Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

โรงเรียนลดชั่วโมงเรียนวิชาการ เน้นเสริมการงานอาชีพ เริ่มปีหน้า

เสกโลโซบอกว่า “ได้อย่าง เสียอย่าง”
– โรงเรียนกวดวิชาบอกว่า “ดี ๆ ชอบ ๆ เข้าทางแล้ว”
– ส่วนเด็กต่างอำเภอบอกว่า “เรียนมากปวดหัว ..”
– เด็กในเมืองบอกว่า “สอนน้อยหน่อยก็ดี ที่สอนมาเรียนล่วงหน้าไปหมดแล้ว”
– คุณครูบอกว่า “ดีมาก .. จะได้มีเวลาทำผลงาน”

มีข้อมูลเบื้องต้นว่า .. จำนวนโรงเรียนกวดวิชาในลำปาง
ประเมินด้วยสายตามีเกือบ 30 แล้ว
ถ้าปรับหลักสูตรลดวิชาการในโรงเรียน คาดจะมีผุดใหม่ทะลุ 50 เป็นแน่
http://thaiabc.com/lampangnet/admin/528/

กระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายลดชั่วโมงเรียนวิชาการเกือบครึ่ง
เน้นเสริมการงานอาชีพ โดยเริ่มในปีการศึกษาหน้า

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ภานิช ทองโรจน์
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ภานิช ทองโรจน์

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ภานิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวในการเปิดงานสมัชชาการศึกษา 2556 การศึกษาไทยแบบไหนที่เด็กต้องการ โดยเครือข่ายยุวทัศน์ กรุงเทพมหานครจัดขึ้น ว่า หลักสูตรการศึกษาไทยในปัจจุบันใช้มากว่า 12 ปี (2544) ถือว่าล้าสมัย จึงเตรียมปรับหลักสูตรให้เป็นปัจจุบันมากขึ้นโดยเน้นกระบวนการทางวิชาการ ทั้งของไทยและต่างประเทศ นำมาผนวกกันให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด โดยจะเน้นการเรียนนอกห้องเรียน ลดการเรียนวิชการในห้องเรียนให้น้อยลง เพื่อให้เกิดการพัฒนาการของสมองเด็กในช่วงต่าง ๆ เช่น นักเรียน ป.1 – 2 จะมีการออกแบบหลักสูตรการเรียนเฉพาะ เพราะเป็นช่วงที่เด็กต้องมีทักษะในการเตรียมความพร้อม เพื่อเปิดรับการศึกษาที่สูงขึ้นที่เน้นการพัฒนาการทางด้านร่างกายและจิตใจ สอดแทรกเนื้อหา ดนตรี ศิลปะ กีฬามากขึ้น และที่สำคัญจะเน้นให้รู้เรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย จากเดิมใช้เวลาในห้องเรียน 700 ชั่วโมงต่อปี ให้เหลือ 600 ชั่วโมงต่อปี ขณะที่ระดับมัธยมศึกษา จะปรับให้เสริมเรื่องการงาน การอาชีพ เข้าไปด้วย เพราะมีเด็กจำนวนมากไม่เข้าสู่ระบบการศึกษาทั้งต้นและปลาย จึงต้องเสริมหลักสูตรเหล่านี้เข้าไปให้มีความรู้ใหม่ ๆ สามารถคิดได้เองโดยอิงหลักวิชาการ ซึ่งจะปรับลดให้ต่ำกว่า 1,000 ชั่วโมงต่อปี หรือประมาณร้อยละ 60 ต่อ ร้อยละ 40
ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า คาดว่าสิ้นเดือนนี้หลักสูตรดังกล่าวจะมีความชัดเจน เพื่อให้สามารถนำไปใช้ทันปีการศึกษาหน้า ขณะที่สถาบันการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(สถศ.) จะเข้ามาดูแลเรื่องการวัดผลต่อไป ซึ่งจะมีผลกับโรงเรียนทั่วประเทศ

http://thainews.prd.go.th/centerweb/news/NewsDetail?NT01_NewsID=WNSOC5606150020002

คลายปม ผ้าเหลืองร้อน พระมิตซูโอะ ลือหนีพุทธพาณิชย์

คลายปม ผ้าเหลืองร้อน พระมิตซูโอะ ลือหนีพุทธพาณิชย์
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน     11 มิถุนายน 2556 21:21 น.
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000070503

พระมิตซูโอะ
พระมิตซูโอะ

บทความนี้อ่านแล้ว
ทำให้รู้สึกว่า คุณธรรม กับจริยธรรม แยกกันชัดเจน
ถ้าผู้เกี่ยวข้องรอบท่านมีปัญหา ละม้ายคล้ายคดี [ใบอนุ .. 25ปี]
แสดงว่าเหล่าผู้เกี่ยวข้องมีจริยธรรม แต่ขาดคุณธรรม
ถ้าพระท่านแก้ไขคนอื่นไม่ได้ .. การแก้ไขตนเองอาจเป็นทางออก
เพื่อน ๆ ที่รู้จักก็มีหลายคนเลือก [แก้ไขตนเอง]

ปรากฏการณ์สร้างความตะลึง สะเทือนวงการศาสนา หลังข่าวลาสิกขาบทของพระชื่อดัง “มิตซูโอะ คเวสโก” พระชาวญี่ปุ่น เจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม ลูกศิษย์รุ่นแรกของหลวงพ่อชา สุภทฺโท ผู้ซึ่งมีคำกล่าวเปรียบเปรยว่า “ซากุระผลิบานเป็นดอกบัว” แพร่กระจายออกไป ท่ามกลางความสับสน แปลกใจ มีการแถลงข่าว เกิดการตั้งคำถาม เป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมาย เหตุใดพระอาจารย์จึงเลือกเดินทางสู่โลกแห่งความวุ่นวายอีกครั้ง

ปมปริศนา ผ้าเหลืองร้อน

อยู่ใต้ร่มกาสาวพักตร์มานานกว่า 37 พรรษา สำหรับพระชาวญี่ปุ่นชื่อดัง “มิตซูโอะ คเวสโก” พระนักคิด นักเขียน นักพูด เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชนหลายๆ คน แต่จู่ๆ กลับมีข่าวว่าพระมิตซูโอะลาสิกขาแบบกะทันหัน โดยไม่มีใครทราบเรื่องมาก่อน สร้างความตกใจและแปลกใจไม่น้อยให้กับลูกศิษย์ ลูกหาที่เคารพในตัวท่าน และเมื่อวันที่ 10 มิถุนายนก็ยืนยันแล้วว่า พระอาจารย์มิตซูโอะได้ลาสิกขาบทจริง ณ วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร กทม. เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2556 แล้วเดินทางกลับไปยังประเทศบ้านเกิดคือประเทศญี่ปุ่นโดยไม่มีกำหนดการกลับ

คลื่นคำถามซัดเข้ามามากมาย เหตุใดพระอาจารย์มิตซูโอะจึงต้องสึก?? ถึงแม้มีการยืนยันสาเหตุแล้วว่า เนื่องด้วยปัญหาสุขภาพจากโรคเบาหวานที่รุมเร้า แต่ด้วยการไม่รู้กำหนดการลาสิกขาล่วงหน้า คำตอบและท่าทีอึกอักของทางมูลนิธิมายาโคตมี รวมถึงคำให้สัมภาษณ์จากพระอาจารย์หนูพรม สุชาโต รองเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม ที่กล่าวว่า “การลาสิกขาของท่าน ทางวัดไม่ทราบว่าไปสึกที่ไหนและอาการป่วยของท่านก็เป็นองค์ประกอบหนึ่ง แต่ขอยืนยันว่า ไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเงินของมูลนิธิแต่อย่างใด และการที่ท่านจะกลับมาหรือไม่ก็ไม่มีใครจะทราบได้” เลยทำให้เราต้องสืบค้นข้อมูลเพื่อตอบคำถามค้างใจนี้ให้กระจ่าง

แหล่งข้อมูลหนึ่งที่เชิญพระอาจารย์คนดังมาร่วมงานและกำลังจะถึงวันงานอีกไม่นานนี้ ได้กล่าวกับทีมงาน ASTV ผู้จัดการ Live ว่าตอนนี้คิวงานถูกยกเลิกทั้งหมด และกล่าวเพิ่มเติมอีกด้วยว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระมิตซูโอะลาสิกขาแบบเงียบๆ นั้น เพราะมีปัญหากับกรรมการชุดปัจจุบัน ที่มีแนวทางการดำเนินงานแบบพุทธพาณิชย์

“คณะกรรมการใหม่เนี่ย เค้าเพิ่งทำงานมาได้ปี สองปีนะ ไม่ใช่คณะกรรมการที่เคยรู้ใจกันมาตลอด จนท่านเป็นท่านทุกวันนี้ พอเปลี่ยนคณะกรรมการใหม่เค้าก็เปลี่ยนมุมมอง วิธีการ เลยอาจทำให้ขาดความเข้าใจบางอย่าง เพราะท่านเป็นคนจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่ท่านไม่พูด คือท่านไม่อยากแตะเงินหรอก แต่คนรอบตัวท่านเป็นฝ่ายจัดการ ด้วยวิธีใดบ้างล่ะ มันมากเกินไปจนท่านไม่มีลมหายใจเป็นของตนเอง ท่านเลยสละ และไม่พูดถึงใครตรงนั้นเลยไง ท่านเต็มที่แล้วก็ไปเลย ท่านก็วิเวกของท่านเอง แล้วท่านอาจจะคิดได้ด้วยซ้ำไปนะว่า ในสิ่งที่มันมากเกินไปเนี่ยนะ มันก็เป็นธุรกิจทั้งนั้น

ท่านถูกนิมนต์ไปไหนต่อไหน โดยมีคนจัดการให้ตลอด ตัวท่านเองไม่ได้ใส่ใจเรื่องเงินหรอก แต่วิธีคิด การดำเนินงาน กลายเป็นว่าท่านเลยมานึกว่า ตัวท่านกำลังทำอะไรอยู่ ซึ่งคิดว่าท่านเก็บความรู้สึกนี้มานานแล้ว ท่านรู้มานานแล้วว่ากลุ่มคนพวกนี้วางกำหนดการให้ท่านไปนู่น ไปนี่ แต่ท่านไม่ว่าใคร เป็นนิสัยของท่านอยู่แล้ว คือท่านไม่อยากว่าใคร แล้วคำที่แถลงๆ กัน ที่ออกมาพูด คือไม่อยากให้มีเรื่องราว เพราะจะกระทบกับคนที่อยู่ตามมูลนิธิ ทั้งงานเขียนของท่านต่างๆ สิ่งต่างๆ มันยังต้องดำเนินอยู่ ทีนี้ก็รู้แล้วว่าไอ้สิ่งต่างๆ ดำเนินอยู่ อย่างน้อยสะท้อนไปถึงพระชื่อดังรูปอื่นๆ ที่ทำธุรกิจในเชิงจัดกิจกรรมต่างๆ มันเป็นสิ่งที่ควรระวัง เพราะอาจทำให้เสียบุคลากรคือพระดีๆ ได้ ซึ่งครั้งนี้ท่านสอนให้ทุกคนอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง จะได้รู้ว่า ที่เอาท่านมาบังหน้าเนี่ย คนไม่ปฏิบัติตามคำสอนท่านเลย คนที่ทำงานอยู่ใกล้ชิดไม่ปฏิบัติแบบท่าน คนใกล้ชิดไม่นึกถึงหัวใจท่าน”

ชี้ให้เห็น ความไม่เที่ยง

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์การลาสิกขาของพระขวัญใจคนไทยครั้งนี้ ก็เป็นเหตุการณ์ที่เตือนสติชาวพุทธได้เป็นอย่างดี ถึงความไม่เที่ยง พระอาจารย์ที่ศึกษาและเผยแพร่ธรรมะมาอย่างยาวนาน มีผลงานเขียนที่ประทับใจคนอ่าน มีมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในหลายๆ ด้าน แน่นอนว่าสร้างความตะลึงให้ประชชาชนที่เลื่อมใสในตัวท่านไม่น้อย นพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตนเองรู้สึกตกใจเช่นกันกับการลาสิกขาแบบกะทันหันของพระมิตซูโอะเช่นนี้

“ตอนแรกที่ทราบข่าวก็ไม่อยากเชื่อ ช็อกไปเลย เพราะไม่คิดว่าท่านมิตซูโอะจะสึก แต่คนจะคลอดลูก พระจะสึก ห้ามกันไม่ได้ ถือเป็นเรื่องของความพอใจของท่าน ท่านน่าจะคิดทำดีที่สุดแล้ว ส่วนเหตุผลของการสึกครั้งนี้น่าจะเป็นเหตุผลส่วนตัว ที่เรามิอาจจะทราบได้ เพราะที่ผ่านมาท่านไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสีย หรือมีปัญหา มีความขัดแย้งเรื่องใดๆ ท่านทำดีมาโดยตลอด เมื่อท่านสึกออกไปก็น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่ท่านได้สร้างแนวทางปฏิบัติไว้จะมีลูกศิษย์สืบทอดต่อไป อย่างไรก็ตาม กรณีมีกระแสข่าวว่าพระมิตซูโอะสึกที่วัดชนะสงครามฯ นั้น บอกตรงๆ ผมไม่ทราบว่าท่านสึกที่ไหนจริงๆ เพราะการสึกอยู่ที่ผู้บวชพอใจว่าจะสึกที่ไหน กับใคร”

อีกด้านหนึ่ง ในพระธรรมวินัย การลาสิกขา ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วไป ที่พึงกระทำได้ หากกายไม่พร้อม ใจไม่พร้อม อย่างที่ตัวท่านเองมีปัญหาด้านสุขภาพ อาจทำให้ปฏิบัติกิจของสงฆ์ไม่สะดวก การลาสิกขาออกมาเป็นฆราวาสเพื่อได้รักษาสุขภาพ และทำงานเผยแพร่ศาสนาก็ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด เช่นที่ ดร.บุญรอด บุญเกิด คณบดีคณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวอธิบาย

“โดยหลักการทางพุทธศาสนานิกายเถรวาทในประเทศไทยไม่ค่อยยึดติดกับการลาสิกขาอยู่แล้ว การบวชแล้วสึกเป็นเรื่องปกติ ถ้าคุณพร้อมทั้งร่างกายและด้านจิตใจเนี่ย ก็คงอยู่ในสมณเพศต่อไป แต่ถ้าเกิดว่าร่างกายไม่พร้อม จิตใจไม่พร้อม มีปัญหาอะไรต่างๆ เหล่านี้ก็สามารถที่จะลาสิกขาได้ปกติ แต่ว่าพอดีท่านเป็นชาวต่างชาติส่วนนึง อีกส่วนนึงคือท่านเป็นคนมีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับ คนไทยก็เลยจะคิดว่าท่านจะอยู่ตลอดไป อย่างหลวงพ่อปัญญาฯ ท่านพุทธทาสฯ

พอท่านลาสิกขา อาจทำให้คนมองว่าท่านมีปัญหาหรือเปล่า แต่ตามความเป็นจริง ท่านจะมีปัญหาหรือไม่มีปัญหา ท่านก็สามารถที่จะลาสิกขาหรือจำพรรษาต่อไปได้ โดยไม่ผิดระเบียบตรงไหนของพระวินัย แล้ววันนี้ท่านสึกไปแล้ว วันหน้าถ้าท่านพร้อม ท่านจะกลับมาบวชอีกก็ถือเป็นสิทธิพื้นฐานที่ท่านสามารถทำได้ เพราะสาเหตุที่ท่านสึก ท่านไม่ได้มีข้อผิดพลาด แต่ถ้าสึกโดยมีข้อผิดพลาดก็จะไม่สามารถกลับมาบวชได้อีก ซึ่งข้อผิดพลาดเนี่ย หมายถึงต้องอาบัติขั้นหนักของวินัยสงฆ์”

ขอชาวพุทธ “อย่า ยึด ติด”

กล่าวได้ว่าพระอาจารย์มิตซูโอะ เป็นดั่งร่มไม้ใหญ่ของพุทธศาสนาในประเทศไทย ชาวพุทธหลายคนที่ชื่นชอบในคำสั่งสอนของท่าน แนวคิดที่เอามาประยุกต์ได้จริง จากจุดนี้เอง โลกออนไลน์จึงมีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย ส่วนมากยินดีกับเส้นทางที่ท่านเลือก บางส่วนอาจคิดร้ายไม่น่าฟัง ไปจนถึงบางส่วนที่ว่า เสียใจที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมกับพระมิตซูโอะอีก บางส่วนเลยคิดออกมาเสียงดังว่า คงไม่ไปปฏิบัติธรมแล้ว ประโยคนี้สามารถบอกอะไรหลายอย่างกับเราว่าตอนนี้ผู้คน “ยึดมั่นในตัวพระ” หรือ “ยึดมั่นในคำสอน” กันแน่

“จริงๆ แล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้น สมมติว่ามีคนพูด “ฉันไม่เป็นคนไทยแล้ว” เอ้า ทำไมล่ะ “คนไทยไม่ดี คนไทยมีคดีข่มขืน ขอลาออกจากความเป็นคนไทย อย่างนั้นหรือเปล่า ตรงนี้นะ พระพุทธเจ้าเองก็ตรัสว่า ไม่ให้เรายึดติดกับตัวบุคคล เพราะตัวบุคคลมันไม่แน่ อาจจะดีหรือชั่ว อาจจะเปลี่ยนแปลงได้เพราะเหตุปัจจัยต่างๆ แต่ให้ยึดในหลักการหรือองค์กรหลัก

สมมติอย่างในมหาวิทยาลัย เราชอบผู้ชายคนนึง แล้วเค้าลาออก ต่อไปเราจะไม่เรียนที่มหาวิทยาลัยนั้นแล้วหรอ ซึ่งความจริงถึงจะเปลี่ยนอธิการบดี คณบดี เปลี่ยนอาจารย์สอน มหาวิทยาลัยก็ยังอยู่ได้ เพียงแต่ว่าคนที่เข้ามาก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตรงนี้ก็เช่นเดียวกัน คือพระอาจารย์ตอนที่เป็นสมณเพศอยู่ ก็สอน คนก็เลยยึดติดในตัวท่าน แล้วพอคิดว่าท่านสึกไปแล้ว ก็คงจะไม่มีคนดีๆ คนเก่งๆ อย่างนี้อีกแล้ว ก็เลยไม่มาปฏิบัติธรรม ซึ่งนั่นแสดงว่าเรายึดติดอยู่กับบุคคล ดังนั้นถ้าบุคคลเปลี่ยน แต่องค์กรยังอยู่ เราก็ต้องปฏิบัติตามหลักธรรมที่ท่านอาจารย์มิตซูโอะ หรือที่ตามหลักพุทธศาสนาสอนไว้ ถ้าหลักการมันถูกต้อง จะใครสอนก็เหมือนกัน ท่านสึกไปแล้ว ถึงแม้จะเป็นฆราวาสจะมาสอนก็ได้ ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก เพราะปัจจุบันสำนักธรรมที่เป็นฆราวาสก็เยอะแยะไป” ดร.บุญรอด กล่าว

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ ที่ทำให้ (อดีต) พระอาจารย์มิตซูโอะ เลือกกลับมาครองฆราวาสอีกครั้ง แต่สิ่งหนึ่งที่ยังทำให้ผู้คนยังเคารพและศรัทธาในตัวท่านคือการยืนยันที่จะเผยแพร่หลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาต่อไป เพราะการลาสิกขาไม่ใช่อุปสรรคในการปฏิบัติธรรม ถ้าใจนั้นยังคงเป็นพระ

เปิดประวัติพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก เป็นพระภิกษุชาวญี่ปุ่น บวชในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท คณะมหานิกาย ท่านเป็นศิษย์รุ่นแรกของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก มีชื่อเดิมว่า “มิตซูโอะ ชิบาฮาชิ” เป็นชาวจังหวัดอิวะเตะ ประเทศญี่ปุ่น เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 สำเร็จการศึกษาในระดับไฮสคูล (เทียบเท่าระดับ ปวช. หรือ มศ.5 ตามระบบการศึกษาไทย) สาขาเคมี ณ เมืองโมะริโอะกะ จังหวัดอิวะเตะ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจึงทำงานจนสามารถเก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง และออกเดินทางไปยังที่ต่างๆ ทั่วโลกเพื่อแสวงหาความหมายของชีวิตตั้งแต่ พ.ศ. 2514

พระอาจารย์มิตซูโอะ ได้เดินทางมาสู่ประเทศไทย หลังจากได้เดินทางแสวงหาธรรมะที่แท้จริงมาแล้วจากหลายประเทศทั่วโลกทั้งอินเดีย, เนปาล, อิหร่าน, ยุโรป แล้วเปลี่ยนความตั้งใจที่เดิมจะไปยังแอฟริกา ไปเป็นที่อินเดียอีกครั้งในปี พ.ศ. 2517 แต่ได้เปลี่ยนใจเมื่อระลึกได้ถึงพุทธคยา เห็นพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ก็ระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าและประจักษ์ต่อใจตนเองว่า แท้จริงแล้วความสุขที่แท้จริงอยู่ที่จิตใจภายในตนเอง จึงหยุดการแสวงหาจากภายนอก มาสู่การแสวงหาจากภายใน

ในชั้นแรกท่านไปฝึกโยคะอยู่ที่สำนักโยคีแห่งหนึ่งในประเทศอินเดีย และเกิดความพอใจที่จะเป็นโยคีอยู่ที่อินเดียตลอดชีวิต แต่ต่อมาเกิดปัญหาว่าวีซ่าของท่านหมดอายุ ท่านจึงเดินทางมาประเทศไทยอีกครั้งเพราะมีผู้แนะนำให้ท่านไปศึกษาพุทธศาสนาที่ประเทศไทย เมื่อมาถึงเมืองไทยแล้วท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพฯ หลังจากนั้นเมื่อท่านบรรพชาได้ 3 เดือน ท่านได้แสวงหาสถานที่ปฏิบัติธรรม มีผู้แนะนำท่านให้ไปกราบหลวงพ่อชา สุภทฺโท ที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งท่านก็ได้เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อตั้งแต่บัดนั้น และได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2518 ได้รับฉายา “คเวสโก” หมายถึง “ผู้แสวงหาซึ่งฝั่ง

หลังพระมิตซูโอะ อุปสมบทได้ 7 ปี จึงขออนุญาตหลวงพ่อชาออกธุดงค์ ปฏิบัติธรรมที่ประเทศอินเดีย เป็นเวลา 1 ปี และกลับมาที่วัดหนองป่าพง เมื่อทราบว่าหลวงพ่อชาอาพาธ จนเข้าสู่ พ.ศ. 2529 ท่านก็เดินทางกลับประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปี ต่อมาในปี พ.ศ. 2532 พระมิตซูโอะ และพระญาณรโต ได้ออกธุดงค์ในประเทศญี่ปุ่นด้วยการเดินเท้า จากสนามบินนาริตะสู่อนุสรณ์สถานแห่งสันติภาพ เมืองฮิโรชิมา ระยะทางกว่า 1,000 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 72 วัน สร้างความสนใจแก่คนไทยและคนญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นถึงชีวิตที่เรียบง่ายแบบพระธุดงค์

หลังจากที่ท่านกลับมาประเทศไทย ก็ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บุกเบิกสร้างวัดป่าสุนันทวนาราม อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นวัดป่านานาชาติ พร้อมกับฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมในพื้นที่ ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้ง พระมิตซูโอะ คเวสโก เป็นเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2544 นับว่าเป็นสาขาที่ 117 ของวัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี

ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live

ตำนานคดีเครื่องราชฯ 25 ปี เจ้าคุณวัดเทพศิรินทราวาส

ติดคุกเพราะไว้ใจ
ติดคุกเพราะไว้ใจ

ประเด็นน่าสนใจจากบทเรียน เรื่องนี้มีมาก
อาทิ
– การไม่รู้หนังสือแล้วลงนาม หรือไม่ศึกษารายละเอียด
– การไว้วางใจ เพราะเขา หรือพวกเขาน่าไว้ใจ
– คุณธรรม จริยธรรม กับความจริงในสังคม
– แล้วนึกถึงการคลายปม ผ้าเหลืองร้อน “พระมิตซูโอะ” ลือหนีพุทธพาณิชย์
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000070503

 

13 มิ.ย.2556 มีคดีใหญ่ที่ขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ และเป็นคดีร้อนที่ผู้คนกำลังติดตามอย่างใกล้ชิด คือคดีอุ้มฆ่านักธุรกิจชื่อดัง “เอกยุทธ อัญชันบุตร” เจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ ที่ยังคงมีปมค้างคาใจหลายฝ่าย ทั้งญาติผู้เสียชีวิต หรือประชาชนทั่วไป ขณะเดียวกัน ยังเป็นวันปิดตำนานคดีสำคัญที่ถือเป็น “ประวัติศาสตร์” ส่งผลฉาวโฉ่ ในวงการผ้าเหลือง ข้าราชการ นักการเมือง หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ธนาคาร เพราะเป็นวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีทุจริตเครื่องราชฯ หลังจากต่อสู้กันมายาวนานกว่า 25 ปีด้วย!!

สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยคิดว่าจะมีกลุ่มบุคคลที่มีความคิดสามานย์นำ “เครื่องราชอิสริยาภรณ์” ที่ในหลวงจะทรงมอบให้กับผู้ที่ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติ มาแสวงหาประโยชน์ใส่ตัวได้ ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดถูกเปิดเผยขึ้นครั้งแรก โดย นสพ.มติชน ฉบับวันที่ 30 ธันวาคม 2529 พร้อมพาดหัวว่า “ปลอมอนุโมทนาบัตร อ้างบริจาค 1,400 ล้าน

พร้อมกับเนื้อข่าววันนั้น สรุปใจความได้ว่า สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีตรวจสอบพบว่า มีข้าราชการขอรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สำหรับปี 2529 ในส่วนผู้ทำคุณประโยชน์ในทางราชการ จำนวนกว่า 750 ราย ที่ได้บริจาคเงิน สิ่งของ ให้วัดและโรงเรียนต่างๆ โดยมีใบอนุโมนาบัตร ระบุเงินกว่า 1,400 ล้านบาทส่อเค้าว่าไม่ถูกต้อง เพราะจากการสุ่มตรวจทราบว่าไม่ได้รับของบริจาคตามที่ระบุไว้

เมื่อกลายเป็นเรื่อง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น จึงสั่งการให้ตามติดกรณีนี้ให้ถึงที่สุด จนกระทั่ง มีการจับกุมในหลายระลอก แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องที่กระทบความรู้สึกของประชาชนมากที่สุด คือ “พระราชปัญญาโกศล” หรือ “เจ้าคุณอุดม รองเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ในขณะนั้น เนื่องจากเป็นเพศบรรพชิต ถูกควบคุมตัว ในขณะห่มผ้าเหลือง จึงกลายเป็นที่สนใจและวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง

หลังจับกุม ได้มีการฝากขังที่ สน.นางเลิ้ง และในเช้าวันที่ 11 ธ.ค. 2530 สื่อทุกสำนักได้ส่งนักข่าวไปติดตามคดี รวมถึง นสพ.สยามรัฐ ซึ่งระบุในหน้า 1 ฉบับวันที่ 12 ธ.ค. 2530 ที่พาดหัวว่า “เจ้าคุณอุดมน้ำตานองลาสึก ไม่อยากติดคุกทั้งผ้าเหลือง” โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า

เจ้าหน้าที่กองอำนวยการสอบสวนคดีทุจริตปลอมแปลงเอกสารเพื่อขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ได้นำตัวพระราชปัญญาโกศล หรือ เจ้าคุณอุดม ผู้ต้องหาคนสำคัญมาสอบปากคำ โดยพระราชปัญญาโกศล ให้สัมภาษณ์ด้วยสีหน้าซึมเศร้าว่า ตนได้ตัดสินใจที่จะลาสึกจากพระแน่นอนแล้ว โดยตัดสินใจเมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (11 ธ.ค.30) เพื่อรักษาสถาบันสงฆ์ซึ่งเป็นส่วนใหญ่เอาไว้ แม้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะทำให้ตนขายหน้าชาวบ้านอย่างมากอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ตนจะสึกได้ขอร้องตำรวจ 3 ข้อ
1. ขอลาพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่วันเทพศิรินทร์ฯ เสียก่อน
2. ขอกราบไหว้พระประธาน
3. ให้จัดเสื้อผ้าให้ด้วย

พระราชปัญญาโกศล กล่าวขณะใบหน้านองน้ำตา ว่า ความจริงสิ่งที่ทำลงไปด้วยความบริสุทธิ์ใจมาโดยตลอด แต่กลับได้รับสิ่งที่ตรงกันข้าม เรื่องราวทั้งหมดเกิดจากคนใกล้ชิดทำให้เสียหาย “อาตมาเป็นคนไม่รู้หนังสือ ใครเอาอะไรมาให้เซ็นก็เซ็น โดยที่บางครั้งไม่มีการตรวจสอบรายละเอียดก่อน ซึ่งก็นึกไม่ถึงว่าคนใกล้ชิดจะทำได้อย่างนั้น

ทั้งนี้ ตำรวจได้นำใบอนุโมนาบัตร ซึ่งมีลายเซ็นแล้ว พบว่ามีการแก้ไขตัวเลข 500 บาท เป็น 50,000 หรือ 500,000 บ้าง นอกจากนี้ยังตรวจพบว่ามีการซื้อบ้านให้กับผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งทางพระราชปัญญาโกศล ระบุว่า มีการร้องขอให้ช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม ในช่วง 11.00 น. วันเดียวกัน ทางตำรวจได้พาเจ้าคุณอุดม ไปที่วัดเทพศิรินทร์ฯ เพื่อทำการสึก พร้อมกับกล่าวตอนหนึ่งว่า “บางครั้งก็ต้องพูดความจริง หากพูดไม่จริงก็จะเป็นบาป และพูดอะไรก็จะไม่เป็นบาป

หลังการสอบสวน จับกุม และเปิดโปงสิ่งผิดปกติ ที่มีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้องนับหมื่นล้านบาท และสืบพยานกว่าร้อยปาก มาราธอน 17 ปี วันที่ 27 เม.ย.2548 ศาลชั้นต้นได้พิพากษา จำเลย 5 คน จาก 16 คน มีความผิดรวม 152 กระทง จำคุกคนละพันกว่าปี หนักสุดเกือบ 3,000 ปี แต่ให้จำคุก 50 ปี โดยมีการยกฟ้อง 3 คน

ต่อมาในปี 2553 ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาแก้โทษให้จำคุก นายอรุณ เพชรรัตน์ จำเลยที่ 4 อดีตลูกศิษย์ที่ใกล้ชิด เป็นเวลา 2,234 ปี จากเดิมที่ศาลชั้นต้นพิพากาษาจำคุก 1,130 ปี นายมนตรี จำนง จำเลยที่ 5 อดีตครู จำคุก 2,180 ปี จากเดิม 1,170 ปี จำคุก นายอารี ศาสตรสาระ อดีตข้าราชการพลเรือนช่วยงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ จำเลยที่ 9 เป็น เวลา 1,470 ปี จากเดิม 2,660 ปี นอกจากนี้ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุก น.ส.พัทยา พิมพ์สอาด จำเลยที่ 8 อดีตพนักงานธนาคารกรุงเทพ 1,920 ปี และจำเลยที่ 11 นายเมธี บริสุทธิ์ อดีตข้าราชการพลเรือนประจำสำนักงานเลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี จำคุก 1,148 ปี ปัจจุบันได้เสียชีวิต แล้ว ตามกระทงลงโทษ นอกจากนี้ ศาลอุทธรณ์ยืนให้ยกฟ้อง นายพิภพ บุญดิเรก อดีตข้าราชการพลเรือนช่วยงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ จำเลยที่ 10 , นางชมัยภร แสงกระจ่าง อดีตข้าราชการพลเรือนประจำสำนักงาน เลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี จำที่ 14 และนายวิโรจน์ ชาทอง อดีตศึกษานิเทศฯ 6 กรมสามัญศึกษา

ต่อมาโจทก์และจำเลยที่ 8-9 ฎีกา วันที่ 13 มิ.ย.2556 ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา 2  จำเลยดังกล่าว คือ น.ส.พัทยา พิมพ์สอาด  อดีตพนักงานธนาคารกรุงเทพฯ จำเลยที่ 8  นายอารี ศาสตรสาระ อดีตข้าราชการพลเรือน ช่วยงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ จำเลยที่ 9

โดยจำเลยที่ 8 น.ส.พัทยา มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยคือ ร่วมสนับสนุนจำเลย ที่ 1 (เจ้าคุณอุดม) ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานกระทำผิด ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลใดมอบให้ หรือหามาให้ ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่ตนเอง ซึ่งที่ชั้นพิจารณาได้ความจากพระเถระชั้นผู้ใหญ่ว่า เจ้าคุณอุดม เป็นรองเจ้าอาวาสได้มอบหมายหน้าที่ให้ดูแลในส่วนของเมรุและสุสานหลวงไม่ได้ดูแลในส่วนของการยื่นคำขอเครื่องราชฯ จึงยังฟังไม่ได้ว่าไปร่วมสนับสนุนไปร่วมกระทำผิดดังกล่าว

ส่วน นายอารี จำเลยที่ 9 คดีนี้โจทก์ระบุพยานบุคคลไว้ 508 ปาก แต่สามารถนำพยานเข้าสืบได้ เพียงบางส่วน ซึ่งกลุ่มพยานในนั้น 17 คน แม้จะให้การถึง แต่ก็ไม่ยืนยันได้ว่าเห็นเรียกรับเงิน ส่วนพยานที่อ้างว่ารู้เห็นส่งมอบเช็คเงินสด ก็เป็นผู้ร่วมกระทำผิดที่เจ้าพนักงานได้ร่วมกันไว้เป็นพยานซึ่งมีน้ำหนักรับฟังได้น้อย พยานหลักฐานโจทก์นำสืบยังมีความสงสัยตามสมควร จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกทั้งสอง สูงสุดตามกฎหมายเป็นเวลา 50  ปี ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษายกฟ้อง

คำตัดสินดังกล่าว ถือเป็นการสิ้นสุดคดีสุดอื้อฉาว ที่มีการสืบพยาน และใช้เวลาในชั้นศาลมาราธอนกว่า 25 ปี มีการเปลี่ยนพนักงานอัยการหลายคน จำเลยในคดีนี้เสียชีวิตไปแล้ว 9  คน ผู้พิพากษาเสียชีวิต 1 คน และทนายความเสียชีวิต 4 คน.

จาก ไทยรัฐออนไลน์ โดย พลิกแฟ้มอาชญากรรม  15 มิถุนายน 2556, 05:30 น.
tags:
พลิกแฟ้มอาชญากรรม คดีเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พระราชปัญญาโกศล เจ้าคุณอุดม ปลอมแปลง รองเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส อนุโมธนาบัตร เงินบริจาค หมื่นล้าน พันสี่ร้อยล้าน
ขยายตัวอักษร

http://www.thairath.co.th/content/region/351246

การยุบโรงเรียนขนาดเล็ก

14 มิถุนายน 2556

หลังจากที่นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ ได้ประกาศนโยบาย “ยุบ”โรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนจำนวนไม่ถึง 60 คน และให้ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนอื่นในพื้นที่ใกล้เคียง โดยให้เหตุผลสำคัญสองประการ คือ รัฐบาลไม่มีกำลังงบประมาณพัฒนาโรงเรียนทุกแห่ง และ ไม่สามารถนำงบประมาณจากเงินภาษีมาดูแลทุกโรงเรียนได้เท่าเทียมกัน ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ แสดงความเห็นทั้งสนับสนุนและคัดค้านอย่างกว้างขวาง ตามที่ปรากฎให้เห็นในสื่อต่างๆ

จากข้อมูลของคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) โรงเรียนที่มีนักเรียนน้อยกว่า 120 คน มีทั้งหมด 14,816 โรง ส่วนโรงเรียนที่มีนักเรียนน้อยกว่า 60 คน มีทั้งหมด 5,962 โรง แยกเป็นโรงเรียนที่มีนักเรียนไม่เกิน 20 คน จำนวน 709 โรง มีนักเรียน 21-40 คน จำนวน 2,090 โรง และมีนักเรียน 41-60 คน จำนวน 3,163 โรง

โดยฝ่ายที่ให้การสนับสนุน เชื่อว่าการยุบโรงเรียนขนาดเล็กจะทำให้ระบบการศึกษาของเด็กชนบททัดเทียมกับเด็กในเมือง กระบวนการจัดการเรียนการสอนจะมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และยังช่วยประหยัดงบประมาณ ซึ่งฝ่ายที่คัดค้านกลับมองว่า การแก้ปัญหาด้วยวิธีย้ายเด็กไปเรียนรวมกันอาจเกิดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และเป็นการเพิ่มภาระให้ผู้ปกครองบางคนที่อยู่ไกลจากโรงเรียน โรงเรียนขนาดเล็กบางแห่งมีคุณภาพดีกว่าโรงเรียนขนาดกลางและใหญ่ ปัญหาคุณภาพทางการศึกษาอาจอยู่ที่ครู

ทั้งนี้คณะกรรมาธิการการศึกษาได้มีมติเห็นด้วยกับกระทรวงศึกษาธิการ และได้เสนอให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาในเรื่องต่อไปนี้ (1) การประชาสัมพันธ์ให้ผู้ปกครองรับทราบรายละเอียดและแนวทางที่ชัดเจน (2) การเตรียมความพร้อมในเรื่องรับ-ส่งนักเรียนโดยต้องเน้นเรื่องความปลอดภัย (3) ควรมีแนวทางที่ชัดเจนว่า อาคารบ้านพักและอาคารที่ทำการของโรงเรียนต่างๆ ที่ยุบรวมจะนำไปใช้ประโยชน์ในเรื่องใด (4) เรื่องการโยกย้ายครูและบุคลาการทางการศึกษาในโรงเรียนที่ถูกยุบรวมให้เหมาะสมและเป็นธรรม และ(5)การจัดการศึกษาทางไกลโดยนำเทคโนโลยีใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อเพิ่มโอกาสในการเรียนการสอนและเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการศึกษาแก่ประชาชนทุกระดับ
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 49 วรรคแรกได้บัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่าสิบสองปี ที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงละมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย” รัฐควรมุ่งเน้นเรื่องจัดการศึกษาให้มีคุณภาพอย่างทั่วถึง และเท่าเทียมกัน การยุบโรงเรียนขนาดเล็กย่อมทำให้สถานที่ที่จะให้ความรู้ขาดหายไป การนำจำนวนนักเรียนที่น้อยกว่า 60 คน มาพิจารณาย่อมขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ในขณะเดียวกันรัฐบาลกลับตั้งงบประมาณจัดซื้อรถตู้ ทำไมไม่นำงบส่วนนี้บางส่วนไปพัฒนาโรงเรียน

การยุบโรงเรียนขนาดเล็กยังถือว่าไม่เป็นธรรมต่อชุมชน เพราะโรงเรียนขนาดเล็กส่วนมาก ชุมชนมักจะมีส่วนไม่ว่าจะเป็นการบริจาคที่ดินเพื่อก่อตั้ง ชาวบ้านที่เป็นจิตอาสาช่วยกันก่อสร้างอาคารเรียน โรงเรียนขนาดเล็กบางแห่ง โดยเฉพาะในชนบทที่อยู่ห่างไกล นักเรียนส่วนมากมักจะเป็นลูกเกษตกร การมีโรงเรียนในหมู่บ้านเป็นเรื่องที่สำคัญมาก สามารถใช้เป็นที่ดูแลบุตรหลาน การยุบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก ควรฟังเสียงสะท้อนจากชุมชน มิฉะนั้นจะกลายเป็นรัฐละเมิดสิทธิชุมชนเสียเอง
การยุบโรงเรียนขนาดเล็กหากรัฐบาลยังคงเดินหน้าต่อไปก็ควรที่จะต้องตั้งคำถามให้กับตัวเองเสมอว่าจะจัดการศึกษาให้มีคุณภาพอย่างทั่วถึงและมีความทัดเทียมกันได้อย่างไร ควรจัดระบบติดตามประเมินดูว่าแต่ละเขตพื้นที่มีอุปสรรคเช่นไร เกิดสัมฤทธิผลมากน้อยอย่างไร การเตรียมรับส่งนักเรียน แม้จะมีรถรับส่ง แต่การเรียนไกลบ้านย่อมเกิดค่าใช้จ่ายจิปาถะต่อผู้ปกครอง การจัดหาที่พักให้บุคลากรทางการศึกษาจะทำได้ตลอดหรือไม่ อย่าลืมว่านักเรียนแต่ละคนคืออนาคตของชาติ เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีความสำคัญ เด็กไทยต้องมีศักยภาพและสามารถแข่งขันกับเด็กชาติอื่นๆในอาเซียน

ที่มา: http://www.naewna.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33023&Key=hotnews

เด็กชง 3 ข้อปฏิรูปหลักสูตร

14 มิถุนายน 2556

นายพชรพรรษ์ ประจวบลาภ ประธานเครือข่ายยุวทัศน์กรุงเทพ มหานคร ในฐานะประธานคณะกรรมการสมัชชาการศึกษาและสนับสนุนการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษา กล่าวถึงกรณีที่เครือข่ายยุวทัศน์ กรุงเทพฯ เป็นเจ้าภาพจัดงาน “สมัชชาการศึกษา ครั้งที่ 2 (การศึกษาไทย แบบไหนที่เด็กต้องการ)” ที่จะจัดขึ้นวันที่ 15 มิ.ย.นี้ โดยมีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศธ. เป็นประธาน ว่า ก่อนหน้านี้ เครือข่ายฯ ประสานผ่านสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ให้ช่วยส่งแบบแสดงความคิดเห็น ในหัวข้อเกี่ยวกับการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาไปยังนักเรียนของร.ร.ต่างๆ ทุกพื้นที่กทม. เพื่อให้ออกแบบแนวคิด และสิ่งที่ต้องการจากการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาในครั้งนี้ เสนอต่อรมว.ศธ.

ประธานสมัชชาการศึกษากล่าวว่า หลังจากที่ได้รับแบบแสดงความคิดเห็น เบื้องต้นเสนอการปฏิรูปไว้ 3 ประเด็น คือ

1.อยากให้หลักสูตรใหม่ ให้อิสระทางความคิด ให้เด็กรู้จักเรียนรู้ ค้นคว้าด้วยตนเอง โดยมีครูเป็นที่ปรึกษา พัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสังคม

2.สอนวิชาที่นำไปประยุกต์ใช้ ประกอบอาชีพได้ และคิดว่าหากมีเวลาเรียนมากพอแล้ว จะดึงเด็กที่ออกจากระบบการศึกษากลับมาเรียนเพิ่มขึ้น และ

3.การปฏิรูปครู หาก ศธ. นำไปปรับใช้หรือเป็นนโยบายได้ เชื่อว่าการศึกษาไทยคงจะพัฒนาขึ้น

ที่มา: http://www.matichon.co.th/khaosod

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33022&Key=hotnews

คอลัมน์: โบ้ย ก.ค.ศ.ชี้ทางคืนอำนาจเขตฯ คัด ผอ.โรงเรียนพรีเมียม

14 มิถุนายน 2556

เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยกรณีที่สมาคมกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐานแห่งประเทศไทย ยื่นหนังสือต่อนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เพื่อให้คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษา เป็นผู้พิจารณาแต่งตั้งผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มพรีเมียม แทนการให้คณะกรรมการกลั่นกรองของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นผู้พิจารณาคัดเลือกว่า การมีคณะกรรมการกลั่นกรองการย้ายผู้บริหารโรงเรียนพรีเมียม ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2554 โดยเป็นไปตามมติของคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) และหนังสือเวียนสำนักงาน ก.ค.ศ.ที่ ศธ 0206.4/ว9 ลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2554 ที่ต้องการเปิดกว้างให้ผู้ประสงค์ที่จะขอย้ายเข้าโรงเรียนวัตถุประสงค์พิเศษ และโรงเรียนคุณภาพพิเศษได้มากขึ้น และสามารถสรรหาผู้ที่มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมมาดำเนินการได้

“การกลั่นกรองเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่ง แต่ อำนาจการอนุมัติแต่งตั้งเป็นอำนาจของ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่ฯอยู่แล้ว จึงไม่ได้เป็นการก้าวล่วงในเชิงของกฎหมาย ซึ่งการกลั่นกรองก็เป็นเพียงการ กลั่นกรองคุณสมบัติ และผลงานประสบการณ์ในเบื้องต้น เพื่อส่งคะแนนและผลการกลั่นกรองไปให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ฉะนั้นไม่ได้ก้าวล่วงอำนาจของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯแต่อย่างใด โดย สพฐ.พร้อม คืนอำนาจการกลั่นกรองไปให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ แต่คงต้องนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุม ก.ค.ศ.พิจารณา” เลขาธิการ กพฐ.กล่าว และว่า ในการประชุม กพฐ.ครั้งที่ผ่านมา ได้หารือ เรื่องการแต่งตั้งผู้บริหารโรงเรียนพรีเมียม ซึ่งที่ ประชุมเห็นว่า หาก ก.ค.ศ.สามารถปรับหลักเกณฑ์ เพื่อให้เกิดการพิจารณาผู้ที่จะขอย้ายข้ามเขตเข้า มาได้และได้คนดีคนเก่งมีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมมาทำงานให้แก่โรงเรียน เพื่อพัฒนาคุณภาพให้สูงยิ่งขึ้นต่อไปได้ ก็ถือว่าการกลั่นกรองจากส่วนกลาง ไม่น่าจะมีความจำเป็น ทั้งนี้เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาเคยมีการพูดกันว่า เมื่อโรงเรียนพรีเมียมเป็นโรงเรียนที่ให้บริการแก่นักเรียนทั่วประเทศ ดังนั้นก็ต้องเป็นโรงเรียนที่เขตบริการ คือประเทศไทย จึงไม่ควรจำกัดเฉพาะให้คนในเขต พื้นที่ฯเท่านั้น ที่จะมาเป็นผู้บริหารโรงเรียนพรีเมียม และโรงเรียนเหล่านี้ควรมีผู้บริหารที่มีศักยภาพ มีประสบการณ์ระดับแนวหน้าของประเทศมาบริหาร

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีสมาคมกรรมการฯระบุว่ามีกระแสข่าวการวิ่งเต้นโยกย้ายผู้บริหารแลกกับเงิน 7 หลักนั้น นายชินภัทรกล่าวว่า เรื่องนี้สำนักงาน ก.ค.ศ.จะต้องสอดส่องดูแล และรับ ข้อมูลข้อร้องเรียนต่างๆ มาประกอบการปรับปรุงระบบการบริหารงานบุคคล โดยเรื่องนี้ควรมีเจ้าภาพ เพราะถ้าให้ สพฐ.ลงมาดำเนินการก็จะเกิดความ ลักลั่น เพราะ สพฐ.ไม่มีอำนาจโดยตรงในการกำกับดูแล อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33021&Key=hotnews

สพฐ.จับมือกรมส่งเสริมสหกรณ์ลงนาม MOU พัฒนาการสหกรณ์ในโรงเรียนเพื่อการเรียนรู้อย่างยั่งยืน

14 มิถุนายน 2556

สพฐ.ร่วมมือกรมส่งเสริมสหกรณ์ ลงนาม MOU เพื่อพัฒนาการสหกรณ์ในโรงเรียน เพื่อให้เด็กนำไปปฏิบัติใช้ในชีวิตจริง หวังเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืนในอนาคต

นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือกับนางเบญจลักษณ์ น้ำฟ้า รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในการส่งเสริมการเรียนรู้การสหรกรณ์ในโรงเรียน ภายใต้การขับเคลื่อนวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน2556 ว่า ตามยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ยุทธศาสตร์แรกคือ การสร้างและพัฒนาการเรียนรู้และทักษะการสหรกรณ์สู่วิถีชีวิตประชาชนในชาติ เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ และทักษะเรื่องการสหกรณ์แก่ประชาชน ทั้งที่อยู่ในระบบการศึกษาและนอกระบบการศึกษา ดังนั้น ในระบบการศึกษาจึงได้จัดให้มีการลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงานวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ และผลักดันให้การสหกรณ์เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ของประเทศอย่างยั่งยืน

โดยทั้ง 2 หน่วยงาน จะร่วมกันส่งเสริม สนับสนุน บูรณาการ ในการจัดการเรียนรู้เรื่องการสหกรณ์ในสถานศึกษาในสังกัด สพฐ. ด้วยการพัฒนาสื่อการสอนสนับสนุนการจัดการเรียนรู้การสหกรณ์เพื่อความยั่งยืน รวมทั้งจัดกิจกรรมเพื่อสร้างทักษะเรื่องการสหกรณ์ในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น

ซึ่ง สพฐ. จะส่งต่อนโยบายลงไปสู่ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาระดับประถมและมัธยมศึกษา เพื่อกระจายแนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนวิชาสหกรณ์กับหลักสูตรแกนกลางของการศึกษาขั้นพื้นฐานในโรงเรียนสังกัด สพฐ. ทั่วประเทศ

อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเดินหน้าขับเคลื่อนพัฒนาสหกรณ์ในโรงเรียนจะทำให้เยาวชนของชาติได้รับรู้และเข้าใจการสหกรณ์มากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งสามารถนำไปใช้ปฏิบัติในวิถีชีวิตอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศชาติให้มีความมั่นคงยั่งยืนต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33020&Key=hotnews

คอลัมน์: การศึกษาเพื่อสัมมาชีพ จุดคานงัดระบบการศึกษาไทย

14 มิถุนายน 2556

คอลัมน์: การศึกษาเพื่อสัมมาชีพ จุดคานงัดระบบการศึกษาไทย

ศ.นพ.ประเวศ วะสี
1.ความยุ่งเหยิงซับซ้อนและวิกฤตของระบบการศึกษาไทย
ระบบการศึกษาปัจจุบันซึ่งเริ่มเมื่อ 100 ปีเศษมาแล้ว ใหม่ๆ ก็ดูดี แต่ค่อยๆ ก่อตั้งเข้าไปสู่ความซับซ้อนยุ่งเหยิง และวิกฤตในตัวเองอย่างสางไม่ออก ก่อให้เกิดความทุกข์ยากแก่คนทั้งแผ่นดิน ในขณะเดียวกันได้สร้างความอ่อนแอให้ประเทศ เพราะเป็นระบบที่ไม่ได้สร้างบุคลิกภาพคนไทยที่พึงปรารถนาเลย เช่น ความซื่อสัตย์สุจริต ความมีจิตสำนึกพลเมือง ความเป็นคนเห็นคุณค่าของการทำงาน และทำงานเป็น ความเป็นคนใฝ่เรียนรู้และเรียนรู้เป็น

ภาคธุรกิจเอกชนร้องเรียนว่า คนที่จบการศึกษามีแต่ปริญญา แต่ทำงานไม่เป็น ไม่อดทน ไม่รับผิดชอบ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเช่นนั้น เพราะเราเน้นการศึกษาโดยการท่องวิชามากกว่าการเรียนรู้จากการลงมือทำ การเรียนโดยเอา “วิชา” เป็นตัวตั้ง แทนที่จะเอาความจริงของชีวิตจริงปฏิบัติจริงเป็นตัวตั้ง ทำให้คนไทย 4-5 ชั่วคนที่ผ่านมา ไม่รู้จักแผ่นดินไทย จบไปก็ทำอะไรไม่ถูก

แต่เราก็มีกฎหมายที่ไปไล่ต้อนคนทั้งแผ่นดินให้มาเข้าระบบการศึกษาที่เป็นทางการ และสร้างค่านิยมว่า ต้องได้รับการศึกษาแบบนี้จึงจะดี แต่การเข้าโรงเรียนดีๆ ก็ยาก ทำให้เกิดระบบติวขึ้นเต็มบ้านเต็มเมือง เป็นภาระแก่เยาวชนที่จะต้องหน้าดำคร่ำเครียดต่อการท่องจำโดย ผิวเผินแต่ไม่มีประโยชน์จริงจังต่อปัญหาและทักษะชีวิต เป็นภาระอย่างหนักทางการเงินของพ่อแม่ จนผู้นำชุมชนเรียกระบบการศึกษาที่ทำให้พ่อแม่ยากจน หมดเนื้อหมดตัวว่าเป็น “โจรเสื้อขาว”

ในพื้นที่ห่างไกลระบบติวไม่เข้มแข็ง พ่อแม่ต้องส่งลูกไปอยู่ในเมืองเพื่อมีที่ติวดีๆ แล้วเกิดปัญหาสังคมตามมาอีก เพราะเด็กอยู่ห่างไกลพ่อแม่ มามั่วสุมกันเอง เกิดการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเข้าไปอีก นี่เพราะเราไปสร้างค่านิยมให้เห็นว่าการศึกษา (ที่ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวอะไร) สำคัญกว่าการที่ครอบครัวพ่อแม่ลูกจะได้อยู่ด้วยกัน

เมื่อเราไปมีกฎหมายและค่านิยมที่ต้อนคนทั้งหมดเข้ามาสู่ระบบการศึกษาที่เรียกว่า “สามัญ” (ซึ่งจริงๆ ไม่สามัญ) แบบเส้นตรง คือ ประถมเพื่อไปมัธยม มัธยมเพื่อไปอุดมศึกษา การจราจรสายนี้จึงเบียดเสียดเยียดยัด ทำให้การศึกษาเป็นการค้าแบบ “จ่ายครบจบแน่” คนอยากได้ปริญญามากกว่าอยากเรียน แม้แต่มหาวิทยาลัยของรัฐ ก็หมดกำลังไปด้วยการสอนคนที่อยากได้ปริญญามากกว่าอยากเรียนรู้ ทำให้งานวิชาการของชาติอ่อนแอ

ทั้งหมดนี้จึงยุ่งเหยิงซับซ้อนวิกฤต หมดงบประมาณของชาติเป็นอันมาก แต่ไม่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า และมองไม่เห็นทางออก จึงจะต้องหาอะไรที่เป็นจุดคานงัดออกจากระบบการศึกษาอันวิกฤต และแก้วิกฤตของประเทศไปพร้อมๆ กัน

2.การศึกษาเพื่อสัมมาชีพคือจุดคานงัด
การมีสัมมาชีพเต็มพื้นที่เป็นปัจจัยชี้ขาดของความร่มเย็นเป็นสุข ระบบเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปที่ กำลังวิกฤตอยู่ขณะนี้ เพราะเอาเศรษฐกิจเป็นตัวตั้ง ไม่ได้เอาคนและการอยู่ร่วมกันเป็นตัวตั้ง การไม่มีงานทำและช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยที่ห่างมากเกิน กำลังเป็นปัญหาทางสังคมและการเมืองของโลกอยู่ในปัจจุบัน และนำไปสู่ความรุนแรง เราต้องไปเลยฝรั่ง สร้างบ้านเมืองของเราให้ร่มเย็นเป็นสุข โดยสร้างสัมมาชีพให้เต็มพื้นที่ ทุกชุมชน ทุกท้องถิ่น ทุกจังหวัด อย่าลืมว่า “สัมมาอาชี+ว” เป็น 1 ในมรรค 8

การศึกษาต้องมุ่งสร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่
สัมมาชีพ หมายถึง อาชีพที่ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนสิ่งแวดล้อม และมี รายจ่ายน้อยกว่ารายได้

สัมมาชีพจึงเป็นทั้งเศรษฐกิจ จิตใจ สังคม สิ่งแวดล้อม และศีลธรรม พร้อมกันอยู่ในตัว ฉะนั้นเมื่อมีสัมมาชีพเต็มพื้นที่จึงเกิดสังคมศานติสุข ซึ่งเป็นสังคมที่มีศีลธรรมอยู่ในตัวบูรณาการอยู่กับเรื่องเศรษฐกิจและอื่นๆ ไม่ใช่การสอนศีลธรรมแบบแยกส่วนท่ามกลางความยากจน ซึ่งไม่ได้ผล
การศึกษาเพื่อสัมมาชีพ จะปฏิรูปการเรียนรู้ จากการท่องวิชาในห้องเรียน มาเป็นการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงให้ได้ผลจริง ซึ่งเป็นการพัฒนาสติปัญญาและทักษะโดยรอบด้าน รวมทั้งการจัดการทำให้เกิดความสนใจใฝ่รู้ว่าความรู้หรือทักษะอะไรที่จะทำให้ทำงานได้ผลก็จะไปขวนขวายหาสิ่งนั้นๆ มา
เป็นการเปิดการมีส่วนร่วมในพื้นที่อย่างกว้างขวางการเรียนรู้ในห้องเรียนจำกัดอยู่ที่ครู ห้องเรียน ตำรา แต่การเรียนรู้เพื่อสัมมาชีพจะเปิดการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง กศน.เอย วิทยาลัยอาชีวะเอย วิทยาลัยเทคโนโลยีเอย วิทยาลัยสารพัดช่างเอย ผู้ประกอบการเอย ผู้มีอาชีพทั้งหลายล้วนเป็นแหล่งเรียนรู้ได้ทั้งสิ้น ยังศิลปิน พระสงฆ์องค์เจ้า ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้บริหารต่างๆ นายก อบต. นายกเทศมนตรี นายก อบจ. ล้วนอยากให้มีสัมมาชีพเต็มพื้นที่ของตน จะเข้ามาเป็นกำลังสำคัญในการส่งเสริมการศึกษาเพื่อสัมมาชีพ ครูที่เคยเห็นแต่ “สอน” อยู่ที่โรงเรียน และเกิดการพัฒนาคุณภาพครูยาก ก็จะกลายเป็นผู้ “เรียน” โดยเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่นมากมายในพื้นที่ ถ้าครูปรับจาก “ผู้สอน” เป็น “ผู้เรียน” และผู้ส่งเสริมการเรียนรู้ ก็จะแก้ปัญหาเรื่องคุณภาพของครูได้

เป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ผู้เรียนจะมีรายได้ระหว่างเรียนไปด้วย เพราะลงมือทำอาชีพจริงๆ จะไม่มีปัญหาการไม่มีงานทำเพราะมีงานทำตั้งแต่ขณะที่เรียนแล้ว ลดภาระค่าใช้จ่ายของพ่อแม่ หรือช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นด้วยซ้ำ เพราะครูมีรายได้จากการเรียน ผู้ประกอบการในพื้นที่จะดีขึ้นเพราะมีคนมาฝึกงานและช่วยทำงานเศรษฐกิจโดยรวมของพื้นที่จะดีขึ้นหรือหลุดพ้นจากความยากจน เพราะการมีสัมมาชีพเต็มพื้นที่

การหลุดพ้นจากความยากจนมีความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพเด็ก และเยาวชน คุณภาพเด็กและเยาวชนเป็นเรื่องสำคัญยิ่งต่ออนาคตของชาติ แต่คุณภาพเด็กและเยาวชนของเราอยู่ในสถานะย่ำแย่ โดยทางทฤษฎีเรารู้ว่าทำอย่างไรเด็กและเยาวชนจะมีคุณภาพ แต่เราติดที่พ่อแม่ยากจนเกิน ไม่มีเวลาเลี้ยงลูก หรือต้องทอดทิ้งลูกไปหากินที่อื่น การมีสัมมาชีพเต็มพื้นที่จะช่วยเรื่องคุณภาพเด็กและเยาวชน

การศึกษาเพื่อสัมมาชีพเต็มพื้นที่จะไปปรับระบบการศึกษาทั้งหมดให้ดีขึ้น ดังจะกล่าวต่อไปข้างล่างนี้

3.ผลต่อระบบการศึกษาทั้งหมดถ้าเราแบ่งการศึกษาเป็น 3 ประเภท ใหญ่ๆ คือ
(1) การศึกษาเพื่อสัมมาชีพ
(2) การศึกษาเพื่อวิชาการ
(3) การศึกษาเพื่อวิชาชีพ

โดยให้ทั้ง 3 เชื่อมต่อกัน
(1) การศึกษาเพื่อสัมมาชีพ เป็นสามัญศึกษา เพราะอาชีพเป็นสามัญของชีวิต คนส่วนใหญ่จะศึกษาสายนี้ มีอาชีพ มีฝีมือ มีรายได้ สร้างเศรษฐกิจทั้งส่วนตัว ทั้งของพื้นที่ และของชาติ คนส่วนใหญ่จะพึงพอใจชีวิตของตนเอง แต่ถ้าอยากเรียนรู้วิชาอะไรเป็นพิเศษ (2) หรืออยากไปศึกษาเพื่อวิชาชีพ (3) ต่อไปก็ทำได้ การศึกษาเพื่อสัมมาชีพนี้จะใช้งบประมาณไม่มาก ดีไม่ดีอาจทำเงินให้ระบบได้ด้วย รัฐจะประหยัดงบประมาณ และมีเงินไปทุ่มเทกับงานวิชาการมากขึ้น

(2) การศึกษาเพื่อวิชาการ ได้แก่ การศึกษาพิเศษต่างๆ ตามที่มีผู้อยากเรียน เช่น วิชาคณิตศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ ภาษา วรรณคดี ฯลฯ สถาบันการศึกษาทุ่มเทให้มีครูอาจารย์เก่งๆ ในวิชาเหล่านี้ และสอน “คนที่อยากเรียน” ไม่ใช่เรียกว่า สามัญศึกษาและทุ่มเทไปสอนคนที่ไม่อยากเรียน เมื่อครูที่เก่ง กับนักเรียนที่อยากเรียนในวิชานั้นๆ ได้มาเจอกันก็จะสนุกมาก และวิชาการก็จะเข้มแข็ง (ข้อควรสังเกตเกี่ยวกับคำว่าสามัญศึกษา สามัญศึกษาควรเป็นการศึกษาเพื่อชีวิต แต่การศึกษาเพื่อวิชาการควรถือว่าเป็นการศึกษาพิเศษ)

(3) การศึกษาเพื่อวิชาชีพ เช่น แพทยศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ ฯลฯ ก็ควรทำด้วยคุณภาพสูง และเปิดช่องทางให้ผู้ที่สนใจและ เหมาะสมขึ้นมาได้ทั้งจาก (1) และ (2)
โดยจัดระบบแบบนี้จะลดความเครียดของระบบการศึกษาลงทั้งระบบ ทำให้คุณภาพสูงขึ้นทั้ง 3 ประเภท เศรษฐกิจ สังคม และวิชาการของประเทศเข้มแข็งขึ้น

4.การสร้างค่านิยมใหม่
สังคมไทยมีค่านิยมผิดๆ เกี่ยวกับการทำงาน ซึ่งมาจากคนชั้นสูง เช่น “รักดีหามจั่วรักชั่วหามเสา” “ขอให้ได้เป็นเจ้าคนนายคน” “ขอให้ได้นั่งกินนอนกิน” ทำให้ขาดการเห็นคุณค่าในงาน (Work Value) ดูถูกการทำงานหนัก ต่างจากคนญี่ปุ่น คนจีน คนเยอรมัน คนอเมริกัน ทำให้ดูถูกอาชีวศึกษา ทั้งที่อาชีวศึกษาสำคัญมาก ดังที่ประเทศเยอรมนี ให้ความสำคัญกับอาชีวศึกษามากทำให้เศรษฐกิจแข็งแกร่ง การดูถูกอาชีวศึกษาทำให้ไม่มีคนอยากเรียน แล้วเด็กอาชีวะ จะอยู่ได้อย่างไรถ้าเขาไม่มีเกียรติ ค่านิยมจอมปลอมทำให้คนไทยอยากได้ปริญญาแต่ไม่ได้อยากเรียน

ถ้าจะปรับระบบการศึกษาตามแนวที่เสนอข้างต้น รัฐต้องปรับค่านิยมใหม่ โดยการรณรงค์สื่อสารประชาสัมพันธ์ให้คนไทยเห็นคุณค่าของการทำงาน ไม่มีงานต่ำ การทำงานเป็นของดี การไม่ทำงานไม่ดี อาชีวะเป็นของสูง การศึกษาเพื่อสัมมาชีพเป็นความต้องการสูงสุด ลดความสำคัญของปริญญาลง อาจเลิกตีราคาปริญญา ที่ญี่ปุ่นเขาไม่ตีราคาเงินเดือนตามปริญญา คนมีปริญญา หรือไม่มีปริญญาก็รายได้เท่ากัน เขาถือตามความเป็น “คน” เสมอกัน ไม่ใช่มีปริญญากระเพาะใหญ่กว่าคนไม่มีปริญญา ประเทศญี่ปุ่นจึงมีความเหลื่อมล้ำน้อยที่สุดในโลก

ผมมีโอกาสอ่านประวัติแม่ของประธานหอการค้าคนปัจจุบัน เป็นผู้หญิงจีนที่จนที่สุดไม่รู้หนังสือเลย แต่ขยันสุด อดทนที่สุด ประหยัดที่สุด สอนลูกให้ทำงานหนัก ขยัน อดทน จนครอบครัวนี้สามารถสร้างธุรกิจใหญ่เป็นที่ 3 ของโลก คนไทยเชื้อสายจีนที่ประสบความสำเร็จ เพราะขยัน อดทน และใฝ่การศึกษา มีไม่ใช่น้อย หากสามารถช่วยรัฐในการสร้างค่านิยมในงานให้เกิดขึ้นในเยาวชนไทย ก็จะเกิดประโยชน์อย่างมหาศาล

โดยสรุป การเปลี่ยนค่านิยมให้เห็นว่า สัมมาอาชีวะเป็นของสูง เป็นของมีเกียรติ การศึกษาเพื่อสัมมาชีพเต็มพื้นที่จะเป็นจุดคานงัดการพัฒนาประเทศไทย และการพัฒนาระบบการศึกษาไทย

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33019&Key=hotnews

จี้ศธ.ชะลอยุบโรงเรียนขนาดเล็ก 5 พันแห่ง

14 มิถุนายน 2556

เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.56 นางสิริกร มณีรินทร์ ประธานกรรมการเครือข่ายการศึกษาทางเลือกโรงเรียนขนาดเล็กและโรงเรียนของชุมชน เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการฯนัดแรก ว่า ที่ประชุมมีมติร่วมกันให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) นำเสนอนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ ให้ชะลอการยุบโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนน้อยกว่า 60 คนไว้ก่อน ยกเว้นโรงเรียนจำนวน 113 โรง ที่มีหลักฐานชัดเจนว่าไม่มีนักเรียนเลยจึงให้ดำเนินการยุบได้แต่ที่เหลืออีก 5,867 โรง ให้ชะลอการยุบไว้เพื่อทำแผนพัฒนาโรงเรียนเป็นรายโรง

นางสิริกร กล่าวต่อว่า ขั้นตอนการทำแผนพัฒนาโรงเรียขนาดเล็กเป็นรายโรงนั้น ที่ประชุมกรรมการฯ มีมติให้จัดโซนนิ่งโรงเรียนขนาดเล็กออกเป็น 5 ภาค และให้ตั้งคณะอนุกรรมการระดับภาคขึ้นมา เพื่อทำแผนพัฒนาโรงเรียนในโซนนิ่งของตนเองโดยให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) ทั้ง 182 เขต ส่งข้อมูลโรงเรียนขนาดเล็กให้กับกรรมการฯ เพื่อใช้วางแผนพัฒนาโรงเรียนให้มีการบริหารจัดการที่มีคุณภาพ

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33018&Key=hotnews

สร้างโอกาสให้คนบนพื้นที่สูง…เข้าสู่การรู้หนังสือไทย

13 มิถุนายน 2556

ชุลีพร ผาตินินนาท
วาระของการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เข้าใกล้มาทุกที ทาให้เกิดความคาดหวังว่าปี 2558 สังคมอาเซียนจะเป็นสังคมไร้พรมแดน การเดินทางไปมาหาสู่จะง่ายขึ้น จะได้เห็นผู้คนต่างเผ่าพันธุ์มาอยู่ร่วมกันในชุมชน ในสถานประกอบการ ในห้างสรรพสินค้า และในที่ต่าง ๆ ที่มีการรวมกลุ่มคน โดยใช้ภาษาพูดที่เป็นภาษากลาง คือ ภาษาอังกฤษ หรือภาษาไทยที่ ไม่ค่อยจะชัด หรือภาษาผสมคือไทย-พม่า ไทย-มาเล, ไทย-ลาว, ไทย-เวียดนาม, ไทยจีน, ไทย-กัมพูชา และอื่น ๆ ซึ่งอาจจะต้องมีการบันทึกเพื่อเก็บไว้เป็นประวัติศาสตร์แก่ลูกหลาน สถาบันทางการศึกษาต่าง ๆ ได้พยายามพัฒนากลุ่มเป้าหมายมิให้ตกยุคด้วยการฝึกฝนการเรียนรู้ด้านภาษา วิถีชีวิตเพื่อการอยู่ร่วมกัน

แต่อย่างไรก็ตามยังมีกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงในประเทศไทยซึ่งอยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษรุ่นปู่ย่าตายาย และส่วนใหญ่ก็มี บัตรประชาชนที่แสดงถึงความเป็นคนไทย บ้างก็ใช้สิทธิโดยการใช้หัวแม่มือแทนการลงชื่อ เนื่อง จากเขาเหล่านั้นไม่สามารถอ่านพูดและเขียนภาษาไทยได้ ซึ่งก็มีอยู่จานวนไม่น้อย เขาเหล่านี้ไม่รับรู้การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เขารับรู้แต่เพียงว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างไรให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ มีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัว ลูกหลานได้เข้าเรียน มีที่ดินปลูกข้าวพอกินในรอบปี

อาเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่หนึ่งที่ประกอบไปด้วยเทือกเขาสูง มีพื้นราบบ้างบางส่วน การเดินทางเป็นไปด้วยความยากลาบาก โดยเฉพาะในฤดูฝนทาให้มักจะขาดการติดต่อกับโลกภายนอก ชาวบ้านจึงไม่ค่อยเห็นความสาคัญของการใช้ภาษาไทย แต่เขาคงลืมไปว่าในการรับบริการจากหน่วยงานของรัฐที่ลงไปให้บริการ หรือให้ความรู้แก่ตนเองและครอบครัวที่มีความสาคัญมากที่สุด คือเรื่องสุขภาพอนามัยนั้น หากเขาไม่สามารถสื่อสารกันได้แล้วจะเกิดอะไรกับตนเองบ้าง ซึ่งจากการที่ครู กศน.ที่ปฏิบัติงานบนพื้นที่สูงอาเภออมก๋อยได้สารวจจานวนผู้ไม่รู้หนังสือที่เป็นผู้ใหญ่ (อายุ 17- 45 ปี) ในพื้นที่รับผิดชอบ พบว่ามีมากถึง 7,000 กว่าคน โดยยังไม่รวมหมู่บ้านที่ไม่มีครู กศน.ปฏิบัติงานประจาซึ่งมีอีกเป็นจานวนมาก

จากผลสารวจดังกล่าว สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีความวิตกกังวล เพราะจะมีผลต่อการพัฒนาด้าน อื่น ๆ ได้ จึงมีรับสั่งกับผู้เขียนมาโดยตลอดโดยทรงเน้นให้พัฒนาให้คนกลุ่มนี้สามารถสื่อสาร กับคนภายนอกได้ โดยมีพระราชดาริให้เน้นการพูด-ฟังก่อน ซึ่งผู้เขียนได้น้อมรับพระราชดาริมาปฏิบัติในฐานะอาสาสมัคร โดยร่วมกับครู กศน.อมก๋อยดาเนินการจัดกิจกรรมเพื่อการรู้หนังสือไทยมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2555 เน้นการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต ไม่ติดยึดกับห้องเรียน ครูเดินเข้าหาผู้เรียน เจออะไรก็นามาเป็นบทเรียน เช่น เข้าครัวก็เอาอุปกรณ์ในครัวมาสอนเป็นภาษาไทย ใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมาพูดมาเขียนเป็นคา ๆ โดยสิ่งแรก คือ ให้ทุกคนเขียนชื่อตัวเองก่อน เพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจซึ่ง จะเป็นการกระตุ้นให้ทาซ้า ๆ ได้

จากการติดตามไปเยี่ยมกลุ่มผู้เรียน ที่บ้านแม่ ระมีดน้อย ซึ่งตั้งอยู่หมู่ 17 ตาบลอมก๋อย มี ครูอัครเดช อาจทิพาฤกษ์ และ ครูประทุม ทิปัญญา ครู กศน.เป็นผู้สอน พบว่า มีผู้เรียนที่เป็นผู้ใหญ่จานวน 20 คน ซึ่งในจานวนนี้เป็นคู่สามี-ภรรยาจานวน 6 คู่ เวลาที่เรียนรู้ประมาณ 2 เดือน เขาสามารถเขียนชื่อ-นามสกุลตนเอง ที่อยู่ อาเภอ และจังหวัดได้ นางมยุรี กรัณย์ปราณี และสามี ซึ่งไม่เคยเรียนหนังสือไทยมาก่อนเลย และพูดภาษาไทยไม่ได้ แต่พอเข้าใจความหมายที่สั้น ๆ ได้เล่าให้ฟังว่า “ถ้าลูกเราโตเราจะให้เรียนหนังสือไทยที่ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” หรือ ศศช.เพราะอยู่ใกล้บ้าน เราอยากรู้ภาษาไทยมาก อยากเขียนภาษาไทยเป็น เพราะเวลาเข้าเมืองจะได้อ่าน ป้ายบอกทางได้ เราจะเรียนให้จบ

สาหรับที่บ้านห้วยแห้ง ซึ่งตั้งอยู่หมู่ที่ 17 ตาบลยางเปียง อาเภออมก๋อย ครูจิราวรรณ์ ชุมศรี เล่าให้ฟังว่า พื้นที่นี้มีประชากรชาวกะเหรี่ยงทั้งหมด 26 ครัวเรือน มีผู้ไม่รู้หนังสือ 31 คน ขณะนี้ได้เข้าเรียนตามหลักสูตรเพื่อการรู้หนังสือไทย 12 คน (ดูเหมือนจะเป็นแกนนาหรือ หน่วยกล้าตายก่อน) เป็นคนรุ่นวัยทางาน หมู่บ้านนี้อยู่ไม่ห่างไกลจากตัวอาเภอนัก เป็นที่น่าสังเกตว่าหมู่บ้านนี้ไม่ค่อยจะสนับสนุนให้ ลูก ๆ เรียนหนังสือ ใครไม่เรียนก็ไม่บังคับ แต่ ครู กศน. ก็ต้องมาเก็บเข้าไปเรียนที่ ศศช. และตอนนี้ ครูจิราวรรณ์ก็กาลังใช้ความพยายาม ดึง อบต. และ อสม. เข้าเรียนด้วย เพราะภรรยาของทั้งสองคนได้เข้าเรียนแล้ว

นางแสงจันทร์ คงคาผล อายุ 47 ปี มีบุตร 4 คน เริ่มเรียนหนังสือตามหลักสูตรเพื่อการรู้หนังสือไทย โดยมีครู กศน. เดินสอนตามบ้านในเวลาหลังจากเลิกงานทาไร่ ซึ่งจากการถามไถ่ว่าเรียนแล้วมีประโยชน์อย่างไร ได้คาตอบว่า “มันดีนะครูทาให้เรารู้อะไรได้มากขึ้น เสียดายไม่ได้เรียนตอนเด็ก” แต่ก็ช่วยเชิญชวนเพื่อนในหมู่บ้านมา หัดพูดภาษาไทยโดยบอกว่า” เราคน กะเหรี่ยงจะอายทาไมที่จะพูดภาษาไทย คนเมืองยังพูดภาษากะเหรี่ยง เราไม่ได้เลย” เป็นคาพูดที่คมดีและน่าคิด ในหมู่บ้านนี้มีผู้ใหญ่ที่เรียนตามหลักสูตรสายสามัญขั้น พื้นฐาน 19 คน จากการพูดคุยพบว่า ทุกคนมีความตั้งใจเรียนดีและต้องการเรียนในระดับที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับแรงกระตุ้นของครูกศน. ด้วย

และด้วยความมุ่งมั่นของ นายเจริญ ธรรมบัณฑิต ผอ. กศน.อาเภออมก๋อย และกาลังสนับสนุนจาก นายศุภกร ศรีศักดา ผอ.กศน.จังหวัดเชียงใหม่ ทาให้ครูนิเทศ และครู ศศช.ร่วมด้วยช่วยกันจัดการศึกษาเพื่อการรู้หนังสือไทย ทาให้ตอนนี้มีชาวไทยภูเขาเข้าเรียนแล้วไม่ต่ากว่า 2,000 คน ซึ่งต้องบอกว่าไม่มีอะไร กศน.ทาไม่ได้ ขอเป็นกาลังใจให้ครูบนพื้นที่สูงทุกคนที่จะร่วมกันฟันฝ่าให้ชาวไทยภูเขาเรียนรู้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารกับคนในเมืองได้ ที่สาคัญนี่คือการร่วมกันสนองงานตามพระราชดาริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 14 มิ.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33011&Key=hotnews