) สำเนาใบทะเบียนสมรส ของผู้กู้และผู้ค้ำประกัน (ถ้ามี) และเอกสารอื่นๆ ผู้ที่จะเข้าโครงการไกล่เกลี่ย สามารถดูรายละเอียดได้ที่ ศูนย์สายใจ กยศ. โทร.02-61004888 หรือทาง http://www.studentloan.or.th/index.php

ครูก็อยากสอน นักเรียนก็อยากเรียน แต่ไม่ได้มาพบกัน

เมื่อครูกับนักเรียน (ไม่)ได้พบกัน
เมื่อครูกับนักเรียน (ไม่)ได้พบกัน

ครูก็อยากสอน นักเรียนก็อยากเรียน แต่ไม่ได้มาพบกัน
แต่จาก 3 ข่าวข้างล่างนี้

พอสรุปได้ว่า ปีนี้จะเปิดรับครู 731 อัตรา
แต่ปีนี้ครูจะเกษียณ 10,932 คน
แต่ประเด็นที่น่าสนใจ คือ มหาวิทยาลัยผลิตครู 29,000 คนต่อปี

.. รู้สึกว่าตัวเลขดูน่าจับตามนะครับ
.. รู้สึกอีกว่า ถ้าจับหลาย ๆ คนมาคุยกัน คงได้คำตอบ เสียแต่ว่าไม่คุย
http://cinema.theiapolis.com/movie-2SYC/bad-teacher/gallery/bad-teacher-ver2-xl-poster-1059117.html
http://news.mthai.com/world-news/215185.html

ข่าว .. แรก
นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผย
สพฐ.เปิดสอบครูผู้ช่วยปี 2556 จำนวน 731 อัตรา
http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32513&Key=hotnews

ข่าว .. ที่สอง
จากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ว่า วิกฤตครูจ่อเกษียณเกือบแสนคน ช่วงปี 56-60 “ก.ค.ศ.” แนะผลิตรองรับ
ปี 2556 – 2560 เกณียณรวม 97,254 คน มีรายละเอียดว่า
ปี 2556 จำนวน 10,932 คน
ปี 2557 จำนวน 15,541 คน
ปี 2558 จำนวน 20,661 คน
ปี 2559 จำนวน 24,689 คน
ปี 2560 จำนวน 25,431 คน
http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32487&Key=hotnews

ข่าว .. ที่สาม
นายสุรวาท ทองบุ คณบดีคณะครุศาสตร์ ม.มหาสารคาม
บอกว่า เด็กเกิดน้อยลง แต่ผลิตครูกันตรึม
คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาตร์ของสถาบันอุดมศึกษาทั้ง 17 แห่ง
ผลิตครูรวมทั้งหมดประมาณ 29,000 คนต่อปี
http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32211&Key=hotnews

แผนดีต้องมีการปฏิบัติ (Execution)

ในประสบการณ์การเป็นนักบริหาร หรือนักจัดการทุก ๆ ระดับ ทั้งในองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้กับบทบาทหรือความรับผิดชอบในการพัฒนาแผนงานสำหรับหน่วย งานหรือองค์กรของทุกท่าน

! http://bit.ly/ZFUrY4
โดย ดรรชกร ศรีไพศาล ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

ดรรชกร ศรีไพศาล
ดรรชกร ศรีไพศาล

การเขียนแผนงานใด ๆ ทั้งแผนกลยุทธ์ระดับนโยบาย ระดับองค์กร ระดับหน่วยงาน หรือแม้แต่ในแผนงานระดับปฏิบัติการของส่วนงานต่างๆ ในองค์กร หากผู้เขียนแผนนั้น ๆ มีความรู้ ความเข้าใจ ถึง ความเป็นมา บทบาท พันธกิจ (Mission) และเป้าหมาย (Goal) ของหน่วยงานหรือองค์กรอย่างลึกซึ้ง การจะพัฒนาหรือเขียนแผนงานในแต่ละครั้ง ย่อมจะสามารถรังสรรค์ให้มีความน่าเชื่อถือ เป็นไปได้ที่จะปฏิบัติให้สำเร็จ และถือเป็นคัมภีร์ หรือคู่มือประกอบการปฏิบัติงานของส่วนงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระดับบนหรือบริหาร ถึงระดับปฏิบัติการ

แต่การมีเพียงแผนงานที่ผ่านการศึกษา การค้นคว้า การวิจัย และวิเคราะห์ และพัฒนาหรือเขียนขึ้นอย่างเป็นระบบ มีความน่าจะเป็นในการปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จได้ตามเป้าหมายที่กำหนดในแผนงาน นั้น ๆ ยังไม่อาจจะถือเป็นความสำเร็จของหน่วยงาน ขององค์กร หรือของนักบริหาร และแม้แต่ผู้พัฒนาและเขียนแผนงานนั้นๆ

หากแผนงานนั้นไม่สามารถที่จะ นำไปประยุกต์สู่การปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จได้ตามที่กำหนดในแผนงานที่ดีนั้น สุดท้ายแผนงานนั้นจะมีคุณค่าเป็นเพียงเอกสารกองหนึ่งที่ถูกจัดเก็บในลิ้นชัก หรือวางทิ้งให้เปื้อนฝุ่นบนโต๊ะทำงานของผู้เกี่ยวข้อง

แผนงานที่ดี จึงต้องประกอบด้วยความสามารถ และตั้งใจจริงที่จะปฏิบัติให้เกิดผลงานอย่างเป็นรูปธรรม หรือการ Execution ของนักบริหารและนักจัดการของหน่วยงาน และองค์กร เป็นส่วนประกอบสำคัญ

Execution เป็นคำหนึ่งที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางในองค์กรธุรกิจ โดยเฉพาะในธุรกิจการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีถึงความหมายของการนำแผนงานการตลาด การโฆษณา หรือการประชาสัมพันธ์ ไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามที่ระบุในแผนงานที่พัฒนาขึ้นในแต่ละวาระ และการ Execution ได้เริ่มส่งผ่านความสำคัญมาสู่การบริหารในภาคส่วนต่าง ๆ ขององค์กร ทั้งในภาครัฐ และเอกชนเป็นจำนวนมากในระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปีที่ผ่านมา

ความสำคัญของ Execution มีมาก และมีความหมายต่อหน่วยงานหรือองค์กรอย่างมาก ดังจะพบได้ในบทสัมภาษณ์หนึ่งที่ผู้บริหารสถาบันการเงินแห่งหนึ่งในสหรัฐ อเมริกา ได้เคยกล่าวว่า “เขาสามารถที่จะลืมทิ้งแผนกลยุทธ์ขององค์กรได้ โดยจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อองค์กร เพราะบริษัทหรือคู่แข่ง จะไม่สามารถนำแผนกลยุทธ์ของเขาไปปฏิบัติได้ ด้วยความสำเร็จในแผนกลยุทธ์ของเขา อยู่ที่ความสามารถในการ Execution แผนกลยุทธ์ มากกว่าตัวแผนกลยุทธ์นั้น

เชื่อว่าคำกล่าวข้างต้น คงเป็นความเห็นหนึ่งที่สอดคล้องกับประสบการณ์ตรงของนักบริหาร นักจัดการทุก ๆ ระดับ ที่เป็นทั้งผู้พัฒนาแผนงาน และย่อมหลีกเลี่ยงไม่พ้นในการเป็นผู้นำแผนงาน ทั้งที่พัฒนาขึ้นเอง หรือพัฒนาขึ้นโดยผู้อื่นไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลงานตามเป้าหมายที่กำหนดใน แผนงาน และต้องประสบกับปัญหาที่ไม่สามารถดำเนินงานได้ตามแผนที่พัฒนาขึ้นมาอย่างสวยหรูนั้น

ทางออกหนึ่งเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการ Execution แผนงาน ที่นักบริหาร และนักจัดการนิยมใช้ คือ การกำหนดเป้าหมายในแผนงานให้มีความสะดวกในการปฏิบัติได้จริง หรือไม่ไกลเกินเอื้อมของผู้เกี่ยวข้อง เช่น การกำหนดเป้าหมายทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย หรือการรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดเพียงเท่าเดิม หรือการรักษาศักยภาพการดำเนินงานในระดับเดิม หรือเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ง่าย และสะดวกต่อการ Execution แผนงานให้ประสบความสำเร็จ แต่อาจจะเป็นแนวทางบ่อนทำลายศักยภาพที่แท้จริงของหน่วยงานหรือองค์กรในเวลา เดียวกัน ดังจะเห็นหรือพิจารณาได้จากองค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทย ที่มีผลการดำเนินงานอันน่าเป็นห่วงอยู่ในปัจจุบันนี้

และสังคมปัจจุบันคงปราศจากความก้าวหน้า และความน่าตื่นตา ตื่นใจในเทคโนโลยีใหม่ต่างๆ ที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราในวันนี้ หากขาดนักบริหาร นักจัดการ ที่กล้าท้าทายความสามารถของตนเอง และ Execution ให้เกิดผลงานอันเป็นรูปธรรมให้ปรากฏแก่โลกในทุกวันนี้

การ Execution จึงอาจจะเป็นสิ่งน่ากังวลสำหรับนักบริหาร นักจัดการบางคน บางกลุ่ม หรือในบางองค์กร แต่สำหรับนักบริหาร นักจัดการที่มีความสามารถ จะเห็นเป็นกระบวนการหนึ่งของการพัฒนาองค์กรเท่านั้น และยิ่งในแผนงานมีความยากมากเพียงไร ยิ่งเป็นความท้าทายความสามารถของนักบริหาร นักจัดการ มากเสียกว่าจะพิจารณาให้เป็นปัญหา หรืออุปสรรคในการดำเนินงาน

ถึงอย่างไร ความสำเร็จเบื้องต้นขององค์กรต่างๆ ย่อมมีแผนการดำเนินงานที่มีคุณภาพเป็นคัมภีร์การดำเนินงานขององค์กร ซึ่งแผนการดำเนินงานที่ดี มีคุณภาพเพียงไร ย่อมยากที่จะปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมาย แต่หากนักบริหาร นักจัดการขององค์กร มีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถในการ Execution แผนงาน ย่อมสร้างความได้เปรียบแก่องค์กรในการดำเนินงานให้ประสบความสำเร็จได้

และการ Execution ในแต่ละแผนการดำเนินงาน ของสำหรับหน่วยงานหรือองค์กร ย่อมต้องประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วน คือ ผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติงาน

ในส่วนของผู้บริหาร ที่จะ Execution แผนงานได้ดี จะต้องมีคุณสมบัติสำคัญ คือ มีประสบการณ์ กล้าตัดสินใจ และสามารถสื่อสารกับผู้ปฏิบัติงานได้

ประสบการณ์ในการทำงาน หรือการบริหาร จะเป็นเครื่องมือสร้างจินตนาการถึงผลลัพธ์ของแผนงานนั้นๆ และส่งทอดเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ไปสู่กระบวนการตัดสินใจที่กล้า และถูกต้องของผู้บริหาร ก่อนจะสื่อสารให้ผู้ปฏิบัติงานในแต่ละระดับเกิดความเข้าใจ เชื่อมั่น และมุ่งมั่นในแนวทางการดำเนินงานได้ในท้ายที่สุด

ในส่วนของผู้ปฏิบัติงาน แม้จะเป็นเพียงฟันเฟืองชิ้นเล็กขององค์กรหรือหน่วยงาน แต่หากขาดความพยายามในการที่จะปฏิบัติงานตามความรับผิดชอบของตนให้ประสบความ สำเร็จ ย่อมส่งผลกระทบต่อเนื่องไปสู่ส่วนงานอื่นๆ ได้ เช่น ฝ่ายจัดซื้อ ซื้อวัตถุดิบไร้คุณภาพ ฝ่ายผลิตย่อมผลิตได้แต่สินค้าด้อยคุณภาพ ยากที่ฝ่ายการตลาดจะแข่งขัน เพื่อจำหน่ายหรือขายได้ เป็นต้น

ถึงอย่างไร ในท้ายที่สุด ทั้งการจัดทำแผนงานที่ดี คุณสมบัติของผู้บริหารที่เหมาะสม ความเข้าใจ เชื่อมั่น และมุ่งมั่นของผู้ปฏิบัติงาน ล้วนมีที่มาจากผู้บริหารทั้งสิ้น ดังนั้น ความล้มเหลวของการดำเนินงานตามแผนธุรกิจ หรือแผนการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ในองค์กร จึงเป็นความรับผิดชอบของบุคคลที่ดำรงสถานะผู้บริหารโดยไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้

! http://blog.nation.ac.th/?p=2589

การทำวิจัยระดับปริญญาเอก

research thailand
research thailand

มีเพื่อน share มาให้
ผมเก็บภาพนี้ไว้เป็น case study
ในวิชาที่สอนเกี่ยวกับการทำ project
ส่วนเนื้อหาในภาพก็ใช้คุยได้หลายวิชา
อาทิ การตลาด จริยธรรมคุณธรรม และกฎหมาย
ผมว่าการออกแบบเว็บเพจก็ยังเล่าให้นักศึกษาฟัง
เรื่อง การพัฒนาเว็บไซต์ได้อีกด้วย
แล้วก็ยังพูดถึงเรื่องการประกันคุณภาพของ สกอ.ได้

ชื่อโดเมนสวยมากครับ researchthailand.com

คนที่เกี่ยวกับเรื่องนี้
– ตัวนักศึกษาปริญญาเอก
– อาจารย์ที่ปรึกษา
– ผู้รับจ้าง
– สถาบันการศึกษา
– สกอ. ???

องค์ประกอบดี ผลลัพธ์ย่อมดี แปรผันตามกัน

ทัศนะวิจารณ์  ..  “องค์ประกอบชำรุด ผลลัพธ์ย่อมผิดรูปไป

 

องค์ประกอบ และผลลัพธ์
องค์ประกอบ และผลลัพธ์

สิ่งมีชีวิตทั้งมวลล้วนเป็นไปตามกฎวัฏสงสาร มีเกิดมีดับเปลี่ยนไปตามภพภูมิ มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แล้วก็กลับมาเกิดใหม่ แล้วทุกสถานะก็จะมีองค์ประกอบและค่าประจำองค์ของตน การเลื่อนไหลจากสถานะหนึ่งไปอีกสถานะหนึ่งล้วนมีที่มาที่ไป ซึ่งค่าขององค์ประกอบทั้งหมดจะถูกรวมและประเมินว่าจะไหลไปอยู่ที่ใดเป็นเวลาเท่าใด  เช่นเดียวกันกับคุณภาพการศึกษาที่ต้องมีองค์ประกอบเป็นปัจจัยว่าสถาบันจะรุ่ง หรือจะร่วง

ทุกอย่างเกิดขึ้นจากการรวมกันขององค์ประกอบ เช่น ข้าวมันไก่จะประกอบด้วย ข้าว ไก่ น้ำจิ้ม น้ำซุป แต่จะมีลูกค้ามากน้อยเพียงใดย่อมมีอีกหลายองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง สำหรับข้าวมันไก่ที่มีคุณภาพก็จะมีรสชาติและปริมาณใกล้เคียงกันทุกจาน หากกุ๊กทำมานับสิบปีที่เรียกว่ามืออาชีพก็มักมีมาตรฐาน คือ ปริมาณและรสชาติใกล้เคียงกันทุกจาน ส่วนร้านใดเปลี่ยนกุ๊กบ่อยก็คาดได้ว่าไม่มีมาตรฐาน คือ รสชาติเปลี่ยนตามแม่ครัว ลูกค้าก็มักทยอยหนีหายไปร้านอื่น

การศึกษายุคโบราณที่มีวัดเป็นโรงเรียนจะมีองค์ประกอบที่ต่างกับปัจจุบัน คือ มีพระสงฆ์ มีกระดานชนวน มีปั๊บสา มีศาลาวัดเป็นห้องเรียน ซึ่งยังไม่มีใครพูดถึงคุณภาพหรือมาตรฐาน แต่ปัจจุบันโรงเรียนประกอบด้วย อาคารเรียน ครู ห้องเรียน สื่อการเรียนรู้ หลักสูตร คุณภาพและมาตรฐาน เป็นต้น แล้วองค์ประกอบที่ทำให้โรงเรียนแตกต่างกันก็มีอยู่มากมาย เพื่อแยกความแตกต่างจึงมีการจัดลำดับโรงเรียน ก็มีทั้งจัดอันดับในจังหวัด ในประเทศ และในโลก เมื่อมีโรงเรียนที่เป็นเลิศก็ย่อมมีโรงเรียนที่อยู่ท้ายสุด ผู้จัดอันดับแต่ละรายก็จะสนใจองค์ประกอบที่เป็นที่มาของคะแนนแตกต่างกัน อาจพิจารณาจากจำนวนนักเรียนที่สอบเข้าในสถาบันการศึกษาของรัฐ จำนวนนักเรียนที่เป็นตัวแทนระดับชาติ หรือคะแนนเฉลี่ยจากการสอบวัดผลด้วยข้อสอบส่วนกลาง

ในระดับอุดมศึกษามีสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) กำหนดว่าสถาบันที่มีคุณภาพต้องประเมินองค์ประกอบคุณภาพทั้งหมด 9 องค์ประกอบ นอกจากนั้นก็ยังมีสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน) (สมศ.) กำหนดว่ามาตรฐานคุณภาพต้องมี 18 มาตรฐาน หากลงไปในรายละเอียดก็จะพบว่ามีตัวบ่งชี้ และเกณฑ์คุณภาพอีกร้อยกว่าตัวที่ทุกหลักสูตรต้องปฏิบัติ ไม่มีหลักฐานมาแสดงก็จะไม่ได้คะแนนในส่วนนั้น ถ้าไม่ดำเนินการตามเกณฑ์ในระดับหนึ่งก็จะถูกประเมินว่าไม่มีคุณภาพ อาจมีผลพิจารณาจากต้นสังกัดว่าไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดรับนักเรียนในปีต่อไป หากดื้อดึงยังรับนักศึกษาต่อไปก็จะไม่ส่งเรื่องให้สำนักงาน ก.พ. เป็นผลให้หลักสูตรที่มีบัณฑิตจบออกมานั้นไม่สามารถรับราชการได้

องค์ประกอบของสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มีคุณภาพต้องมี 9 องค์ประกอบ คือ แผนการดำเนินการ การผลิตบัณฑิต การพัฒนานักศึกษา การวิจัย การบริการวิชาการ การทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม การบริหาร การเงิน และการประกันคุณภาพ จากการกำกับให้มีการประกันคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่องมากว่า 10 ปีของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ได้นำผลการประเมินคุณภาพการศึกษาของทุกสถาบันเผยแพร่สู่สาธารณะผ่านระบบ CHEQA เมื่อเข้าไปสืบค้นข้อมูลผลประเมินสถาบันการศึกษาในไทย พบว่า มีสถาบันการศึกษากลุ่มหนึ่งที่มีผลประเมินต่ำกว่าระดับดี โดยองค์ประกอบที่มีคะแนนต่ำคือ การผลิตบัณฑิต และการวิจัย

เมื่อเข้าไปดูผลการดำเนินงานของสถาบันที่มีผลประเมินในระดับต่ำในระบบ CHEQA ที่ สกอ. เผยแพร่ พบว่า ตัวบ่งชี้ของการผลิตบัณฑิตที่ได้คะแนนต่ำ คือ จำนวนอาจารย์ที่มีวุฒิปริญญาเอก และจำนวนอาจารย์ที่มีตำแหน่งทางวิชาการมีน้อย ซึ่งสะท้อนได้ว่าจำนวนอาจารย์ที่พร้อมสอนในระดับนี้ยังขาดแคลน ส่วนตัวบ่งชี้ของการวิจัยที่ได้คะแนนต่ำ คือ วงเงินสนับสนุนงานวิจัย ถ้าหลักสูตรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีอาจารย์ 5 ท่านจะต้องได้ทุนวิจัย 300,000 บาทต่อปี จึงจะได้คะแนนในระดับดีมาก

องค์ประกอบทั้งสองส่งผลถึงการผลิตบัณฑิตว่า ถ้าอาจารย์มีความพร้อมที่จะสอน ย่อมผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของสังคม ถ้าอาจารย์ทำวิจัยที่มีคุณภาพก็ย่อมจะได้องค์ความรู้ใหม่ และนำไปถ่ายทอดให้นักศึกษามีความรู้ใหม่ แล้วจบเป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพ เป็นที่ต้องการของสังคม แต่จากการติดตามข่าวเด่นประเด็นร้อนในเว็บไซต์ของกระทรวงศึกษาธิการ พบว่า สถาบันการศึกษาบางแห่งไม่ใส่ใจเรื่องคุณภาพการศึกษาจนเป็นเหตุให้ต้องถอนใบอนุญาตจัดตั้งมหาวิทยาลัย หรือบางแห่งต่างเรื่องคุณภาพอาจารย์จน สกอ. มีคำสั่งให้หยุดรับนักศึกษาใหม่ในหลักสูตรที่มีจำนวนอาจารย์วุฒิปริญญาเอกน้อย และตำแหน่งทางวิชาการน้อย

เกณฑ์คุณภาพการศึกษาเป็นเรื่องที่มองได้หลายมุม คนที่กำหนดเกณฑ์เป็นคนกลุ่มหนึ่ง คนที่รักษากฎเป็นอีกกลุ่ม คนที่พิพากษาเป็นอีกกลุ่ม แต่กลุ่มใหญ่ที่สุดคือคนที่ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทุกข้อให้ครบถ้วน ปัจจุบันพบว่ามีนักวิชาการไทยก็ยังเห็นต่างเรื่องคุณภาพการศึกษา อาทิ เน้นการกระจายโอกาสทางการศึกษาจนทำให้คุณภาพเสียไป เน้นเรียนกับมืออาชีพโดยใช้คนที่ทำงานในภาคธุรกิจมาเป็นอาจารย์พิเศษเป็นสัดส่วนที่มากเกินไปก็จะไม่เป็นตามเกณฑ์คุณภาพ
ประเทศไทยยังเป็นประเทศกำลังพัฒนา และอยู่ระหว่างพัฒนา ทั้งองค์ประกอบคุณภาพ มาตรฐานคุณภาพ และเกณฑ์คุณภาพมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลาในช่วงเวลา 10 ปีนี้ และจะยังปรับเปลี่ยนต่อไป การให้ความสำคัญกับองค์ประกอบใดอย่างไรย่อมทำให้ผลลัพธ์แปรผันตามกันไป ในอนาคตการศึกษาไทยอาจให้ความสำคัญกับองค์ประกอบด้านศิลปวัฒนธรรมเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าวันนั้นมาถึงก็เชื่อได้ว่าบัณฑิตใหม่จะสวดมนต์ และฟ้อนรำเป็นทุกคน

แหล่งข้อมูล
http://www.cheqa.mua.go.th
http://www.mua.go.th
http://www.onesqa.or.th
http://www.moe.go.th

เฟสบุ๊คไม่ใช่ที่ส่วนตัวอีกต่อไป (itinlife393)

กรณีผู้จัดการโรงภาพยนตร์กับลูกค้า
กรณีผู้จัดการโรงภาพยนตร์กับลูกค้า

http://www.manager.co.th/lite/ViewNews.aspx?NewsID=9560000046526

ผู้ใช้เฟสบุ๊คหลายคนคงเชื่อฝังหัวว่า เฟสบุ๊คคือพื้นที่ส่วนตัว จะบ่น จะด่าอะไรก็ได้ เป็นที่ระบายอารมณ์ให้เพื่อนฟังอย่างเสรี ไร้ปัญหาแน่นอน จะถ่มน้ำลายขึ้นฟ้า โทษฟ้า โทษดินก็ทำได้ เพราะไม่ใช้ชื่อจริง ไม่ใช้ภาพจริง แล้วหลายคนก็ประกาศไว้ว่าถ้าไม่อยากติดต่อ ไม่พอใจในการเป็นเพื่อนก็ให้กดปุ่ม unfriend ยกเลิกความสัมพันธ์ได้ทันที ซึ่งความจริงไม่เป็นเช่นนั้นไปทั้งหมด มีกรณีปัญหาจากการโพสต์ไม่คิดเกิดขึ้นมาแล้ว อาทิ ด่าเจ้านายก็ถูกไล่ออก ครูชายชมนักเรียนหญิงก็ถูกไล่ออก พนักงานด่าลูกค้าก็ถูกไล่ออก แม้ใช้ชื่อปลอม หรือภาพประจำตัวปลอมก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ซึ่งสามกรณีข้างต้นเกิดขึ้น และถูกแบ่งปันกันอย่างแพร่หลาย

ในต่างประเทศเมื่อเกิดข้อพิพาทก็จะผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน แต่ที่ประเทศไทยเกิดข้อพิพาทระหว่างผู้จัดการโรงภาพยนตร์กับลูกค้าย่านพระราม 3 เมื่อกลางเดือนเมษายน 2556 เป็นเหตุให้ผู้จัดการพิจารณาตนเองแล้วลาออกไป จากนั้นอีก 2 วันพนักงาน 2 คนก็ถูกให้ออก แบบประกาศผ่านเครือข่ายสังคม เพราะมีเหตุมาจากเครือข่ายสังคมที่พนักงานไปแสดงความเห็นว่าเบื่องาน และพูดถึงลูกค้าด้วยวาจาไม่เหมาะสม ซึ่งเชื่อว่าผู้ถูกพิจารณาให้ออกงานจะไม่ยื่นอุทธรณ์ แล้วโรงภาพยนตร์ก็ประกาศเป็นการแสดงความรับผิดชอบ และแก้ไข เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ลูกค้าในการให้บริการที่มีคุณภาพต่อไป

เคยมีคนกล่าวว่า การเขียนในเครือข่ายสังคม โดยเฉพาะเฟสบุ๊คเสมือนเขียนด้วยปากกา ไม่ใช่ดินสอ เพราะเกิดเรื่องมาแล้วลบด้วยยางลบไม่ได้ แล้วมากกว่าครึ่งหนึ่งของคนไทยก็จะเขียนด้วยสำนวนที่เป็นกันเองมากเกินไป เหมือนเขียนไว้อ่านคนเดียว ไม่คำนึงว่าเพื่อนนับร้อยนับพันที่เคยรับไว้เป็นเพื่อน นั้นมีเพื่อนของเพื่อน ญาติ ครู อาจารย์ ลูกค้า เจ้านาย หรือผู้สูงอายุอยู่ในกลุ่มได้รับข้อความเหล่านั้น เมื่อเคยชินกับการใช้ถ้อยคำที่ไม่ได้กลั่นกรอง ก็อาจมีบางครั้งเขียนข้อความที่ผู้อ่านบางคนยอมรับไม่ได้ แล้วถ้าผู้อ่านคือหัวหน้า เจ้านาย หรือลูกค้าก็อาจนำไปเขียนซ้ำ (repost) แบ่งปัน (share) หรือเก็บจอภาพ (capture) ไปเผยแพร่ต่อ ย่อมเป็นความเสียหายที่ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ก็หวังว่าเพื่อนชาวไทยจะใช้ความระมัดระวังในการเขียนเรื่องราวลงไปในเครือข่ายสังคมเพิ่มขึ้น

 

 

ความหมาย และความจำเป็น กับคำว่ามืออาชีพ

แต่งหน้า อย่างกับมืออาชีพ
แต่งหน้า อย่างกับมืออาชีพ

ความหมาย และความจำเป็น ที่ต้องใช้มืออาชีพ
1. ความหมายของมืออาชีพ ของ สุรชัย เทียนส่ง ใน blog คณะเภสัชศาสตร์ ศิลปากร
มืออาชีพ คือ มือ + อาชีพ เอาคำสองคำนี้มาประสานกัน การทำงานคงต้องใช้มือในการลงมือทำ มือทำตามสมองและจิต  การงานใดที่เรามองว่ามันคืออาชีพ เราควรจะทำมันเต็มกำลังสามารถและควรจะพยายามรักษาอาชีพที่เราทำนั้นไว้ให้ดีที่สุด เมื่อเราทำเช่นนี้ เราก็จะมีความสามารถในงานที่เราทำเหนือใคร ๆ จนสามารถสอน บอกเล่า งานการที่เราทำนั้นแก่ผู้อื่นได้ ซึ่งอาจหมายถึงคำที่เขาเรียกกันว่า ผู้มีประสบการณ์
http://blog.pharm.su.ac.th/content/%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%9E

2. ความจำเป็นที่ต้องใช้ มืออาชีพ มาเป็น อาจารย์พิเศษ ของ ผศ.ชัยชาญ ถาวรเวช นิเทศ ศิลปากร
ตอบคำถามเรื่อง “อะไรคือ ความตั้งใจแรกที่ คณะไอซีที ต้องอยู่บางรัก และมีอาจารย์พิเศษ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ สกอ. ประเมิน ไม่ผ่าน”
ว่า “คณะมีความตั้งใจ คือ ต้องการให้นักศึกษาจบไปแล้วทำงานเป็นเลย เพราะอย่างที่ทราบกันดี นายจ้างต้องเสียเวลาฝึกพนักงานใหม่เป็นเดือน พอเป็นงานแล้ว ก็เปลี่ยนงานใหม่ เพื่อปรับฐานเงินเดือน”
“เพราะเหตุนี้ มหาวิทยาลัยจึงต้องการผลิตบัณฑิต เพื่อตอบสนองความต้องการของสังคมได้ดี บัณทิตที่จบไป ต้องทำงานได้ทันที นี่คือ ความจำเป็นที่ต้องใช้ มืออาชีพ มาเป็น อาจารย์พิเศษ ”
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1365152611&grpid=03&catid=03

แถลงการณ์จากคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มศก.
เรื่อง การรับนักศึกษาหลักสูตรนิเทศศาสตร์ ประจำปีการศึกษา 2556

http://thainame.net/edu/?p=708

3. ถ้าหลักสูตรมีผู้มีประสบการณ์แสดงว่าเป็นจุดขาย ของ ผศ.ดร.รุ่งรัตน์ ชัยสำเร็จ นิเทศฯ หอการค้าไทย
“ต้องยอมรับว่ามหาวิทยาลัยเปิดหลักสูตรจำนวนมาก แต่อาจารย์สอนมีจำนวนจำกัด ทำให้มหาวิทยาลัยทุกแห่งต้องจ้างอาจารย์พิเศษมาสอน ซึ่งการจ้างอาจารย์พิเศษมาสอนถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะทำให้นักศึกษาได้เห็นมุมมอง ประสบการณ์ ความคิดใหม่ๆ จากอาจารย์พิเศษที่ส่วนใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญ มีความรู้ความสามารถ อยู่ในแวดวงการทำงานธุรกิจนั้นจริงๆ”
คมชัดลึก ฉบับวันที่ 18 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)
http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32449&Key=hotnews


แต่งหน้าแบบมืออาชีพ

แนวคิด ทฤษฎี และการออกแบบองค์การ (Organization)

องค์การ ถือเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องและมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะในสถานะของสมาชิกในองค์การหนึ่ง ๆ หรือในสถานะผู้ซื้อสินค้าหรือรับบริการจากองค์การใดๆ ในสังคม

five S model
five S model
สวรัย นัยนานนท์
สวรัย นัยนานนท์

การศึกษาถึงแนวคิด ทฤษฎี และการออกแบบองค์การ จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับบุคคลทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลในระดับบริหาร ซึ่งหากมีความรู้ ความเข้าใจถึงแนวคิดและทฤษฎีองค์การ เชื่อว่าจะสามารถบริหารและจัดการให้องค์การ มีผลการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แนวคิดและทฤษฎีองค์การ มีผู้ศึกษาและให้นิยามขององค์การไว้อย่างหลากหลาย อาทิเช่น “องค์การ คือ การรวมตัวของคนตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อดำเนินกิจกรรมใดๆ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้” (ดร.ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์) หรือ “สิ่งที่มีอยู่ในสังคม มีการจัดตั้งขึ้นมาอย่างมีเป้าหมาย มีการออกแบบระบบโครงสร้างและระบบกิจกรรมที่มีการประสานงานกัน และมีการเชื่อมโยงสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมภายนอก” (Richard L. Daft) เป็นต้น

ในส่วนของทฤษฎีองค์การ “เป็นหลักการศึกษาถึงโครงสร้าง และการออกแบบองค์การ โดยอธิบายว่าองค์การถูกจัดตั้งขึ้นมาได้อย่างไร และให้ข้อเสนอแนะการสร้างองค์การในลักษณะใด ที่จะก่อให้เกิดประสิทธิผลแก่องค์การเอง” (นิตยา เงินประเสริฐศรี) และเพื่อประโยชน์ต่อการศึกษาทฤษฎีองค์การ จึงจัดแบ่งทฤษฎีองค์การออกเป็น 3 สำนัก คือ

1. สำนักทฤษฎีองค์การสมัยดั้งเดิม จะมุ่งเน้นโครงสร้างองค์การที่เป็นทางการ และการบรรลุวัตถุประสงค์เฉพาะที่กำหนดไว้เป็นหลัก

2. สำนักทฤษฎีองค์การเน้นมนุษยสัมพันธ์ จะมีลักษณะตรงข้ามกับสำนักทฤษฎีองค์การสมัยดั้งเดิม กล่าวคือ มีโครงสร้างองค์การอย่างไม่เป็นทางการ และให้ความสำคัญกับความรู้สึกของคนมากขึ้น

3. สำนักระบบและสถานการณ์ จะให้ความสำคัญกับการพิจารณาถึงลักษณะของระบบต่างๆ ภายในองค์การที่มีความสัมพันธ์กัน และสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมขององค์การนั้นๆ

จากทฤษฎีองค์การของแต่ละสำนักตามข้างต้น จะพบว่า ในการศึกษาทฤษฎีองค์การให้เกิดความเข้าใจขึ้นได้นั้น จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจหรือศึกษาพฤติกรรมองค์การประกอบด้วย เพราะการบรรลุผลสำเร็จขององค์การได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับคนหรือสมาชิกภายในองค์การนั้นๆ เป็นสำคัญ

การออกแบบองค์การ โดยทั่วไปองค์การจะประกอบด้วยองค์ประกอบ 5 ส่วน คือ ฝ่ายบริหารระดับสูง ฝ่ายบริหารระดับกลาง กลุ่มผู้ปฏิบัติการ ฝ่ายสนับสนุนทางการบริหาร และฝ่ายสนับสนุนทางเทคนิค ซึ่งระดับของบทบาทหน้าที่และความสำคัญขององค์ประกอบใดๆ ข้างต้น จะขึ้นอยู่กับรูปแบบขององค์การ ที่มี 5 รูปแบบ (มินซ์เบอร์ก) คือ องค์การแบบโครงสร้างอย่างง่าย องค์การแบบเครื่องจักรกล องค์การทางวิชาชีพ องค์การแบบโครงสร้างแยกหน่วยงาน และองค์การแบบเฉพาะกิจ

ทั้งนี้ มีแนวคิดเกี่ยวกับวิธีการออกแบบองค์การ โดยใช้ยุทธศาสตร์ 3Rs (ฐิติกร พูลภัทรชีวิน) คือ การปรับความคิดความเข้าใจ (Rethinking) การปรับกระบวนการทำงาน (Reengineering) และ การปรับโครงสร้าง (Restructuring) ซึ่งเป็นการพัฒนาองค์การเพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน

นอกจากนี้ ในปัจจุบันผู้ออกแบบองค์การควรตระหนักถึงลักษณะขององค์การสมัยใหม่ หรือ 5’s Model (รศ.ดร.เสน่ห์ จุ้ยโต) คือ องค์การจิ๋วแต่แจ๋วคุณภาพ (Small) องค์การฉลาดทรงภูมิปัญญา (Smart) องค์การยิ้มแย้มเปี่ยมน้ำใจ (Smile) องค์การร่วมมือไร้ความขัดแย้ง (Smooth) และ องค์การทำเรื่องยากให้ง่ายและเร็ว (Simplify) ซึ่งจะต้องอาศัยความรู้ความสามารถของผู้บริหาร (Competency) การมีวินัยและความรับผิดชอบต่อตนเอง ของพนักงาน (Self-Control) การมีกระบวนการที่ดีมีประสิทธิภาพ มีความน่าเชื่อถือ การมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ซึ่งลักษณะขององค์การตาม 5’s Model นี้ จะสามารถเพิ่มขีดความสามารถให้แก่องค์การ สู่ความเป็นเลิศได้

โดย สวรัย นัยนานนท์  ในกรุงเทพธุรกิจ

! http://blog.nation.ac.th/?p=2576