Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

จุดเปลี่ยนการศึกษาไทยครั้งสำคัญ อีกครั้ง

อยากเรียนต้องได้เรียน ไม่อยากเรียนก็ไม่ได้เรียน
อยากเรียนต้องได้เรียน ไม่อยากเรียนก็ไม่ได้เรียน

อันที่จริงก็คงมีจุดเปลี่ยนทางการศึกษาในหลาย ๆ ครั้ง
แต่ครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ และไม่เคยเปลี่ยนแบบนี้มาก่อน
ถ้า กยศ. ไม่อนุโลมกู้ยืมต้อง 2.00 จริง ๆ นะครับ
ที่ผ่านมาหลายสิบปี ในระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษา
มีข้อมูลที่ทราบกันดี ดังนี้
1. การจบปริญญาตรี มีเกณฑ์ขั้นต่ำ คือ ต้องเกรดเฉลี่ยสะสม 2.00 จึงจะขอจบได้
2. จากนักเรียนมาเป็นนักศึกษา ทำให้นักศึกษาจำนวนมากปรับตัวไม่ทันในชั้นปีที่ 1
ทำให้มีเกรดเฉลี่ยสะสมในปีที่ 1 ต่ำกว่าชั้นปีอื่น
และเมื่อเลื่อนชั้นปีก็จะปรับตัวจนกระทั่งได้เกรดดีขึ้น

http://www.komchadluek.net/detail/20150312/202882.html

จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือ
1. ผู้กู้ยืม กยศ. ทั้งรายเก่าและรายใหม่ ต้องมีผลการเรียนเฉลี่ยสะสมไม่ต่ำกว่า 2.00
เริ่มใช้เกณฑ์ในปีการศึกษา 2558
ซึ่งเชื่อว่ามีผลให้นักศึกษาที่ปรับตัวในระดับอุดมศึกษาไม่ทัน หมดสิทธิกู้ยืม
2. มีความเชื่อว่า ถ้าใช้เกณฑ์นี้จริง สถาบันการศึกษาจะมีมาตรการในหลายรูปแบบ
ช่วยเหลือไม่ให้นักศึกษาในสถาบันหมดสิทธิกู้ยืมต่อเนื่อง
ซึ่งบางรูปแบบอาจไปลดทอนคุณภาพการศึกษาก็ได้

หลักเกณฑ์การคัดกรองและแนวปฏิบัติในการคัดกรองสถานศึกษาและผู้กู้ยืม
ปีการศึกษา 2558

http://www.studentloan.or.th/detail.php?ctid=643

หากทำความเข้าใจที่มาที่ไป พบว่าจากความเชื่อที่ว่า
เด็กที่ไม่ถึง 2.00 แสดงว่าไม่ตั้งใจเรียน ไม่มีวินัย และความรับผิดชอบ
เมื่อเกรดต่ำ จบออกไปก็มักไม่ถูกคัดเลือกเข้าทำงาน
เมื่อไม่มีงาน ก็ไม่มีเงินมาชำระหนี้ กยศ.
เมื่อไม่มาชำระหนี้ กยศ.ก็ไม่มีเงินปล่อยกู้ให้รุ่นน้อง
เมื่อรุ่นน้องที่อยากเรียน กยศ.ไม่มีตัง เขาก็ไม่ได้เรียน

ดังนั้น นักศึกษาที่กู้ยืม กยศ. และกำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ของปี 2557
จะต้องมุ่งมั่น ทุ่มเท และตั้งใจเรียนให้เต็มที่มากกว่าครั้งใด ๆ
มิเช่นนั้น ก็อาจจะไม่ได้กู้ยืม กยศ. และเป็นผลให้ไม่มีตังที่เคยได้จากการกู้ยืม
เข้ามาจุนเจือทางการศึกษา สำหรับการศึกษาในปีการศึกษา 2558
ซึ่งหลายคนก็อาจต้องหยุดเรียน หรือ drop เรียนไปอย่างน่าเสียดาย

สำหรับท่านใดที่เขียนอาชีพใน facebook.com ว่า
พ่อแม่จ้างมาเรียน ก็คงไม่ได้รับผลกระทบ
แต่คนที่เขากู้ยืมเงินจาก กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
http://www.studentloan.or.th/index.php
จะได้รับผลกระทบเต็ม ๆ แบบเปลี่ยนชีวิตกันเลยทีเดียว

ทุจริต หรือเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน . เกิดได้ทุกวัย ทุกวุฒิการศึกษา

ครอบครัว การงาน และสังคม กับคุณธรรมจริยธรรม กฎหมาย
สิ่งใดสำคัญที่สุด บางทีอธิการท่านก็คิดว่า “ครอบครัวสำคัญที่สุด”
ตกงานยังหางานใหม่ได้ แต่ครอบครัวหาใหม่ไม่ได้
แล้ววันหนึ่ง อธิการท่านก็แก้ไขเกรดให้กับลูกชาย
เห็นคนในบ้านสำคัญกว่ากฎเกณฑ์ข้อบังคับทั้งปวง
แม้รู้ว่าเป็นความเสื่อมเสียทางวิชาการก็ตาม
ผลคือ การถอดถอนตำแหน่ง “ศาสตราจารย์”
ซึ่งเป็นตำแหน่งทางวิชาการที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ

เรื่องนี้เกิดที่ สจล. เห็นข่าวเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2556
ซึ่ง ศ.ดร.ถวิล พึ่งมา ได้ดำเนินการทำผิด และมีมูลความจริง
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1385643276&grpid=00&catid&subcatid

ขยะวารสาร (journal spam or scam)

ไปอ่านพบเรื่อง Journal spam or scam (วารสารหลอกลวง)
ที่ http://econjeff.blogspot.com/2010/07/journal-spam.html
มีการโพสต์เรื่องนี้ตั้งแต่ปี 2010 จนถึง  August 28, 2014 at 2:14 PM ก็มีการ comment
พอเข้าไปตรวจในเว็บไซต์ http://academicstar.us
ก็พบฉบับล่าสุด ISSN:2155-7950 ที่ http://academicstar.us/journalsshow.asp?ArtID=371
Journal of Business and Economics ลงวันที่ 16 september 2014
พบ บทความแรก ชื่อ Problem Solving in the Workplace through Application of Business Knowledge and Quantitative Methods
โดย Robert T. Barrett, Samuel H. Tolbert
http://academicstar.us/UploadFile/Picture/2014-9/2014916114047933.pdf
แต่ตรวจแล้วพบว่าเคยตีพิมพ์ใน SEDSI Conference ปี 2013
ใน http://www.sedsi.org/2013_Conference/proc/proc/P121011004.pdf
เป็นไปได้ว่า เขาคัดลอกของ Robert T. Barrett, Samuel H. Tolbert
มาปรับปรุงนิดนึง ลงไว้ให้ดูน่าเชื่อถือ ถ้าไม่ตรวจจริงก็คงเชื่อกันไปแล้วครับ
และมี http://www.astarstore.us/ ขาย journal เล่ม $380 – $780

อีเมลที่เพื่อนผมได้รับ 14 ต.ค.2557 แล้วส่งมาให้ตรวจสอบมีเนื้อความดังนี้

Dear  your name ,

This is Journal of Business and Economics (ISSN 2155-7950), a professional journal published by Academic Star Publishing Company, USA. We have learned your paper “Body of Knowledge on Folktales to Build Up Identity of Tourist attractions in Lampang Province” in The 3rd ICADA 2014—SSIS . If you have the idea of making our journal a vehicle for your research interests, please send the electronic version of your latest paper to us through email attachment in MS word format. All of your original papers and books which have not been published are welcome. All your original and unpublished papers and books are welcome.

Hope to keep in touch by email and publish some papers or books from you and your friends in USA. As an American academic publishing group, we wish to become your friends if necessary. We also want to invite some people to be our reviewers or become our editorial board members. If you are interested in our journal, you can send your updated CV to us.

Expect to get your reply soon.
You can find our sample journal in the attachemnt.

Best regards,

Amy

ต่อไปไม่มีตัง แม้อยากเรียน ถ้าไม่เก่ง ไม่จิตอาสา ก็ไม่ได้เรียนแล้ว

ต่อไปไม่มีตัง แม้อยากเรียน ถ้าไม่เก่ง ไม่จิตอาสา ก็ไม่ได้เรียนแล้ว
ต่อไปไม่มีตัง แม้อยากเรียน ถ้าไม่เก่ง ไม่จิตอาสา ก็ไม่ได้เรียนแล้ว

ตีความตามข่าวเรื่อง กยศ. ว่า
ในอดีต ไม่เก่ง ไม่จิตอาสา ถ้าอยากเรียนย่อมได้เรียน
ในอนาคต แม้อยากเรียน ถ้าไม่เก่ง และไม่จิตอาสา ก็ไม่ได้เรียนนะครับ
สถาบันไหน รุ่นพี่เบี้ยวหนี้เยอะ ก็จะได้วงเงินกู้ปีต่อไปลดลง
สถาบันไหนเปิดหลักสูตรใหม่ ก็จะกู้ กยศ. ไม่ได้

2 ก.ย.57 นางสุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)
เปิดเผยว่า ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีนโยบายเกี่ยวกับการปล่อยกู้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) นั้น
ให้เน้นกู้ให้ยาก จ่ายคืนง่าย โดยในการประชุมคณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)
http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9570000100630

เมื่อเร็วๆ นี้ มีมติเห็นชอบกำหนดมาตรการการและปรับหลักเกณฑ์การให้กู้ยืมกองทุน กยศ. ประกอบด้วย
1. หลักเกณฑ์การคัดกรองสถานศึกษา ที่จะจัดสรรเงิน กยศ. ให้นักเรียนกู้ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพเทคนิค
ต้องเปิดการเรียนการสอนมาแล้วอย่างน้อย 1 ปีการศึกษา
มีผลการรับรองคุณภาพจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพศึกษา (สมศ.)
และต้องมีโครงการที่มุ่งจิตอาสาที่มีประโยชน์ต่อสังคมและประเทศ
ส่วนระดับอนุปริญญาตรี และปริญญาตรี นอกจากจะต้องเปิดสอนมาอย่างน้อย 1 ปีการศึกษา
และมีโครงการที่มุ่งจิตอาสา แล้วหลักสูตรที่เปิดสอนต้องได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
ผ่านการประเมินของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)
ตลอดจนมีผลการรับรองจาก สมศ. ด้วย

2. หลักเกณฑ์การคัดกรองผู้กู้ยืมเงินในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
ผู้ที่จะยื่นกู้จะต้องมีผลการเรียนเฉลี่ยสะสมระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นไม่น้อยกว่า 2.00
ระดับ ปวช. ปวท. และ ปวส. ไม่มีการกำหนดเงื่อนไขดังกล่าว
เพราะต้องการส่งเสริมให้มีการเรียนสายอาชีพมากขึ้น
ส่วนระดับอนุปริญญา/ปริญญาตรี ต้องมีผลการเรียนเฉลี่ยสะสมระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายไม่น้อยกว่า 2.00
รวมทั้งต้องมีหลักฐานแสดงถึงการเข้าร่วมโครงการจิตอาสาด้วย
ส่วนผู้กู้รายเก่าที่จะเลื่อนชั้นปีหากจะกู้ต่อได้ต้องมีผลการเรียนเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 2.00 เช่นกันทุกภาคเรียน
และยังต้องมีหลักฐานการเข้าร่วมโครงการจิตอาสาอย่างน้อย 1 กิจกรรมต่อภาคการศึกษา
โดยต้องเข้าร่วมโครงการจิตอาสาไม่น้อยกว่า 18 ชั่วโมงต่อ 1 ภาคการศึกษา
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาในส่วนของผู้ที่กู้ยืมนั้นจะดูเฉพาะเรื่องรายได้เท่านั้น
แต่ส่วนอื่นไม่ได้กำหนด เช่น เรื่องผลการเรียนเฉลี่ยสะสม เป็นต้น

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบหลักเกณฑ์สัดส่วนวงเงินให้กู้ยืมแก่สถานศึกษา ไว้ 4 ส่วน
อาทิ กำหนดสัดส่วนจำนวนผู้กู้ที่มาชำระหนี้คืนไว้ 40% ซึ่งต่อไปหากสถานศึกษาใดมีการค้างชำระหนี้ของผู้กู้มาก
จะได้รับจัดสรรวงเงินให้กู้ยืมน้อยลงด้วย
อีกทั้งยังได้กำหนดสัดส่วนจำนวนผู้กู้ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ต่อสายอาชีพ ไว้ในสัดส่วน 50 : 50
และระดับอนุปริญญา/ปริญญาตรีสายวิทยาศาสตร์ต่อสายสังคมในสัดส่วน 50 : 50 เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม กยศ. จะเริ่มใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าวในปีการศึกษา 2558 เป็นต้นไป

นั่งคุยกับเพื่อนเรื่อง ร่างคู่มือประกันฯ ฉบับปี 2557 มี 2 version

ร่างคู่มือประกันฯ ฉบับปี 2557 มี 2 version
ร่างคู่มือประกันฯ ฉบับปี 2557 มี 2 version

30 ก.ย.57 นั่งคุยกับเพื่อน
เรื่องตัวบ่งชี้ทั้ง 3 ระดับในร่างคู่มือประกันฯ ฉบับปี 2557
ซึ่งเป็นฉบับนี้ห้ามใช้อ้างอิงนะครับ แต่ใช้นั่งคุยกัน เพื่อเตรียมความพร้อมได้
เพราะต้องดำเนินการตามเอกสารนี้ตั้งแต่สิงหาคม 2557 แต่เกณฑ์ทางการยังไม่ออก
จะรอให้ออก ก็เชื่อแน่ว่าไม่ทันการ จะไปอ้างกับใครว่าเกณฑ์ออกช้าก็คงไม่ได้
เพราะไม่มีใครฟัง
แล้วพบว่า สกอ. ปรับปรุงคู่มือบางหน้า ซึ่งฉบับเดิมที่ผมมีจะมี 50 หน้า
แต่ฉบับใหม่มี 52 หน้า โดยเพิ่มตัวบ่งชี้ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม
เข้าไปในตัวบ่งชี้ระดับคณะวิชา ทำให้เพิ่มจาก 8 ตัว เป็น 9 ตัว
หา download ฉบับได้จาก
http://www.mua.go.th/users/bhes/
ชื่อลิงค์ ร่างคู่มือการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา พ.ศ.2557 ฉบับประชาพิจารณ์
แต่ถ้าเป็นรุ่นที่ผม up เข้าไปใน scribd.com
จะเพิ่มเอกสารแนบคือ
หลักเกณฑ์การพิจารณาวารสารทางวิชาการ สำหรับการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ
ที่อยู่ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 130 ตอนพิเศษ 127 ง หน้า 14 วันที่ 1 ตุลาคม 2556

แล้วก็ต้องสอนตัดต่อคลิ๊ปเด็ก ม.3 จนได้

เด็กที่บ้านต้องอาศัย อาจารย์กู (google.com) มาตั้งแต่ ป.5
พออยู่ ป.6 ครูก็ให้ตัดต่อคลิ๊ป ส่งซีดี .. ตอนนั้นผมก็ไม่ได้สนใจ
เพราะเด็กที่บ้านไม่ได้ขอให้ช่วย เห็นบอกแต่ว่าไปถ่ายที่สวนสาธารณะ
พวกเขาถ่ายคลิ๊ปเสร็จ แล้วก็ให้เขียนลงซีดีส่งครูไปเลย
บางปีก็เป็นงานกลุ่ม แล้วมีเพื่อนอาสารับไปทำ
ซึ่งผมก็ไม่เคยคิดจะสอน เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ใช่วัย หรือสิ่งจำเป็นในสายอาชีพ
เพราะคนในสายอาชีพที่ควรตัดต่อบางคนก็ยังไม่ใส่ใจที่จะตัดต่อคลิ๊ป
แล้วจะให้เด็กมัธยมมาสนใจก็ดูเป็นเรื่องน่าแปลกอยู่นะ

และแล้วใน ม.3 มีงานกลุ่มทำคลิ๊ปเรื่องการกู้ภัย
เพื่อนรับนำคลิ๊ปที่ถ่ายแล้วไปตัดต่อให้ แต่หลังตัดต่อเสร็จก็เครื่องคอมฯ เสีย
สุดท้ายต้องกลับมาตัดต่อที่บ้าน แล้วผมก็ต้องสอนตัดต่อคลิ๊ปให้เด็ก ๆ จนได้
เมื่อวันที่ 17 ก.ย.57 ก็ต้องสอนใช้ proshow gold
เขาก็หา background จาก google.com แสนสวยมาเอง
เลือก effect ในโปรแกรม
และเลือกเสียงจากห้อง program files แล้วบันทึกเป็น .avi
ซึ่งนำไปเปิดทางทีวีผ่าน dvd player ไม่ได้
ถ้าจะให้ได้ก็ต้องเป็น mp4

สรุปได้ว่า วันนี้ก็สอนเด็ก ๆ ตัดต่อคลิ๊ปครั้งแรกที่บ้าน
เพราะจำเป็นต้องส่งงานในอีก 1 – 2 วันนี้แล้ว

มีโอกาสใช้การวิพากษ์ผลงานวิเคราะห์ด้วยหมวกหกใบแทนการนำเสนอแบบทางเดียว

หมวกหกใบ
หมวกหกใบ

นักศึกษาผู้ใหญ่ต้องกล้า และไม่กลัว
กล้าวิพากษ์อย่างตรงไปตรงมา ไม่กลัวเพื่อนเสียใจ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้
ใคร ๆ เรียกว่า การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking)
เป็นการติเพื่อก่อ อย่างกัลยาณมิตร

30 ส.ค.57 มีโอกาสพบนักศึกษาที่เรียนในระดับสูงสุดเป็นชั่วโมงแรก
โดยเรียนปรับพื้นฐานเรื่อง เทคโนโลยีและการศึกษาค้นคว้า
จึงชวนให้พวกเขาเรียนรู้กันและกันผ่านคำถาม Who am i?
และผมก็ได้เรียนรู้ด้วยว่านักศึกษากลุ่มนี้มีความพร้อมด้าน intelligence
เพื่อให้นักศึกษาพูดคุยกัน จึงมีกิจกรรมให้ได้พูดคุยกัน
คือ หมวกหกใบ กับประเด็น “การศึกษาระดับปริญญาเอก”
แล้วเสนอว่าน่าจะใช้ mindmap ในการนำเสนอประเด็น
เมื่องานเสร็จแล้ว ผมได้เปลี่ยนแผน
จากที่จะให้ผู้เขียน diagram ได้ออกมานำเสนอ แล้วเพื่อนฟัง
เป็นการให้เพื่อนร่วมชั้นวิพากษ์ ถึงการสื่อสารผ่านภาพเหล่านั้น
เพราะการวิพากษ์ และถูกวิพากษ์บ่อย ๆ จำเป็นต่อการศึกษาระดับนี้

http://www.thaiall.com/blog/admin/4249/

สรุปความคิดเห็นของนักศึกษา ได้ดังนี้
1. การเปลี่ยนแผนของอาจารย์ ทำให้ diagram ที่ได้ไม่ตรงกับแผนใหม่
2. บาง diagram สื่อสารได้ไม่ชัด ตัวอักษรเล็ก และเข้าใจยาก
3. บางกลุ่มเลือกเปลี่ยนแนวการเขียน mindmap
เพราะข้อมูลต้องนำเสนอเป็น sequencial ที่มีการรวมข้อมูลไปยังหมวกน้ำเงิน
4. บางทีหมวกหกใบ ไม่จำเป็นต้องมีหมวกน้ำเงินเป็นใบสุดท้าย
อาจมีหมวก innovation ที่มีการต่อยอดตามหลักของคำก็ได้
5. ในภาพต้นแบบใช้คำว่า innovation แต่ถ้าใช้คำว่า imagination จะไม่ยึดติดกับคำ
และได้ความหมายกว้างกว่าคำว่า innovation
6. ในทีมมีสมาชิกที่ติดภารกิจ อาจทำให้ผลงานออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร
7. พื้นที่เขียนน้อยไป เวลาน้อยไป การเขียนในพื้นที่จำกัด อาจสื่อได้ไม่ดีพอ
8. ศาสตร์ทาง Ed.D. น่าจะชำนาญในการนำเสนอแบบนี้ดีกว่า D.P.A.

สรุปว่าทั้งหมดเป็นผลการชวนแลกเปลี่ยนเรียนรู้
เพราะนักศึกษาทุกคนมีคุณวุฒิสูงและผ่านปริญญาสองใบมาหลายคน
หน้าที่การงานก็ระดับสูงทุกคน
จึงพร้อมกับการแลกเปลี่ยนเชิงวิพากษ์ทั้งในฐานะฝ่ายผู้ฟัง และผู้นำเสนอ

https://www.facebook.com/media/set/?set=oa.365817710235720

มีคลิ๊ปที่ชวนนักศึกษาเปิดชม 2 คลิ๊ปคือ Derek และ 212

หัวหน้าเล่าเรื่องของ 212 องศาฟาเรนไฮต์ จึงเล่าให้นักศึกษาฟังว่า
ความแตกต่างของความพยายามที่บรรลุผล
กับความพยายามที่ไม่บรรลุผล ระหว่าง hot กับ biol
น้ำที่ร้อน 211 องศา ก็เป็นเพียงน้ำร้อน แต่น้ำ 212 องศา เป็นน้ำเดือด
http://www.youtube.com/watch?v=WDgKdjf7M4I

หัวหน้าเล่าเรื่องของ Derek Redmond จึงเล่าให้นักศึกษาฟังว่า
เขาเป็นเต็งหนึ่งในการแข่งขันครั้งนี้
นักวิ่งที่เข้าลู่คนสุดท้าย แต่คนทั้งสนามต่างตบมือให้
ในความไม่ยอมแพ้ เพื่อไปให้ถึงเส้นชัย
เป็นหนึ่งใน incridible olympic sotry
เล่าในงานปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ ปีการศึกษา 2557
http://www.youtube.com/watch?v=t2G8KVzTwfw

หน้าแรกการทำ network ผ่าน lan card ตัวที่สอง ที่บ้าน

หน้าแรกที่แสดงว่าผ่านแล้ว
กับ app ต่าง ๆ ดังนี้ กว่าจะได้คำว่า logged in to CoovaChilli

1. ubuntu 14.04

2. freeradius 2.1.12

3. coova-chilli 1.3.0

4. apache 2 2.4.7

5. mysql 5.5.38

6. perl 5.18.2

7. hotspotlogin.cgi
copyright 2006-2012 David Bird

เล่าสู่กันฟัง
1. การดูรุ่นของ app ใน ubuntu ทำได้ด้วย
คำสั่ง $apt-cache show coova-chilli
หรือ $dpkg -l coova-chilli
2. ตอนจะใช้ chkconfig กำหนด app ให้ start ตอนเปิดเครื่อง
ปรากฎว่า
$sudo apt-get install chkconfig ไม่ผ่าน
เพราะมีใน ubuntu ถึงรุ่น 12.04
เนื่องจากเป็นของ redhat ที่เป็นคู่แข่ง
ต้องใช้
$sudo apt-get install rcconf
$sudo rcconf แล้วเลือก chilli ให้ start ทุกครั้งที่เปิดเครื่อง
หรือ
$sudo apt-get install sysv-rc-conf
$sudo sysv-rc-conf

รศ.กำจร ตติยกวี จะรื้อใหญ่แก้ปัญหาหลักสูตรไม่ตอบรับภาคแรงงานมานานแล้ว

คุณณฐา จิรอนันตกุล นักข่าว Thaipbs รายงานเรื่องที่ เลขาฯ สกอ. จะรื้อใหญ่
ระบบการศึกษาไทย ชี้ให้เห็นปัญหาระหว่าง demand กับ supply ไม่ตรงกัน
ผู้ผลิตก็ผลิตบัณฑิตไปอีกทาง ผู้บริโภคแรงงานก็ไม่ได้ที่ต้องการ บัณฑิตก็เคว้งคว้างว่างงาน
เพราะเลือกเรียนไม่ตรงกับความต้องการของตลาด เลือกเรียนที่มีความสุข สนุกสนาน

ก็ผู้บริโภคแรงงานมีค่านิยมรับแต่คนเก่ง .. ไม่รับคนดี
สวนกระแส ที่เด็ก ๆ มักได้รับผ่านสื่อ ว่า
อะไรก็ไม่เป็น แต่ขอให้เป็นคนดี เดี๋ยวผู้ประกอบการก็จะรับเข้าทำงาน
ผู้สัมภาษณ์: พิมพ์ดีดเป็นไหม
ผู้สมัคร: ไม่เป็นครับ
ผู้สัมภาษณ์: ใช้คอมพิวเตอร์เป็นไหม
ผู้สมัคร: ไม่เป็นครับ
ผู้สัมภาษณ์: เอ้า! แล้วเป็นอะไรมั่งเนี่ย
ผู้สมัคร: เป็นคนดีครับ
ผู้สัมภาษณ์: โอเค…รับเลย
http://kt-thoughts.blogspot.com/2011_12_01_archive.html
ในชีวิตจริง ไม่เหมือนกับกระแสสังคมที่เด็ก ๆ รับไปนะครับ

ปัญหาเรื่อง demand กับ supply มีรายละเอียดเยอะจริง ๆ ครับ

สกอ.เตรียมรื้อใหญ่ระบบการศึกษา ตั้งแต่ ปวส. ปริญญาตรี-โท-เอก เน้นคุณภาพรับตลาดแรงงาน กลุ้มใจหลายสถาบันการศึกษาเน้นปริมาณ ไม่สนเด็กจบมาตกงานอื้อ ชี้ “ครู” จบปีละหมื่น
ได้งานปีละพัน แต่เด็กไม่เคยรู้ข้อมูล บริษัทขนาดใหญ่บางแห่งเลือกรับเด็กบางมหาวิทยาลัยทำงาน พร้อมเตรียมฟัน ดร.เก๊!ไร้คุณภาพ

จากข้อมูลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่ระบุ 5 อันดับของคนตกงานมากที่สุดในปี 2557 นี้ มีอาชีพอะไรบ้าง ได้แก่
อันดับที่ 1 คือ อาชีพที่เกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ/บริหารการพาณิชย์
อันดับที่ 2 คือ สายงานคอมพิวเตอร์
อันดับที่ 3 คือ สายวิศวกร
อันดับที่ 4 คือ สังคมศาสตร์
อันดับที่ 5 คือ สายมนุษยศาสตร์

สิ่งที่น่าสนใจ คือ สายงานที่ได้รับความนิยมเรียนอย่างมากอย่างสายงานอย่างคอมพิวเตอร์ และสายงานวิศวกรรมนั้นทำไมถึงติดอันดับคนตกงานมากสุดในอันดับ 2 และ 3 แซงหน้าสายสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์เสียอีก ขณะที่แรงงานสายช่างกลับขาดแคลนหนักเพราะนักศึกษาระดับปวช.ปวส.สนใจเรียนต่อเพื่อเอาวุฒิปริญญาตรีไปทำงานมากกว่า

ผลสำรวจนี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าระบบการศึกษาของไทยกำลังมีปัญหาอย่างหนัก โดยเฉพาะการผลิตบุคลากรเพื่อรองรับตลาดแรงงานที่ไม่สอดรับกัน

ปฏิรูป “สายช่าง” ให้ไปต่อได้อีก
รศ.กำจร ตติยกวี เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.)เปิดเผยกับ “ผู้สื่อข่าวออนไลน์ไทยพีบีเอส” ถึงแผนการปฏิรูประบบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาแบบที่เรียกว่า “รื้อใหญ่” โดยระบุว่า ปัญหาของหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ไม่ตอบรับภาคแรงงานมีมานานแล้ว ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ และต้องแก้ไขทุกระดับ

เริ่มตั้งแต่ระดับปวช-.ปวส. ปัญหาการขาดแคลนแรงงานประเภทช่างเป็นตัวบ่งบอกปัญหาในการเรียรการสอนระดับปวช.และ ปวส.ได้อย่างดี

ความต้องการหลักอยู่ที่ช่าง แต่การผลิตในสายอาชีวะมีปัญหา เพราะค่านิยมการได้ใบปริญญามีค่อนข้างสูงในสังคมไทย และยิ่งมีปัญหามากขึ้นเมื่อได้รับผลกระทบจากการที่รัฐบาลชุดที่ผ่านมาประกาศนโยบายเงินเดือน 15,000 บาทสำหรับคนจบปริญญาตรี มั่นใจว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้นักศึกษาที่จบสายช่างมีน้อยลงไปอีก” เลขาธิการ สกอ.กล่าว

ดังนั้นปัญหานี้เป็นปัญหาเร่งด่วนหนึ่งที่ต้องแก้

เลขาธิการ สกอ. ชี้ว่าปัญหาของการเรียนสายช่างคือ ไม่มีหลักสูตรให้คนต่อปริญญาตรีได้ ดังนั้นคนจึงไม่เลือกเรียนสายช่าง ขณะนี้จึงกำลังทบทวนว่าหลักสูตรสายช่างจะต้องมีมากขึ้น และต้องเป็นหลักสูตรสายช่างที่เด็กสามารถเรียนต่อปริญญาตรีได้ด้วย

ถ้าทบทวนตรงนี้ได้ เด็กก็จะไม่หันเหจากปวช.- ปวส. ไปเรียนปริญญาตรี เพราะสายช่างพอไปเรียนปริญญาตรีก็ไม่เก่งเท่าปริญญาตรีจริง จบออกมาก็แข่งขันไม่ได้ ผู้ประกอบการไม่รับ แต่ถ้าเรียนสายช่างแล้วไปทำงานเลย ตลาดแรงงานมีรองรับอยู่มาก

ต่อไปหลักสูตรที่จะมีเพิ่มขึ้น คือหลักสูตรที่ให้เด็กปวส.สามารถเรียนต่อเนื่องได้ แต่หากใครไม่อยากเรียนต่อก็สามารถทำงานได้เลย เพราะคนจบปวส.ตอนนี้หากจบสายช่าง และมีฝีมือ เงินเดือนก็เท่าคนที่จบปริญญาตรี และมีความก้าวหน้าในสายอาชีพทีดีไม่น้อยไปกว่าสายปริญญาตรี ไม่จำเป็นต้องเรียนต่อปริญญาตรี แต่หากคนไหนอยากเรียนต่อปริญญาตรีจริงๆ ก็จะมีหลักสูตรรองรับ แต่สุดท้ายจะตัดสินใจมาทำงานช่างโดยวุฒิ ปวส.ก็ได้ด้วย

นับเป็นจุดสำคัญของระบบการศึกษาไทยที่กำลังจะปรับ!

จบปริญญาตรีแต่ไร้คุณภาพ!
สำหรับระดับปริญญาตรี ที่มีการไปสำรวจว่าเรียนจบมาแล้วตกงานจำนวนมากในสาขาคอมพิวเตอร์ และวิศวกรรม เลขาธิการ สกอ.เปิดเผยว่า โดยความเป็นจริงแล้ว นักศึกษาที่เรียนจบทั้ง 2 สาขาหากเป็นผู้มีศักยภาพสูง จะไม่ประสบปัญหาตกงาน แต่ยอมรับว่าปัญหาใหญ่ของระบบการเรียนการสอนระดับปริญญาตรีคือคุณภาพ

“ตลาดแรงงานยังมีตำแหน่งที่ต้องการคนจบใหม่ไปทำงานเยอะ แต่ต้องการเฉพาะคนมีศักยภาพสูงเท่านั้น”

ดังนั้นปัญหาจริงๆ คือการผลิตบัณฑิตที่ไม่มีคุณภาพ ทำให้ปัญหาของการตกงานอยู่ที่ปัจจัยสำคัญ คือจบมาจากสถาบันที่ไม่น่าเชื่อถือ จบในสาขาไม่ตรงตลาดแรงงาน และจบมาแล้วความรู้ด้อยเกินไป และสำหรับตำแหน่งที่เฉพาะตัว บางคนก็มีการเลือกงาน ก็มีโอกาสตกงานได้เหมือนกัน

“ตลาดไอทียังเติบโตเยอะ แต่ต้องการคนมีศักยภาพ เข้าไปแล้วทำงานได้เลย ไม่ใช่เข้าไปถึงทำได้แต่ word กับ excel”

จุดนี้เลขาฯ สกอ.ระบุว่า จะต้องมีการสำรวจอย่างจริงจังและสะท้อนกลับไปให้สถาบันต่างๆ เห็นเลยว่า สถาบันใดบ้างที่กำลังมีปัญหา เพราะที่ผ่านมาการสะท้อนแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้น

ดัชนีชี้คุณภาพ? เมื่อหลายบริษัทเลือก ไม่รับเด็กบางมหาวิทยาลัย
ต่อไปต้องมีการสำรวจฝ่ายบุคคลของบริษัทใหญ่ๆ ว่าเวลาสมัครงาน ใครมาสมัคร แล้วรับใคร คุณสมบัติแบบไหนที่รับ แล้วแต่ละบริษัทมีลิสต์สถาบันที่จะรับจริงไหม ทำไมรับแต่คนจบจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ฯ ทำไมคนจบจากมหาวิทยาลัยราชภัฎจึงไม่รับ อย่างบริษัทใหญ่บางแห่งส่วนใหญ่ถึงรับแต่วิศวะฯ จุฬา เป็นต้น” เลขาธิการ สกอ.ระบุ

โดยสำหรับ สกอ.เอง ที่ผ่านมาได้มีการสำรวจอัตราการสอบ ก.พ. ซึ่งจะมีทั้งเด็กจบใหม่ และเด็กไม่เก่งที่ยังค้างอยู่ในตลาดแรงงานมาสอบ พบว่า มีสถาบันบางแห่งคนไปสอบ ก.พ. ภาค ก. จำนวน 8,000 คน แต่สอบก.พ. ภาคก.ได้แค่ 70 คน

ไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ที่สอบได้ คนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 90 กว่า

นี่คือข้อมูลที่น่าตกใจ!

ซึ่งทาง สกอ.ก็ยอมรับว่าการสะท้อนกลับไปตรงๆ ที่สถาบันต่างๆ นั้น ทำให้สถาบันต่างๆ ไม่ชอบใจนัก

ต้องเข้าใจว่าในสังคมไทยไม่ชอบถูกประเมิน อย่างสมศ.(สำนักงานรับรองและประเมินคุณภาพการศึกษา) ตอนนี้ก็มีปัญหาว่ามีคนเสนอให้ยุบ เพราะไม่อยากถูกประเมิน และเมื่อประเมินแล้วก็ยังสะท้อนกลับไปไม่ชัด เมื่อสะท้อนกลับไปไม่ชัด ก็เกิดปัญหาว่าสถาบันต่างๆ ไม่ยอมรับ

จบครูปีละหมื่น แต่มีตำแหน่งงานให้ปีละพัน!
ในขณะที่ข้อมูลยังระบุว่า การเรียนในหลักสูตรครูก็ประสบปัญหา เพราะตอนนี้มีการผลิตครูปีละ 10,000 คนรวมทุกมหาวิทยาลัย แต่มีตำแหน่งงานครูให้ปีละ 1,000 คน

เป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งที่ เลขาธิการ สกอ.ยอมรับว่าหนักใจ เพราะสถาบันการศึกษาที่ผลิตครูไม่ยอมบอกผู้เรียนไปตรงๆ ว่าเรียนแล้วคุณจะตกงาน และที่สำคัญคือเด็กเองก็รู้แค่ว่าจะเรียนอะไร แต่ไม่รู้เลยว่า เรียนแล้วจะไปทำงานอะไร ตลาดแรงงานรองรับหรือไม่

คนเรียนจบครูตอนนี้เลยตกงานอื้อ!

สิ่งที่สกอ.กำลังทำคือพยายามจะหากลไกมาสะท้อนกลับในส่วนนี้ โดยเฉพาะความร่วมมือกับสื่อมวลชนที่จะกำหนดตัวชี้วัดบางตัวขึ้นมา เพื่อให้ทำเรทติ้งสถาบันต่างๆ เพื่อวัดคุณภาพมหาวิทยาลัย แต่ตอนนี้ยังเป็นแค่แนวคิด ยังไม่ได้มีความร่วมมืออย่างจริงจัง

เตรียมฟันพวกลอกวิทยา จบ ป.โท-เอกไร้คุณภาพ
รศ.กำจร ตติยกวียังกล่าวถึงปัญหาการศึกษาในระดับปริญญาโท และปริญญาเอก ของสถาบันการศึกษาต่างๆ ว่า เป็นอีกส่วนหนึ่งที่กำลังเป็นปัญหา และต้องเร่งแก้ไข เพราะวันนี้คำถามเรื่องคุณภาพเป็นเรื่องที่มีการถามกันมาก

“ในระดับปริญญาโท และปริญญาเอก การจ้างทำวิทยานิพนธ์และการลอกวิทยานิพนธ์เป็นเรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่มาก ซึ่งจุดนี้ทาง สกอ.ได้เตรียมที่จะแก้ไข”

เลขาธิการ สกอ. กล่าวต่อไปว่า ทาง สกอ. เตรียมจะดำเนินการแก้ปัญหาการคัดลอกวิทยานิพนธ์เป็นพิเศษ โดยสกอ.จะให้ทางสถาบันการศึกษาต่างๆ กำหนดเกณฑ์การตรวจสอบวิทยานิพนธ์ว่าอนุญาตให้มีการกึ่งคัดลอกวิทยานิพนธ์ได้ในสัดส่วนกี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตรงนี้ แต่ละสถาบันการศึกษาจะให้นักศึกษารับผิดชอบแต่เพียงคนเดียวไม่ได้ อาจารย์ที่ปรึกษา และสถาบันจะต้องร่วมรับผิดชอบในส่วนนี้ด้วย

โดยหลังจากสถาบันต่างๆ กำหนดเกณฑ์การคัดลอกวิทยานิพนธ์แล้ว สกอ.จะนำวิทยานิพนธ์ฉบับนั้นๆ มาตรวจสอบอีกรอบหนึ่งก่อนทำการตีพิมพ์วิทยานิพนธ์ โดยสกอ.จะตั้งเกณฑ์การคัดลอกให้สูงกว่าที่สถาบันต่างๆ ที่กำหนดไว้ เช่น หากสถาบันการศึกษากำหนดเกณฑ์การคัดลอกไว้ที่ 30% ทางสกอ.จะกำหนดเกณฑ์การคัดลอกที่สูงกว่า

“ไม่ได้บอกว่าห้ามอ่านวิทยานิพนธ์คนอื่น อ่านได้ ทบทวนวรรณกรรมเสร็จต้องสร้างความเป็นตัวตนของตัวผู้วิจัยขึ้นมาให้ได้”

และเพื่อไม่ให้สถาบันต่างๆ อ้างว่าไม่มีเครื่องมือ ขณะนี้ สกอ.ก็กำลังเตรียมหาเครื่องมือเพื่อให้สถาบันการศึกษาต่างๆ นำไปใช้ตรวจวัดวิทยานิพนธ์อยู่ คาดว่าอีกไม่นานคงเรียบร้อย และจะเริ่มใช้ในปีการศึกษาที่จะถึงนี้

ต่อไป ปริญญาโท ปริญญาเอก จะมีคุณภาพมากขึ้น ไม่ต้องมีคำถามอีกว่า คนๆ นี้จบดร.มาได้ยังไง ไม่มีความรู้ ทำไมนักการเมืองได้ดร.ง่าย ต่อไปต้องตอบคำถามได้ คือคนที่ทำวิทยานิพนธ์จะต้องตอบคำถามได้จริง มีความรู้จริง อย่างนี้ถึงจะจบจริง

รศ.กำจรบอกว่าทุกวันนี้ถามคำเดียวรู้ได้แล้วใครทำวิทยานิพนธ์จริง ไม่จริง

ถามคำเดียวรู้เลย ใครทำจริง ไม่จริง คือถามว่าทำวิทยานิพนธ์ ทำสารนิพนธ์เรื่องอะไร ใครตอบตะกุกตะกัก หรือขึ้นชื่อวิทยานิพนธ์ว่าสำรวจความพึงพอใจอย่างนี้ อนุมานได้ก่อนว่าไม่ได้ทำเอง ลอกตามๆ แบบเดิมกันมา หรือบางคนก็ตอบคำถามไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอาจารย์ที่ปรึกษาชื่ออะไร” รศ.กำจร ตติยกวี กล่าวทิ้งท้าย

นี่คืออีกก้าวของการปฏิรูปการศึกษา ที่หลายคนบอกว่าปัญหาการศึกษาไทยเป็นแผลเก่าที่สมานได้ยาก

ต้องจับตาดูว่า สกอ.จะทำงานใหญ่งานนี้สำเร็จหรือไม่? แต่ถ้าทำได้ นั่นหมายถึงคุณภาพของระบบการศึกษาไทยเริ่มเห็นแสงสว่างรำไร

รายงานพิเศษโดย : ณฐา จิรอนันตกุล ทีมข่าวไทยพีบีเอสออนไลน์

http://bit.ly/1rD32tD

หนังเรื่อง Waiting for Superman สารคดีตีแผ่ปัญหาคุณภาพการศึกษาอเมริกัน

ที่อเมริกาก็มีปัญหาด้านการศึกษา โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์
ครองอันดับ 25 จาก 30 ประเทศที่พัฒนาแล้ว

แสดงว่าเด็กที่อเมริกาคิดว่ามนุษย์ไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดา
คิดว่าจะมีคนเก่งขั้นเทพ และโชคชะตาจะมาช่วยเหลือ
แล้วเป็นเหตุให้มีความพยายามช่วยเหลือตนเองไม่มากเท่าที่ควร
แต่ถ้าคิดว่ามนุษย์ทุกคนก็เป็นแค่สิ่งมีชีวิต ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
เขาอาจลดจินตนาการมาใกล้เคียงกับความเป็นจริง
แล้วพยายามอย่างที่สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เขาทำกัน

ภาพยนตร์ Waiting for Superman
การศึกษาวิชาคณิตศาสตร์ของอเมริกาจัดอยู่ลำดับที่ 25 และรั้งท้ายในหลายวิชา เมื่อเทียบกับ 30 ประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่กลับสวนทางกับความมั่นใจในตัวเองของวัยรุ่นอเมริกันที่พุ่งสูงเป็นอันดับ 1 ระบบการศึกษาที่ไร้คุณภาพ และโอกาสอันริบหรี่ที่จะได้เข้าโรงเรียนรัฐบาลชื่อดัง ซึ่งทำให้อนาคตของเยาวชนทั้งประเทศต้องแขวนอยู่บนเส้นด้าย นำมาตีแผ่ผ่านภาพยนตร์สารคดี Waiting for Superman

ไม่เพียงเจาะลึกวิกฤตการศึกษาอเมริกาได้อย่างน่าเชื่อถือ ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ยังนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ ให้เข้าใจง่ายผ่านแอนิเมชั่น ละครและภาพยนตร์ฮิตในอดีต ทำให้ผู้คนตระหนักถึงปัญหาการศึกษาที่ฝังลึกจนยากจะเยียวยา และพยายามหาทางออกที่เป็นรูปธรรม สารคดีเรื่องนี้สร้างสรรค์โดย Davis Guggenheim ผู้กำกับหนังสารคดีตีแผ่สิ่งแวดล้อม An Inconvenient Truth และคว้ารางวัลใหญ่ในปี 2010 จากเทศกาลซันแดนซ์ และ Critics’ Choice Movie Awards

ติดตามชีวิตนักเรียนอเมริกันทั้ง 5 คน กับวิกฤตทางการศึกษาที่ต้องเผชิญ และการพยายามหาทางออกด้วยตัวเอง โดยหยุดฝันเฟื่องถึงฮีโร่ที่ไม่มีอยู่จริง ก่อนทุกอย่างจะสายเกินแก้ ในภาพยนตร์สารคดี Waiting for Superman Thai เธียเตอร์ 22.00 น. ทาง ThaiPBS

คนในแวดวงการศึกษาและนักการเมืองในอเมริกาหลายคนได้มีโอกาสชมภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ หนึ่งในนั้นก็คือประธานาธิบดี Barack Obama ซึ่งสนใจประเด็นนี้มาก จนถึงขั้นเชิญผู้กำกับและเด็กในสารคดีทั้งห้าเข้าไปพูดคุยถึงทำเนียบขาวเลยทีเดียว

http://bit.ly/1rlnbRo

Movie trailer
http://www.youtube.com/watch?v=ZKTfaro96dg