บุรินทร์ รุจจนพันธุ์

คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเนชั่น

คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเนชั่น
คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเนชั่น

คลิ๊ปรายการสยามสาระพา ตอน เปิดโลกการศึกษากับ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเนชั่น ออกอากาศวันที่ 10 พฤษภาคม 2556 ทาง Nation Channel ดำเนินรายการโดยคุณวรรณศิริ ศิริวรรณ

ได้พบกับ อ.อดิศักดิ์ จำปาทอง รองคณบดี จัดรายการวิทยุในห้องสถานีวิทยุเสียงลำปาง 104.25 MHz โดยเล่าถึงกิจกรรมที่นักศึกษาจะได้ทำระหว่างเรียนทั้งเป็นผู้จัดรายการ เขียนข่าว ทำรายการทีวีในห้องสตูดิโอของมหาวิทยาลัย

! http://blog.nation.ac.th/?p=2638

 http://www.facebook.com/SiamSarapa

คณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเนชั่น

คณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเนชั่น
คณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเนชั่น

คลิ๊ปรายการสยามสาระพา ตอน เปิดโลกการศึกษากับ คณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเนชั่น ออกอากาศวันที่ 3 พฤษภาคม 2556 ทาง Nation Channel ดำเนินรายการโดยคุณวรรณศิริ ศิริวรรณ

ได้พบกับ อ.เบญจวรรณ นันทชัย คณบดี ที่วิ่งออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อสุขภาพ  และอาจารย์ประจำ 3 ท่านได้แก่ อ.สกุลศักดิ์ อินหล้า    อ.พฤกษ์ศราวุธ จักสวย   และ อ.ฉัตรชัย หมื่นก้อนแก้ว  โดยนำชมห้องสุขภาพ และการทำกิจกรรม การเรียนที่ฝึกปฏิบัติจริงของนักศึกษา

! http://blog.nation.ac.th/?p=2641

 http://www.facebook.com/SiamSarapa

อาจารย์-นักศึกษา ราชภัฏโคราชฮือแต่งดำประท้วง

ศูนย์ข่าวนครราชสีมา – อาจารย์-นศ. ม.ราชภัฏโคราชฮือแต่งดำประท้วง ค้านมติสภามหาวิทยาลัยฯ เลือกอธิการบดีคนใหม่ กก.สภาฯ 3 คน สุดทนยื่นลาออก พร้อมชูป้ายประณาม “สภาอัปยศ ไม่ฟังเสียงประชาคม” ชี้ทุกขั้นตอนผ่านการกลั่นกรองมาอย่างหนัก แต่สุดท้ายสภาฯ กลับเลือกเอาคนได้คะแนนแพ้รวดทุกยกเป็นอธิการฯ โดยไม่สนความเหมาะสมตามที่คนส่วนใหญ่เลือกมา

ค้านมติสภาเลือกอธิการ
ค้านมติสภาเลือกอธิการ

18 พ.ค.2556 ที่บริเวณด้านหน้าอาคารสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา กลุ่มคณาจารย์และนักศึกษา จำนวนกว่า 30 คน นำโดย ผศ.ธวัช ตราชู ประธานสภาคณาจารย์และข้าราชการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้รวมตัวกันแต่งชุดสีดำแสดงพลังคัดค้านมติสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ที่ได้ลงมติเลือก รศ.ดร.วิเชียร ฝอยพิกุล เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาคนใหม่ ในการประชุมเมื่อวานนี้ (17 พ.ค.2556)

พร้อมกันนี้ ผู้ชุมนุมได้ชูป้ายประท้วงข้อความต่างๆ เช่น “ไม่เอาวิเชียร” “มหาลัยจะอยู่อย่างไรถ้าสภาไม่ยอมรับฟังเสียงประชาคม” และ “สภาอัปยศไม่ฟังเสียงประชาคม” จากนั้น ผศ.ธวัช ตราชู กับพวกได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยฯ เพื่อคัดค้านการสรรหาอธิการบดีคนใหม่ โดยมี ผศ.คมกฤช ตรีสินธุรส รักษาการรองอธิการบดี เป็นตัวแทนรับหนังสือ พร้อมอ่านแถลงการณ์ ก่อนเดินขบวนไปรอบมหาวิทยาลัยฯ

ผศ.ธวัช ตราชู ประธานสภาคณาจารย์ และข้าราชการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมเปิดเผยว่า สภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้ดำเนินการสรรหาอธิการบดีแทนตำแหน่งที่ว่างลง เนื่องจากอธิการบดีคนปัจจุบัน ผศ.ดร.เศาวนิต เศาณานนท์ ครบวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี โดยสภามหาวิทยาลัยฯ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาอธิการบดีขึ้นมา จำนวน 9 คน ภายใต้ข้อบังคับของมหาวิทยาลัยฯ และ พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ.2547 ซึ่งในมาตรา 28 อธิการบดีนั้นจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งโดยคำแนะนำของสภามหาวิทยาลัย จากผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 29

ต่อมา คณะกรรมการสรรหาฯ ได้ดำเนินการให้หน่วยงานในมหาวิทยาลัย จำนวน 14 หน่วยงาน เสนอชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธิการบดี หน่วยงานละ 1 รายชื่อ ปรากฏว่ามีผู้ได้รับการเสนอชื่อจากหน่วยงานทั้งสิ้น 5 คน เรียงลำดับตามจำนวนหน่วยงาน คือ อันดับ 1 ผศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์ จำนวน 6 หน่วยงาน อันดับ 2 รศ.ดร.นภัทร์ น้อยน้ำ จำนวน 3 หน่วยงาน และอันดับ 3 รศ.ดร.วิเชียร ฝอยพิกุล จำนวน 2 หน่วยงาน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่ไม่ได้ถูกเสนอชื่อสมัครเข้ารับการสรรหาอีก 3 คน ร่วมเป็นผู้เข้ารับการสรรหาทั้งสิ้น 8 คน

จากนั้น คณะกรรมการสรรหาฯ ได้จัดให้มีการแสดงวิสัยทัศน์ต่อหน้าประชาคม มีการสัมภาษณ์ กลั่นกรอง พิจารณาคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ และให้คะแนนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อเลือกให้เหลือ 3 คน เพื่อนำเสนอต่อสภามหาวิทยาลัยฯ ปรากฏว่า ผศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์ มาเป็นอันดับ 1 ได้คะแนน 87.36 อันดับ 2 รศ.ดร.วิเชียร ฝอยพิกุล ได้คะแนน 77.41 และอันดับ 3 ดร.สุนทรี ศิริอังกูร ได้คะแนน 72.30

ล่าสุด เมื่อวานนี้ (17 พ.ค.2556) คณะกรรมการสรรหาฯ ได้นำรายชื่อทั้ง 3 คน ดังกล่าว เสนอต่อสภามหาวิทยาลัยฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2556 แต่ผลปรากฏว่า สภามหาวิทยาลัยฯ ได้ลงมติ 11 เสียง เลือก รศ.ดร.วิเชียร ฝอยพิกุล และ 9 เสียงเลือก ศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์ ทั้งที่ได้รับการเสนอชื่อจากหน่วยงานมหาวิทยาลัยมากที่สุดถึง 6 หน่วย ซึ่งแสดงถึงการยอมรับของบุคลากรในมหาวิทยาลัยมากกว่า รศ.ดร.วิเชียร ที่ได้รับการเสนอจากหน่วยงานเพียง 2 หน่วยงาน อยู่ในอันดับที่ 3

นอกจากนี้ คะแนนในส่วนของคณะกรรมการสรรหาฯ ยังได้มาเป็นอันดับ 1 จำนวน 87.36 มากกว่า รศ.ดร.วิเชียร ซึ่งได้มาเป็นอันดับ 2 จำนวน 77.41 อย่างเห็นได้ชัดเจน แต่สภามหาวิทยาลัยฯ กลับมีมติที่ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ.2547 มาตรา 28

ฉะนั้น วันนี้พวกเราในฐานะกรรมการสภามหาวิทยาลัย ประกอบด้วย ประธานสภาคณาจารย์และข้าราชการ ตัวแทนผู้บริหาร และผู้แทนคณาจารย์เห็นว่า มติของสภามหาวิทยาลัยฯ ดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่ได้คำนึงถึงบทบัญญัติใน พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยฯ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเสียงสะท้อนของประชาคมในมหาวิทยาลัย และไม่ได้รักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมองค์กรที่ยึดถือกันมาโดยตลอดอย่างยาวนาน จึงขอคัดค้านมติสภามหาวิทยาลัยดังกล่าว

ทั้งนี้ เพราะเป็นมติที่ทำลายวัฒนธรรมองค์กร ก่อให้เกิดความแตกแยกในองค์กร และขอแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากการเป็นสภาคณาจารย์ และข้าราชการ และการเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยฯ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ผม พร้อมด้วย รศ.พรณีย์ ตะกรุดทอง และ อ.ศักดิ์ดา นาสองสี ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัยฯ เพราะกระบวนการสรรหาแต่ละขั้นตอนเราต้องระดมความคิดเห็นอย่างสาหัสจนมั่นใจว่าจะได้ผู้นำที่เหมาะสมแล้วจึงนำเสนอต่อสภามหาวิทยาลัยฯ ที่เต็มไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ และทรงเกียรติ เพื่อจะได้พิจารณาอย่างสมเหตุสมผล แต่สุดท้าย การสรรหาที่กลั่นกรองไว้ด้วยหลักการ และเต็มไปด้วยความยุติธรรม กลับไม่ได้ถูกนำมาอ้างอิง แต่มติที่ออกมากลับเป็นการเลือกข้าง เพื่อพรรคพวกตัวเองอย่างชัดเจน” ผศ.ธวัช ตราชู กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายเพิ่มเติมว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ปัจจุบัน มีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นนายกสภามหาวิทยาลัย ซึ่งผูกขาดในตำแหน่งนี้มาตลอดเป็นเวลานานกว่า 18 ปี และมักถูกมองว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริงในการสรรหาอธิการบดีคนใหม่มาทุกยุคสมัย เช่นเดียวกับครั้งนี้ ที่ นายสุวัจน์ เดินทางมาเป็นประธานประชุมสภามหาวิทยาลัยฯ คุมเกมเลือกอธิการบดีคนใหม่ด้วยตัวเอง และร่วมลงคะแนนเสียงด้วย

! http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000059750

มหาลัย มหาหลอก เมื่อป.ตรีเตะฝุ่นทะลุแสน

ดร.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์
ดร.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์

ทะลุแสน! คนไทยจบปริญญาตรีเตะฝุ่นมากที่สุด…เป็นหัวข้อข่าวที่กลายเป็นประเด็นทางสังคม และถูกตั้งคำถามต่อระบบการศึกษา และทวงถามการเรียนรู้ที่แท้จริงของมนุษย์ เพราะที่ผ่านมา การศึกษาไทยมีแนวโน้มจะดําเนินงานในเชิงธุรกิจที่มุ่งแสวงหากําไรมากขึ้น ทำให้มหาวิทยาลัยหลาย ๆ แห่งได้รับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงคุณภาพการเรียนการสอน และถูกมองว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มุ่งเน้นเรื่องเงินตรามากกว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยแห่งปัญญาอย่างที่ควรจะเป็น

ประเด็นแรก ที่น่าสนใจ
ร่ำเรียนแทบตาย สุดท้ายตกงาน!

       
        “มหาลัย มหาหลอก เด็กชายบ้านนอก เด็กหญิงบ้านนารํ่าเรียนรู้ในวิชา แต่จบออกมายังไม่มีงานทํา ไม่มีงานก็ไม่มีเงิน ออกเดินเดินเดินยํ่าสมัครงานสอบเท่าใดยังสอบไม่ผ่าน มันหัวปานกลาง เขาเอาแต่หัวดีๆ มีความรู้สู้เขาไม่ได้ เส้นเล็กเส้นใหญ่ เส้นก๋วยจั๊บไม่มี นามสกุลไม่สง่าราศี เป็นลูกตามี เป็นแค่หลานยายมา อนาคตคงหมดความหมาย

       
        บทเพลง “มหาลัย” ของคาราบาว ที่สะท้อนถึงหัวอกบัณฑิตหลาย ๆ คนในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี
       
        ล่าสุด มีข้อมูลที่น่าตกใจจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 ที่ผ่านมา พบว่า ผู้มีการศึกษาระดับอุดมศึกษา ตกงานมากที่สุดถึง 1.13 แสนคนเลยทีเดียว
       
        ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น อาจบอกเป็นนัยๆ ว่า ใบปริญญาไม่สามารถเอาไปเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สมัครงานซึ่งทำได้ง่ายๆ เหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว
       
        นอกจากนี้ยังมีเรื่องของกระแสวิจารณ์ของผู้จ้างบัณฑิตถึงการไม่มีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานที่ควรจะเป็นเมื่อเข้าไปทํางานจริง ทําให้วันนี้สังคมไทยเริ่มตั้งคําถามเรื่องคุณภาพบัณฑิตของมหาวิทยาลัยว่าสูงขึ้นหรือตกต่ำลงท่ามกลางปริมาณที่เพิ่มขึ้นเป็นจํานวนมากของผู้จบการศึกษา ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ได้กลายเป็นประเด็นปัญหาของระบบการศึกษาไทยในยุคปัจจุบันไปแล้ว
       
        ดร.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์ กรรมการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาแห่งชาติ ในฐานะนักวิชาการด้านการศึกษา ให้ข้อมูลว่า ทุกวันนี้มีคนจบปริญญาตรีประมาณปีละ 5 แสนกว่าคน (ปี 2554 เป็นยุคปริญญาล้นประเทศ ซึ่งมีมากถึง 6 แสนคนเลยทีเดียว) ปัจจุบันมีบัณฑิตจบใหม่มากมายที่หางานทำไม่ได้ หรือบางคนที่รองานไม่ไหวก็ต้องไปทำงานไม่ตรงวุฒิ หรือต่ำกว่าวุฒิแทน
       
        สำหรับสายที่ผลิตบัณฑิตล้นตลาดมากที่สุด คือ สายศิลป์ เช่น สังคมศาสตร์ นิเทศศาสตร์ รัฐศาสตร์ เป็นต้น รองลงมาเป็นสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งคนที่เก่งจริง ๆ ถึงจะหางานได้ ส่วนสายวิทยาศาสตร์สุขภาพ เป็นสาขาที่จะมีตลาดงานรองรับแน่นอน เช่น แพทย์ เภสัชกร ทันตแพทย์ เทคนิคการแพทย์ พยาบาล เป็นต้น
       
ประเด็นที่สอง ที่น่าสนใจ
แย่ที่มหา’ลัย หรือห่วยที่ตัวบัณฑิต
       
        ปัญหาที่เกิดขึ้น มีหลายความเห็นแตกต่างกันออกไป บ้างก็โทษไปที่มหาวิทยาลัยว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอที่จะผลิตบัณฑิตให้จบออกมาอย่างสอดคล้องกับตําแหน่งงานที่มีอยู่ในระบบเศรษฐกิจ หรือตัวเลขว่างงานจำนวนมาก ๆ ในแต่ละปี เป็นเพราะบัณฑิตเองที่ไม่ขวนขวาย และพัฒนาคุณค่าให้ตัวเอง
       
        มาดูกันที่มหาวิทยาลัย หากมองในภาพความเป็นจริง หลาย ๆ แห่งมีการปรับเปลี่ยนตัวเองไปสู่รูปแบบธุรกิจการศึกษามากขึ้น ซึ่งบางแห่งเราคงต้องยอมรับว่า มีการฉวยโอกาสที่จะแสวงหากําไรจนบางครั้งอาจส่งผลต่อคุณภาพทั้งระบบการเรียนการสอน ผู้เรียนและตัวบัณฑิตที่จบการศึกษา
       
        ดร.วิริยะ ชี้ให้เห็นว่า มหาวิทยาลัยจำนวนไม่น้อย แย่ง และแข่งกันรับนักเรียนให้เข้ามาเรียน แต่ไม่ได้พิจารณา และให้ความสำคัญกับรากฐานปรัชญาของความเป็นสถาบันแห่งสติปัญญาของสังคมที่จะผลิตบัณฑิตออกสู่ตลาดงานอย่างมีทักษะ
       
        “บางแห่งผลิตบัณฑิต 2 ล้อ เน้นแค่จำ และวิเคราะห์เป็น แต่ไม่ได้ออกแบบการเรียนการสอนให้เด็กรู้จักวิธีสื่อสาร คิดสร้างสรรค์ ไม่แปลกที่บัณฑิตยุคใหม่หลายคนจะมีคุณสมบัติเป็นบัณฑิตที่เชื่อฟังอย่างยิ่งยวด เป็นหุ่นยนต์ที่ต้องคอยป้อนคำสั่งอย่างเดียว จบออกมาก็แบบซิกแซ็ก หวังว่าใบปริญญาจะช่วยการันตีได้ แต่เข้าไปทำงานแล้วกลับทำไม่ได้ตามคุณค่าที่การันตีในใบปริญญา เมื่อทำไม่ได้ ก็อยู่ไม่ได้ ตรงนี้อันตรายมากๆ” นักวิชาการด้านการศึกษาขยายความ
       
       

ประเด็นที่สาม ที่น่าสนใจ
คุณภาพไม่ถึง ใครเขาจะเอา!

       
        กระนั้น ใช่ว่าจะโทษมหาวิทยาลัยเพียงฝ่ายเดียว เพราะผู้ชี้ชะตาว่าจะตกงานหรือไม่ คือ ตัวผู้เรียนเอง โดยปัญหาใหญ่ ที่นักวิชาการด้านการศึกษาท่านนี้เป็นห่วง ก็คือ บัณฑิตหลายคนยังไม่รู้ว่าตัวเองมีดีอะไร นี่คือตัวการสำคัญว่าทำไมบัณฑิตหลาย ๆ คนตกงาน และไม่มีงานทำ
       
        “เข้าปี 1 ก็หางานทำได้แล้ว แต่ปัญหาคือ หลายคนไม่รู้ว่าตัวเองมีดีอะไร ประมาณว่า รู้ทุกเรื่อง แต่ไม่รู้เรื่องตัวเอง ทางที่ดี ไม่ใช่มัวแต่ เรียน สอบ และ เที่ยวไปวันๆ แต่ต้องรู้จักพัฒนาคุณค่าในตัวเองด้วย” นักวิชาการด้านการศึกษาคนเดียวกันเผย
       
        แต่เหนือสิ่งอื่นใด คนจะตกงานหรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่การเลือกสาขาไม่ตรง แต่อยู่ที่ตัวบัณฑิตเองว่า มีคุณสมบัติที่พึงประสงค์ต่อความต้องการในโลกการทำงานเพียงพอแล้วหรือไม่ เช่น ความขยัน ความอดทน ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ ความคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น
       
       

ประเด็นที่สี่ ที่น่าสนใจ
ทางออก ลดบัณฑิตเตะฝุ่น

       
        สำหรับทางออกของเรื่องนี้ ดร.วิริยะ พยายามพูด และนำเสนอมาตลอดว่า อุดมศึกษาไทยต้องมองตลาดงานในประเทศในภูมิภาค และในโลก แล้วร่วมมือกันพัฒนาหลักสูตรสาขาใหม่ ๆ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และสอดคล้องกับตลาดงาน ไม่ใช่เดินผิดที่ผิดทาง มุ่งแต่จะแย่งรับนักศึกษา หรือแย่งกันแข่งขัน โดยขาดการมองไปข้างหน้า
       
        “เปิดรับกันมากมายในสาขาที่เหมือนๆ กันทุกมหาวิทยาลัย พอจบมาแล้วบัณฑิตจะไปทำอะไรกัน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่กระเตื้องกันนะ อย่างสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ก็เริ่มตระหนักแล้ว แต่มหาวิทยาลัยหลายแห่งยังมีอิสระกันอยู่มาก ต่างคนต่างสบาย ไม่เห็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไร นี่แหละปัญหา เรียนแบบเดิม ๆ จดกันเข้าไป เน้นแต่การแข่งขัน แข่งกันไปตาย (ในโลกการทำงาน) จบออกมาก็ไม่มีทักษะอื่น ๆ ไว้นำไปใช้ในการทำงาน” นักวิชาการด้านการศึกษาให้ทัศนะ พร้อมกับฝากไปถึงมหาวิทยาลัยไทยหลาย ๆ แห่งว่า
       
        “ส่วนตัวคิดว่า เงินเพื่อการอยู่รอด มันเป็นอดีตไปแล้ว ยุคนี้ มีคุณค่าถึงจะอยู่รอด โดยสร้างคุณค่าให้แก่มหาวิทยาลัย และตัวนักศึกษา เน้นให้ปัญญา ไม่ใช่รับเงินแล้วจบ เมื่อเป็นแบบนี้ ไม่มีใครทิ้งคุณหรอก แต่ถ้ามัวแต่มุ่งปั้มใบปริญญาแจก แจก สักวันสังคมทิ้งคุณแน่ เมื่อเป็นเช่นนี้ อีก 30 ปี คนไทยจะไปใช้แรงงานในพม่าก็อย่ามาว่าก็แล้วกัน”
       
        คล้ายกันกับแนวทางของ รศ.ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่เคยออกมาเผยถึงแนวทางแก้ปัญหาบัณฑิตปริญญาตรีตกงานกว่า 1 แสนคนต่อปีว่า ระบบอุดมศึกษาไทยในปัจจุบันใช้เวลาเรียน 4 ปี ทั้งนี้ ช่วงที่เรียนชั้นปีที่ 1-2 มหาวิทยาลัยต่างๆ จะต้องจัดการศึกษาโดยเน้นพัฒนาความรู้ความสามารถของนักศึกษาเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดแรงงาน เช่น ความรู้และทักษะอาชีพในสาขาวิชาที่เรียน ทักษะภาษาอังกฤษและภาษาอาเซียน หลังจากนั้นเมื่อเรียนชั้นปีที่ 3 จะต้องสำรวจว่าถึงความต้องการของนักศึกษาแต่ละคนแต่ละสาขาภายในมหาวิทยาลัยว่า เมื่อเรียนจบแล้วต้องการจะไปประกอบอาชีพอะไรบ้าง
       
        เมื่อได้ข้อมูลข้างต้นแล้วทางมหาวิทยาลัยก็ประสานไปยังสถานประกอบการด้านต่างๆเพื่อหาข้อมูลว่าสถานประกอบการต้องการบัณฑิตที่มีความรู้และทักษะอาชีพอย่างไรบ้างแล้วเติมเต็มความรู้ในการประกอบอาชีพดังกล่าวให้แก่นักศึกษาเมื่อเข้าสู่ชั้นปีที่ 4 เพื่อจะได้มีความรู้ความสามารถรอบด้านและสอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการ เพื่อที่เมื่อเรียนจบแล้ว จะสามารถทำงานได้ทันที สถานประกอบการไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกงานให้เพิ่มเติม
       
        “การแก้ปัญหาระยะยาว รัฐบาล ศธ.และสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ควรร่วมมือกับภาคธุรกิจ สถานประกอบการต่างๆปรับแผนการผลิตบัณฑิตจากปัจจุบันสัดส่วนการผลิตบัณฑิตสายศิลปศาสตร์และสังคมศาสตร์อยู่ที่ 70% และสายวิทยาศาสตร์อยู่ที่ 30% เปลี่ยนเป็น ผลิตบัณฑิตสายศิลปศาสตร์และสังคมศาสตร์ สายวิทยาศาสตร์ให้อยู่ที่สายละ 50% โดยเพิ่มสัดส่วนการผลิตบัณฑิตสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการวิจัยให้มากขึ้น รวมทั้งเร่งพัฒนาทักษะการประกอบอาชีพและภาษาต่างประเทศและภาษาอาเซียนให้แก่บัณฑิตปริญญาตรีและแรงงานไทยในทุกสาขาด้วย”
       
        ถึงตอนนี้ ไม่เพียงแต่มหาวิทยาลัยไทยที่จะต้องกลับมาตระหนักเพื่อทบทวนการทำหน้าที่ผลิตบัณฑิตอย่างจริงจังมากกว่าจะไปมุ่งแสวงหากําไรอย่างเดียวเหมือนที่บางแห่งคิดผลิตหลักสูตร “เรียนง่ายจบเร็ว” ตัวผู้เรียนที่กำลังจะออกไปสู่โลกของการทำงานเองก็ต้องปรับตัวด้วยเหมือนกัน
       
        …เพราะถ้าคิดเพียงอยากได้ใบปริญญาแต่จบออกไปอย่างคนที่ไม่มี “ปัญญา” เตรียมสะกดคำว่า “ตกงาน” รอไว้ได้เลย
       
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000058957

เกณฑ์คัดเลือกช่องทีวีสาธารณะในระบบดิจิทัล

วนิดา วินิจจะกูล
วนิดา วินิจจะกูล

เป็นข่าวกันไปพอสมควรแล้ว สำหรับ ทีวีสาธารณะในระบบดิจิทัล ที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการวิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม หรือ กสทช.

เปิดเผยว่าจะมีทั้งหมด 12 ช่อง โดยกำหนดค่อนข้างแน่นอนแล้ว 6 ช่อง โดย 4 ช่องแรกเป็นช่องที่เราคุ้นเคยกันอยู่ คือ 5, 7,11 และ ไทยพีบีเอส (ภายใต้เงื่อนไขต้องคืนคลื่นอนาล็อกก่อน) ส่วนอีก 2 สำหรับช่องเพื่อความปลอดภัย และช่องเพื่อความมั่นคง ว่ากันว่าเป็นไปตาม พ.ร.บ.กลาโหม

! http://bit.ly/10DG6aJ
ทั้ง 6 ช่องนี้ สมควรได้รับจัดสรรคลื่นโดยอัตโนมัติหรือไม่ เป็นประเด็นที่ยังต้องถามหาความชอบธรรม

ส่วนที่เหลืออีก 6 ช่อง ที่ กสทช. จะพิจารณาให้องค์กรหรือหน่วยงานใดนั้น ก็ยังไม่มีหลักเกณฑ์กติกาการคัดเลือกแต่อย่างใด แต่สุภิญญา กลางณรงค์ เสียงข้างน้อยอีกเช่นเคย เห็นว่า กสทช. ควรมีหลักเกณฑ์ที่แน่นอน เพื่อความโปร่งใส กรรมการตัดสินจะได้มีหลักยึด ดังนั้น การจัดเวทีระดมสมองเรื่อง “เกณฑ์การคัดเลือกผู้เหมาะสมให้ใช้คลื่นความถี่ในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์สำหรับการประกอบกิจการบริการสาธารณะ” หรือรู้จักกันในชื่อ “บิวตี้คอนเทสต์” ที่ กสทช. สุภิญญา ในฐานะกรรมการคนหนึ่ง พยายามทำให้การตัดสินใจของ กสทช. ต่อเรื่องการจัดสรรคลื่นความถี่ซึ่งเป็นทรัพยากรของชาติที่สามารถนำไปหามูลค่าได้มหาศาล มีความโปร่งใส สังคมตรวจสอบได้

เกณฑ์การคัดเลือกผู้เหมาะสมให้ใช้คลื่นความถี่ฯ ในกิจการสาธารณะ ที่ทีมงาน กสทช.สุภิญญา จัดทำเป็นร่างมาให้เวทีระดมความคิดเห็นนั้น ประกอบด้วย 6 ด้าน คือ 1. ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ 2. การผลิตรายการและที่มาของเนื้อหารายการ 3. ความทั่วถึง 4. แหล่งเงินทุนและการใช้เงินทุน 5.กลไกการติดตามตรวจสอบภายในองค์กร และ 6.การมีส่วนร่วมและการคุ้มครองผู้บริโภค

ในเวทีได้อภิปรายและเสนอข้อคิดเห็นมากมาย แต่โดยส่วนตัวนั้น สนใจมากๆ ใน 2 ประเด็น

ประเด็นแรก คือ เรื่องเกี่ยวกับศักยภาพหน่วยงานที่จะเสนอตัว ซึ่งเวทีเสนอในประเด็นนี้ค่อนข้างเยอะ

ประเด็นที่สอง คือ เรื่อง “ความคิดสร้างสรรค์” ที่ดูเหมือนจะไม่มีตัวอักษรใดในร่างที่สื่อถึงเรื่องนี้เลย ในตอนท้าย ตัวเองจึงได้เสนอความเห็นไปว่า…

คิดว่าการกำหนดเกณฑ์เหล่านี้ไม่ควรเป็นไปเพื่อการหาทีวีสาธารณะที่ดีที่สุด แต่ต้องหาทีวีสาธารณะที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ฉะนั้นการเข้าถึงก็ดี เกณฑ์คุณภาพต่างๆ ที่พูดถึงก็ดี รู้สึกว่ากำลังจะได้ช่องที่ลงทุนไปแล้วจะไม่มีคนดูมากนัก อยากให้ช่วยกันคิดว่า ทำอย่างไรจึงจะถ่วงดุลให้ได้ระหว่าง 3 มุมนี้ คือ

หนึ่ง ทำอย่างไรให้ผู้เสนอตัว มีทุนที่จะยืนระยะได้ หมายความว่า ทำอย่างไรให้ประชาชนอยากเข้ามาชมรายการคุณภาพ คุ้มค่ากับการเผาเวลาไปนาทีละ 2 แสน หรือวันละ 5 ล้าน (ข้อมูลจากเวที) มันมหาศาลนะ ฉะนั้นถ้าให้เขามาลงทุนแล้วบอกไม่ให้หากำไร ไม่ให้หารายได้ หรือหาได้เท่าที่จำเป็น แล้วใครจะเข้ามาเพราะว่ามันไม่น่าจูงใจเลย ฉะนั้น ทำอย่างไรให้ผู้เสนอมีรายได้พอที่จะยืนระยะในการพัฒนารายการและสถานีให้ดีขึ้นในอนาคต ซึ่ง กสทช.อาจจะดูเรื่องการให้ทุนอุดหนุนบางส่วน หรือให้มีโฆษณาที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ผลิตรายการที่ด้อยคุณภาพหรือเรียกแต่เรตติ้ง

สอง ที่ต้องให้น้ำหนักด้วย คือ “คุณค่าต่อสังคม” ทั้งการเป็น “พลเมือง” หรือการให้ทุกภาคส่วนได้มีโอกาสเข้ามาใช้หรือเกิดประโยชน์ต่อสังคมจริงๆ ประเด็นนี้พูดกันค่อนข้างเยอะแล้ว

สาม ที่ไม่ค่อยมีคนพูดกัน แต่คิดว่าต้องให้ความสำคัญมากที่สุดอีกมุมหนึ่งด้วย คือ เรื่อง ความคิดสร้างสรรค์ ที่รายการออกมาแล้วดูสนุก หรือทำออกมาแล้วมีคนอยากดู จะเรียกว่าเรตติ้งก็ได้ พูดถึงเรตติ้งอาจจะดูเป็นเชิงลบ แต่ความคิดสร้างสรรค์อยู่ในเกณฑ์ข้อไหน เพราะร่างที่ทีมงาน กสทช.สุภิญญา นำเสนอมา ยังไม่เห็นประเด็นนี้

ตอนนี้ประชาชนเลือกดูทีละรายการแล้ว เขาดูยูทูป เขาไม่ดูทั้งสถานี ไม่ดูทั้ง 24 ชั่วโมง ไม่ดูตามเวลาที่ออกอากาศ แต่เข้ามาเลือกดูภายหลังได้ ในรายการที่เขาชอบ ฉะนั้น การที่เขาจะเข้ามาดูช่องทีวีสาธารณะ นั่นแปลว่ารายการต้องโดนเขาจริงๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ต้องให้น้ำหนักให้ได้ระหว่าง 3 มุมที่ว่านี้ คือ 1.ให้มีเงินทุนที่จะยืนระยะได้จริงและมีแผนเลี้ยงตัวเองได้จากแหล่งไหนก็ตาม 2.คุณค่าที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมจริงๆ ไม่ใช่แค่เกิดช่องละครหรือรายการที่มีอยู่แล้วในกระแสหลัก และ 3.เรื่องความคิดสร้างสรรค์ ที่จะทำให้คนเข้ามาชมรายการมีคุณภาพอย่างที่ตั้งใจกัน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะทำให้เกิดประสิทธิภาพจริง ๆ ของการลงทุนและการใช้ทรัพยากรสาธารณะ

สุดท้ายที่ประชุมสรุปเกณฑ์ออกมาได้ 5 ด้าน คือ ด้านที่เกี่ยวกับองค์กร ด้านเทคนิค ด้านเนื้อหา ด้านการเงิน และด้านธรรมาภิบาล ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรติดตามได้จากผลการประชุมของบอร์ด กสทช.เร็ว ๆ นี้

เขียนโดย วนิดา วินิจจะกูล ในกรุงเทพธุรกิจ

! http://blog.nation.ac.th/?p=2633

ไล่ล่า มืออาชีพ

จักร์กฤษ เพิ่มพูล
จักร์กฤษ เพิ่มพูล

โฆษณาทั้งชวนเชื่อ และชวนด้วยความเชื่อจริงๆ ในเรื่องการ “เรียนกับมืออาชีพ” นับเป็นปรากฏการณ์ร่วม ที่เกิดขึ้นมายาวนานแล้ว ในสถาบันการศึกษาต่างๆ เพราะความคิดเรียนเพียงเพื่อกระดาษหนึ่งแผ่น จบแล้วไม่มีงานทำ โดยเฉพาะในสาขาทางด้านสังคมศาสตร์ที่ว่ากันว่าเรียนง่าย จบง่ายนั้น บั่นทอนขวัญและกำลังใจของผู้เรียนไม่น้อย

! http://bit.ly/165e7cO

ภาพประกอบจาก http://mediainsideout.net/local/2013/04/121

เนื่องเพราะเมื่อจบแล้ว ไม่สามารถเข้าสู่ระบบงานได้ทันที เพราะเรียนมาอย่างหนึ่ง แต่ในงานเป็นอีกอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะในสาขานิเทศศาสตร์ ที่หมุนไปไม่ทันโลกแห่งเทคโนโลยีการสื่อสาร

ฉะนั้น การเรียนรู้กับมืออาชีพ จึงเป็น “ข้อเสนอ” และทางเลือกของผู้บริหารสถาบันการศึกษา เพื่อสร้างแรงจูงใจว่า นักศึกษาจะได้เรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์โดยตรง จากกรณีศึกษาที่เกิดขึ้นจริง หรือในสภาพบรรยากาศสถานที่ทำงานจริง และเมื่อจบแล้ว มีหลักประกันว่าจะได้ทำงานแน่นอน แต่ประเด็น ก็คือ สิ่งเหล่านี้มีอยู่จริงหรือไม่ สถาบันการศึกษาใด จะมีมืออาชีพเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตบัณฑิตได้มากน้อย จริงจังเพียงใด

คำว่า “มืออาชีพProfessional หรือ Professionalism คืออะไรแน่ มีคนนิยามคำนี้ไว้หลากหลาย ถ้านิยามอย่างรวบรัด ก็อาจจะพูดได้ว่า เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ในเรื่องนั้น และที่อาจไม่ค่อยได้พูดถึงนัก ก็คือต้องมีคุณธรรม จริยธรรม ด้วย แต่เพียงเท่านี้คงยังไม่เพียงพอที่จะบอก คุณลักษณะของมืออาชีพ เพราะดูเหมือนว่า ความเป็นมืออาชีพยังปะปนกับคำว่า อาชีพ หรือกระทั่งคำว่า “วิชาชีพ” เมื่อกล่าวถึงในบริบทของสื่อสารมวลชน

นอกจากคำว่า “อาชีพ” “วิชาชีพ” แล้ว เมื่อพูดถึงงานด้านสื่อสารมวลชน ยังมีคำว่า “อาชีวปฏิญาณ” อีกคำหนึ่ง คำสามคำนี้ ต่างกันอย่างไร

คำว่า อาชีพ หมายถึง การทำกิจกรรม การทำงานที่ไม่เป็นโทษกับสังคมและมีรายได้ตอบแทนโดยอาศัย แรงงาน ความรู้ ทักษะ อุปกรณ์ เครื่องมือ วิธีการแตกต่างกันไป ส่วนวิชาชีพนั้น หมายถึง งานที่อุทิศจิตวิญญาณให้กับงาน ต้องอาศัยการอบรมสั่งสอนมานาน เป็นงานที่มีแบบแผนและจรรยาของหมู่คณะ จุดเน้นวิชาชีพคืออาชีพที่ต้องมีจรรยาบรรณ หากประกอบวิชาชีพขัดต่อจรรยาบรรณแล้ว จะก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อสังคม เช่น ครู หมอ นักกฎหมาย ตำรวจ ทหาร รวมทั้งสื่อมวลชน

สำหรับอาชีวปฏิญาณ เป็นศัพท์บัญญัติ ซึ่งยังอ้างอิงไม่ได้ชัดว่าใครคือต้นกระแสธาร แต่ครูหนังสือพิมพ์รุ่นใหญ่พงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร กล่าวถึงบ่อยครั้ง คือ “…การปฏิญาณตนต่อสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า จะประกอบอาชีพตามธรรมเนียมที่วางไว้เป็นบรรทัดฐาน หาใช่เป็นการทำมาหากิน หรือทำมาหาเลี้ยงชีพ แต่เพียงอย่างเดียว

กล่าวอย่างรวบรัด การเรียนกับมืออาชีพ หมายถึงการเรียนกับผู้ที่มีประสบการณ์ตรงในอาชีพนั้น ซึ่งในที่นี้จะพูดถึงในเรื่องอาชีพสื่อสารมวลชน ในคณะที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเรียกชื่อว่านิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ สื่อสารมวลชน หรือยังคงมีฐานะเป็นโปรแกรมในคณะวิทยาการจัดการ ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบางแห่งก็ตาม แต่ในโลกความเป็นจริง สถาบันการศึกษาจำนวนไม่น้อย ยังขาดแคลนมืออาชีพที่สามารถถ่ายทอดประสบการณ์จริงไปพร้อมๆ กับการสอนทฤษฎีหรือหลักการในห้องเรียน

แต่ในทางตรงกันข้าม นักวิชาชีพส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีทักษะในการสอน หรือสามารถอธิบายถ่ายทอดประสบการณ์ได้อย่างเห็นภาพ เหมือนอาจารย์อาชีพที่มีความเชี่ยวชาญในการเรียนการสอน นับเป็นเหรียญสองด้านที่ยังถกเถียงกันอยู่

คำว่า “เรียนกับมืออาชีพ” จึงยังเป็นคำที่ต้องค้นหาความหมายที่แท้จริงกันต่อไป แต่ในทางทฤษฎีการเรียนจากของจริง ฝึกปฏิบัติจริงและทำจริง นั่นคือสุดยอดของการเรียนแน่นอน

โดย จักร์กฤษ เพิ่มพูล ในกรุงเทพธุรกิจ

! http://blog.nation.ac.th/?p=2631

จี้สพฐ.บรรจุผอ.ลงร.ร.ต่ำกว่า 60 คน ห่วง 300 รายชื่อ ขึ้นบัญชีผู้อำนวยการแห้ว

คุณครูโรงเรียน
คุณครูโรงเรียน

17 มกราคม 2556 นายวุฒิชัย ชินรัตน์ ผู้แทนผู้ผ่านการสรรหาขึ้นบัญชีรวมผู้อำนวยการสถานศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ตน และคณะได้ยื่นหนังสือถึงนาย พงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ศึกษาธิการ (ศธ.) นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ.และนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เพื่อคัดค้านกรณีที่ สพฐ.ไม่บรรจุผู้อำนวยการสถานศึกษาที่มีนักเรียนต่ำกว่า 60 คน ว่า ตามที่ สพฐ.ได้ดำเนินการสรรหาเพื่อบรรจุแต่งตั้ง ผู้อำนวยการสถานศึกษาในปีงบประมาณ 2555 ซึ่งมีบัญชีของกลุ่มประสบการณ์ และบัญชีกลุ่มทั่วไป แต่ขณะนี้ ศธ.และ สพฐ.มี นโยบายที่จะไม่บรรจุแต่งตั้งผู้อำนวยการสถานศึกษาในโรงเรียนที่มีนักเรียนต่ำกว่า 60 คน และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) หลายเขต รับย้ายเพิ่มเติมหลายรอบ ทำให้มีโรงเรียนที่มีนักเรียนต่ำกว่า 60 คน เพิ่มจำนวนมาก ซึ่ง สพป.ส่วนมากยังไม่รายงานตำแหน่งว่างให้ สพฐ.ทราบ ทำให้มีผลกระทบกับผู้ที่ผ่านการสรรหา และขึ้นบัญชีไว้ทั้ง 2 กลุ่ม หรืออาจจะไม่ได้บรรจุแต่งตั้งในตำแหน่งดังกล่าวตามจำนวนที่ขึ้นบัญชีไว้ โดยเฉพาะผู้ที่ผ่านการสรรหา และขึ้นบัญชีไว้ทั้ง 2 กลุ่ม ที่ผ่านการอบรม และพัฒนาแล้ว จะทำให้สูญเสียงบประมาณแผ่นดินที่ใช้อบรมโดยสูญเปล่า ดังนั้น จึงขอให้บรรจุแต่งตั้งผู้อำนวยการสถานศึกษาในโรงเรียนที่มีนักเรียนต่ำกว่า 60 คน และให้ สพฐ.เร่งรัดการส่งตำแหน่งว่างใน สพป.ให้ชัดเจน และรวดเร็ว

การสอบขึ้นบัญชีผู้อำนวยการสถานศึกษา สอบตั้งแต่ปีที่ผ่านมา น่าจะเหลือผู้ที่ขึ้นบัญชีในกลุ่มประสบการณ์ และกลุ่มทั่วไปกว่า 300 คน ที่ยังรอการบรรจุแต่งตั้ง หากไม่บรรจุในโรงเรียนที่ต่ำกว่า 60 คน เกรงว่าจะทำให้ผู้ที่สอบขึ้นบัญชีไว้ไม่ถูกเรียกบรรจุภายใน 2 ปี และบัญชีต้องถูกยกเลิกจนเสียสิทธิ เพราะขณะนี้การขึ้นบัญชีครบ 1 ปีแล้ว เหลือเวลาอีก 1 ปีเศษเท่านั้น นอกจากนี้ การไม่บรรจุ ผู้อำนวยการสถานศึกษาดังกล่าว ยังกระทบ กับการเรียนการสอนที่จะไม่มีคุณภาพเต็มที่ ครูขาดขวัญกำลังใจ และยังทำให้การบริหารงานโรงเรียนไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ โรงเรียนที่มีนักเรียนต่ำกว่า 60 คน ไม่ได้เป็นโรงเรียนที่ควบรวมกับโรงเรียนขนาดเล็กอื่นๆ ยังเป็นโรงเรียนที่เปิดการเรียนการสอนอยู่ แต่ไม่มี ผู้อำนวยการโรงเรียนเท่านั้นนายวุฒิชัยกล่าว

นายอนันต์ ระงับทุกข์ รองเลขาธิการ กพฐ.กล่าวว่า กรณีที่ สพฐ.ไม่บรรจุแต่งตั้ง ผู้อำนวยการสถานศึกษาที่มีนักเรียนต่ำกว่า 60 คนนั้น เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่จะให้โรงเรียนขนาดเล็กมีความร่วมมือในการบริหารจัดการร่วมกัน สพฐ.จึงให้นโยบายกับเขตพื้นที่การศึกษาไปดำเนินการ ทั้งนี้ ผู้ที่สอบขึ้นบัญชีได้ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้รับการบรรจุแต่งตั้ง เพราะตำแหน่งที่เปิดสอบบรรจุในครั้งที่ผ่านมา มีตำแหน่งว่างมากกว่าผู้ที่สอบขึ้นบัญชี ฉะนั้นจึงไม่ต้องกังวล เพราะจะทยอยบรรจุตามบัญชีที่สอบไว้ อย่างไรก็ตาม การเป็นผู้บริหารสถานศึกษานั้น จะต้องไม่เลือกสนามรบ พร้อมจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ เหมือนกับผู้บริหารสถานศึกษาในอดีต ที่ไม่เคยได้ไปบรรจุในจังหวัด หรือบ้านเกิดของตนเองเลย

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31282&Key=hotnews

เรื่อง “การสอนของคุณครู”
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=lungboon&date=24-11-2010&group=5&gblog=63

สร้างทางตัน หรือทางออก (itinlife395)

end road
end road

ในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมีเรื่องของทางเลือก (Decision) ที่คนเขียนโปรแกรมทุกคนต้องใช้คำสั่ง if สำหรับการเขียนโปรแกรมยุคใหม่ก็อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ไม่ใช่เงื่อนไขปกติ จะมีบริการตรวจสอบความผิดพลาดที่เป็นข้อยกเว้น (Exception) แล้วดำเนินการแบบพิเศษกับเหตุการณ์เหล่านั้น ซึ่งการเขียนโปรแกรมก็จะต้องเขียนตามนโยบาย หรือความต้องการของผู้ใช้ อาทิ เขียนโปรแกรมตัดเกรด คุณครูก็ต้องกำหนดว่าจะตัดเกรดแบบอิงเกณฑ์ หรืออิงกลุ่ม ถ้าอิงเกณฑ์จะให้ A มีคะแนนเท่าใด หรืออิงกลุ่มจะใช้ค่าเบียงเบนมาตรฐานเท่าใด

http://www.oknation.net/blog/zumon/2011/07/05/entry-1

ในทางคอมพิวเตอร์มีทางออก และมีแนวทางแก้ไขเสมอ มีเหตุและมีผลทุกครั้ง ไม่มีหลักไสยศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง ในอดีตตัวแปรภาษายังไม่ดีนัก เวลากำหนดให้โปรแกรมทำซ้ำตลอดกาลก็จะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ค้างไม่ตอบสนองใด แล้วผู้ใช้ก็ต้องปิดเครื่องแล้วเปิดใหม่ เมื่อรู้ก็เข้าไปแก้ไขได้ไม่ปล่อยให้ปัญหาเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่างกับปัญหาในชีวิตจริงที่ไม่สมเหตุสมผล อาทิ ในบางกิจกรรมบอกว่าเรามีเมตตาไปทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา จากนั้นไปทานอาหารร่วมกันบนโต๊ะอาหารก็มีปลาเผาไก่ย่างส้มตำ ซึ่งปลาก็ได้มาจากแม่น้ำหน้าวัดนั่นเอง หรือดื่มสุราทำให้เสียสุขภาพ แต่ก็เหมือนดื่มเพื่อสุขภาพ เพราะดื่มกันบ่อยแล้วแบ่งปันผ่านเฟสบุ๊คมาให้ดูอย่างมีความสุข

ปัจจุบันเราพูดว่าปฏิเสธรถไฟความเร็วสูง ปฏิเสธเสื้อผ้ายี่ห้อ ปฏิเสธฟุตบอลนอก ปฏิเสธอาหารต่างชาติ ปฏิเสธยักค้าปลีก เพราะชาตินิยมสูง แต่พบว่าสถิติอุปโภคบริโภคไม่เป็นเช่นนั้น หากนึกไปถึงการปฏิเสธผู้นำ ถ้าคนกลุ่มเล็กกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าผู้นำไม่ดี ไม่ชอบผลการเลือกตั้ง แล้วขอให้เลือกตั้งใหม่หลังรู้ผลเลือกตั้ง สังคมนั้นก็คงมีชีวิตอยู่ในทางตัน เพราะในชีวิตจริงไม่มีสังคมขนาดใหญ่สังคมใดยอมรับผู้นำที่ถูกเลือกตั้งร้อยละร้อย คงเพราะสามัญสำนึกของผู้คนรู้ว่าสังคมต้องมีผู้นำ แม้ไม่ถูกใจบ้างแต่เรือจะขาดกัปตันไม่ได้ ก็ต้องปล่อยให้บริหารไปวาระหนึ่ง แล้วค่อยมาพิจารณากันใหม่ ในทางคอมพิวเตอร์ก็เช่นกันเทคโนโลยีใดก็ต้องเข้าสู่กระบวนการทดลองใช้ แล้วประเมินผล  หากผลประเมินไม่น่าพอใจก็ต้องเปลี่ยนใหม่ ถ้าดีก็บอกต่อ แต่อย่างน้อยก็ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนั้นไประยะหนึ่ง เมื่อมีของใหม่มาให้เลือกก็ค่อยพิจารณาทางเลือกนั้นอีกครั้ง

 

 

ปัญหาแท้จริงคืออะไร ตอบได้ด้วย why-why analysis

why why analysis
why why analysis

http://www.syque.com/improvement/Why-Why%20Diagram.htm

มีโอกาสประชุมสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้  เรื่อง “ประสบการณ์ในการทำหน้าที่ประธาน/กรรมการประเมินคุณภาพการศึกษาภายใน” เมื่อวันที่ 29 เม.ย.56 แล้ว 30 ก็เป็น http://www.cheqa.mhesi.go.th/ ซึ่งผลของการนำเสนอในวันที่ 29 มาจากข้อมูลในระบบ cheqa จึงเห็นภาพในวันที่ 30 ว่านำข้อมูลส่วนใดไปวิเคราะห์ และระบบช่วยป้องกันจุดตรวจสอบ (check point) ในอนาคตอย่างไร

เริ่มจาก ศ.เกียรติคุณ ดร.กิตติชัย วัฒนานิกร ฉายภาพรวมว่ามาทำอะไร จะเห็นอะไรในวันนี้ แล้ว ผศ.ประเสริฐ อัครประถมพงศ์ ให้ความรู้เรื่องการวิเคราะห์ว่ามีเครื่องมือชื่อว่า Root cause analysis, why-why analysis และ 5W1H แล้วก็หนุนให้ทำ KM และมีภาพน้ำแข็งที่ลอยกับที่จม หากไม่รู้ก็อาจชน ถ้าน้ำแข็งที่จมอยู่ก็นำมาใช้ไม่ได้ เป็นต้น ผศ.ดร.จินดา งามสุทธิ แจ้งว่า graph เส้นในเอกสารขอเปลี่ยนเป็นแท่งจะเหมาะสมกว่า  ซึ่งผลการศึกษา “ความสามารถด้านการประเมิน (Evaluation capacity)” จากข้อมูลปี 2553 และ 2554 จำแนกเป็น 6 องค์ประกอบ

! http://www.mua.go.th/users/bhes/bhes2/qa%20exc56/qa%20exc2556.html
! http://photopeach.com/album/xw38dn?ref=more

ความสามารถด้านการประเมิน มี 6 องค์ประกอบ ดังนี้

1. การรวบรวม ตรวจสอบ บันทึกข้อมูลครบถ้วนในระบบ CHE
1.1 บทสรุปสำหรับผู้บริหาร
1.2 รายนามคณะผู้ประเมินคุณภาพการศึกษาภายใน
1.3 สรุปข้อมูลพื้นฐานของสถาบัน
1.4 การวางแผนและการประเมิน (ก่อน ระหว่าง และหลังการตรวจเยี่ยม)
1.5 วิธีการตรวจสอบและความน่าเชื่อถือของข้อมูล

2. การให้ข้อสรุปเชิงประเมิน (Evaluative conclusion) ตามองค์ประกอบ/มาตรฐาน
เป็นการตรวจสอบความครบถ้วนของการลงข้อสรุป การแปลผล ตาม ป.2 – ป.5
2.1 จุดแข็ง/จุดอ่อน แนวทางเสริมจุดแข็ง/จุดที่ควรพัฒนา
2.2 ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงพัฒนา
2.3 ข้อสรุปตามองค์ประกอบคุณภาพ
2.4 ข้อสรุปตามมาตรฐานการอุดมศึกษา
2.5 ข้อสรุปตามมุมมองด้านการบริหารจัดการ

3. การตรวจสอบยืนยันความถูกต้องของข้อมูล CDS
3.1 การยืนยันข้อมูลตัวบ่งชี้ สมศ. และสำนักงาน ก.พ.ร.
3.2 การตรวจสอบการเขียนผลประเมินที่สอดคล้องกับ CDS
3.3 ความสามารถในการตรวจสอบข้อมูลที่ไม่สมเหตุสมผล
3.4 การเขียนสรุปผลประเมินสอดคล้องกับตัวเลข ตาราง ป.2- ป.5

4. การให้ข้อเสนอแนะที่สอดคล้องกับจุดแข็งจุดอ่อน (SWR) ตามบริบทของสถาบัน
ความสมเหตุสมผลของการให้ข้อเสนอแนะ
ถ้าองค์ 7 ตกประเมิน แล้วจะบอกว่า ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ และบุคลากรทุกระดับมีความรู้ความตั้งใจในการทำงานไม่ได้

5. การตรวจสอบร่องรอยหลักฐานประกอบผลประเมิน
มีหลักฐานจริง จึงจะให้คะแนนตามเกณฑ์ได้

6. การจัดทำบทสรุปผู้บริหารตามหลักเกณฑ์ที่ สกอ.กำหนด
6.1 ชื่อหน่วยงาน จุดประสงค์การก่อตั้ง และกลุ่มสถาบันอุดมศึกษาการปฏิบัติตามพันธกิจพร้อมพัฒนาการ
6.2 ผลการประเมินในภาพรวมตามองค์ประกอบคุณภาพ
6.3 ผลการประเมินในภาพรวมตามมาตรฐานการอุดมศึกษา
6.4 ผลการประเมินในภาพรวมตามมุมมองด้านการบริหารจัดการ
6.5 ผลการประเมินในภาพรวมตามมาตรฐานสถาบันอุดมศึกษา
6.6 จุดเด่น/แนวทางเสริม
6.7 จุดที่ควรพัฒนา/แนวทางแก้ไข
6.8 ข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาทั้งระยะสั้นและระยะยาว

กรณีศึกษา 15 กรณีให้ชวนแลกเปลี่ยน
! http://www.eit.or.th/dmdocuments/plan/why_why_analysis_3.pdf

หลักสูตรฝึกอบรม why-why analysis เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาด้วยเทคนิคการตั้งคำถาม ซึ่งเป็นเทคนิคที่สามารถค้นหาต้นตอของปัญหาไปพร้อมๆ กับแนวทางแก้ไขและป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้น
! http://www.thaicostreduction.com/DocFile/Seminar/031%20why%20why%20analysis.doc

กระเป๋าโลกร้อน
กระเป๋าโลกร้อน

http://www.facebook.com/photo.php?fbid=10151542200633895&set=a.450805098894.247019.814248894

ระบบการศึกษาของเรา

ระบบการศึกษาของเรา (Our Education System)

our education system
our education system

ด้วยเกณฑ์คัดเลือกที่ยุติธรรม
ทุกคนได้ข้อสอบชุดเดียวกัน
ถ้าใครปีนต้นไม้ได้
ก็จะได้ไปต่อ

For a fair selection
everybody has to take the same exam:
please climb that tree

ระบบการศึกษาของเรา
“ทุกคนเป็นอัจฉริยะในตนเอง
แต่ถ้าคุณตัดสินว่าปลาสามารถปีนต้นไม้ได้
ปลาก็มีชีวิตทั้งชีวิตของมัน เชื่อว่ามันน่ะโง่”
Our education System
“Everybody is a genius.
But if your judge a fish by its ability to climb a tree,
it will live its whole lifebelieving that it is stupid.”
??? Albert Einstein
(It’s disputed whether Einstein said this or not. I like it regardless.) http://www.princeton.edu/aos/people/graduate_students/hill/quotes/

Fake Quote .. ประโยคที่ Einstein ไม่ได้กล่าวไว้ http://skepticaesoterica.com/category/history/ (fake quote)
The first appearance of this quote is from The Rhythm of Life: Living Every Day with Passion and Purpose (2004) by Matthew Kelly, p. 80, however there is no evidence of it being printed prior, and no evidence Einstein said it.

แต่ภาพนี้ไม่ได้บอกว่า
ทุกตัวอยากอยู่เหนือเส้นมาตรฐาน
คือ ไม่ไปอยู่บนโต๊ะอาหารของใคร

ความตั้งใจของภาพนี้ คือ การจัดการศึกษา และใช้เกณฑ์การวัดผลที่เหมาะกับแต่ละบุคคลเพื่อให้ทุกคนถูกพัฒนาไปอยู่เหนือเส้นมาตรฐาน .. ได้ไปต่อทุกคน ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

http://malenenielsen1984.wordpress.com/2013/04/05/our-education-system/

http://www.empowernetwork.com/yvettewilkinson2/blog/did-you-know-that-self-education-is-just-as-important-as-formal-education/

http://www.lolbrary.com/post/19912/our-education-system/

quoteinvestigator.com มีประเด็นเห็นต่าง หรือให้รายละเอียดเพิ่มเติม

ปลาตีน
ปลาตีน

http://quoteinvestigator.com/2013/04/06/fish-climb/