Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

มติ ก.ค.ศ. ชัดเจนสั่งเพิกถอนบรรจุครูผู้ช่วยคะแนนสูงผิดปกติ

20 พฤษภาคม 2556

“พงศ์เทพ” มั่นใจมติ ก.ค.ศ.ชัดเจนกว่าหนังสือของดีเอสไอ ย้ำอ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯไม่ต้องกังวล รอดูหนังสือก่อน

วานนี้(19พ.ค.) นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) มีมติให้แจ้งไปยังคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษา 119 เขต และผู้อำนวยการโรงเรียนให้พิจารณาเพิกถอนการบรรจุแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการครูในตำแหน่งครูผู้ช่วย ในการสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการครูในตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีมีความจำเป็นหรือเหตุพิเศษ ว 12 จำนวน 344 รายตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้ทำหนังสือแจ้งไปยัง ก.ค.ศ.และอ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ เนื่องจากเห็นว่าบุคคลเหล่านั้นกระทำการเข้าข่ายทุจริต ในการทำข้อสอบผิดในข้อเดียวกันและมีคะแนนสอบที่สูงผิดปกติ แต่ทาง อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ยังเห็นว่า มติดังกล่าวมีความไม่ชัดเจน และต้องการให้ก.ค.ศ.มีคำสั่งให้ดำเนินการเพิกถอนอย่างเป็นทางการ ว่า มติ ก.ค.ศ.เมื่อวันที่ 17 พ.ค.มีความชัดเจนแล้ว และจะทำให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ และผู้มีอำนาจบรรจุแต่งตั้ง ซึ่งก็คือ ผู้อำนวยการโรงเรียน มีความมั่นใจในการดำเนินการมากขึ้น เพราะหนังสือของ ก.ค.ศ.ระบุชัดเจนว่าให้ผู้มีอำนาจบรรจุแต่งตั้งดำเนินการเพิกถอนทั้ง 344 รายให้ออกจากราชการ ตามมาตรา 49 ของพ.ร.บ.ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เนื่องจากการทุจริตการสอบถือเป็นความไม่เหมาะสมในการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยมตินี้ถือเป็นข้อมูลที่ทำให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ และผู้มีอำนาจในการบรรจุแต่งตั้งดำเนินการตามมาตรา 49 ได้ทันทีโดยไม่ต้องกังวล

“ผมคิดว่าสาเหตุที่ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ยังไม่มั่นใจเพราะหนังสือของ ก.ค.ศ.ยังไปไม่ถึงแต่ยืนยันว่ามติของ ก.ค.ศ.ชัดเจนกว่าหนังสือของดีเอสไอ ที่แจ้งไปยัง อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ เชื่อว่าเมื่อ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ เห็นหนังสือของ ก.ค.ศ.จะมีความมั่นใจที่จะดำเนินการตามมติมากขึ้น ดังนั้นจึงอยากให้อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ รอดูรายละเอียดในหนังสือของก.ค.ศ.ก่อน ไม่อยากให้ไปกังวลมากเกินไป”  นายพงศ์เทพกล่าว

นายพงศ์เทพ กล่าวต่อไปว่า สำหรับกรณีที่คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงการทุจริตสอบครูผู้ช่วย ที่มีนางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ. เป็นประธานได้เสนอให้ตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน 4 ราย ประกอบด้วย ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) นายอนันต์ ระงับทุกข์ รองเลขาธิการ กพฐ. นายไกร เกษทัน ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบงานบริหารบุคคลและนิติกร สพฐ. และนายสุเทพ ชิตยวงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ อดีตผู้ช่วยเลขาธิการ ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทำให้ราชการเสียหายร้ายแรง ซึ่งสอดคล้องกับเอกสารคำให้การของนายพิษณุ ตุลสุข หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดของศธ. ซึ่งได้มีการสรุปเสนอให้ดำเนินการทางวินัยร้ายแรงกับผู้บริหารสพฐ.3 ราย ประกอบด้วยดร.ชินภัทร นายอนันต์ และนายไกร เพราะมีมูลสงสัยว่าเป็นผู้ร่วมกระทำผิดวินัยกรณีละเลยหรือจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญานั้น ขณะนี้นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศธ. ยังไม่ได้รายงานผลสืบสวนฯชุดที่มีนางพนิตา เป็นประธานมายังตน แต่ในเบื้องต้นเมื่อได้รับข้อมูลแล้ว จะต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงในกรณีที่มีข้อมูลอ้างอิงถึงว่าเจ้าตัวละเลยการปฏิบัติหน้าที่จริงหรือไม่ เพื่อให้ข้อมูลมีความสมบูรณ์ เชื่อว่าเมื่อนายเสริมศักดิ์ได้รับผลการสืบสวนของคณะกรรมการฯชุดดังกล่าวแล้ว เร็ว ๆ นี้คงจะนำเข้ามาหารือกับตน เพราะอำนาจการตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงข้าราชการระดับสูงถือเป็นอำนาจของ รมว.ศธ.

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากจะต้องตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงข้าราชการระดับ 10 และ 11 จริง ๆ จะต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาออกจากราชการไว้ก่อนหรือไม่ เพื่อไม่ให้กระทบต่อการสอบสวน นายพงศ์เทพ กล่าวว่า กฎหมายไม่ได้บังคับไว้ว่าถ้าถูกสอบสวนทางวินัยร้ายแรงแล้วจะต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะการสอบสวนจะต้องดูข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องที่สามารถอ้างอิงถึงกันอย่างรอบด้าน ส่วนกรณีของนายสุเทพที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจราชการศธ.นั้น ก่อนหน้าที่จะมีการเสนอชื่อแต่งตั้งข้อมูลยังไม่ชี้ชัดขนาดนี้จึงเป็นสิทธิที่จะได้รับการเสนอชื่อ

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32763&Key=hotnews

กยศ. แจ้งกำหนดการกู้ยืมปีการศึกษา 2556

20 พฤษภาคม 2556

นางสาวกัญญรัตน์ เกียรติสุภา ประชาสัมพันธ์จังหวัดสุรินทร์ ได้รับแจ้งจาก กยศ.ว่า “ขณะนี้ กองทุนฯ ได้เริ่มเปิดระบบ e-Studentloan ให้นักเรียน นักศึกษายื่นความประสงค์ขอกู้ยืมในภาคเรียนที่ 1/2556 ได้แล้วทาง www.studentloan.or.th ตั้งแต่บัดนี้-30 มิถุนายน 2556 โดยขอให้กลุ่มผู้กู้ยืม รายเก่าที่ไม่เปลี่ยนระดับการศึกษาและไม่เปลี่ยนสถานศึกษาเข้ามายืนยันการลงทะเบียนเรียนโดยใช้รหัสผ่านเดิม ส่วนผู้กู้ยืมรายใหม่ที่ไม่เคยกู้ยืมและยังไม่มีรหัสผ่านสามารถเข้าทำการลงทะเบียนขอรหัสผ่านล่วงหน้า (Pre-register) ได้ก่อนโดยยังไม่ต้องระบุสถานศึกษา เมื่อได้สถานศึกษาแล้วค่อยยื่นแบบคำขอกู้ยืมพร้อมกับกลุ่มผู้กู้ รายเก่าที่เปลี่ยนระดับการศึกษาหรือเปลี่ยนสถานศึกษาในลำดับถัดไป ซึ่งกองทุนฯ จะเปิดให้ยื่นแบบคำขอกู้ยืมตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน-31 กรกฎาคม 2556

ทั้งนี้ กองทุนฯ ขอให้นักเรียน นักศึกษาดำเนินการด้วยตนเองและคอยติดตามประกาศของทางสถานศึกษาที่ตนเรียนอยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถกู้ยืมได้ภายในกำหนดเวลาของกองทุนฯ ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดกำหนดการและขอบเขตการกู้ยืมประจำปีการศึกษา 2556 เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ กยศ. หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์สายใจ กยศ. โทร. 02-610 4888

ที่มา: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32762&Key=hotnews

คอลัมน์: สถานี ก.ค.ศ. : การได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นตามคุณวุฒิที่ได้รับเพิ่มขึ้นหรือสูงขึ้น

20 พฤษภาคม 2556

อุษณีย์ ธโนศวรรย์ ผอ.ภารกิจนโยบายและระบบตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษา

หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาได้นำเสนอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ปี พ.ศ.2556 ซึ่งมีทั้งเรื่องการ ตรวจสอบคุณวุฒิ เพื่อเตรียมสมัครสอบ และหลักสูตรการสอบแข่งขัน ในวันนี้ เห็นว่ามีข้อหารือจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กรณีบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค.(2) ไปศึกษาต่อ จะได้รับเงินเดือนเพิ่มตามคุณวุฒิที่ได้รับเพิ่มขึ้นหรือสูงขึ้นหรือไม่อย่างไร เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงนำมาเผยแพร่เป็นความรู้ ดังนี้
กรณีที่ 1 รับโอน นาย ก. มาดำรงตำแหน่งนักวิชาการศึกษา ระดับปฏิบัติการ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 โดยนาย ก. ได้รับปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มาตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 ถามว่าจะสามารถปรับเงินเดือนให้สูงขึ้นตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ด่วนที่สุด ที่ นร 1008.1/ว3 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2555 ได้หรือไม่

ตอบ สามารถปรับเงินเดือน นาย ก. ให้สูงขึ้นตามคุณวุฒิที่ได้รับเพิ่มขึ้นหรือสูงขึ้นได้ เพราะนาย ก.ได้ดำรงตำแหน่งและใช้คุณวุฒิปริญญาตรีมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ซึ่งเป็นไปตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ด่วนที่สุด ที่ ศธ 0206.5/ว4 ลงวันที่ 27 มีนาคม 2552 ซึ่งกำหนดให้นำกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินเดือน พ.ศ.2551 ข้อ 2 (3) (ข) ซึ่งกำหนดไว้ว่า “ผู้ได้รับปริญญาโทเพิ่มขึ้นหรือสูงขึ้นจากปริญญาตรี จะต้องดำรงตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้งโดยใช้วุฒิปริญญาตรีมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี โดยต้องเป็นวุฒิที่ตรงตามมาตรฐานตำแหน่งของสายงาน ประเภทและระดับตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้ง”

กรณีที่ 2 น.ส. ท. ตำแหน่งนักจัดการงานทั่วไป ระดับปฏิบัติการ เคยดำรงตำแหน่งประเภททั่วไปและสอบเลื่อนตำแหน่งเป็นประเภทวิชาการ มีคุณวุฒิปริญญาตรี ต่อเนื่องจากวุฒิเดิม ปวส. จะอยู่ในประเภทที่จะได้รับการปรับอัตราเงินเดือนตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ด่วนที่สุด ที่ นร 1008.1/ว3 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2555 หรือไม่

ตอบ กรณีนี้ น.ส. ท. ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประเภททั่วไป หรือเคยดำรงตำแหน่งในสายงานที่บรรจุจากผู้มีคุณวุฒิต่ำกว่าระดับปริญญา (สายงานที่เริ่มต้นจากระดับ 1 หรือ ระดับ 2) สามารถปรับอัตราเงินเดือนเพิ่มขึ้นตามคุณวุฒิที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ.กำหนด ข้อ 2.6 ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ดังกล่าวข้างต้นได้

หวังว่าวันนี้บุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค.(2) และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องคงจะได้รับความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการปรับอัตราเงินเดือนตามกรณีตัวอย่างที่นำมาเสนอในวันนี้ได้อย่างถูกต้องตรงกันนะคะ แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า

–มติชน ฉบับวันที่ 20 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32761&Key=hotnews

 

สอบ ‘ครูผู้ช่วย’ ฉาวพ่นพิษ ชงเสริมศักดิ์ฟัน 4 บิ๊กสพฐ.

20 พฤษภาคม 2556

2 เขตพื้นที่ฯยังยื้อเพิกถอนบรรจุครูผู้ช่วย ตั้ง กก. สอบข้อเท็จจริงเพิ่ม อ้าง’ดีเอสไอ’ยังไม่ฟันธง แค่ ชี้ส่อไปในทางไม่สุจริต

จากกรณีที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ซึ่งมีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธาน ได้มีมติให้แจ้งไปยังคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษา 119 เขต และผู้อำนวยการโรงเรียน ให้พิจารณาเพิกถอนการบรรจุแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการครู ในตำแหน่งครูผู้ช่วย ในการสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการครู ในตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีมีความจำเป็น หรือเหตุพิเศษ ว12 ในครั้งที่ผ่านมา จำนวน 334 ราย ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ทำหนังสือแจ้งมายัง ก.ค.ศ.และ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ 119 เขต เนื่องจากเห็นว่าบุคคลเหล่านี้กระทำการเข้าข่ายทุจริตในการสอบ ทำข้อสอบผิดในข้อเดียวกัน และมีคะแนนสอบที่สูงผิดปกติ อีกทั้งยังได้แนบเอกสารคำให้การของนายพิษณุ ตุลสุข หัวหน้าผู้ตรวจราชการ ศธ. ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดของ ศธ. ซึ่งได้มีการสรุปเสนอให้ดำเนินการทางวินัยร้ายแรงกับผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) รวม 3 ราย เพราะมีมูลสงสัยว่าเป็นผู้ร่วมกระทำผิดวินัย กรณีละเลยหรือจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งประกอบด้วยนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) นายอนันต์ ระงับทุกข์ รองเลขาธิการ กพฐ. และนายไกร เกษทัน ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติกร สพฐ.นั้น

เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ. ในฐานะประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงการทุจริตสอบครูผู้ช่วย เปิดเผยว่า คณะกรรมการชุดที่ตนเป็นประธานได้ประชุมนัดสุดท้ายเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีข้อสรุปให้ตั้งคณะกรรมการสอบ วินัยร้ายแรงผู้บริหาร ศธ. โดยได้เสนอผลสรุปให้นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ. รับทราบแล้ว จากนี้ต้องรอว่านายว่าการ ศธ. รับทราบแล้ว จากนี้ต้องรอว่านายเสริมศักดิ์จะดำเนินการตามข้อเสนอของคณะกรรมการ หรือจะสั่งให้สอบสวนประเด็นใดเพิ่มเติมอีกหรือไม่

แหล่งข่าวระดับสูงใน ศธ.กล่าวว่า ผลสรุปการสอบสวนของคณะกรรมการชุดที่นางพนิตา เป็นประธาน ได้เสนอให้ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงผู้บริหารระดับสูงของ สพฐ. จำนวน 4 คน ประกอบด้วย นายชินภัทร นายอนันต์ นายไกร และนายสุเทพ ชิตยวงษ์ อดีตผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพิ่งมีมติแต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจราชการ ศธ. เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทำให้ราชการเสียหายร้ายแรง อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการชุดนี้ยังไม่สามารถสรุปหรือชี้ชัดได้ว่า ผู้บริหาร สพฐ.ทั้ง 4 คน เกี่ยวข้องกับการทุจริตสอบครูผู้ช่วย โดยเสนอว่าหากจะให้ชี้ชัดจะต้องมีการสอบสวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอีก

นายเสริมศักดิ์ กล่าวว่า ได้รับผลสรุปจากคณะกรรมการสืบสวนฯชุดของนางพนิตาแล้ว แต่ยังไม่ได้ดูรายละเอียด คาดว่าในวันที่ 19 พฤษภาคมนี้ จะสามารถบอกได้ว่าแนวทางดำเนินการต่อไปจะเป็นไปในทิศทางใด แต่หากใครที่มีหลักฐานชี้ว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จริงก็ต้องดำเนินการตามที่คณะกรรมการสืบสวนฯเสนอมา แต่ถ้าใครที่ความผิดยังไม่ชัดเจนก็ต้องสอบสวนเพิ่มเติม

นายศักดิ์สิทธิ์ ถิรทัฬหกุล ประธาน อ.ก.ค.ศ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) ขอนแก่น เขต 3 กล่าวว่า ได้รับหนังสือจากดีเอสไอแล้ว ซึ่งส่อว่าทุจริต จำนวน 2 รายชื่อ โดยปรากฏว่ารายชื่อแรกได้รับการบรรจุไปแล้วในลำดับที่ 2 ส่วนอีกรายชื่อยังไม่ได้รับการบรรจุ ซึ่งน่าประหลาดใจว่าผู้ที่สอบได้คะแนนสูงสุดลำดับที่ 1 ที่ได้รับการบรรจุไปแล้ว กลับไม่มีอยู่ในรายชื่อของดีเอสไอ
นายศักดิ์สิทธิ์กล่าวต่อว่า ในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ จะประชุม อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯโดยจะนำเอกสารที่ได้รับจากดีเอสไอมาประกอบการพิจารณา พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยระหว่างการตรวจสอบจะรอหนังสือแจ้งมติจาก ก.ค.ศ.ดังกล่าวด้วย ซึ่งยังตอบไม่ได้ว่าผลการพิจารณาของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ จะออกมาอย่างไร เพราะในหนังสือที่ได้รับจากดีเอสไอไม่ได้ระบุว่าให้ “ยกเลิก” ซึ่งโดยหลักการก็ยกเลิกไม่ได้อยู่แล้ว เพราะกระบวนการสอบคัดเลือกผ่านไปแล้ว ส่วน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯจะสามารถออกคำสั่งให้ผู้อำนวยการโรงเรียนสั่งให้ผู้ได้รับการบรรจุออกจากราชการได้หรือไม่นั้น ตนไม่สามารถคาดเดาคำตัดสินของที่ประชุม อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ได้ เนื่องจากดีเอสไอไม่ได้ฟันธงความผิด บอกแค่ว่าเป็นผู้ที่กระทำไปในทางส่อไม่สุจริต ซึ่งคำว่า “ส่อไปในทางไม่สุจริต” อาจจะแปลความว่าสุจริตหรือทุจริตก็ได้

นายโกวิท เพลินจิตร ผู้อำนวยการ สพป.อุบลราชธานี เขต 2 กล่าวว่า ได้รับหนังสือจากดีเอสไอแล้ว โดยแจ้ง 1 รายชื่อว่าส่อในทางไม่สุจริต และในหนังสือไม่ได้ระบุให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯยกเลิกการบรรจุ แต่ระบุว่ามีมูลความผิด ให้เขตพื้นที่ฯดำเนินการตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และว่าดีเอสไอกำลังสืบค้นข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติม ก็แสดงว่ายังไม่ได้ข้อยุติ ดังนั้น อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ ส่วนที่ ก.ค.ศ.มีมติแจ้งให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯดำเนินการเพิกถอนการบรรจุตามที่ดีเอสไอมีหนังสือแจ้งถึงนั้น ขณะนี้ยังไม่มีหนังสือแจ้งมติดังกล่าวมา

“จริงๆ แล้ว ที่ สพป.อุบลราชธานี เขต 2 มีผู้สอบบรรจุครูผู้ช่วยที่มีคะแนนสูงผิดปกติ 2 ราย แต่ดีเอสไอแจ้งมาแค่ 1 ราย ดังนั้น ในวันที่ 20 พฤษภาคมนี้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯจะตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริง และประมวลภาพรวม ทั้งนี้ ยอมรับว่าโดยภาพรวมมีการทุจริตสอบครูผู้ช่วยจริง แต่เอกสารหลักฐานที่จะเอาผิดยังไม่เพียงพอ อีกทั้งผู้ถูกเพิกถอน การบรรจุอาจฟ้องศาลปกครอง หรือศาลอาญาได้ จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ซึ่งถ้าจะให้สบายใจจริงๆ ก.ค.ศ.ควรฟันธงมาเลยว่า ใครกระทำความผิด และสั่งให้เพิกถอนมาเลย ไม่ใช่แค่ให้เป็นข้อมูลมาประกอบการพิจารณา” นายโกวิทกล่าว

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยถึงความคืบหน้าทางคดีการทุจริตสอบครูผู้ช่วยว่า ดีเอสไอกำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับขบวนการทุจริต ส่วนผู้สอบครูผู้ช่วยได้คะแนนสูงผิดปกติ 344 ราย ที่ดีเอสไอได้มีหนังสือแจ้งไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 119 เขต ให้ดำเนินการปลดออกจากตำแหน่งครูผู้ช่วย ดีเอสไอกำลังรอการติดต่อจากบุคคลกลุ่มดังกล่าวอยู่ และเตรียมเรียกทุกคนมาให้การกับพนักงานสอบสวน โดยจะเรียกรายชื่อกลุ่มเขตพื้นที่ฯใน จ.นครราชสีมา มาสอบปากคำเป็นลำดับแรก เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่พนักงานสอบสวนมีพยานเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่พนักงานสอบสวนมีพยานเอกสารหลักฐานที่ชัดเจนว่า มีการซื้อขายเฉลยคำตอบในการสอบครูผู้ช่วยจากบุคคลใด อีกทั้งใน สพป.พื้นที่ จ.นครราชสีมา มีบุคคลที่เข้าข่ายทุจริตถึง 48 คน

ทั้งนี้ สำหรับหนังสือที่ดีเอสไอส่งไปยังสำนักงานเขตพื้นที่ฯ 119 เขต ให้ดำเนินการปลดออกจากตำแหน่งครูผู้ช่วย รวมจำนวน 344 รายดังกล่าวนั้น ประกอบด้วย สพป.กาญจนบุรี เขต 1 จำนวน 1 ราย, สพป.กาฬสินธุ์ เขต 1,2 และ 3 จำนวน 4 ราย, สพป.กำแพงเพชร เขต 1 และ 2 จำนวน 4 ราย, สพป.ขอนแก่น เขต 1,2,3,4 และ 5 จำนวน 7 ราย, สพป.จันทบุรี เขต 2 จำนวน 3 ราย, สพป.ฉะเชิงเทรา เขต 2 จำนวน 2 ราย, สพป.ชลบุรี เขต 1 และ 2 จำนวน 2 ราย, สพป.ชัยนาท 5 ราย, สพป.ชัยภูมิ เขต 1,2 และ 3 จำนวน 15 ราย, สพป.เชียงใหม่ เขต 5 จำนวน 8 ราย, สพป.ตรัง เขต 2 จำนวน 2 ราย, สพป.ตาก เขต 2 จำนวน 1 ราย

สพป.นครปฐม เขต 1 จำนวน 3 ราย, สพป.นครพนม เขต 1 และ 2 จำนวน 5 ราย, สพป.นครราชสีมา เขต 1,2,3,4,5,6 และ 7 จำนวน 48 คน, สพป.นครศรีธรรมราช เขต 4 จำนวน 1 ราย, สพป.นครสวรรค์ เขต 1 จำนวน 3 ราย, สพป.นราธิวาส เขต 2 และ 3 จำนวน 3 ราย, สพป.น่าน เขต 1 และ 2 จำนวน 8 ราย, สพป.บึงกาฬ เขต 1 จำนวน 9 ราย, สพป.บุรีรัมย์ เขต 1,3 และ 4 จำนวน 8 ราย, สพป.ปทุมธานี เขต 1 และ 2 จำนวน 4 ราย, สพป.ปราจีนบุรี เขต 1 จำนวน 1 ราย, สพป.ปัตตานี เขต 1 จำนวน 1 ราย, สพป.พะเยา เขต 1 จำนวน 1 ราย, สพป.พัทลุง เขต 2 จำนวน 1 ราย, สพป.พิจิตร เขต 2 จำนวน 2 ราย, สพป.พิษณุโลก เขต 2 และ 3 จำนวน 5 ราย, สพป.เพชรบุรี เขต 2 จำนวน 1 ราย, สพป.เพชรบูรณ์ เขต 1 และ 3 จำนวน 6 ราย, สพป.แพร่ เขต 1 และ 2 จำนวน 2 ราย, สพป.มหาสารคาม เขต 1 จำนวน 2 ราย, สพป.มุกดาหาร เขต 1 จำนวน 6 ราย
สพป.แม่ฮ่องสอน เขต 2 จำนวน 1 ราย สพป.ยโสธร เขต 2 จำนวน 2 ราย, สพป.ร้อยเอ็ด เขต 1 และ 2 จำนวน 2 ราย, สพป.ระยอง เขต 1 และ 2 จำนวน 5 ราย, สพป.ราชบุรี เขต 1 จำนวน 1 ราย, สพป.ลพบุรี เขต 1 จำนวน 3 ราย, สพป.เลย เขต 1,2 และ 3 จำนวน 18 ราย, สพป.ศรีสะเกษ เขต 1,2 และ 4 จำนวน 7 ราย, สพป.สกลนคร เขต 1,2 และ 3 จำนวน 16 ราย, สพป.สงขลา เขต 2 จำนวน 2 ราย, สพป.สตูล 1 ราย, สงขลา เขต 2 จำนวน 2 ราย, สพป.สตูล 1 ราย, สพป.สระบุรี เขต 1 และ 2 จำนวน 7 ราย, สพป.สิงห์บุรี 2 ราย, สพป.สุรินทร์ เขต 1,2 และ 3 จำนวน 22 ราย, สพป.หนองคาย เขต 2 จำนวน 1 ราย, สพป.หนองบัวลำภู เขต 1 จำนวน 2 ราย, สพป.อำนาจเจริญ 4 ราย, สพป.อุดรธานี เขต 1,2,3 และ 4 จำนวน 9 ราย, สพป.อุทัยธานี เขต 2 จำนวน 4 ราย สพป.อุบลราชธานี 1,2,3 และ 4 จำนวน 10 ราย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) เขต 2 (กรุงเทพมหานคร) 1 ราย, สพม.เขต 4 (ปทุมธานี-สระบุรี) 2 ราย, สพม.เขต 6 (ฉะเชิงเทรา-สมุทรปราการ) 1 ราย, สพม.เขต 7 (ปราจีนบุรี-นครนายก-สระแก้ว) 1 ราย
สพม.เขต 9 (สุพรรณบุรี-นครปฐม) 1 ราย, สพม.เขต 10 (เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์สมุทรสงคราม-สมุทรสาคร) 1 ราย, สพม.เขต 18 (ชลบุรี-ระยอง) 2 ราย, สพม.เขต 19 (เลยหนองบัวลำภู) 7 ราย, สพม.เขต 20 (อุดรธานี) 2 ราย, สพม.เขต 21 (หนองคาย) 3 ราย, สพม.เขต 24 (กาฬสินธุ์) 4 ราย, สพม.เขต 25 (ขอนแก่น) 2 ราย, สพม.เขต 27 (ร้อยเอ็ด) 1 ราย, สพม.เขต 29 (อุบลราชธานี-อำนาจเจริญ) 3 ราย, สพม.เขต 30 (ชัยภูมิ) 2 ราย, สพม.เขต 31 (นครราชสีมา) 3 ราย, สพม.เขต 33 (สุรินทร์) 4 ราย, สพม.เขต 40 (เพชรบูรณ์) 3 ราย, สพม.เขต 41 (กำแพงเพชร-พิจิตร) 1 ราย, สพม.เขต 42 (นครสวรรค์-อุทัยธานี) 1 ราย และสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 1 ราย

— มติชน ฉบับวันที่ 20 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย) —

! http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32760&Key=hotnews

ยุบหรือไม่ยุบ ‘ร.ร.เล็ก’ เรื่องจริงไม่อิง ‘ดราม่า’

20 พฤษภาคม 2556

นโยบายยุบโรงเรียนขนาดเล็กของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ทำมาอย่างยาวนานหลายรัฐบาล ตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป โดยมีปัจจัยสำคัญที่เด็กน้อยลง การคมนาคมที่สะดวก ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองมีทางเลือกมากขึ้น

ในแง่หนึ่งกลายเป็นปม ‘ดราม่า’ ปลุกเร้าอารมณ์ผู้ที่ไม่เข้าใจสภาพความจริง
แล้วความจริงคืออย่างไร ก็ต้องตามไปฟังเรื่องราวจากโรงเรียนเล็กตัวเป็นๆ ที่มีลักษณะแตกต่าง มีปัญหาแตกต่างหลากหลาย

“มติชน” ได้ไปสำรวจและสอบถามผู้อำนวยการโรงเรียนและบรรดาผู้นำชุมชน ที่มีแนวโน้มว่าโรงเรียนในชุมชนจะถูกปิดและการปรับตัวของโรงเรียนตามนโยบายนี้ ถือเป็นเสียงที่สะท้อนความรู้สึกและอารมณ์ของผู้ที่เกี่ยวข้อง

สงกรานต์ สุปินะเจริญ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านดอนไชย ต.เชียงแรง อ.ภูซาง จ.พะเยา กล่าวว่า ทันทีที่มีข่าวว่าโรงเรียนแห่งนี้จะต้องถูกยุบ ก็สร้างผลกระทบต่อจิตใจของผู้ปกครองและนักเรียนเป็นอย่างมาก เนื่องจากทางชุมชนผูกพันกับโรงเรียนมานานกว่า 30 ปีแล้ว ผู้ปกครองคณะกรรมการสถานศึกษา และผู้นำต่างแสดงจุดยืนเดียวกันอย่างหนักแน่นว่าไม่ต้องการให้ยุบรวม เพราะว่าอุปกรณ์และอาคารเรียนของโรงเรียนแห่งนี้มีความพร้อมทุกอย่าง

เหตุผลที่ไม่ต้องการให้ยุบรวม เนื่องจากเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของนักเรียนที่ต้องเดินทางไปเรียนไกลขึ้น ผู้ปกครองต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น การเดินทางไป-กลับระหว่างบ้านกับโรงเรียนของนักเรียนลำบากขึ้น แม้ว่าจะมีการจัดรถให้บริการรับ-ส่งก็ตาม เพราะทางโรงเรียนได้มีการสอบถามโรงเรียนพื้นที่ต่างอำเภอที่มีการยุบรวมมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่สะดวกและมีปัญหาปลีกย่อยตามมามากมาย ที่สำคัญผู้ปกครองเป็นห่วงลูกเพราะต้องไปโรงเรียนแห่งใหม่ ต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อม

ขณะที่ อนนท์ กันทะเนตร ผู้ใหญ่บ้านดอนไชย หมู่ 10 ต.เชียงแรง อ.ภูซาง จ.พะเยา มองว่า โรงเรียนแห่งนี้รองรับนักเรียนที่เป็นลูกหลานของประชาชนจาก 3 หมู่บ้าน คือ หมู่ 7, 9 และ 10 มานานกว่า 30 ปี ที่ตั้งโรงเรียนชาวบ้านในสมัยก่อนได้ร่วมบริจาคให้ ทุกปีจะมีการจัดผ้าป่าสามัคคีของโรงเรียนเพื่อระดมทุนมาสร้างอาคารและต่อเติมสถานที่จำเป็น ทำให้เกิดความผูกพันระหว่างคนในชุมชนกับโรงเรียนแห่งนี้จนไม่อาจจะให้มีการยุบรวมได้ ชาวดอนไชยต้องสู้เพื่อไม่ให้โรงเรียนแห่งนี้ถูกยุบรวมอย่างเด็ดขาด

ด้าน พจน์ เจริญสันเทียะ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 (ผอ.สพป.นม. 5) บอกว่า การปล่อยให้แต่ละโรงเรียนบริหารจัดการกันเอง นำนักเรียนต่างชั้นเรียน มาเรียนร่วมแบบควบชั้นเรียน เช่น ประถมศึกษา 1-2-3 หรือ ประถมศึกษา 4-5-6 บรรยากาศการเรียนการสอนไม่เอื้ออำนวย ทั้งสติปัญญา วุฒิภาวะ การรับรู้ของเด็กแตกต่างกันชัดเจน ครูผู้สอนรับผิดชอบไม่ตรงตามวิชาที่ถนัด ไม่มีแรงจูงใจ เสมือนลมเพลมพัด ปฏิบัติหน้าที่สอนไปวันๆ ทำให้ผลคะแนนสอบโอเน็ตต่ำกว่าเกณฑ์ สะท้อนความจริงออกมาให้ผู้ปกครองไม่เชื่อมั่นจึงส่งบุตรหลานไปเรียนที่อื่นแทน

หากใช้แนวทางยุบรวมจะสร้างปมขัดแย้งกับท้องถิ่น เพราะโรงเรียนเปิดการสอนมาคู่กับการตั้งหมู่บ้านหรือตำบล ซึ่งมีอายุมากกว่า 60 ปี บรรดาผู้นำชุมชนหรือผู้บริหารท้องถิ่นที่เป็นศิษย์เก่าอ้างถึงความผูกพันและสำนึกบุญคุณ ในแต่ละปีได้ร่วมจัดกิจกรรมหารายได้ให้กับโรงเรียนเหล่านี้ ซึ่งมีตัวอย่าง โรงเรียนบ้านหนองกราด หมู่ 9 ต.สำโรง อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา ล่าสุดเหลือนักเรียนเพียง 3 คน ข้อมูลตามที่ทราบน่าจะเป็นสถานศึกษาที่มีจำนวนนักเรียนน้อยที่สุดในประเทศไทยที่ยังเปิดการเรียนการสอนอยู่ ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินโดยใช่เหตุ รวมเงินเดือนผู้อำนวยการ พร้อมครูผู้สอน 2 คน และนักการภารโรง รวมทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ เฉลี่ยเดือนละ 1.5 แสนบาท ชาวบ้านไม่ยอมให้ยุบ

“บทสรุปในการพูดคุยกับทุกภาคส่วน ซึ่งมีผู้บริหารสถานศึกษาในละแวกใกล้เคียง กรรมการสถานศึกษา และตัวแทนท้องถิ่น สพป.นม.5 จะดำเนินโครงการ “4 เกลอ โมเดล” เป็นกระบวนการเรียน และจัดกิจกรรมทางสังคมร่วมของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก 4 แห่ง ที่มีจำนวนนักเรียนต่ำกว่า 60 คน คือ ร.ร.บ้านหนองกราด, ร.ร.บ้านท่าทราย, ร.ร.ศรีชลสิทธิ์ และ ร.ร.บ้านหนองประดู่ ซึ่งตั้งอยู่ในละแวกท้องถิ่นเดียวกัน และมีรัศมีห่างกันไม่เกิน 5 กิโลเมตร จัดตารางสอนเกลี่ยครูผู้สอนตามความถนัด รับผิดชอบสอนนักเรียนตรงชั้นปี ซึ่งจะไม่เกิดความเหลื่อมล้ำ กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี การแข่งขันกีฬาสีภายใน และการทัศนศึกษานอกสถานที่ จัดพร้อมกันทั้ง 4 โรงเรียน สามารถประหยัดงบประมาณ และได้ผลสัมฤทธิ์ตรงตามเป้าหมาย”

เช่นเดียวกับ สุพจน์ เจียมใจ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 บอกว่า ขณะนี้มีเพียงโรงเรียนบ้านเขากระโดง ต.เสม็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ที่มีนักเรียนอยู่ 31 คน ครู 2 คน เพียงแห่งเดียวที่ได้มีการเคลื่อนย้ายนักเรียนเข้าไปเรียนรวมกับโรงเรียนอื่นที่มีความพร้อมด้านการเรียนการสอนมากกว่า พร้อมทั้งได้มีการจัดรถให้บริการรับส่งนักเรียน เพื่ออำนวยความสะดวกและแบ่งเบาภาระให้กับผู้ปกครองกลุ่มดังกล่าวด้วย

“การยุบโรงเรียนแต่ละแห่งมีกระแสต่อต้านจากชาวบ้านและผู้ปกครอง เพราะส่วนใหญ่ต่างอยากให้มีโรงเรียนให้บุตรหลานเรียนใกล้บ้าน ถือเป็นการแบ่งเบาภาระในการรับส่งบุตรหลานและยังอยู่ใกล้สามารถดูแลบุตรหลานได้อย่างใกล้ชิด และประชาชนส่วนใหญ่ต่างผูกพันกับโรงเรียนใกล้บ้านจึงไม่ต้องการให้มีการยุบโรงเรียน”

อีกด้านหนึ่ง โรงเรียนอดุลศาสนกิจศึกษา ต.บางเดชะ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาของ จ.ปราจีนบุรี ที่มีเพียง 1 โรงเรียน มีนักเรียนน้อยที่สุด นักเรียนรวม 24 คน ครู 11 คน ภารโรง 2 คน และเปิดเทอมมีนักเรียน ม.1 เข้าเรียนแค่เพียง 1 คน

คนึง โฉมงาม รักษาราชการแทนผู้อำนวยการโรงเรียนอดุลศาสนกิจศึกษา มองว่า นักเรียนส่วนใหญ่จะเป็นเด็กสภาพครอบครัวมีปัญหา ครอบครัวแตกแยก ถูกทิ้งเป็นภาระปู่ย่าตายาย ไม่สามารถสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดได้และยากจน เคยถามเหตุผลที่เด็กไม่ยอมไปเรียนรวมกับนักเรียนโรงเรียนประจำจังหวัดเนื่องจากความแตกต่างด้านสติปัญญาในการรับรู้ที่เด็กเพราะคัดเกรดเด็กเรียนดีทั้งหมดเข้าเรียน

“การสอนใช้ระบบให้นักเรียนเดินเรียน โดย ม.1 ถึง ม.6 จำนวนครูครบเพียงพอ โดยครู 1 คน จะสอนรวม 2 วิชาในวิชาหลักและเพิ่มเติม ส่วนนักเรียนทั้ง 24 คน นั้นไม่เป็นอุปสรรคเมื่อถึงชั่วโมงเรียนนักเรียนจะไปหาครูตามห้องต่างๆ ที่สะดวกไม่จำเป็นต้องเป็นห้องเรียน ครูสามารถสอนได้ทั่วถึงชนิดตัวต่อตัว พร้อมๆ กันนี้ได้จัดบทเรียนโปรแกรมให้นักเรียนพึ่งตนเอง รวมถึงค้นคว้าจากสื่ออินเตอร์เน็ต-คอมพิวเตอร์โดยสะดวกชนิด 1 คนต่อ 1 เครื่อง เนื่องจากคนน้อยทำการบูรณาการการเรียนการสอนได้ดีทั่วถึง เด็กสามารถเรียนผ่านตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ ทั้งนี้ทุกการเรียนการสอนในแต่ละวิชาเน้นตามหลักสูตรการศึกษาแห่งชาติให้เด็กเก่ง เด็กดีเรียนอย่างมีความสุข”
ถือเป็นเสียงสะท้อนของความจริงจากพื้นที่ เพื่อปรับเปลี่ยนนโยบายที่สอดคล้องในแต่ละพื้นที่

–มติชน ฉบับวันที่ 20 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32759&Key=hotnews

สอศ.งัด7มาตรการแก้อาชีวะตีกัน คุมเข้มปวช.1-เพิ่มสัดส่วนเรียนอาชีพ-ขู่ลงโทษ

20 พฤษภาคม 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เปิดเผยว่า หลังจากสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ได้เชิญตัวแทนนักเรียน นักศึกษา ผู้ปกครอง ผู้บริหาร ครู ผู้นำชุมชน พระ ทหาร ตำรวจ กรมควบคุมประพฤติ กรมพินิจฯ กรมสุขภาพจิต และสื่อมวลชน มาร่วมกันระดมความคิด เพื่อหาหนทางแก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาทของนักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษา ให้เกิดเป็นรูปธรรม ก่อนจัดทำเป็นแผนยุทธศาสตร์เชิงรุกและวิธีการแก้ปัญหาเพื่อนำไปปฏิบัติ ตั้งแต่วันที่ 29 เม.ย.ที่ผ่านมา ขณะนี้ สอศ.ได้นำข้อสรุปของทุกภาคส่วนมาจัดทำเป็นแผนยุทธศาสตร์ โดยใช้ชื่อว่า “มาตรการป้องกันและแก้ปัญหาการทะเลาะวิวาทของนักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษา” พร้อมทั้งทำหนังสือเวียนให้วิทยาลัยสังกัด สอศ.ได้นำไปปฏิบัติแล้ว โดยหนังสือฉบับดังกล่าวได้กำหนดมาตรการเชิงรุก 7 ข้อ มาตรการต่อเนื่อง 5 ข้อ มาตรการทางสังคม 1 ข้อ มาตรการทางกฎหมาย 2 ข้อ ตลอดจนจุดเสี่ยงทั้ง 11 จุด และรถโดยสารที่เป็นสายที่เสี่ยง 23 สาย

เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อว่า สำหรับมาตรการเชิงรุก อาทิ ควบคุม ดูแล เฝ้าระวังนักเรียนระดับ ปวช.ปีที่ 1 ในช่วงเปิดภาคเรียนอย่างใกล้ชิด โดยไม่ให้รุ่นพี่เข้ามาครอบงำในทางที่ผิดทั้งในสถานศึกษาหรือระหว่างเดินทาง ตลอดจนคัดกรองและแก้ปัญหานักเรียน นักศึกษา เป็นรายบุคคลร่วมกับผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด โดยให้สถานศึกษาประชุมครูที่ปรึกษาทุกสาขาวิชาทุกสัปดาห์ เป็นต้น มาตรการต่อเนื่อง คือ ปรับแผนการเรียนให้สัดส่วนการเรียนสายวิชาชีพมากขึ้น เพื่อให้เด็กมองเห็นอนาคตของการเรียนสายวิชาชีพ โดยร่วมมือกับสถานประกอบการในการฝึกงาน และมีรายได้ระหว่างเรียน ส่วนมาตรการทางกฎหมาย อาทิ การลงโทษนักเรียนนักศึกษาที่กระทำความผิดให้อยู่ในดุลพินิจของสถานศึกษาในการให้ออก และจัดหาสถานที่เรียนให้ใหม่ เพื่อเปลี่ยนสภาพแวดล้อมและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมร่วมกับกระทรวงยุติธรรม และกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 20 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32758&Key=hotnews

สช.ส่งเสริมเรียนอาชีพใต้

20 พฤษภาคม 2556

นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (เลขาธิการ สช.) กล่าวว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ส่งเสริมให้ครูมีวุฒิทางการศึกษาที่ถูกต้อง เช่น เปิดอบรมประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู หรือ ป.บัณฑิต ให้กับครูปอเนาะ ครูสอนศาสนาอิสลามเพิ่มมากขึ้น เพื่อจะได้เข้าคุณสมบัติตามพ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน ที่สำคัญคือในปอเนาะ สช.จะส่งเสริมการเรียนวิชาชีพมากขึ้น เมื่อนักเรียนศึกษาจบแล้วก็จะนำความรู้ไปประกอบอาชีพได้ ซึ่งต้องทำให้ควบคู่กันทั้งศาสนาและอาชีพ เมื่อจบแล้วมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และจะพัฒนาโรงเรียนปอเนาะต้นแบบด้วย โรงเรียนไหนที่ถูกสุขลักษณะจัดการเรียนการสอนดีจะคัดเลือกให้ได้รับรางวัลทุกปี

เลขาธิการ กช. กล่าวต่อว่า ส่วนหลักสูตรจะมีมาตรฐานกลางร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ จุฬาราชมนตรี ศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.กปต.) ที่ร่วมกันพัฒนาหลักสูตรให้ถูกต้องตามหลักศาสนา ที่สำคัญยังน้อมนำกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา สช.ยังเร่งรัดการสอนภาษาไทยให้เรียนรู้มากขึ้น รวมทั้งให้มีภาษามลายู ภาษายาวี และประเมินผลทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ ด้านอิสลามศึกษา หรือ ไอเน็ต ร่วมกับสทศ.เพื่อให้ได้มาตรฐานมากขึ้น

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 20 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32757&Key=hotnews

ชวนคุยเหตุผลการยุบโรงเรียนกับกระทรวง

ชัยอนันต์ สมุทวณิช ชวนคิดเรื่องยุบกระทรวงศึกษาธิการ

ชัยอนันต์ สมุทวณิช กับ sife
ชัยอนันต์ สมุทวณิช กับ sife

มีข่าวว่ากระทรวงศึกษาธิการจะยุบโรงเรียนขนาดเล็กคือ โรงเรียนที่มีนักเรียนประมาณ 60 คน เมื่อข่าวออกมาก็มีผู้ปกครองออกมาคัดค้านมากมาย

เรื่องขนาดของโรงเรียนนี้มีข้อถกเถียงกันอยู่เป็นประจำ บ้างก็ว่าโรงเรียนควรมีนักเรียนประมาณ 850 คน แต่มีโรงเรียนจำนวนหนึ่งที่มีนักเรียน 2,000-5,000 คน โรงเรียนเหล่านี้เป็นที่นิยมของผู้ปกครอง

ในประเทศอังกฤษมีโรงเรียนเด็กประจำ นักเรียนไม่กี่สิบคนเป็นโรงเรียนเตรียมเด็กเข้าโรงเรียนกินนอนที่เรียกว่า Public School ต่อไป เขาคิดว่าโรงเรียนยิ่งมีนักเรียนน้อยก็ยิ่งดี เพราะครูสามารถเอาใจใส่เด็กเป็นรายบุคคลได้

ผมเองเคยอยู่โรงเรียนขนาดเล็กมีเด็กอยู่ 12 คน หนึ่งในนั้นคือ จักรพันธุ์ โปษยกฤต คือโรงเรียนบ้านครูเนี้ยน เวลานั้นยังไม่มีชื่อ ต่อมาเป็นโรงเรียนอักษรเจริญ

กระทรวงศึกษาฯ คิดแต่จะยุบเลิกโรงเรียนขนาดเล็ก แต่ไม่เคยคิดจะลดขนาดตัวเองลงบ้าง กระทรวงศึกษาธิการของไทยเป็นกระทรวงที่ใหญ่ที่สุดในโลก คนในกระทรวงศึกษาฯ ชอบคิดแต่จะหาทางเพิ่มตำแหน่งให้กับตนเอง เดี๋ยวก็รวม เดี๋ยวก็แยก อย่างเช่น สพฐ.ก็อยากแยกประถมกับมัธยม เป็นต้น

เรื่องการศึกษานี้ หากต้องการคุณภาพจริงๆ แล้วก็ต้องไปเน้นที่โรงเรียนเป็นสำคัญ เราเห็นโรงเรียนดีๆ เขามีการเรียนการสอนดีโดยที่กระทรวงศึกษาธิการไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง การจัดการที่เน้นโรงเรียนนี้ โรงเรียนต้องมีความพอเพียง มีงบประมาณและมีความอิสระพอที่จะจัดการตัวเอง มีโรงเรียนสังกัดท้องถิ่นหลายแห่งที่มีการจัดการตนเองที่ดี เช่น ที่เชียงราย และอุดรธานี เป็นต้น

แต่ครูส่วนใหญ่ก็ยังติดยึดอยู่กับการเป็นครูของกระทรวงศึกษาธิการอยู่ นัยว่ามีเกียรติภูมิดีกว่าการเป็นครูของท้องถิ่น เพราะคนเรียกว่า “ครูเทศบาล”

มีการวิจัยทางการศึกษาหลายชั้นสรุปว่า โรงเรียนดีเพราะมีครูใหญ่หรือผู้อำนวยการที่ดี หัวก้าวหน้านำสิ่งใหม่ๆ เข้ามาให้ครูและนักเรียนได้เรียนรู้ตลอดเวลา นอกจากนั้นก็ต้องมีครูที่ดี เรื่องครูที่ดีนี้เป็นเรื่องยากแต่จำเป็นต้องมีการพัฒนาครูอยู่เสมอ

แล้วกระทรวงศึกษาธิการทำอะไรนอกเหนือจากการควบคุม สิ่งแรกก็คือ มีหน้าที่กำหนดหลักสูตร แต่เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องมีกระทรวงก็ได้ เพราะนอกจากหลักสูตรจะทำนานๆ ทีแล้ว ก็ยังสามารถทำในรูปคณะกรรมการก็ได้ เมื่อจบเรื่องแล้วก็สลายตัวไป คณะกรรมการก็สามารถนำผู้มีความรู้ความชำนาญมาทำงานร่วมกันได้

  เรื่องที่สองที่กระทรวงทำก็คือ การดูแลการบริหารงานบุคคล ซึ่งก็สามารถทำในระดับโรงเรียนได้ และเป็นการเหมาะสมกว่าส่วนการโยกย้ายนั้น หากโรงเรียนส่วนใหญ่สังกัดท้องถิ่นแล้ว หากจะมีการย้ายก็เป็นการย้ายภายในจังหวัดเดียวกัน

เรื่องที่ส่วนกลางทำ และอยากทำต่อไปเรื่อยๆ ก็คือ การจัดจ้างจัดซื้อซึ่งเป็นบ่อเกิดของการทุจริต การจัดจ้างจัดซื้อสามารถทำที่โรงเรียน หรือทำเป็นกลุ่มโรงเรียนเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองได้

มีกิจกรรมอีกอย่างหนึ่งที่ส่วนกลางจัดทำอยู่ คือ การควบคุมคุณภาพ การควบคุมคุณภาพนี้ก็สามารถจะกระจายอำนาจมอบหมายให้เอกชนทำได้ โดยมีคณะกรรมการกลางคอยดูแล เวลานี้ภาคเอกชนก็เข้ามามีส่วนร่วมในระดับหนึ่งแล้ว

งานศึกษานิเทศก์ก็มีความสำคัญ แต่สามารถจัดตั้งเป็นกลุ่มๆ อยู่ตามภูมิภาคได้ ซึ่งจะเป็นการสะดวกกว่า นอกจากนั้นภาคเอกชน เช่น สำนักพิมพ์ก็ยังจัดอบรมสัมมนาครูอยู่บ่อยๆ

สรุปแล้วงานส่วนใหญ่ของกระทรวงศึกษาธิการ สามารถมีการจัดการใหม่ได้ และคนในส่วนกลางก็จะลดลงเหลือไม่กี่ร้อยคน

! http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000059840

! http://www.bangchak.co.th/th/news-detail.aspx?nid=412&AspxAutoDetectCookieSupport=1

อาจารย์-นักศึกษา ราชภัฏโคราชฮือแต่งดำประท้วง

ศูนย์ข่าวนครราชสีมา – อาจารย์-นศ. ม.ราชภัฏโคราชฮือแต่งดำประท้วง ค้านมติสภามหาวิทยาลัยฯ เลือกอธิการบดีคนใหม่ กก.สภาฯ 3 คน สุดทนยื่นลาออก พร้อมชูป้ายประณาม “สภาอัปยศ ไม่ฟังเสียงประชาคม” ชี้ทุกขั้นตอนผ่านการกลั่นกรองมาอย่างหนัก แต่สุดท้ายสภาฯ กลับเลือกเอาคนได้คะแนนแพ้รวดทุกยกเป็นอธิการฯ โดยไม่สนความเหมาะสมตามที่คนส่วนใหญ่เลือกมา

ค้านมติสภาเลือกอธิการ
ค้านมติสภาเลือกอธิการ

18 พ.ค.2556 ที่บริเวณด้านหน้าอาคารสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา กลุ่มคณาจารย์และนักศึกษา จำนวนกว่า 30 คน นำโดย ผศ.ธวัช ตราชู ประธานสภาคณาจารย์และข้าราชการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้รวมตัวกันแต่งชุดสีดำแสดงพลังคัดค้านมติสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ที่ได้ลงมติเลือก รศ.ดร.วิเชียร ฝอยพิกุล เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาคนใหม่ ในการประชุมเมื่อวานนี้ (17 พ.ค.2556)

พร้อมกันนี้ ผู้ชุมนุมได้ชูป้ายประท้วงข้อความต่างๆ เช่น “ไม่เอาวิเชียร” “มหาลัยจะอยู่อย่างไรถ้าสภาไม่ยอมรับฟังเสียงประชาคม” และ “สภาอัปยศไม่ฟังเสียงประชาคม” จากนั้น ผศ.ธวัช ตราชู กับพวกได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยฯ เพื่อคัดค้านการสรรหาอธิการบดีคนใหม่ โดยมี ผศ.คมกฤช ตรีสินธุรส รักษาการรองอธิการบดี เป็นตัวแทนรับหนังสือ พร้อมอ่านแถลงการณ์ ก่อนเดินขบวนไปรอบมหาวิทยาลัยฯ

ผศ.ธวัช ตราชู ประธานสภาคณาจารย์ และข้าราชการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมเปิดเผยว่า สภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้ดำเนินการสรรหาอธิการบดีแทนตำแหน่งที่ว่างลง เนื่องจากอธิการบดีคนปัจจุบัน ผศ.ดร.เศาวนิต เศาณานนท์ ครบวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี โดยสภามหาวิทยาลัยฯ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาอธิการบดีขึ้นมา จำนวน 9 คน ภายใต้ข้อบังคับของมหาวิทยาลัยฯ และ พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ.2547 ซึ่งในมาตรา 28 อธิการบดีนั้นจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งโดยคำแนะนำของสภามหาวิทยาลัย จากผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 29

ต่อมา คณะกรรมการสรรหาฯ ได้ดำเนินการให้หน่วยงานในมหาวิทยาลัย จำนวน 14 หน่วยงาน เสนอชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธิการบดี หน่วยงานละ 1 รายชื่อ ปรากฏว่ามีผู้ได้รับการเสนอชื่อจากหน่วยงานทั้งสิ้น 5 คน เรียงลำดับตามจำนวนหน่วยงาน คือ อันดับ 1 ผศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์ จำนวน 6 หน่วยงาน อันดับ 2 รศ.ดร.นภัทร์ น้อยน้ำ จำนวน 3 หน่วยงาน และอันดับ 3 รศ.ดร.วิเชียร ฝอยพิกุล จำนวน 2 หน่วยงาน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่ไม่ได้ถูกเสนอชื่อสมัครเข้ารับการสรรหาอีก 3 คน ร่วมเป็นผู้เข้ารับการสรรหาทั้งสิ้น 8 คน

จากนั้น คณะกรรมการสรรหาฯ ได้จัดให้มีการแสดงวิสัยทัศน์ต่อหน้าประชาคม มีการสัมภาษณ์ กลั่นกรอง พิจารณาคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ และให้คะแนนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อเลือกให้เหลือ 3 คน เพื่อนำเสนอต่อสภามหาวิทยาลัยฯ ปรากฏว่า ผศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์ มาเป็นอันดับ 1 ได้คะแนน 87.36 อันดับ 2 รศ.ดร.วิเชียร ฝอยพิกุล ได้คะแนน 77.41 และอันดับ 3 ดร.สุนทรี ศิริอังกูร ได้คะแนน 72.30

ล่าสุด เมื่อวานนี้ (17 พ.ค.2556) คณะกรรมการสรรหาฯ ได้นำรายชื่อทั้ง 3 คน ดังกล่าว เสนอต่อสภามหาวิทยาลัยฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2556 แต่ผลปรากฏว่า สภามหาวิทยาลัยฯ ได้ลงมติ 11 เสียง เลือก รศ.ดร.วิเชียร ฝอยพิกุล และ 9 เสียงเลือก ศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์ ทั้งที่ได้รับการเสนอชื่อจากหน่วยงานมหาวิทยาลัยมากที่สุดถึง 6 หน่วย ซึ่งแสดงถึงการยอมรับของบุคลากรในมหาวิทยาลัยมากกว่า รศ.ดร.วิเชียร ที่ได้รับการเสนอจากหน่วยงานเพียง 2 หน่วยงาน อยู่ในอันดับที่ 3

นอกจากนี้ คะแนนในส่วนของคณะกรรมการสรรหาฯ ยังได้มาเป็นอันดับ 1 จำนวน 87.36 มากกว่า รศ.ดร.วิเชียร ซึ่งได้มาเป็นอันดับ 2 จำนวน 77.41 อย่างเห็นได้ชัดเจน แต่สภามหาวิทยาลัยฯ กลับมีมติที่ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ.2547 มาตรา 28

ฉะนั้น วันนี้พวกเราในฐานะกรรมการสภามหาวิทยาลัย ประกอบด้วย ประธานสภาคณาจารย์และข้าราชการ ตัวแทนผู้บริหาร และผู้แทนคณาจารย์เห็นว่า มติของสภามหาวิทยาลัยฯ ดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่ได้คำนึงถึงบทบัญญัติใน พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยฯ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเสียงสะท้อนของประชาคมในมหาวิทยาลัย และไม่ได้รักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมองค์กรที่ยึดถือกันมาโดยตลอดอย่างยาวนาน จึงขอคัดค้านมติสภามหาวิทยาลัยดังกล่าว

ทั้งนี้ เพราะเป็นมติที่ทำลายวัฒนธรรมองค์กร ก่อให้เกิดความแตกแยกในองค์กร และขอแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากการเป็นสภาคณาจารย์ และข้าราชการ และการเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยฯ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ผม พร้อมด้วย รศ.พรณีย์ ตะกรุดทอง และ อ.ศักดิ์ดา นาสองสี ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัยฯ เพราะกระบวนการสรรหาแต่ละขั้นตอนเราต้องระดมความคิดเห็นอย่างสาหัสจนมั่นใจว่าจะได้ผู้นำที่เหมาะสมแล้วจึงนำเสนอต่อสภามหาวิทยาลัยฯ ที่เต็มไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ และทรงเกียรติ เพื่อจะได้พิจารณาอย่างสมเหตุสมผล แต่สุดท้าย การสรรหาที่กลั่นกรองไว้ด้วยหลักการ และเต็มไปด้วยความยุติธรรม กลับไม่ได้ถูกนำมาอ้างอิง แต่มติที่ออกมากลับเป็นการเลือกข้าง เพื่อพรรคพวกตัวเองอย่างชัดเจน” ผศ.ธวัช ตราชู กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายเพิ่มเติมว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ปัจจุบัน มีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นนายกสภามหาวิทยาลัย ซึ่งผูกขาดในตำแหน่งนี้มาตลอดเป็นเวลานานกว่า 18 ปี และมักถูกมองว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริงในการสรรหาอธิการบดีคนใหม่มาทุกยุคสมัย เช่นเดียวกับครั้งนี้ ที่ นายสุวัจน์ เดินทางมาเป็นประธานประชุมสภามหาวิทยาลัยฯ คุมเกมเลือกอธิการบดีคนใหม่ด้วยตัวเอง และร่วมลงคะแนนเสียงด้วย

! http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000059750

มหาลัย มหาหลอก เมื่อป.ตรีเตะฝุ่นทะลุแสน

ดร.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์
ดร.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์

ทะลุแสน! คนไทยจบปริญญาตรีเตะฝุ่นมากที่สุด…เป็นหัวข้อข่าวที่กลายเป็นประเด็นทางสังคม และถูกตั้งคำถามต่อระบบการศึกษา และทวงถามการเรียนรู้ที่แท้จริงของมนุษย์ เพราะที่ผ่านมา การศึกษาไทยมีแนวโน้มจะดําเนินงานในเชิงธุรกิจที่มุ่งแสวงหากําไรมากขึ้น ทำให้มหาวิทยาลัยหลาย ๆ แห่งได้รับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงคุณภาพการเรียนการสอน และถูกมองว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มุ่งเน้นเรื่องเงินตรามากกว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยแห่งปัญญาอย่างที่ควรจะเป็น

ประเด็นแรก ที่น่าสนใจ
ร่ำเรียนแทบตาย สุดท้ายตกงาน!

       
        “มหาลัย มหาหลอก เด็กชายบ้านนอก เด็กหญิงบ้านนารํ่าเรียนรู้ในวิชา แต่จบออกมายังไม่มีงานทํา ไม่มีงานก็ไม่มีเงิน ออกเดินเดินเดินยํ่าสมัครงานสอบเท่าใดยังสอบไม่ผ่าน มันหัวปานกลาง เขาเอาแต่หัวดีๆ มีความรู้สู้เขาไม่ได้ เส้นเล็กเส้นใหญ่ เส้นก๋วยจั๊บไม่มี นามสกุลไม่สง่าราศี เป็นลูกตามี เป็นแค่หลานยายมา อนาคตคงหมดความหมาย

       
        บทเพลง “มหาลัย” ของคาราบาว ที่สะท้อนถึงหัวอกบัณฑิตหลาย ๆ คนในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี
       
        ล่าสุด มีข้อมูลที่น่าตกใจจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 ที่ผ่านมา พบว่า ผู้มีการศึกษาระดับอุดมศึกษา ตกงานมากที่สุดถึง 1.13 แสนคนเลยทีเดียว
       
        ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น อาจบอกเป็นนัยๆ ว่า ใบปริญญาไม่สามารถเอาไปเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สมัครงานซึ่งทำได้ง่ายๆ เหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว
       
        นอกจากนี้ยังมีเรื่องของกระแสวิจารณ์ของผู้จ้างบัณฑิตถึงการไม่มีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานที่ควรจะเป็นเมื่อเข้าไปทํางานจริง ทําให้วันนี้สังคมไทยเริ่มตั้งคําถามเรื่องคุณภาพบัณฑิตของมหาวิทยาลัยว่าสูงขึ้นหรือตกต่ำลงท่ามกลางปริมาณที่เพิ่มขึ้นเป็นจํานวนมากของผู้จบการศึกษา ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ได้กลายเป็นประเด็นปัญหาของระบบการศึกษาไทยในยุคปัจจุบันไปแล้ว
       
        ดร.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์ กรรมการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาแห่งชาติ ในฐานะนักวิชาการด้านการศึกษา ให้ข้อมูลว่า ทุกวันนี้มีคนจบปริญญาตรีประมาณปีละ 5 แสนกว่าคน (ปี 2554 เป็นยุคปริญญาล้นประเทศ ซึ่งมีมากถึง 6 แสนคนเลยทีเดียว) ปัจจุบันมีบัณฑิตจบใหม่มากมายที่หางานทำไม่ได้ หรือบางคนที่รองานไม่ไหวก็ต้องไปทำงานไม่ตรงวุฒิ หรือต่ำกว่าวุฒิแทน
       
        สำหรับสายที่ผลิตบัณฑิตล้นตลาดมากที่สุด คือ สายศิลป์ เช่น สังคมศาสตร์ นิเทศศาสตร์ รัฐศาสตร์ เป็นต้น รองลงมาเป็นสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งคนที่เก่งจริง ๆ ถึงจะหางานได้ ส่วนสายวิทยาศาสตร์สุขภาพ เป็นสาขาที่จะมีตลาดงานรองรับแน่นอน เช่น แพทย์ เภสัชกร ทันตแพทย์ เทคนิคการแพทย์ พยาบาล เป็นต้น
       
ประเด็นที่สอง ที่น่าสนใจ
แย่ที่มหา’ลัย หรือห่วยที่ตัวบัณฑิต
       
        ปัญหาที่เกิดขึ้น มีหลายความเห็นแตกต่างกันออกไป บ้างก็โทษไปที่มหาวิทยาลัยว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอที่จะผลิตบัณฑิตให้จบออกมาอย่างสอดคล้องกับตําแหน่งงานที่มีอยู่ในระบบเศรษฐกิจ หรือตัวเลขว่างงานจำนวนมาก ๆ ในแต่ละปี เป็นเพราะบัณฑิตเองที่ไม่ขวนขวาย และพัฒนาคุณค่าให้ตัวเอง
       
        มาดูกันที่มหาวิทยาลัย หากมองในภาพความเป็นจริง หลาย ๆ แห่งมีการปรับเปลี่ยนตัวเองไปสู่รูปแบบธุรกิจการศึกษามากขึ้น ซึ่งบางแห่งเราคงต้องยอมรับว่า มีการฉวยโอกาสที่จะแสวงหากําไรจนบางครั้งอาจส่งผลต่อคุณภาพทั้งระบบการเรียนการสอน ผู้เรียนและตัวบัณฑิตที่จบการศึกษา
       
        ดร.วิริยะ ชี้ให้เห็นว่า มหาวิทยาลัยจำนวนไม่น้อย แย่ง และแข่งกันรับนักเรียนให้เข้ามาเรียน แต่ไม่ได้พิจารณา และให้ความสำคัญกับรากฐานปรัชญาของความเป็นสถาบันแห่งสติปัญญาของสังคมที่จะผลิตบัณฑิตออกสู่ตลาดงานอย่างมีทักษะ
       
        “บางแห่งผลิตบัณฑิต 2 ล้อ เน้นแค่จำ และวิเคราะห์เป็น แต่ไม่ได้ออกแบบการเรียนการสอนให้เด็กรู้จักวิธีสื่อสาร คิดสร้างสรรค์ ไม่แปลกที่บัณฑิตยุคใหม่หลายคนจะมีคุณสมบัติเป็นบัณฑิตที่เชื่อฟังอย่างยิ่งยวด เป็นหุ่นยนต์ที่ต้องคอยป้อนคำสั่งอย่างเดียว จบออกมาก็แบบซิกแซ็ก หวังว่าใบปริญญาจะช่วยการันตีได้ แต่เข้าไปทำงานแล้วกลับทำไม่ได้ตามคุณค่าที่การันตีในใบปริญญา เมื่อทำไม่ได้ ก็อยู่ไม่ได้ ตรงนี้อันตรายมากๆ” นักวิชาการด้านการศึกษาขยายความ
       
       

ประเด็นที่สาม ที่น่าสนใจ
คุณภาพไม่ถึง ใครเขาจะเอา!

       
        กระนั้น ใช่ว่าจะโทษมหาวิทยาลัยเพียงฝ่ายเดียว เพราะผู้ชี้ชะตาว่าจะตกงานหรือไม่ คือ ตัวผู้เรียนเอง โดยปัญหาใหญ่ ที่นักวิชาการด้านการศึกษาท่านนี้เป็นห่วง ก็คือ บัณฑิตหลายคนยังไม่รู้ว่าตัวเองมีดีอะไร นี่คือตัวการสำคัญว่าทำไมบัณฑิตหลาย ๆ คนตกงาน และไม่มีงานทำ
       
        “เข้าปี 1 ก็หางานทำได้แล้ว แต่ปัญหาคือ หลายคนไม่รู้ว่าตัวเองมีดีอะไร ประมาณว่า รู้ทุกเรื่อง แต่ไม่รู้เรื่องตัวเอง ทางที่ดี ไม่ใช่มัวแต่ เรียน สอบ และ เที่ยวไปวันๆ แต่ต้องรู้จักพัฒนาคุณค่าในตัวเองด้วย” นักวิชาการด้านการศึกษาคนเดียวกันเผย
       
        แต่เหนือสิ่งอื่นใด คนจะตกงานหรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่การเลือกสาขาไม่ตรง แต่อยู่ที่ตัวบัณฑิตเองว่า มีคุณสมบัติที่พึงประสงค์ต่อความต้องการในโลกการทำงานเพียงพอแล้วหรือไม่ เช่น ความขยัน ความอดทน ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ ความคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น
       
       

ประเด็นที่สี่ ที่น่าสนใจ
ทางออก ลดบัณฑิตเตะฝุ่น

       
        สำหรับทางออกของเรื่องนี้ ดร.วิริยะ พยายามพูด และนำเสนอมาตลอดว่า อุดมศึกษาไทยต้องมองตลาดงานในประเทศในภูมิภาค และในโลก แล้วร่วมมือกันพัฒนาหลักสูตรสาขาใหม่ ๆ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และสอดคล้องกับตลาดงาน ไม่ใช่เดินผิดที่ผิดทาง มุ่งแต่จะแย่งรับนักศึกษา หรือแย่งกันแข่งขัน โดยขาดการมองไปข้างหน้า
       
        “เปิดรับกันมากมายในสาขาที่เหมือนๆ กันทุกมหาวิทยาลัย พอจบมาแล้วบัณฑิตจะไปทำอะไรกัน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่กระเตื้องกันนะ อย่างสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ก็เริ่มตระหนักแล้ว แต่มหาวิทยาลัยหลายแห่งยังมีอิสระกันอยู่มาก ต่างคนต่างสบาย ไม่เห็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไร นี่แหละปัญหา เรียนแบบเดิม ๆ จดกันเข้าไป เน้นแต่การแข่งขัน แข่งกันไปตาย (ในโลกการทำงาน) จบออกมาก็ไม่มีทักษะอื่น ๆ ไว้นำไปใช้ในการทำงาน” นักวิชาการด้านการศึกษาให้ทัศนะ พร้อมกับฝากไปถึงมหาวิทยาลัยไทยหลาย ๆ แห่งว่า
       
        “ส่วนตัวคิดว่า เงินเพื่อการอยู่รอด มันเป็นอดีตไปแล้ว ยุคนี้ มีคุณค่าถึงจะอยู่รอด โดยสร้างคุณค่าให้แก่มหาวิทยาลัย และตัวนักศึกษา เน้นให้ปัญญา ไม่ใช่รับเงินแล้วจบ เมื่อเป็นแบบนี้ ไม่มีใครทิ้งคุณหรอก แต่ถ้ามัวแต่มุ่งปั้มใบปริญญาแจก แจก สักวันสังคมทิ้งคุณแน่ เมื่อเป็นเช่นนี้ อีก 30 ปี คนไทยจะไปใช้แรงงานในพม่าก็อย่ามาว่าก็แล้วกัน”
       
        คล้ายกันกับแนวทางของ รศ.ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่เคยออกมาเผยถึงแนวทางแก้ปัญหาบัณฑิตปริญญาตรีตกงานกว่า 1 แสนคนต่อปีว่า ระบบอุดมศึกษาไทยในปัจจุบันใช้เวลาเรียน 4 ปี ทั้งนี้ ช่วงที่เรียนชั้นปีที่ 1-2 มหาวิทยาลัยต่างๆ จะต้องจัดการศึกษาโดยเน้นพัฒนาความรู้ความสามารถของนักศึกษาเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดแรงงาน เช่น ความรู้และทักษะอาชีพในสาขาวิชาที่เรียน ทักษะภาษาอังกฤษและภาษาอาเซียน หลังจากนั้นเมื่อเรียนชั้นปีที่ 3 จะต้องสำรวจว่าถึงความต้องการของนักศึกษาแต่ละคนแต่ละสาขาภายในมหาวิทยาลัยว่า เมื่อเรียนจบแล้วต้องการจะไปประกอบอาชีพอะไรบ้าง
       
        เมื่อได้ข้อมูลข้างต้นแล้วทางมหาวิทยาลัยก็ประสานไปยังสถานประกอบการด้านต่างๆเพื่อหาข้อมูลว่าสถานประกอบการต้องการบัณฑิตที่มีความรู้และทักษะอาชีพอย่างไรบ้างแล้วเติมเต็มความรู้ในการประกอบอาชีพดังกล่าวให้แก่นักศึกษาเมื่อเข้าสู่ชั้นปีที่ 4 เพื่อจะได้มีความรู้ความสามารถรอบด้านและสอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการ เพื่อที่เมื่อเรียนจบแล้ว จะสามารถทำงานได้ทันที สถานประกอบการไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกงานให้เพิ่มเติม
       
        “การแก้ปัญหาระยะยาว รัฐบาล ศธ.และสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ควรร่วมมือกับภาคธุรกิจ สถานประกอบการต่างๆปรับแผนการผลิตบัณฑิตจากปัจจุบันสัดส่วนการผลิตบัณฑิตสายศิลปศาสตร์และสังคมศาสตร์อยู่ที่ 70% และสายวิทยาศาสตร์อยู่ที่ 30% เปลี่ยนเป็น ผลิตบัณฑิตสายศิลปศาสตร์และสังคมศาสตร์ สายวิทยาศาสตร์ให้อยู่ที่สายละ 50% โดยเพิ่มสัดส่วนการผลิตบัณฑิตสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการวิจัยให้มากขึ้น รวมทั้งเร่งพัฒนาทักษะการประกอบอาชีพและภาษาต่างประเทศและภาษาอาเซียนให้แก่บัณฑิตปริญญาตรีและแรงงานไทยในทุกสาขาด้วย”
       
        ถึงตอนนี้ ไม่เพียงแต่มหาวิทยาลัยไทยที่จะต้องกลับมาตระหนักเพื่อทบทวนการทำหน้าที่ผลิตบัณฑิตอย่างจริงจังมากกว่าจะไปมุ่งแสวงหากําไรอย่างเดียวเหมือนที่บางแห่งคิดผลิตหลักสูตร “เรียนง่ายจบเร็ว” ตัวผู้เรียนที่กำลังจะออกไปสู่โลกของการทำงานเองก็ต้องปรับตัวด้วยเหมือนกัน
       
        …เพราะถ้าคิดเพียงอยากได้ใบปริญญาแต่จบออกไปอย่างคนที่ไม่มี “ปัญญา” เตรียมสะกดคำว่า “ตกงาน” รอไว้ได้เลย
       
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000058957