บุรินทร์ รุจจนพันธุ์

การตั้งคำถามก็มีเป้าหมายที่แตกต่างกัน

การตั้งคำถามก็มีเป้าหมายที่แตกต่างกัน
เมื่อมองจาก ภาพปัญหา กับ เจตนาของคำถาม มี 4 แบบ

1. Wide + Affirm what we know = Adjoining
ปัญหากว้าง และยืนยันสิ่งที่เรารู้ = เพื่อให้ความรู้กระชับ
ต.ย.คำถาม ภาษาคอมพิวเตอร์ ใช้ภาษาอังกฤษในการเขียนใช่ไหม
2. Wide + Discover something new = Elevating
ปัญหากว้าง และได้เรื่องใหม่ = เพื่อยกระดับความรู้
ต.ย.คำถาม ภาษาคอมพิวเตอร์ ที่กำลังเป็นที่นิยม คือ ภาษาอะไร จะได้ไปศึกษา
3. Narrow + Affirm what we know = Clarifying
ปัญหาแคบ และยืนยันสิ่งที่เรารู้ = เพื่อให้ความรู้กระจ่างชัดขึ้น
ต.ย.คำถาม ภาษา Python กำลังมาแรง ปีนี้จะขึ้นมา ด้วยสัดส่วนผู้ใช้เท่าใด
4. Narrow + Discover something new = Funneling
ปัญหาแคบ และได้เรื่องใหม่ = เพื่อให้มีความรู้ลึกขึ้น
ต.ย.คำถาม ถ้า download ภาษา Python รุ่นใหม่ จะมีฟังก์ชั่นใหม่อะไร มาให้ใช้บ้าง
https://hbr.org/2015/03/relearning-the-art-of-asking-questions
ปล. ดร.ทันฯ อ่าน hbr.org แล้วแชร์มาครับ

ทฤษฎีสมองสามส่วน ถูกใช้อธิบายพฤติกรรม และความคาดหวังที่แตกต่างกันได้

เห็นพฤติกรรมของมนุษย์ และการวิพากษ์วิจารณ์แล้ว
ทำให้นึกถึงว่า มนุษย์ใช้สมองแต่ละส่วนไม่เหมือนกัน
บางคนก็ใช้ก้านสมองคิด แต่บางคนแสดงความคาดหวังด้วยสมองส่วนหน้า
ย่อมคิดเห็นแตกต่างกัน .. อย่างแน่นอน

สมองสามส่วน (Triune brain) คือ โมเดลวิวัฒนาการของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และพฤติกรรม นำเสนอโดย พอล แมคลีน (Dr.Paul MacLean) นายแพทย์และนักวิชาการด้านจิตเวช ใช้อธิบายวิวัฒนาการด้านการเจริญเติบโตของมนุษย์ และพัฒนาการที่เป็นไปตามวัย ว่าเด็กก็จะใช้สมองส่วนในตามสัญชาตญาณ โตขึ้นหน่อยก็ใช้สองส่วนกลางมากขึ้น เป็นผู้ใหญ่ก็จะใช้สมองส่วนหน้าที่คิด วิเคราะห์ แยกแยะมากขึ้น

http://en.wikipedia.org/wiki/Triune_brain

เครือข่ายสมอง (Brain Networks) แบ่งหน้าที่ได้ 3 ส่วน
1.  เรปทิเลียนเบรน (Reptilian Brain) : Instinctive Mind
เป็นส่วนสมองของสัตว์เลื้อยคลาน
Non-concious, geared for survival and regulating major body processes
พฤติกรรมที่ไม่ใช้สติ ไม่มีความรู้ตัว ทำโดยสัญชาตญาณ มุ่งเอาตัวรอด ควบคุมการทำงานของร่างกาย เช่น ดื่มน้ำเพราะกระหาย
2. ลิมบิกเบรน (Limbic Brain) หรือ โอลด์แมมมาเลียนเบรน (Old Mammalian brain) : Emotional Mind
เป็นส่วนสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมยุคเก่า
Emotional command centre, running all basic social interactions, part conscious
ศูนย์ความคุมอารมณ์ มีส่วนร่วมกับสังคม เป็นส่วนที่ใช้สติ มีความรู้ตัว
3. คอร์เทกซ์ใหม่ (Neocortex Brain) : Analytical Mind
เป็นส่วนสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
Higher functions, analytical thinking, decision making (especially at the front)
ทำหน้าที่สูงขึ้น คิดวิเคราะห์ มีกระบวนการตัดสินใจ เป็นสมองส่วนหน้า
โดย  เจมส์ พาร์สันส์ (James Parsons)

! http://www.iedp.com/Blog/Brain_Networks_Effective_Leadership

ทฤษฎีสมองสามส่วน (Triune brain theory)
It is for example meaningful for many people to distinguish between “head, heart and hands” or “thinking, feeling and gut instinct”
1. The Brain Stem (Reptilian Brain)
The oldest and most critical part of the brain for survival is the basal ganglia – sometimes called the reptilian brain as birds and other non mammals also primarily driven by this structure.
2. The Limbic System( Midbrain)
We share this part of the brain with cats and dogs which is why they make such good pets.
3. The New Brain
The neocortex, found only in certain “higher” mammals is associated with functions such as language, abstraction, planning and logical thought.
โดย มาร์ค เวลช์ (Mark Walsh, lead trainer at Integration Training)

! http://integrationtraining.co.uk/blog/2010/10/brains-of-training-triune-brain-theory.html

จุดเปลี่ยนการศึกษาไทยครั้งสำคัญ อีกครั้ง

อยากเรียนต้องได้เรียน ไม่อยากเรียนก็ไม่ได้เรียน
อยากเรียนต้องได้เรียน ไม่อยากเรียนก็ไม่ได้เรียน

อันที่จริงก็คงมีจุดเปลี่ยนทางการศึกษาในหลาย ๆ ครั้ง
แต่ครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ และไม่เคยเปลี่ยนแบบนี้มาก่อน
ถ้า กยศ. ไม่อนุโลมกู้ยืมต้อง 2.00 จริง ๆ นะครับ
ที่ผ่านมาหลายสิบปี ในระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษา
มีข้อมูลที่ทราบกันดี ดังนี้
1. การจบปริญญาตรี มีเกณฑ์ขั้นต่ำ คือ ต้องเกรดเฉลี่ยสะสม 2.00 จึงจะขอจบได้
2. จากนักเรียนมาเป็นนักศึกษา ทำให้นักศึกษาจำนวนมากปรับตัวไม่ทันในชั้นปีที่ 1
ทำให้มีเกรดเฉลี่ยสะสมในปีที่ 1 ต่ำกว่าชั้นปีอื่น
และเมื่อเลื่อนชั้นปีก็จะปรับตัวจนกระทั่งได้เกรดดีขึ้น

http://www.komchadluek.net/detail/20150312/202882.html

จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือ
1. ผู้กู้ยืม กยศ. ทั้งรายเก่าและรายใหม่ ต้องมีผลการเรียนเฉลี่ยสะสมไม่ต่ำกว่า 2.00
เริ่มใช้เกณฑ์ในปีการศึกษา 2558
ซึ่งเชื่อว่ามีผลให้นักศึกษาที่ปรับตัวในระดับอุดมศึกษาไม่ทัน หมดสิทธิกู้ยืม
2. มีความเชื่อว่า ถ้าใช้เกณฑ์นี้จริง สถาบันการศึกษาจะมีมาตรการในหลายรูปแบบ
ช่วยเหลือไม่ให้นักศึกษาในสถาบันหมดสิทธิกู้ยืมต่อเนื่อง
ซึ่งบางรูปแบบอาจไปลดทอนคุณภาพการศึกษาก็ได้

หลักเกณฑ์การคัดกรองและแนวปฏิบัติในการคัดกรองสถานศึกษาและผู้กู้ยืม
ปีการศึกษา 2558

http://www.studentloan.or.th/detail.php?ctid=643

หากทำความเข้าใจที่มาที่ไป พบว่าจากความเชื่อที่ว่า
เด็กที่ไม่ถึง 2.00 แสดงว่าไม่ตั้งใจเรียน ไม่มีวินัย และความรับผิดชอบ
เมื่อเกรดต่ำ จบออกไปก็มักไม่ถูกคัดเลือกเข้าทำงาน
เมื่อไม่มีงาน ก็ไม่มีเงินมาชำระหนี้ กยศ.
เมื่อไม่มาชำระหนี้ กยศ.ก็ไม่มีเงินปล่อยกู้ให้รุ่นน้อง
เมื่อรุ่นน้องที่อยากเรียน กยศ.ไม่มีตัง เขาก็ไม่ได้เรียน

ดังนั้น นักศึกษาที่กู้ยืม กยศ. และกำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ของปี 2557
จะต้องมุ่งมั่น ทุ่มเท และตั้งใจเรียนให้เต็มที่มากกว่าครั้งใด ๆ
มิเช่นนั้น ก็อาจจะไม่ได้กู้ยืม กยศ. และเป็นผลให้ไม่มีตังที่เคยได้จากการกู้ยืม
เข้ามาจุนเจือทางการศึกษา สำหรับการศึกษาในปีการศึกษา 2558
ซึ่งหลายคนก็อาจต้องหยุดเรียน หรือ drop เรียนไปอย่างน่าเสียดาย

สำหรับท่านใดที่เขียนอาชีพใน facebook.com ว่า
พ่อแม่จ้างมาเรียน ก็คงไม่ได้รับผลกระทบ
แต่คนที่เขากู้ยืมเงินจาก กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
http://www.studentloan.or.th/index.php
จะได้รับผลกระทบเต็ม ๆ แบบเปลี่ยนชีวิตกันเลยทีเดียว

ทุจริต หรือเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน . เกิดได้ทุกวัย ทุกวุฒิการศึกษา

ครอบครัว การงาน และสังคม กับคุณธรรมจริยธรรม กฎหมาย
สิ่งใดสำคัญที่สุด บางทีอธิการท่านก็คิดว่า “ครอบครัวสำคัญที่สุด”
ตกงานยังหางานใหม่ได้ แต่ครอบครัวหาใหม่ไม่ได้
แล้ววันหนึ่ง อธิการท่านก็แก้ไขเกรดให้กับลูกชาย
เห็นคนในบ้านสำคัญกว่ากฎเกณฑ์ข้อบังคับทั้งปวง
แม้รู้ว่าเป็นความเสื่อมเสียทางวิชาการก็ตาม
ผลคือ การถอดถอนตำแหน่ง “ศาสตราจารย์”
ซึ่งเป็นตำแหน่งทางวิชาการที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ

เรื่องนี้เกิดที่ สจล. เห็นข่าวเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2556
ซึ่ง ศ.ดร.ถวิล พึ่งมา ได้ดำเนินการทำผิด และมีมูลความจริง
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1385643276&grpid=00&catid&subcatid

นักเลงคีย์บอร์ด (itinlife472)

มีโอกาสฟังเพลงนักเลงคีย์บอร์ดที่ขับร้องโดยแสตมป์ ซึ่งเนื้อเรื่องในคลิ๊ปวีดีโอสะท้อนเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของเด็กนักเรียนหญิงสองคนที่ดูเหมือนมีความรักต่อกัน สื่อสารกันผ่านโปรแกรมไลน์ (line) นานนับปี จนกระทั่งต่างบอกรักกันและกันอย่างสนิทสนม เหตุการณ์คือเป็นการนัดพบครั้งแรกของทั้งสองที่ไม่เคยพบกัน ไม่ทราบประวัติของกันและกันมาก่อน เมื่อถึงเวลานัดพบฝ่ายที่โกหกว่าตนเองเป็นผู้ชายชื่อน้องแบงค์ได้เห็นหน้าของฝ่ายหญิงที่ใช้ชื่อว่าน้องพิมพ์กลับไม่ได้แสดงตัว แต่เดินหนีออกมาจากจุดนัดพบ และปล่อยให้น้องพิมพ์ผิดหวังที่อีกฝ่ายผิดนัด โดยให้เหตุผลว่าไม่กล้าพูดออกไป เพราะถนัดที่จะพิมพ์มากกว่า เมื่อทุกอย่างผ่านไปกลับแก้ปัญหาด้วยการลบตัวตนของน้องแบงค์ทิ้ง แล้วตั้งชื่อขึ้นใหม่ว่าน้องต้น เพื่อเข้าไปพูดคุยกับน้องพิมพ์อีก เป็นการเริ่มต้นโกหกครั้งใหม่และหลอกว่ามีเพศเป็นชายอีกครั้ง

คำว่านักเลง (Gangster) คือ คนที่จริงจัง มุ่งมั่นกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่ได้หมายถึงคนเกะกะเกเร เช่น นักเลงรถคือคนที่มุ่งมั่นจะศึกษาเรื่องรถ นักเลงพระคือคนที่สนใจเรื่องพระเป็นพิเศษ ดังนั้นนักเลงคีย์บอร์ดคือคนที่มุ่งมั่นจะสื่อสารผ่านแป้นพิมพ์บนสมาร์ทโฟนมากจนทำให้การสื่อสารด้วยการพูดคุยโต้ตอบ หรือส่งเสียงแลกเปลี่ยนซึ่งหน้าด้อยลงไป กรณีของมิวสิกวีดีโอนี้ก็เช่นกัน สะท้อนว่าน้องที่ใช้ชื่อว่าแบงค์ติดกับสังคมก้มหน้ามากเกินไป ไม่เคยชินกับการใช้คำพูดในการสื่อสาร แต่ถนัดการใช้แป้นพิมพ์จนสามารถเลือกใช้คำได้อย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อถึงเวลาที่ต้องพูดจากปากกลับรวบรวมความกล้าไม่ได้และเลือกหนีความจริงกลับไปอยู่ในโลกเสมือนจริงที่ไม่มีใครตรวจสอบได้ จะเป็นหญิงหรือชายก็ไม่มีใครรู้ จะโกหกคนที่รักซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ไม่มีใครมาว่ากล่าวตักเตือน

น่าเสียดายที่คลิ๊ปนี้ไม่ได้สอนให้เยาวชนตระหนักถึงผลเสียของการโกหกให้ชัดเจนกว่านี้ แต่กลับเปิดมุมมองว่าสมาชิกของสังคมก้มหน้าสามารถโกหกซ้ำแล้วซ้ำอีก ปล่อยให้คิดต่อเองว่าผลจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของแต่ละคน แต่ถ้าคลิ๊ปนี้เพิ่มบทเรียนเชิงลบจากการโกหกให้ชัดเจนขึ้น ก็อาจช่วยให้ผู้คนลดการโกหก ตระหนัก และให้ความสำคัญกับการสื่อสารซึ่งหน้าเพิ่มขึ้น ลดบทบาทสังคมก้มหน้าลง เพราะในชีวิตจริงผู้คนรอบตัวเรายังรอคอยการมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งหน้าอย่างจริงใจ มิใช่อยู่ด้วยกันแต่เหมือนต่างคนต่างอยู่อย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

ยกร่างข้อเสนอโครงการงดเหล้าบุหรี่ บ้านไร่ศิลาทอง

เหล้าบุหรี่ ไร่ศิลาทอง
เหล้าบุหรี่ ไร่ศิลาทอง

จากการไปประชุมใน โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาศักยภาพ อสม. ในการแก้ไขปัญหาเหล้า บุหรี่ ในชุมชน วันที่ 20 – 21 ตุลาคม 2557 ณ โรงแรมฮอลิเดย์ การ์เด้น จ.เชียงใหม่ หลังการประชุมได้ร่วมกันยกร่างข้อเสนอโครงการกับชุมชน เพื่อเตรียมพิจารณาร่วมกันในชุมชนกับกลุ่มอสม. วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน 2557 แล้วนำกลับมาปรับปรุง เพื่อเสนอรอบสุดท้ายกับชุมชนในวันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2557 มีกิจกรรมหลัก ๆ ที่พูดคุยกับหัวหน้าโครงการในเบื้องต้นแล้ว ดังนี้
1. ประชุมทบทวนกับชุมชนถึงที่มาที่ไป แผนงาน กิจกรรม และกลุ่มเป้าหมาย
2. สำรวจชุมชน โดยอาศัย อสม. และเด็กในชุมชน
มีกิจกรรมเตรียมความพร้อม ออกสำรวจ และสรุปผล
3. ประชุมชี้แจงโครงการ และผลสำรวจให้คนในหมู่บ้านได้รับรู้ เข้าใจ และตระหนัก
4. จัดค่ายบรรยายธรรม กลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มผู้มีพฤติกรรมดื่มสุรา ที่แจ้ซ้อน 50 คน
กลุ่มผู้มีพฤติกรรมสูบบุหรี่ ที่… 50 คน
5. จัดค่ายบรรยายธรรม กลุ่มเยาวชน และกลุ่มเสี่ยง 50 คน
เด็กโรงเรียนชาวนา และเด็กพุทธศาสนาวันอาทิตย์
6. จัดเวทีประชาคมเรื่องงดเหล้าบุหรี่ หาแนวทางจัดทำประชามติ
7. จัดทำป้ายงดเหล้าบุหรี่งานศพ และงานบุญ
8. กิจกรรมคน 3 วัย 30 ครอบครัว ที่จิตอารีย์
9. สำรวจชุมชน โดยอาศัย อสม. และเด็กในชุมชน
มีกิจกรรมเตรียมความพร้อม ออกสำรวจ และสรุปผล
10. สรุปผลในทีมวิจัย
11. จัดเวทีคืนข้อมูลแก่ชุมชน
12. จัดทำรายงานสรุปผล

ขยะวารสาร (journal spam or scam)

ไปอ่านพบเรื่อง Journal spam or scam (วารสารหลอกลวง)
ที่ http://econjeff.blogspot.com/2010/07/journal-spam.html
มีการโพสต์เรื่องนี้ตั้งแต่ปี 2010 จนถึง  August 28, 2014 at 2:14 PM ก็มีการ comment
พอเข้าไปตรวจในเว็บไซต์ http://academicstar.us
ก็พบฉบับล่าสุด ISSN:2155-7950 ที่ http://academicstar.us/journalsshow.asp?ArtID=371
Journal of Business and Economics ลงวันที่ 16 september 2014
พบ บทความแรก ชื่อ Problem Solving in the Workplace through Application of Business Knowledge and Quantitative Methods
โดย Robert T. Barrett, Samuel H. Tolbert
http://academicstar.us/UploadFile/Picture/2014-9/2014916114047933.pdf
แต่ตรวจแล้วพบว่าเคยตีพิมพ์ใน SEDSI Conference ปี 2013
ใน http://www.sedsi.org/2013_Conference/proc/proc/P121011004.pdf
เป็นไปได้ว่า เขาคัดลอกของ Robert T. Barrett, Samuel H. Tolbert
มาปรับปรุงนิดนึง ลงไว้ให้ดูน่าเชื่อถือ ถ้าไม่ตรวจจริงก็คงเชื่อกันไปแล้วครับ
และมี http://www.astarstore.us/ ขาย journal เล่ม $380 – $780

อีเมลที่เพื่อนผมได้รับ 14 ต.ค.2557 แล้วส่งมาให้ตรวจสอบมีเนื้อความดังนี้

Dear  your name ,

This is Journal of Business and Economics (ISSN 2155-7950), a professional journal published by Academic Star Publishing Company, USA. We have learned your paper “Body of Knowledge on Folktales to Build Up Identity of Tourist attractions in Lampang Province” in The 3rd ICADA 2014—SSIS . If you have the idea of making our journal a vehicle for your research interests, please send the electronic version of your latest paper to us through email attachment in MS word format. All of your original papers and books which have not been published are welcome. All your original and unpublished papers and books are welcome.

Hope to keep in touch by email and publish some papers or books from you and your friends in USA. As an American academic publishing group, we wish to become your friends if necessary. We also want to invite some people to be our reviewers or become our editorial board members. If you are interested in our journal, you can send your updated CV to us.

Expect to get your reply soon.
You can find our sample journal in the attachemnt.

Best regards,

Amy

ต่อไปไม่มีตัง แม้อยากเรียน ถ้าไม่เก่ง ไม่จิตอาสา ก็ไม่ได้เรียนแล้ว

ต่อไปไม่มีตัง แม้อยากเรียน ถ้าไม่เก่ง ไม่จิตอาสา ก็ไม่ได้เรียนแล้ว
ต่อไปไม่มีตัง แม้อยากเรียน ถ้าไม่เก่ง ไม่จิตอาสา ก็ไม่ได้เรียนแล้ว

ตีความตามข่าวเรื่อง กยศ. ว่า
ในอดีต ไม่เก่ง ไม่จิตอาสา ถ้าอยากเรียนย่อมได้เรียน
ในอนาคต แม้อยากเรียน ถ้าไม่เก่ง และไม่จิตอาสา ก็ไม่ได้เรียนนะครับ
สถาบันไหน รุ่นพี่เบี้ยวหนี้เยอะ ก็จะได้วงเงินกู้ปีต่อไปลดลง
สถาบันไหนเปิดหลักสูตรใหม่ ก็จะกู้ กยศ. ไม่ได้

2 ก.ย.57 นางสุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)
เปิดเผยว่า ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีนโยบายเกี่ยวกับการปล่อยกู้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) นั้น
ให้เน้นกู้ให้ยาก จ่ายคืนง่าย โดยในการประชุมคณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)
http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9570000100630

เมื่อเร็วๆ นี้ มีมติเห็นชอบกำหนดมาตรการการและปรับหลักเกณฑ์การให้กู้ยืมกองทุน กยศ. ประกอบด้วย
1. หลักเกณฑ์การคัดกรองสถานศึกษา ที่จะจัดสรรเงิน กยศ. ให้นักเรียนกู้ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพเทคนิค
ต้องเปิดการเรียนการสอนมาแล้วอย่างน้อย 1 ปีการศึกษา
มีผลการรับรองคุณภาพจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพศึกษา (สมศ.)
และต้องมีโครงการที่มุ่งจิตอาสาที่มีประโยชน์ต่อสังคมและประเทศ
ส่วนระดับอนุปริญญาตรี และปริญญาตรี นอกจากจะต้องเปิดสอนมาอย่างน้อย 1 ปีการศึกษา
และมีโครงการที่มุ่งจิตอาสา แล้วหลักสูตรที่เปิดสอนต้องได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
ผ่านการประเมินของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)
ตลอดจนมีผลการรับรองจาก สมศ. ด้วย

2. หลักเกณฑ์การคัดกรองผู้กู้ยืมเงินในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
ผู้ที่จะยื่นกู้จะต้องมีผลการเรียนเฉลี่ยสะสมระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นไม่น้อยกว่า 2.00
ระดับ ปวช. ปวท. และ ปวส. ไม่มีการกำหนดเงื่อนไขดังกล่าว
เพราะต้องการส่งเสริมให้มีการเรียนสายอาชีพมากขึ้น
ส่วนระดับอนุปริญญา/ปริญญาตรี ต้องมีผลการเรียนเฉลี่ยสะสมระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายไม่น้อยกว่า 2.00
รวมทั้งต้องมีหลักฐานแสดงถึงการเข้าร่วมโครงการจิตอาสาด้วย
ส่วนผู้กู้รายเก่าที่จะเลื่อนชั้นปีหากจะกู้ต่อได้ต้องมีผลการเรียนเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 2.00 เช่นกันทุกภาคเรียน
และยังต้องมีหลักฐานการเข้าร่วมโครงการจิตอาสาอย่างน้อย 1 กิจกรรมต่อภาคการศึกษา
โดยต้องเข้าร่วมโครงการจิตอาสาไม่น้อยกว่า 18 ชั่วโมงต่อ 1 ภาคการศึกษา
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาในส่วนของผู้ที่กู้ยืมนั้นจะดูเฉพาะเรื่องรายได้เท่านั้น
แต่ส่วนอื่นไม่ได้กำหนด เช่น เรื่องผลการเรียนเฉลี่ยสะสม เป็นต้น

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบหลักเกณฑ์สัดส่วนวงเงินให้กู้ยืมแก่สถานศึกษา ไว้ 4 ส่วน
อาทิ กำหนดสัดส่วนจำนวนผู้กู้ที่มาชำระหนี้คืนไว้ 40% ซึ่งต่อไปหากสถานศึกษาใดมีการค้างชำระหนี้ของผู้กู้มาก
จะได้รับจัดสรรวงเงินให้กู้ยืมน้อยลงด้วย
อีกทั้งยังได้กำหนดสัดส่วนจำนวนผู้กู้ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ต่อสายอาชีพ ไว้ในสัดส่วน 50 : 50
และระดับอนุปริญญา/ปริญญาตรีสายวิทยาศาสตร์ต่อสายสังคมในสัดส่วน 50 : 50 เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม กยศ. จะเริ่มใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าวในปีการศึกษา 2558 เป็นต้นไป

นั่งคุยกับเพื่อนเรื่อง ร่างคู่มือประกันฯ ฉบับปี 2557 มี 2 version

ร่างคู่มือประกันฯ ฉบับปี 2557 มี 2 version
ร่างคู่มือประกันฯ ฉบับปี 2557 มี 2 version

30 ก.ย.57 นั่งคุยกับเพื่อน
เรื่องตัวบ่งชี้ทั้ง 3 ระดับในร่างคู่มือประกันฯ ฉบับปี 2557
ซึ่งเป็นฉบับนี้ห้ามใช้อ้างอิงนะครับ แต่ใช้นั่งคุยกัน เพื่อเตรียมความพร้อมได้
เพราะต้องดำเนินการตามเอกสารนี้ตั้งแต่สิงหาคม 2557 แต่เกณฑ์ทางการยังไม่ออก
จะรอให้ออก ก็เชื่อแน่ว่าไม่ทันการ จะไปอ้างกับใครว่าเกณฑ์ออกช้าก็คงไม่ได้
เพราะไม่มีใครฟัง
แล้วพบว่า สกอ. ปรับปรุงคู่มือบางหน้า ซึ่งฉบับเดิมที่ผมมีจะมี 50 หน้า
แต่ฉบับใหม่มี 52 หน้า โดยเพิ่มตัวบ่งชี้ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม
เข้าไปในตัวบ่งชี้ระดับคณะวิชา ทำให้เพิ่มจาก 8 ตัว เป็น 9 ตัว
หา download ฉบับได้จาก
http://www.mua.go.th/users/bhes/
ชื่อลิงค์ ร่างคู่มือการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา พ.ศ.2557 ฉบับประชาพิจารณ์
แต่ถ้าเป็นรุ่นที่ผม up เข้าไปใน scribd.com
จะเพิ่มเอกสารแนบคือ
หลักเกณฑ์การพิจารณาวารสารทางวิชาการ สำหรับการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ
ที่อยู่ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 130 ตอนพิเศษ 127 ง หน้า 14 วันที่ 1 ตุลาคม 2556

ตัวอย่างคำถามในข้อสอบอัตนัย

http://www.dek-d.com/admission/27780/

อยากให้นักศึกษาเตรียมตัวกันแต่เนิ่น ๆ
อีกไม่ถึงเดือนก็จะสอบกลางภาคแล้ว
มีตัวอย่างคำถามในข้อสอบ สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ดังนี้
1. What are the advantages of …
เช่น อะไรเป็นประโยชน์ของ online shopping cart
2. What is the meaning of …
เช่น อะไรคือความหมายของ RFID
3. List 5 names of …
เช่น บอกชื่อบริษัทด้านไอที และสินค้าที่โดดเด่นของบริษัทนั้น มา 5 บริษัท
4. Explain about device that has …
เช่น อธิบายเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่มีระบบ Finger scan
5. What are the functions of …
เช่น อะไรเป็นหน้าที่ของ Switch (อย่าตอบตาม dictionary นะครับ)

ผมมักให้กำลังใจนักศึกษาไปว่า
ตอบมาเถอะ มาอย่างไรก็จะได้คะแนนตามนั้น
แต่ถ้าไม่เขียนอะไรมาเลย แล้วจะให้ตรวจอะไรล่ะครับ