บุรินทร์ รุจจนพันธุ์

กยศ.จ่อฟ้องนักเรียน 9 หมื่นราย (ข่าว ธ.ค.2550)

studentloan
studentloan

นายธาดา มาร์ติน ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า กยศ.ได้หารือร่วมกับสำนักงานศาลยุติธรรมเพื่อขอให้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเด็กนักเรียนนักศึกษาที่กู้ยืมเงินกยศ.ก่อนถูกดำเนินคดี เพราะในปี 2551 นี้ กยศ. อาจต้องดำเนินคดีตามกฎหมายกับเด็กนักเรียนนักศึกษาประมาณ 90,000 ราย เนื่องจากมีหนี้ค้างชำระ กยศ.เกิน 4 งวดขึ้นไป โดยเป็นหนี้ที่กำหนดชำระหนี้ในรุ่นปี 42-46

http://news.sanook.com/economic/economic_228616.php
http://www.decha.com/main/showTopic.php?id=1374
http://www.studentloan.or.th/audit/forum/viewthread.php?forum_id=1&thread_id=4353

ทั้งนี้ กยศ.ได้ขอให้ศาลยุติธรรมทำการไกล่เกลี่ยกับผู้ถูกฟ้อง โดยนัดเจรจากับผู้กู้ยืมที่ยังค้างชำระหนี้ เพื่อให้มาผ่อนชำระหนี้คืน กยศ.ใน 2 กรณี คือทำคำรับรองขอชำระหนี้ที่ค้างชำระและทำสัญญาประนีประนอมยอมความนอกศาล หากไม่ดำเนินการก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ซึ่งกยศ.ได้จัดโครงการไกล่เกลี่ยฯ ขึ้น ใน 9 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, ศรีสะเกษ, บุรีรัมย์, ร้อย เอ็ด, ขอนแก่น, สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช และสงขลา ขึ้นในวันที่ 8 ม.ค.-8 มี.ค.51 นี้

นายธาดา กล่าวว่า การฟ้องร้องเด็กนักเรียนนักศึกษาครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า กยศ.จะเอาผิดกับผู้กู้ยืมเงินแต่อย่างใด แต่เป็นสัญญาที่กยศ.ต้องดำเนินการ เพราะถือว่าเด็กนักเรียนผิดนัดชำระหนี้เช่นเดียวกับผู้กู้เงินจากสถาบันการเงินทั่วไป เพราะหากไม่กู้ยืม กยศ.ก็จะมีความผิดตามระเบียบเช่นกัน และการเปิดโครงการไกล่เกลี่ยครั้งนี้จะทำให้เด็กนักเรียนนักศึกษามีโอกาสมาติดต่อเพื่อชำระหนี้ที่ค้างอยู่ รวมทั้งช่วยลดปริมาณคดีที่จะฟ้องคดีในศาลและลดภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีกับผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกัน ที่สำคัญยังช่วยเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับ กยศ. และสร้างจิตสำนึกในการชำระหนี้ ตลอดจนขั้นตอนการดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทฯ

กยศ.ต้องการให้เด็กนักเรียนนักศึกษาที่กู้ยืมเงินมาร่วมโครงการทุกรายเพราะจะได้ไม่ถูกดำเนินคดี ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทั้งค่าไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง ค่าธรรมเนียมศาลหรือค่าทนายความ ที่สำคัญผู้กู้ยืมเงินจะได้รับโอกาสมากขึ้นในการผ่อนผันการชำระหนี้ และเมื่อไกล่ เกลี่ยข้อพิพาทเสร็จแล้วยังทราบผลทันที โดยไม่ต้องเสียเวลามาศาลเพื่อฟังการพิจารณาคดี รวมทั้งยังมีส่วนร่วมในการตัดสินใจหาวิธีชำระหนี้ที่เหมาะสมกับตัวเองอีกด้วย

นอกจากนี้ กยศ.ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการและการอบรมเกี่ยวกับการนำระบบอี-สติวเด้นท์โลน หรือการกู้ยืมเงินผ่านระบบอินเทอร์เน็ต มาใช้ในการกู้ยืมเงินตั้งแต่ปีการศึกษา 2551 เป็นต้นไป โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-31 ม.ค.2551 นี้ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับสถานศึกษา นักเรียนนักศึกษาที่จะขอกู้ยืมเงินจาก กยศ.ให้มีความเข้าใจที่ตรงกันและทำให้ได้รับเงินที่กู้ยืมรวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย

นายธาดา กล่าวว่า ในปีการศึกษา 50 ต้องยอมรับว่าผู้กู้ยืมเงินจาก กยศ.อาจได้รับเงินล่าช้า เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย แต่กยศ.ได้พยายามหาแนวทางเพื่อให้เด็กนักเรียนนักศึกษาได้รับเงินโดยเร็วที่สุดแล้ว จนล่าสุดธนาคารกรุงไทยได้โอนเงินให้สถานศึกษากว่า 90% แล้ว โดยยืนยันว่าในปีการศึกษาหน้าเป็นต้นไป เมื่อนำระบบอี-สติวเด้นท์โลนเข้ามาใช้แล้วปัญหาทุกอย่างจะหมดไปแน่นอน

ก่อนหน้านีนายธาดา ได้ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับเด็กนักเรียนนักศึกษาที่ยังไม่ได้รับเงินกู้จากสถานศึกษา โดยขอให้สำรวจรายชื่อจากสถานศึกษาให้ชัดเจนก่อนว่าได้รับคัดเลือกให้เป็นบุคคลที่ได้รับเงินกู้หรือไม่จากนั้นจึงตรวจสอบไปที่ธนาคารกรุงไทยว่ามีการโอนเงินแล้วหรือไม่ หากมีปัญหาจริง ๆ ก็ขอให้ติดต่อมาที่สำนักงานของ กยศ.ได้

ทั้งนี้ที่ผ่านมาธนาคารกรุงไทย ได้โอนเงินให้จนเกือบครบตามสัญญาที่สถานศึกษาส่งมาให้แล้ว แต่ก็พบว่ายังมีบางส่วนที่ยังไม่ได้รับเงินกู้จาก กยศ.เพราะมีปัญหาเรื่องการขอโควตาเกินงบประมาณที่ กยศ.จัดให้ ซึ่งเรื่องนี้ต้องตรวจสอบรายละเอียดให้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่งก่อน.

Air Asia : Low Cost Airline, High Efficiency

Air Asia : Low Cost Airline, High Efficiency
โดย : ดรรชกร ศรีไพศาล

airasia
airasia

ปี 2546 ธุรกิจสายการบินในประเทศไทยเริ่มรู้จักกับชื่อสายการบิน Air Asia ซึ่งมาพร้อมกับ Know How และประสบการณ์ในธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำจากประเทศมาเลเซีย โดยเปิดตัวเป็นทางเลือกในการเดินทางด้วยเครื่องบินที่มีค่าโดยสารถูกกว่าสายการบินปกติ และนำมาซึ่งการรู้จักกับคำว่า “สายการบินต้นทุนต่ำ (Low Cost Airline)” แก่นักเดินทางในประเทศไทย พร้อมกับกระแสที่กระตุ้นความรู้สึก Everyone Can Fly หรือ “ใครๆ ก็บินได้” ให้เกิดการตื่นตัวไปทั่วประเทศ เพราะหมายถึง ทุกคนในสังคมไทย สามารถเลือกวิธีการเดินทางด้วยเครื่องบินไป ณ ที่แห่งใดในประเทศไทย ด้วยราคาที่ถูก สะดวกและรวดเร็วได้

ใคร ๆ ก็บินได้
ใคร ๆ ก็บินได้

หลังจากนั้นไม่นาน การบินไทย ได้เปิดตัวสายการบินต้นทุนต่ำขึ้นมา เพื่อเป็น Fighting Brand คือ Nok Air หรือนกแอร์ เด่นที่สีสันฉูดฉาด กับมาตรฐานการบินเทียบเท่ากับสายการบินไทย ยังมีเอกลักษณ์ น่าสนุก ของ CEO พาที สารสิน จึงเป็นที่คาดหมายว่า การแข่งขันในธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำในประเทศไทย จะระอุ และดุเดือด ไม่น้อยกว่าการแข่งขันของผู้ประกอบการในธุรกิจอื่นๆ ที่มีคู่แข่งขันน้อยราย เช่น น้ำอัดลม หรือผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้ Air Asia จึงเร่งเครื่องหนีคู่แข่งเช่น Nok Air ภายใต้ภาวะวิกฤติทางการเมือง ในปี 2549 ด้วยการขยายเส้นทางการบินให้ครอบคลุมความต้องการการเดินทางภายในประเทศมากขึ้น และยังขยายไปสู่การบินข้ามประเทศ ด้วยกลยุทธ์ต่างๆ โดยเฉพาะการดำเนินกิจกรรมทางการตลาด ในการขยายฐานผู้โดยสารของสายการบินไปยังกลุ่มเป้าหมายทางการตลาดใหม่ๆ ภายใต้แนวคิด หรือคำขวัญ “ใครๆ ก็บินได้ หรือ Everyone Can Fly” อย่างต่อเนื่อง

เมื่อ Nok Air ซึ่งในเบื้องต้นได้ถูกจัดวางให้เป็น Fighting Brand ของการบินไทย แต่ในภายหลังได้ปรับบทบาท สถานะ และตำแหน่งทางการตลาด หรือ Position ของ Nok Air ให้อยู่เหนือกว่าการเป็นสายการบินต้นทุนต่ำ เช่น Air Asia หรืออื่นๆ แต่จะไม่สูงกว่าสายการบินปกติ หรือการบินไทย ดังนั้น ในวันนี้ จึงปรากฏชื่อผู้นำในธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำ ที่โดดเด่นอยู่ในประเทศไทย คือ Air Asia

การเป็นสายการบินต้นทุนต่ำ ย่อมต้องบริหารต้นทุนการดำเนินงานในทุกๆ มิติของธุรกิจสายการบินให้ต่ำกว่าการดำเนินงานของสายการบินปกติ และ Air Asia สามารถที่จะดำเนินการ หรือ Execution ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในปัจจัยสำคัญๆ ของธุรกิจการบิน เช่น การเลือกใช้เครื่องบินเพียงรุ่นเดียว คือ Air Bus A320 เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในฝึกอบรมนักบิน และการบำรุงรักษาเครื่องบิน หรือการใช้ช่องทางการจัดจำหน่ายบัตรโดยสาร ผ่านช่องทาง Electronics ต่างๆ เช่น Internet หรือ Application บน Smart Phone แทนการใช้ตัวแทนจำหน่ายบัตรโดยสาร เช่นสายการบินปกติต่างๆ หรือแม้แต่การออกแบบและตกแต่งภายในตัวเครื่องบิน เพื่อลดภาระ และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา หรือทำความสะอาด โดยไม่ลดทอนความน่าใช้บริการลงไป เช่น การใช้หนังสัตว์หุ้มเบาะที่นั่งโดยสาร แทนการใช้วัสดุอื่นๆ ที่มีความยุ่งยากในการบำรุงรักษามากกว่า เป็นต้น

โดยมีการประเมินถึงประสิทธิภาพการลดต้นทุนของ Air Asia ทั้งต้นทุนคงที่ และผันแปรต่างๆ ที่ Air Asia สามารถลดได้เฉลี่ยถึง 1 ใน 3 ของสายการบินปกติ ซึ่งส่วนต่างของต้นทุนนี้ คือ ความได้เปรียบในการแข่งขันในธุรกิจสายการบิน ที่ Air Asia ใช้เป็นเครื่องมือหลักในการก้าวสู่ความเป็นผู้นำในธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำในประเทศไทย ด้วยกลยุทธ์และแผนการตลาดที่น่าสนใจ และเป็นที่รอคอยของนักเดินทางชาวไทยในทุกๆ วาระ

ด้วยเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน (Flight Attendants) โดยเฉพาะ Air Hostess ในชุดแดง ที่นอกจากจะให้บริการเช่นเดียวกับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสายการบินต่างๆ แล้ว ยังมีอีกหนึ่งหน้าที่ คือ การเป็น Entertainer แก่ผู้โดยสาร ในทุกๆ เที่ยวบิน กระทั่ง เป็นที่ได้รับการยอมรับในกลุ่มผู้โดยสารและสังคมไทยอย่างกว้างขวาง และเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการตัดสินใจเลือกเดินทางโดยสายการบิน Air Asia ของผู้โดยสารไทยจำนวนหนึ่ง

ด้วยความสามารถ ทัศนคติที่ดี ความพร้อมให้บริการแก่ผู้โดยสารด้วยความจริงใจ ทั้งในสถานะของพนักงานต้อนรับ และการเป็น Entertainer บนเครื่องบิน ของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของ Air Asia ปัจจุบันจึงมักได้พบ Air Hostess ในชุดแดง ของ Air Asia ปรากฏตัวเป็นสัญลักษณ์หนึ่งที่สำคัญของ Air Asia ในทุกๆ สื่อ เสมือนเป็น Brand Ambassadors ของ Air Asia

นอกจากความได้เปรียบด้านต้นทุน และทัศนคติเชิงบวกของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน และบุคลากรส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อีกปัจจัยสำคัญในแรงขับเคลื่อนของ Air Asia คือ กลยุทธ์การตลาดที่น่าตื่นเต้น และน่าสนใจ สำหรับนักเดินทางรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่ม Generation Y ที่กำลังมีบทบาทในระบบเศรษฐกิจ และสังคมไทยในปัจจุบัน

กลยุทธ์การตลาดของ Air Asia ที่น่าสนใจ คือ การสร้าง Brand ให้เป็นรับรู้ และยอมรับของตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการสร้าง และขยายฐานผู้ใช้บริการการเดินทางด้วยเครื่องบินให้เพิ่มขึ้น ภายใต้คำขวัญ “ใครๆ ก็บินได้ หรือ Everyone Can Fly” ที่ส่งผลสะเทือนไปถึงคู่แข่งขันในธุรกิจสายการบิน และคู่แข่งขันทางอ้อม ในธุรกิจการขนส่งและโดยสาร ทั้งทางถนน และระบบราง โดยอาศัยจุดแข็งด้านการบริหารต้นทุนในธุรกิจที่ต่ำกว่าคู่แข่งขัน จึงสามารถสร้างสรรค์ “ลูกเล่น” การ Promotion มาส่งเสริมการตลาดได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ ค่าโดยสาร 0 บาท

ทั้งหมดนี้ ต้องยอมรับถึงความสามารถด้านการ Execution ของคณะผู้บริหาร Air Asia ทั้งการจัดการ เพื่อลดต้นทุนของ Air Asia อย่างมีประสิทธิภาพ และความสามารถในชั้นเชิงการบริหารด้านบุคลากรให้เกิดทัศนคติที่ดีต่อการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ โดยเฉพาะด้านการให้บริการ และ Entertain แก่ผู้โดยสาร ที่ได้ช่วยสร้างภาพลักษณ์อันดีแก่ Air Asia ในธุรกิจสายการบิน รวมถึง ความสามารถสร้างสรรค์รูปแบบการตลาด และการบริการใหม่ต่างๆ ที่น่าตื่นเต้น สอดรับกับพฤติกรรมของผู้โดยสารรุ่นใหม่ในตลาด

Air Asia คือ ตัวอย่างของการบริหารธุรกิจที่สามารถนำมาเป็นแบบอย่าง ที่ผู้บริหารรุ่นใหม่ในปัจจุบัน จะสามารถเสาะหาข้อมูล เพื่อการศึกษา เรียนรู้ เกี่ยวกับความสามารถด้านการ Execution กลยุทธ์ และแผนการดำเนินงานขององค์กรให้ประสบความสำเร็จได้

โดย ดรรชกร ศรีไพศาล ในกรุงเทพธุรกิจ
! http://bit.ly/11Igo5M
! http://blog.nation.ac.th/?p=2708

ป.ตรี อาชีวศึกษาต้องให้ สกอ.รับทราบ

ป.ตรี อาชีวศึกษาต้องให้ สกอ.รับทราบ ป้องกันบัณฑิตรับราชการไม่ได้
เพราะก.ค.ศ.-ก.พ. ไม่รับรองและตีค่าเงินเดือน

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

โดย ทีมข่าวการศึกษา ไทยรัฐออนไลน์
20 มิถุนายน 2556, 05:00 น.

นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ได้อนุมัติหลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยี/สายปฏิบัติการ ของสถาบันการอาชีวศึกษา ทำให้มีข้อสงสัยว่าจะต้องส่งหลักสูตรให้ สกอ.รับทราบก่อนหรือไม่นั้น โดยหลักการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) และคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) จะตีค่าเงินเดือนของใบปริญญาบัตร ก็ต่อเมื่อหลักสูตรนั้นได้รับการรับทราบจากสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สกอ.) หาก สกอ.ไม่รับทราบ ก.ค.ศ.และ ก.พ. ก็จะไม่รับรองและตีค่าเงินเดือนให้ ซึ่งบัณฑิตที่จบหลักสูตรนั้นๆ ก็จะเข้ารับราชการไม่ได้ และยิ่งถ้าเป็นวิชาชีพเฉพาะหลักสูตรนั้นก็จะต้องผ่านสภาวิชาชีพด้วย เช่น หลักสูตรแพทยศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยใดก็ตามเมื่อสภามหาวิทยาลัยอนุมัติหลักสูตรแล้วจะต้องส่งให้แพทยสภาก่อน เมื่อผ่านแพทยสภาแล้วจึงจะส่งมาให้ สกอ.รับทราบ จากนั้นจึงจะส่งให้ ก.พ.และ ก.ค.ศ.ตีค่าเงินเดือน เป็นต้น

เลขาธิการ กกอ.กล่าวต่อว่า หากไม่มีขั้นตอนให้ สกอ.รับทราบ บัณฑิตก็จะรับราชการไม่ได้ แต่หากคิดว่าผู้ที่จบหลักสูตรใดก็ตามจะไม่เข้ารับราชการแน่นอนก็ไม่จำเป็นต้องให้ สกอ.รับทราบก็ได้ อย่างไร ก็ตาม ที่ผ่านมามีปัญหาว่า บางมหาวิทยาลัยส่งหลักสูตรให้ สกอ.รับทราบ ขณะที่หลักสูตรเดียวกันบางมหาวิทยาลัยก็ไม่ส่ง จึงเกิดกรณีสมัครสอบบรรจุเข้ารับราชการครูไม่ได้ เนื่องจาก ก.ค.ศ.ไม่รับรอง ทั้งที่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของผู้เรียนเลย แต่เป็นความบกพร่องของสถาบันหรือมหาวิทยาลัย ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ก็น่าจะส่งมาให้ สกอ.รับทราบ.

http://www.thairath.co.th/content/edu/352317

ฐานข้อมูลคุณวุฒิที่ได้รับการรับรอง

ระบบรับรองคุณวุฒิ

ฐานข้อมูลคุณวุฒิ
ฐานข้อมูลคุณวุฒิ

https://accreditation.ocsc.go.th/accreditation/search/curriculum

! 203.21.42.34/acc/index.html
ได้ค้นคำว่า ระบบรับรองคุณวุฒิ พบว่า รัฐบาลไทยทำรายการให้คนไทยสืบค้นหลักสูตรว่าหลักสูตรใดได้มาตรฐาน ดูแลโดย สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)
ซึ่งมีคุณวุฒิทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
ตัวอย่างนี้เป็นหลักสูตรหนึ่งในทั้งหมด 90 หลักสูตร ของ มหาวิทยาลัยเนชั่น (เดิมมหาวิทยาลัยโยนก)

! goo.gl/FONkf

นิสิตนิติจุฬาฯ ร้องไม่เป็นธรรม ถูกรีไทร์ย้อนหลัง 5 คน อ้างเกรดออกช้า 2 ปี

nisit chula
nisit chula

http://nisitchula.weebly.com/

19 มิ.ย.56 รายงานข่าวแจ้งว่ามีกลุ่มนิสิตคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  5 คน ถูกแจ้งย้อนหลังให้พ้นสถานภาพการเป็นนิสิต ในวิชาที่เรียนในระดับชั้นปีที่ 1 ภาคการศึกษาที่ 2 วิชาหนึ่ง ซึ่งเป็นวิชาบังคับที่นิสิตทุกคนต้องเรียน  เพราะเหตุจากการที่อาจารย์ผู้สอน ส่งผลคะแนนการศึกษาในวิชาดังกล่าวล่าช้ามากกว่า 2 ปี หรือกว่า 5 ภาคการศึกษา  โดยในขณะนั้นนิสิตกลุ่มดังกล่าวกำลังศึกษาอยู่ในชั้นปีที่หนึ่ง  ในรายวิชา “กฏหมายกับสังคม” ซึ่งเป็นวิชาที่เรียนในระดับชั้นปีที่ 1 ภาคการศึกษาที่ 2 โดยผลคะแนนของวิชาดังกล่าวเพิ่งออกมาเมื่อไม่นานมานี้ รวมระยะเวลามากกว่า 2 ปี

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1371628676&grpid=01&catid=01

ปัจจุบันนิสิตกลุ่มดังกล่าวกำลังศึกษาในชั้นปีที่ 4 ภาคการศึกษาต้น ที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การขยับขึ้นชั้นเรียนในชั้นปีที่2-3 แม้ว่าผลคะแนนวิชาดังกล่าวจะยังไม่ประกาศผล ระบบการลงทะเบียนเรียน ก็อนุญาตให้นิสิตกลุ่มดังกล่าว สามารถที่จะลงทะเบียนเรียนในชั้นปีที่ 2- 3 ได้โดยปกติ เมื่อขึ้นชั้นปี 4 นิสิตกลุ่มดังกล่าว ได้ทำการลงทะเบียนเรียนปกติ แต่ภายหลังกลับถูกแจ้งว่า ให้พ้นสถานภาพการเป็นนิสิต เนื่องจากผลคะแนนวิชา “กฎหมายกับสังคม” ที่เคยเรียนเมื่อชั้นปีที่ 1 ภาคการศึกษาที่ 2 เมื่อหลายปีก่อนได้ประกาศผล โดยเป็นการประกาศผลคะแนนถึงสามชั้นปีในครั้งเดียว (เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.2556)  ทำให้เมื่อนำผลคะแนนวิชาดังกล่าว มาคำนวณผลคะแนนเฉลี่ยรวมสมัยชั้นปีที่ 1 ทั้งสองภาคการศึกษาแล้ว ปรากฏว่า ผลการเรียน ไม่ผ่านเกณฑ์ที่จะได้ศึกษาต่อในคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ อีกต่อไป

เมื่อตรวจสอบเว็บไซต์ของ สำนักงานการทะเบียนและประมวลผล ของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้อธิบายหลักเกณฑ์ การจำแนกสภาพนิสิต ว่าต้องกระทำครั้งแรกเมื่อสิ้นภาคการศึกษาที่สอง ซึ่งตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ผลคะแนนของ วิชา “กฎหมายกับสังคม” กลับไม่สามารถประกาศได้ทัน จนเวลาล่วงเลยมามากกว่า 2 ปี ซึ่งไม่สามารถจำแนกสภาพนิสิตครั้งแรกได้ กลับมาจำแนกสภาพนิสิตในการประกาศผลคะแนนวิชาดังกล่าวเมื่อขึ้นชั้นปีที่ 4

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นิสิตกลุ่มดังกล่าว ได้พยายามที่จะติดต่ออาจารย์ผู้สอนรายวิชาดังกล่าว เพื่อติดตามผลคะแนน แต่ก็ได้รับคำตอบว่า กำลังเร่งในการตรวจอยู่ เมื่อสอบถามไปยังหน่วยงาน และ บุคคลที่เกี่ยวข้องก็ได้รับคำตอบว่า จะประสานงานกับอาจารย์ผู้สอนให้ ซึ่งนิสิตเองก็มีความกังวลกับผลคะแนนที่ประกาศช้าเป็นอย่างมาก เพราะมีผลต่อการวางแผนการศึกษาในชั้นปีต่อไป และเมื่อล่าสุดผลคะแนนได้ประกาศออกมา ก่อนเปิดภาคการศึกษาที่ 1 ชั้นปีที่ 4 ทำให้ผลการเรียนเฉลี่ยรวมในสองภาคการศึกษาของชั้นปีที่ 1 ต่ำกว่าเกณฑ์และต้องถูกถอนสถานภาพนิสิต ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตในอนาคตของนิสิตกลุ่มดังกล่าวอย่างมาก รวมทั้งครอบครัว ของนิสิตด้วย

หลังเกิดกรณีดังกล่าวขึ้น ทางคณะกรรมการบริหารคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ประชุมปรึกษาหารือกัน  รวมทั้งเชิญนิสิตที่ได้รับผลกระทบทั้ง 5 คน เข้าพบหารือ เพื่อหาทางออก พร้อมทั้งได้เปิดเวทีชี้แจงให้นิสิตทุกชั้นปีรับฟัง และในคราวการประชุมคณะกรรมการบริหารคณะนิติศาสตร์ ครั้งที่ 12/2556 ได้มีมติออกมา  โดยมีใจความสำคัญ คือ การยอมรับผิดที่คณะได้ส่งคะแนนการศึกษาล่าช้า  และมีมาตราการในการเยียวยาออกมา 4 ข้อ  คือ

1.มาตรการเยียวยาทางการเงิน เห็นควรให้นิสิตได้รับการเยียวยา ดังต่อไปนี้
1.1 คืนค่าธรรมเนียมทางการศึกษานับตั้งแต่เวลาที่พ้นสภาพ  พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
1.2 ชดใช้ค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการศึกษาตามความเป็นจริง เป็นรายกรณีไป
1.3 ชดเชยค่าเสียโอกาส
2. เห็นควรเสนอให้มหาวิทยาลัยให้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง และคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ในกรณีดังกล่าว
3.ทั้งนี้ในส่วนของรายวิชาดังกล่าว คณะกรรมการเห็นพ้องให้มีการเปลี่ยนอาจารย์ผู้สอน ตั้งแต่ปีการศึกษา 2556 นี้เป็นต้นไป
4.ในส่วนของการส่งคะแนนช้าในรายวิชาต่างๆนั้น  ที่ประชุมมีความเห็นว่าควรเพิ่มมาตราการ ดังต่อไปนี้
4.1ให้มีการออกหนังสือทวงถาม ครั้งที่1 และ 2 ถึงอ.ผู้สอนในรายวิชา เมื่อครบ 1 ถึง 2 เดือน นับแต่วันสอบวันสุดท้ายของภาคนั้น
4.2 หากครบสามเดือนแล้ว พึงมีการตั้งกรรมการสอบวินัยอาจารย์ผู้สอนต่อไป เว้นแต่มีเหตุจำเป็นบางประการที่ทำให้ส่งคะแนนภายในกำหนดไม่ได้

ทั้งนี้จากเหตุการณ์ดังกล่าวได้ถูกตั้งคำถามจาก ศิษย์ปัจจุบันและศิษย์เก่าจำนวนมากถึงเรื่องความรับผิดชอบของคณะที่ควรจะมีมากกว่านี้ตั้งแต่คณะผู้บริหารจนกระทั่งถึงอาจารย์ผู้สอน  เพราะเมื่อนิสิตกลุ่มดังกล่าวได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ ต้องถูกรีไทร์ (Retire) ตั้งแต่การเรียนในชั้นปีที่ 1 นิสิตก็ควรจะต้องรู้ตั้งแต่เวลานั้น การปล่อยให้เวลาล่วงเลยจนถึงปีสี่ แล้วเกรดปีหนึ่งจึงได้ประกาศ และมารู้ตัวตอนปี 4 ว่าต้องถูกรีไทร์  ซึ่งคณะจะเยียวยาโดยจ่ายเงินตั้งแต่ปี 2 ถึง ปี 4 นั้นเป็นวิธีที่ถูกต้องแล้วหรือ เมื่อเป็นอาจารย์ระดับมหาวิทยาลัย มีหน้าที่ความรับผิดชอบ ชัดเจน ทำไมจึงไม่มีเวลาในการตรวจข้อสอบนิสิต

นอกจากนี้ยังมีการตั้งคำถามจากศิษย์เก่ากันอีกว่ามาตรการดังกล่าวที่ออกมานอกจากเป็นการไม่ช่วยเหลือนิสิตทั้งห้าคนแล้วยังเป็นการลอยตัวของผู้บริหารคณะ ที่ให้อาจารย์เพียงท่านเดียวแบกความรับผิดชอบ โดยมิได้ตระหนักว่า ในคณะมีอาจารย์เพียงไม่ถึงสิบท่านที่ออกเกรดตรงเวลา โดยจำนวนมากตั้งคำถามและวิพากษ์กับความเป็นมาตรฐานและตัวระบบโครงสร้างการคิดคะแนนและการจัดการเรียนการสอนของคณะที่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดร้ายแรงดังกล่าว

เรื่องดังกล่าวนี้น่าจะเป็นที่จับตามองของประชาคมจุฬาทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันอย่างกว้างขวาง   โดยปัญหาดังกล่าว สะท้อนระบบการบริหารงาน และการจัดหลักสูตรการศึกษา ของ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ที่ส่งผลกระทบต่อ “นิสิต” เพราะจะไม่ใช่เพียง 5 คน ที่ได้รับผลกระทบกับเรื่องที่เกิดขึ้น หากแต่อาจส่งผลกระทบกับ “นิสิต” รุ่นต่อไป  และเรื่องนี้อาจต้องไปต่อสู้ในศาลปกครองกลางต่อไป

สื่อนอกชี้ แจกแท็บเล็ต แก้ระบบการศึกษาไทยไม่ตรงจุด-ต้องสอนผู้เรียนคิดเป็น

คุณครูคง demo อยู่
คุณครูคง demo อยู่

เด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านสันกอง อ.แม่จัน จ.เชียงราย
กำลังใช้คอมพิวเตอร์แท็บเล็ตประกอบการเรียนในชั้นเรียน
เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2556

learning
learning

เอเอฟพี – เด็กชาวเขาตามโรงเรียนบนดอยสูงของไทยใช้ปลายนิ้วสัมผัสและเลื่อนไปบนหน้าจอคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต ซึ่งช่วยให้พวกเขาได้รับโอกาสฝึกทักษะทั้งด้านภาษาอังกฤษ, คณิตศาสตร์ และดนตรี ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษายังคงตั้งคำถามว่า การ “แจก” อุปกรณ์ไฮเทคเหล่านี้จะช่วยให้ระบบการศึกษาไทยมีคุณภาพทัดเทียมนานาอารยประเทศได้จริงหรือไม่

ความด้อยโอกาสทางการศึกษาของนักเรียนชนบท คือที่มาของโครงการแจกแท็บเล็ตนับล้านเครื่องให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งรัฐบาลและกลุ่มสนับสนุนชี้ว่าจะช่วยยกระดับมาตรฐานการศึกษาไทยได้ ขณะที่ผู้ต่อต้านเชื่อว่านโยบายเช่นนี้เป็นเพียงกลยุทธ์เรียกคะแนนนิยมจากพ่อแม่ผู้ปกครอง รวมถึงเด็กๆ ซึ่งจะเติบโตเป็นพลเมืองผู้มีสิทธิเลือกตั้งในอนาคต

ที่โรงเรียนบ้านสันกอง อ.แม่จัน จังหวัดเชียงราย เด็กนักเรียน 90 คน ได้รับแจกคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตในปีที่แล้ว ตามโครงการ “1 แท็บเล็ตต่อนักเรียน 1 คน” (One Tablet Per Child) ซึ่งเป็นนโยบายที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ไว้ระหว่างหาเสียงเลือกตั้งเมื่อปี 2011

เด็กๆ เหล่านี้จะสวมหูฟังและทำกิจกรรม เช่น ร้องเพลงภาษาอังกฤษ, ชมการ์ตูนพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเล่นเกมทางคณิตศาสตร์ เป็นเวลา 1 ชั่วโมงต่อวัน แต่ในช่วงเริ่มปีการศึกษาใหม่ ซึ่งเนื้อหาที่จะใช้เรียนผ่านแท็บเล็ตยังมาไม่ถึง พวกเขาก็ต้องทบทวนบทเรียนเก่าของปีที่แล้ว โดยมีคุณครูคอยให้คำแนะนำ

ศิริพร วิชัยพานิช ครูชำนาญการพิเศษประจำโรงเรียนบ้านสันกอง เผยว่า เธอไม่เคยได้รับการฝึกให้ใช้แท็บเล็ตสอนนักเรียนมาก่อน จึงยังไม่คล่องแคล่วเท่าที่ควร

ดิฉันพอมีความรู้อยู่บ้างเพราะที่บ้านมีไอแพด… แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าจะต้องสอนนักเรียนอย่างไรดี

นักเรียนส่วนใหญ่มาจากชุมชนชาวเขาเผ่าอาข่า ซึ่งไม่ได้พูดภาษาไทยเป็นหลัก ดังนั้น การมีคอมพิวเตอร์พกพาจึงถือเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับพวกเขา

“นักเรียนเหล่านี้ยังพูดภาษาไทยไม่ค่อยได้ แต่พวกเขาสามารถฟังเสียงได้ชัดเจนจากแท็บเล็ต และหัดพูดตาม” วรรณวดี สมแดง ครูอีกคนหนึ่งกล่าว

“เด็กบางคนไม่กล้าถามคำถามกับครู พอมีแท็บเล็ตมาช่วย พวกเขาก็ฟังได้ง่ายขึ้น”

ปัจจุบันมีนักเรียนเพียง 2 คนจากทั้งหมด 90 คนที่ได้รับอนุญาตให้นำแท็บเล็ตติดตัวกลับบ้านหลังเลิกเรียน ซึ่งบ้านของเด็กๆ ส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีไฟฟ้าใช้

ที่บ้านพวกเขาไม่มี Wi-Fi และไม่สะดวกที่จะชาร์ตแบตเตอรี แต่ปัญหาสำคัญที่สุดก็คือ คุณพ่อคุณแม่เองก็ใช้แท็บเล็ตไม่เป็น” อุทัย มูลเมืองคำ ผู้อำนวยการโรงเรียนเอ่ยถึงปัญหาที่พบ แต่ก็ยอมรับว่า แม้เด็กจะได้ใช้แท็บเล็ตเพียงวันละ 1 ชั่วโมง “ก็ถือว่าได้รับโอกาสเช่นเดียวกับนักเรียนในเมือง

สุรพล นะวะมวัฒน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ระบุว่า รัฐบาลต้องการลดช่องวางทางการศึกษาระหว่างคนรวยในเมืองและคนยากจนในชนบท และมีเป้าหมายที่จะแจกคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้นักเรียน 13 ล้านคนทั่วประเทศ ภายในสิ้นปี 2014 และเปลี่ยนเครื่องใหม่ให้ทุกๆ 2 ปี

หากคำนวณจากราคาแท็บเล็ตเครื่องละราวๆ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 3,100 บาท) งบประมาณสำหรับโครงการนี้จึงอาจสูงถึง 40,000 ล้านบาท

   แท็บเล็ตที่ผลิตในจีนถูกแจกจ่ายไปถึงมือนักเรียนแล้ว 850,000 เครื่อง และรัฐบาลก็เตรียมจะที่แจกล็อตถัดไปอีก 1.7 ล้านเครื่อง ซึ่งถือเป็นโครงการแจกแท็บเล็ตเพื่อการศึกษาครั้งใหญ่ที่สุดของโลกก็ว่าได้

อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การแจกคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตไม่ใช่สิ่งที่จะรับรองได้ว่า มาตรฐานการศึกษาไทยจะดีขึ้นกว่าเดิม

Jonghwi Park ผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีการศึกษา จากองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ในกรุงเทพมหานคร ชี้ว่า คอมพิวเตอร์แท็บเล็ตเป็นเพียง “อุปกรณ์การศึกษา” อย่างหนึ่ง ไม่ต่างอะไรกับดินสอ และปัญหาสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าจะใช้อะไรมาเป็นสื่อการสอน แต่อยู่ที่จะสอนเด็ก “อย่างไร” มากกว่า

เธอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยที่วางแผนจะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาส่งเสริมการเรียนรู้ คิดให้รอบคอบเสียก่อนว่า วิธีการเช่นนี้จะช่วยยกระดับการศึกษาได้ตามที่รัฐบาลมุ่งหมายจริงหรือไม่

ขณะเดียวกัน นักวิจารณ์บางรายก็ชี้ว่า ระบบการศึกษาไทยจำเป็นต้องมีการ “เปลี่ยนแปลงขนานใหญ่

ถ้าคุณจะแก้ระบบการศึกษาไทย ผมบอกได้เลยว่ามันต้องโละทิ้งทั้งระบบ” สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว

ห้องเรียนทุกวันนี้ไม่ได้กระตุ้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมเท่าที่ควร บรรยากาศยังน่าเบื่อหน่ายมาก” อาจารย์สมพงษ์ กล่าว พร้อมชี้ว่า นักเรียนไทยส่วนมากถูกสอนให้จดจำข้อมูลอย่างเดียว และไม่กล้าแสดงความคิดเห็นของตนเอง

ความบกพร่องของระบบการศึกษาไทยปรากฏออกมาชัดเจนผ่านผลสำรวจขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เมื่อปี 2009 ซึ่งพบว่า ไทยมีคะแนนทักษะคณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์ และการอ่าน มาเป็นลำดับที่ 50 จากทั้งหมด 65 ประเทศที่ทำการสำรวจ ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศที่เน้นให้ผู้เรียน “คิดเป็น” ดร.รังสรรค์ มณีเล็ก ที่ปรึกษาประจำสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ระบุ

ดร.รังสรรค์ ชี้ว่า ในขณะที่การศึกษาไทยยังเน้นว่าผู้เรียนตอบ “ถูก” หรือ “ผิด” ต่างชาติกลับให้ความสำคัญกับกระบวนการคิดที่นำไปสู่ข้อสรุปของผู้เรียน

แม้หลายฝ่ายจะกังวลว่านักเรียนอาจนำคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น ดูสื่อลามก หรือเล่นเกมที่ส่งเสริมความรุนแรง แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า เยาวชนรุ่นใหม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานด้านไอทีเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล

ทักษะสำคัญอย่างหนึ่งของการใช้ชีวิตในศตวรรษที่ 21 คือการรู้จักนำอุปกรณ์ไฮเทคมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน… ถ้าไม่มีทักษะเหล่านี้เลย พวกเขาคงหางานทำไม่ได้แน่” ปาร์ก จากองค์การยูเนสโก กล่าว

http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9560000073639

โรงเรียนลดชั่วโมงเรียนวิชาการ เน้นเสริมการงานอาชีพ เริ่มปีหน้า

เสกโลโซบอกว่า “ได้อย่าง เสียอย่าง”
– โรงเรียนกวดวิชาบอกว่า “ดี ๆ ชอบ ๆ เข้าทางแล้ว”
– ส่วนเด็กต่างอำเภอบอกว่า “เรียนมากปวดหัว ..”
– เด็กในเมืองบอกว่า “สอนน้อยหน่อยก็ดี ที่สอนมาเรียนล่วงหน้าไปหมดแล้ว”
– คุณครูบอกว่า “ดีมาก .. จะได้มีเวลาทำผลงาน”

มีข้อมูลเบื้องต้นว่า .. จำนวนโรงเรียนกวดวิชาในลำปาง
ประเมินด้วยสายตามีเกือบ 30 แล้ว
ถ้าปรับหลักสูตรลดวิชาการในโรงเรียน คาดจะมีผุดใหม่ทะลุ 50 เป็นแน่
http://thaiabc.com/lampangnet/admin/528/

กระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายลดชั่วโมงเรียนวิชาการเกือบครึ่ง
เน้นเสริมการงานอาชีพ โดยเริ่มในปีการศึกษาหน้า

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ภานิช ทองโรจน์
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ภานิช ทองโรจน์

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ภานิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวในการเปิดงานสมัชชาการศึกษา 2556 การศึกษาไทยแบบไหนที่เด็กต้องการ โดยเครือข่ายยุวทัศน์ กรุงเทพมหานครจัดขึ้น ว่า หลักสูตรการศึกษาไทยในปัจจุบันใช้มากว่า 12 ปี (2544) ถือว่าล้าสมัย จึงเตรียมปรับหลักสูตรให้เป็นปัจจุบันมากขึ้นโดยเน้นกระบวนการทางวิชาการ ทั้งของไทยและต่างประเทศ นำมาผนวกกันให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด โดยจะเน้นการเรียนนอกห้องเรียน ลดการเรียนวิชการในห้องเรียนให้น้อยลง เพื่อให้เกิดการพัฒนาการของสมองเด็กในช่วงต่าง ๆ เช่น นักเรียน ป.1 – 2 จะมีการออกแบบหลักสูตรการเรียนเฉพาะ เพราะเป็นช่วงที่เด็กต้องมีทักษะในการเตรียมความพร้อม เพื่อเปิดรับการศึกษาที่สูงขึ้นที่เน้นการพัฒนาการทางด้านร่างกายและจิตใจ สอดแทรกเนื้อหา ดนตรี ศิลปะ กีฬามากขึ้น และที่สำคัญจะเน้นให้รู้เรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย จากเดิมใช้เวลาในห้องเรียน 700 ชั่วโมงต่อปี ให้เหลือ 600 ชั่วโมงต่อปี ขณะที่ระดับมัธยมศึกษา จะปรับให้เสริมเรื่องการงาน การอาชีพ เข้าไปด้วย เพราะมีเด็กจำนวนมากไม่เข้าสู่ระบบการศึกษาทั้งต้นและปลาย จึงต้องเสริมหลักสูตรเหล่านี้เข้าไปให้มีความรู้ใหม่ ๆ สามารถคิดได้เองโดยอิงหลักวิชาการ ซึ่งจะปรับลดให้ต่ำกว่า 1,000 ชั่วโมงต่อปี หรือประมาณร้อยละ 60 ต่อ ร้อยละ 40
ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า คาดว่าสิ้นเดือนนี้หลักสูตรดังกล่าวจะมีความชัดเจน เพื่อให้สามารถนำไปใช้ทันปีการศึกษาหน้า ขณะที่สถาบันการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(สถศ.) จะเข้ามาดูแลเรื่องการวัดผลต่อไป ซึ่งจะมีผลกับโรงเรียนทั่วประเทศ

http://thainews.prd.go.th/centerweb/news/NewsDetail?NT01_NewsID=WNSOC5606150020002

อาชีวะพร้อมเปิดสอน ป.ตรี 24 สาขา

อาชีวะพร้อมเปิดสอน ป.ตรี จัดทำหลักสูตรสายปฏิบัติการ 24 สาขา

          นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (เลขาธิการ กอศ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้จัดทำหลักสูตรปริญญาตรี 24 สาขาวิชา เพื่อใช้ในการเรียนการสอนในสถาบันการอาชีวศึกษา 19 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งหลักสูตรดังกล่าวจะครอบคลุมทุกสาขาอาชีพ ได้แก่ หลักสูตรด้านอุตสาหกรรม 5 สาขาวิชา (เทคโนโลยีไฟฟ้า เทคโนโลยีเครื่องกล เทคโนโลยีแม่พิมพ์ เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยียางและพอลิเมอร์) ด้านบริหารธุรกิจ 5 สาขาวิชา (การบัญชี การจัดการ คอมพิวเตอร์ธุรกิจ การจัดการโลจิสติกส์ การตลาด) ด้านศิลปกรรม 4 สาขาวิชา (ออกแบบผลิตภัณฑ์ ช่างทองหลวง คอมพิวเตอร์กราฟฟิก ออกแบบอัญมณี) ด้านคหกรรม 3 สาขาวิชา (เทคโนโลยีอาหารและโภชนาการ เทคโนโลยีออกแบบแฟชั่น การจัดการงานคหกรรม) ด้านเกษตรกรรม 2 สาขาวิชา (เทคโนโลยีการผลิตพืช เทคโนโลยีการผลิตสัตว์) ด้านประมง 2 สาขาวิชา (เทคโนโลยีเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เทคโนโลยีแปรรูปสัตว์น้ำ) ด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 2 สาขาวิชา (การท่องเที่ยว การโรงแรม) และด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ 1 สาขาวิชา (เทคโนโลยีสารสนเทศ)
จุดเด่นของหลักสูตร นั้นเป็นหลักสูตรปริญญาตรีสายปฏิบัติการ ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถทำงานในสถานประกอบการ และประกอบอาชีพอิสระเป็นผู้ประกอบการ โดยการพัฒนาหลักสูตรจะนำความต้องการของสถานประกอบการ และความสามารถในการเป็นผู้ประกอบการ มากำหนดเป็นหลักสูตรรายวิชา และที่สำคัญคือมีการจัดการเรียนการสอนร่วมกับสถานประกอบการ และการบ่มเพาะให้เป็นผู้ประกอบการ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของอาจารย์ผู้สอนนั้นจะส่งเสริมพัฒนาโดยให้ทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาเอก รวมทั้งจะพัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้สามารถจัดการสอนในระดับปริญญาตรีควบคู่ กันไปด้วย เลขาธิการ กอศ. กล่าว

หลักสูตรสายปฏิบัติการ 24 สาขา

หลักสูตรด้านอุตสาหกรรม 5 สาขาวิชา

– เทคโนโลยีไฟฟ้า

– เทคโนโลยีเครื่องกล

– เทคโนโลยีแม่พิมพ์

– เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์

– เทคโนโลยียางและพอลิเมอร์

หลักสูตรด้านบริหารธุรกิจ 5 สาขาวิชา

– การบัญชี

– การจัดการ

– คอมพิวเตอร์ธุรกิจ

– การจัดการโลจิสติกส์

– การตลาด

หลักสูตรด้านศิลปกรรม 4 สาขาวิชา

– ออกแบบผลิตภัณฑ์

– ช่างทองหลวง

– คอมพิวเตอร์กราฟฟิก

– ออกแบบอัญมณี

หลักสูตรด้านคหกรรม 3 สาขาวิชา

– เทคโนโลยีอาหารและโภชนาการ

– เทคโนโลยีออกแบบแฟชั่น

– การจัดการงานคหกรรม

หลักสูตรด้านเกษตรกรรม 2 สาขาวิชา

– เทคโนโลยีการผลิตพืช

– เทคโนโลยีการผลิตสัตว์

หลักสูตรด้านประมง 2 สาขาวิชา

– เทคโนโลยีเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

– เทคโนโลยีแปรรูปสัตว์น้ำ

หลักสูตรด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 2 สาขาวิชา

– การท่องเที่ยว

– การโรงแรม

หลักสูตรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ 1 สาขาวิชา

– เทคโนโลยีสารสนเทศ

          ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

! http://www.phontong.ac.th/newseducation/18216.html

อาชีวะศึกษา
อาชีวะศึกษา

สอศ.เปิดหลักสูตรปริญญาตรีสายปฏิบัติการเป็น “ปฐมฤกษ์”
10 มิ.ย.2556 ที่วิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชร        

10 มิ.ย.56 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เปิดทำการเรียนการสอนหลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ เป็นปฐมฤกษ์ใน 9 สถาบัน 43 วิทยาลัย จำนวน 16 สาขาวิชา พร้อมจัดนิทรรศการโชว์ศักยภาพในงาน “อาชีวะสร้างคน สร้างงาน สร้างชาติ” และเปิดเวทีเสวนาในหัวข้อ“ทิศทางการผลิตและพัฒนากำลังคนสนองความต้องการในการยกระดับการแข่งขันของประเทศ ณ วิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชร ในวันที่ 10 มิถุนายน 2556 โดยมี นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยประธานสภาอุตสาหกรรม ประธานสภาหอการค้าไทย ประธานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิด

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า การที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาเปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการนี้ ถือเป็นมิติใหม่ของหลักสูตรอาชีวศึกษาที่สถาบันการอาชีวศึกษาและสถานประกอบการจะจัดการศึกษาร่วมกันอย่างเข้มแข็งและเป็นรูปธรรม ซึ่งนักศึกษาจะได้รับความรู้และประสบการณ์ตรงจากการทำงานจริงในฐานะที่เป็นพนักงานฝึกหัด ซึ่งผู้ปกครองจะมีความเชื่อมั่นว่าลูกหลานจะมีอนาคตที่ดี ส่วนภาคอุตสาหกรรมนั้นก็จะได้คนที่มีคุณสมบัติตรงกับความต้องการอย่างแท้จริง และในวันที่ 10 มิถุนายน 2556 นี้ จะเป็นการเปิดการเรียนการสอนปฐมฤกษ์ทั่วประเทศ  ทั้งนี้ตนเชื่อว่าการที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาเปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรีสายปฏิบัติการจะช่วยพัฒนากำลังคนที่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศได้เป็นอย่างดี

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ที่ผ่านมาสถาบันการอาชีวศึกษาได้ทำการพัฒนาหลักสูตรตามกรอบมาตรฐานหลักสูตร และกรอบคุณวุฒิวิชาชีพ โดยมีครู ผู้เชี่ยวชาญ สถานประกอบการ ตลอดจนผู้มีประสบการณ์สายวิชาชีพต่าง ๆ เข้ามาร่วมในการดำเนินการ โดยหลักสูตรดังกล่าวมุ่งเน้นการจัดอาชีวศึกษาในระบบทวิภาคี ซึ่งนักศึกษาจะต้องเป็นพนักงานฝึกหัดในสถานประกอบการ ไม่น้อยกว่า 1 ปี เพื่อให้ได้รับความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ตรงจากการทำงานจริงในสถานประกอบการ ถือเป็นรูปแบบการจัดอาชีวศึกษาที่เน้นคุณภาพด้านสมรรถนะผู้เรียนเป็นสำคัญ ดังนั้นเชื่อมั่นว่านักศึกษาที่จบมาจะมีคุณภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานอย่างแน่นอน

ส่วน ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีการศึกษา 2556 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาเปิดสอนหลักสูตรการเรียนการสอนระดับปริญญาตรี สายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ ใน 9 สถาบัน จำนวน 43 วิทยาลัย โดยเปิดสอน 16 สาขาวิชา มีแผนรับนักศึกษา 46 ห้องเรียน ห้องเรียนละ 20 คน รวมทั้งสิ้น 920 คน สำหรับสาขาที่เปิดสอนมีดังนี้ สาขาวิชาช่างทองหลวง สาขาวิชาเทคโนโลยียาง สาขาวิชาการโรงแรม สาขาวิชาการท่องเที่ยว สาขาวิชาเทคโนโลยีแม่พิมพ์ สาขาวิชาเทคโนโลยีการก่อสร้าง สาขาวิชาเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม สาขาวิชาเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ สาขาวิชาเทคโนโลยียานยนต์ สาขาวิชาเทคโนโลยีไฟฟ้า สาขาวิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ สาขาวิชาการจัดการสำนักงาน สาขาวิชาการตลาด สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ และสาขาวิชาการบัญชี

ในโอกาสเดียวกันนี้ได้มีการจัดเสวนาเรื่องทิศทางการผลิตกำลังคนสนองความต้องการในการยกระดับการแข่งขันของประเทศโดย นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล ประธานกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า ขณะนี้ภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยมีอัตราการขยายตัวค่อนข้างสูง แต่กลับประสบกับภาวะขาดแคลนแรงงานฝีมือในอุตสาหกรรมทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ที่สำคัญในอนาคตอันใกล้นี้ประเทศไทยยังต้องการแรงงานฝีมือในทุก ๆ ด้านเพื่อรองรับการเตรียมความพร้อมเป็นฐานการลงทุนของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นอีกด้วย ดังนั้นแนวโน้มการขาดแคลนแรงงานฝีมือจึงมีทีท่าว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

การเปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการนี้จึงเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มทรัพยากรบุคคลที่มีศักยภาพ มีคุณวุฒิที่สูงขึ้น มีความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติงานอย่างถ่องแท้ สามารถทำงานได้เต็มที่ในอุตสาหกรรมที่กำลังเข้าสู่ภาวะการแข่งขัน ตรงตามความต้องการของตลาด ซึ่งทางภาคอุตสาหกรรมจะมีการส่งเสริมอย่างเต็มที่โดยการให้ความร่วมมือให้นักศึกษาเข้ามาศึกษากับสถานประกอบการ และหากทำงานได้ดีก็จะรับเข้าทำงานทันทีหลังสำเร็จการศึกษา

ด้าน นายพงษ์เดช ศรีวชิรประดิษฐ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนายกสภาสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 กล่าวอีกว่า การเปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือปฏิบัติการนี้นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องความขาดแคลนแรงงานที่มีฝีมือทางด้านอุตสาหกรรม และสร้างความสมดุลระหว่างแรงงานสายปฏิบัติการและสายบริหาร ทำให้ภาคอุตสาหกรรมมีแรงงานตรงตามความต้องการของตลาดครบทั้งสองด้านแล้ว ยังเป็นเส้นทางที่จะช่วยให้ผู้เรียนสายอาชีวะมีความเจริญก้าวหน้าในเส้นทางอาชีพ และยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อสังคมให้แก่สถาบันอาชีวศึกษาอีกด้วย

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดนิทรรศการ ‘อาชีวะสร้างคน สร้างงาน สร้างชาติ’  ซึ่งแสดงให้เห็นสภาพจริงของการจัดการเรียนการสอนระดับปริญญาตรีสายปฏิบัติการใน 11 สาขาวิชาซึ่งอยู่ภายใต้ความร่วมมือระหว่างสถานประกอบการและสถาบันการอาชีวศึกษา ได้แก่

1. สาขาวิชาช่างทองหลวง
2. เทคโนโลยียาง
3. วิชาการโรงแรม
4. การท่องเที่ยว
5. เทคโนโลยีสถาปัตยกรรม
6. เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์
7. เทคโนโลยียานยนต์
8. เทคโนโลยีไฟฟ้า
9. เทคโนโลยีการผลิตพืช
10.การตลาด
11.คอมพิวเตอร์ธุรกิจ

รวมไปถึงสาขาวิชาใหม่ที่จะมีโครงการเปิดสอนซึ่งแตกต่างจากสถาบันอื่นๆ ได้แก่ สาขาวิชามาตรวิทยา สาขาวิชาเครื่องกลเรือ และสาขาวิชาหุ่นยนต์อีกด้วย

ปีการศึกษา 2556 เปิดสอน 16 สาขาวิชา ได้แก่
1. สาขาวิชาช่างทองหลวง
2. สาขาวิชาเทคโนโลยียาง
3. สาขาวิชาการโรงแรม
4. สาขาวิชาการท่องเที่ยว
5. สาขาวิชาเทคโนโลยีแม่พิมพ์
6. สาขาวิชาเทคโนโลยีการก่อสร้าง
7. สาขาวิชาเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม
8. สาขาวิชาเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์
9. สาขาวิชาเทคโนโลยียานยนต์
10.สาขาวิชาเทคโนโลยีไฟฟ้า
11.สาขาวิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช
12.สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ
13.สาขาวิชาการจัดการสำนักงาน
14.สาขาวิชาการตลาด
15.สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
16.สาขาวิชาการบัญชี

http://www.vec.go.th/portals/0/tabid/103/ArticleId/1390/1390.aspx

อาชีวะสร้างคน สร้างงาน สร้างชาติ

10 มิ.ย.2556 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จัดงานอาชีวะสร้างคน สร้างงาน สร้างชาติ เพื่อเปิดปฐมฤกษ์การจัดการเรียนการสอนระดับปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฎิบัติการรุ่นที่ 1 ในวันที่ 10 มิถุนายน 2556 ณ หอประชุมใหญ่วิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร โดยได้รับเกียรติจากท่านนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์. ชินวัตร. เป็นประธานพิธีเปิดและปาฐกฐาพิเศษ เวลา 13.00 น. ในงานมีสถาบันการอาชีวศึกษามาร่วมจัดนิทรรศการ จำนวน  9 สถาบัน 11 สาขาวิชา ได้แก่ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 สาขาวิชาเทคโนโลยียาง  สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 สาขาวิชาเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 1 สาขาวิชาเทคโนโลยียานยนต์  สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 สาขาวิชาเทคโนโลยีไฟฟ้า  สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 1 สาขาวิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 2 สาาวิชาการตลาด สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร สาขาวิชาเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ สาขาวิชาช่างทองหลวง นอกจากนี้ ยังมีการเสวนาเรื่อง ทิศทางการผลิตและพัฒนากำลังคนสนองความต้องการในการยกระดับการแข่งขันของประเทศ โดยท่านรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา,  ท่านพงษ์เดช ศรีวัชรประดิษฐ์ ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และท่าน. ดร อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล. ประธานกรรมการอาชีวศึกษา.
! http://www.vei19.com/index.php?option=com_content&view=article&id=105:2013-06-09-07-51-42&catid=1:latest-news&Itemid=50

“พงศ์เทพ” กดปุ่มเปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรี 9 สถาบันอาชีวะ

16 สาขาวิชาที่เปิดสอนป.ตรี ในอาชีวะ
16 สาขาวิชาที่เปิดสอนป.ตรี ในอาชีวะ

10 มิ.ย.2556 ที่วิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชร สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เปิดการเรียนการสอนหลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ ประจำปีการศึกษา 2556 พร้อมกันครั้งแรก 9 สถาบันการอาชีวศึกษา ใน 43 วิทยาลัย โดยมี นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธาน

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่า สอศ.ได้ทำพิธีเปิดการเรียนการสอนหลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยี หรือสายปฏิบัติการ เป็นครั้งแรกในปีการศึกษา 2556 โดยเปิดสอนทั้งหมด 16 สาขาวิชา ใน 9 สถาบัน 43 วิทยาลัย รับนักศึกษาไว้ทั้งหมด 667 คน

เพื่อตอบสนองความต้องการกำลังคนภายในประเทศ ปัจจุบันกำลังคนภายในประเทศ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก  ได้แก่ กลุ่มแรก เป็นแรงงานระดับฝีมือ คือผู้จบการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) กลุ่มที่ 2 เป็นแรงงานระดับเทคนิค คือ ผู้จบการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และประเภทที่ 3 คือ ผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ซึ่งในตลาดแรงงานปัจจุบันมีแต่ปริญญาตรีสายวิชาการ แต่ภาคอุตสาหกรรม ต้องการแรงงานปริญญาตรีสายปฏิบัติการ เพราะฉะนั้น จึงเป็นภารกิจที่อาชีวศึกษาต้องผลิตกำลังคนระดับปริญญาตรีสายปฏิบัติการตอบสนองกับตลาดแรงงานภายในประเทศ

อย่างไรก็ตาม การเปิดปริญญาตรีของอาชีวศึกษานั้น สอศ.ได้ให้วิทยาลัยรวมกลุ่มเข้ามาเป็นสถาบันการอาชีวศึกษาเพื่อให้มีการแชร์ทรัพยากรทางวิชาการ ความร่วมมือร่วมกันและให้สถาบันเป็นผู้เปิดรับปริญญาตรี ปัจจุบันวิทยาลัยอาชีวศึกษาที่มีความพร้อม 160 วิทยาลัยได้รวมกันเป็นสถาบันการอาชีวศึกษาทั้งหมด 19 สถาบัน โดยใช้การรวมกลุ่มตามกลุ่มจังหวัด และมีการรวมกลุ่มวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี เป็นสถาบันการอาชีวเกษตรอีก 4 สถาบัน

ทั้งนี้ สอศ.ไม่ประกันโอกาสการเรียนปริญญาตรีให้กับทุกคน เพราะยังมีข้อจำกัดในการรับอยู่ แต่ประกันว่าทุกหลักสูตรที่เปิดนั้น เป็นหลักสูตรที่มีคุณภาพโดยหลักสูตรปริญญาตรีส่วนใหญ่จะเป็นหลักสูตรเจาะลึกเฉพาะทางและเป็นหลักสูตรอิงสมรรถนะ ซึ่งประกันได้เลยว่าผู้ที่เรียนจบจะมีสมรรถนะเช่นใด เช่น สาขายานยนต์ วิทยาลัยในอยุธยา จะเน้นในเชิงการประกอบรถยนต์

ที่มา : มติชนออนไลน์

! http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1370859129
http://www.dek-d.com/content/education/32151/

คลายปม ผ้าเหลืองร้อน พระมิตซูโอะ ลือหนีพุทธพาณิชย์

คลายปม ผ้าเหลืองร้อน พระมิตซูโอะ ลือหนีพุทธพาณิชย์
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน     11 มิถุนายน 2556 21:21 น.
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000070503

พระมิตซูโอะ
พระมิตซูโอะ

บทความนี้อ่านแล้ว
ทำให้รู้สึกว่า คุณธรรม กับจริยธรรม แยกกันชัดเจน
ถ้าผู้เกี่ยวข้องรอบท่านมีปัญหา ละม้ายคล้ายคดี [ใบอนุ .. 25ปี]
แสดงว่าเหล่าผู้เกี่ยวข้องมีจริยธรรม แต่ขาดคุณธรรม
ถ้าพระท่านแก้ไขคนอื่นไม่ได้ .. การแก้ไขตนเองอาจเป็นทางออก
เพื่อน ๆ ที่รู้จักก็มีหลายคนเลือก [แก้ไขตนเอง]

ปรากฏการณ์สร้างความตะลึง สะเทือนวงการศาสนา หลังข่าวลาสิกขาบทของพระชื่อดัง “มิตซูโอะ คเวสโก” พระชาวญี่ปุ่น เจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม ลูกศิษย์รุ่นแรกของหลวงพ่อชา สุภทฺโท ผู้ซึ่งมีคำกล่าวเปรียบเปรยว่า “ซากุระผลิบานเป็นดอกบัว” แพร่กระจายออกไป ท่ามกลางความสับสน แปลกใจ มีการแถลงข่าว เกิดการตั้งคำถาม เป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมาย เหตุใดพระอาจารย์จึงเลือกเดินทางสู่โลกแห่งความวุ่นวายอีกครั้ง

ปมปริศนา ผ้าเหลืองร้อน

อยู่ใต้ร่มกาสาวพักตร์มานานกว่า 37 พรรษา สำหรับพระชาวญี่ปุ่นชื่อดัง “มิตซูโอะ คเวสโก” พระนักคิด นักเขียน นักพูด เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชนหลายๆ คน แต่จู่ๆ กลับมีข่าวว่าพระมิตซูโอะลาสิกขาแบบกะทันหัน โดยไม่มีใครทราบเรื่องมาก่อน สร้างความตกใจและแปลกใจไม่น้อยให้กับลูกศิษย์ ลูกหาที่เคารพในตัวท่าน และเมื่อวันที่ 10 มิถุนายนก็ยืนยันแล้วว่า พระอาจารย์มิตซูโอะได้ลาสิกขาบทจริง ณ วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร กทม. เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2556 แล้วเดินทางกลับไปยังประเทศบ้านเกิดคือประเทศญี่ปุ่นโดยไม่มีกำหนดการกลับ

คลื่นคำถามซัดเข้ามามากมาย เหตุใดพระอาจารย์มิตซูโอะจึงต้องสึก?? ถึงแม้มีการยืนยันสาเหตุแล้วว่า เนื่องด้วยปัญหาสุขภาพจากโรคเบาหวานที่รุมเร้า แต่ด้วยการไม่รู้กำหนดการลาสิกขาล่วงหน้า คำตอบและท่าทีอึกอักของทางมูลนิธิมายาโคตมี รวมถึงคำให้สัมภาษณ์จากพระอาจารย์หนูพรม สุชาโต รองเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม ที่กล่าวว่า “การลาสิกขาของท่าน ทางวัดไม่ทราบว่าไปสึกที่ไหนและอาการป่วยของท่านก็เป็นองค์ประกอบหนึ่ง แต่ขอยืนยันว่า ไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเงินของมูลนิธิแต่อย่างใด และการที่ท่านจะกลับมาหรือไม่ก็ไม่มีใครจะทราบได้” เลยทำให้เราต้องสืบค้นข้อมูลเพื่อตอบคำถามค้างใจนี้ให้กระจ่าง

แหล่งข้อมูลหนึ่งที่เชิญพระอาจารย์คนดังมาร่วมงานและกำลังจะถึงวันงานอีกไม่นานนี้ ได้กล่าวกับทีมงาน ASTV ผู้จัดการ Live ว่าตอนนี้คิวงานถูกยกเลิกทั้งหมด และกล่าวเพิ่มเติมอีกด้วยว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระมิตซูโอะลาสิกขาแบบเงียบๆ นั้น เพราะมีปัญหากับกรรมการชุดปัจจุบัน ที่มีแนวทางการดำเนินงานแบบพุทธพาณิชย์

“คณะกรรมการใหม่เนี่ย เค้าเพิ่งทำงานมาได้ปี สองปีนะ ไม่ใช่คณะกรรมการที่เคยรู้ใจกันมาตลอด จนท่านเป็นท่านทุกวันนี้ พอเปลี่ยนคณะกรรมการใหม่เค้าก็เปลี่ยนมุมมอง วิธีการ เลยอาจทำให้ขาดความเข้าใจบางอย่าง เพราะท่านเป็นคนจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่ท่านไม่พูด คือท่านไม่อยากแตะเงินหรอก แต่คนรอบตัวท่านเป็นฝ่ายจัดการ ด้วยวิธีใดบ้างล่ะ มันมากเกินไปจนท่านไม่มีลมหายใจเป็นของตนเอง ท่านเลยสละ และไม่พูดถึงใครตรงนั้นเลยไง ท่านเต็มที่แล้วก็ไปเลย ท่านก็วิเวกของท่านเอง แล้วท่านอาจจะคิดได้ด้วยซ้ำไปนะว่า ในสิ่งที่มันมากเกินไปเนี่ยนะ มันก็เป็นธุรกิจทั้งนั้น

ท่านถูกนิมนต์ไปไหนต่อไหน โดยมีคนจัดการให้ตลอด ตัวท่านเองไม่ได้ใส่ใจเรื่องเงินหรอก แต่วิธีคิด การดำเนินงาน กลายเป็นว่าท่านเลยมานึกว่า ตัวท่านกำลังทำอะไรอยู่ ซึ่งคิดว่าท่านเก็บความรู้สึกนี้มานานแล้ว ท่านรู้มานานแล้วว่ากลุ่มคนพวกนี้วางกำหนดการให้ท่านไปนู่น ไปนี่ แต่ท่านไม่ว่าใคร เป็นนิสัยของท่านอยู่แล้ว คือท่านไม่อยากว่าใคร แล้วคำที่แถลงๆ กัน ที่ออกมาพูด คือไม่อยากให้มีเรื่องราว เพราะจะกระทบกับคนที่อยู่ตามมูลนิธิ ทั้งงานเขียนของท่านต่างๆ สิ่งต่างๆ มันยังต้องดำเนินอยู่ ทีนี้ก็รู้แล้วว่าไอ้สิ่งต่างๆ ดำเนินอยู่ อย่างน้อยสะท้อนไปถึงพระชื่อดังรูปอื่นๆ ที่ทำธุรกิจในเชิงจัดกิจกรรมต่างๆ มันเป็นสิ่งที่ควรระวัง เพราะอาจทำให้เสียบุคลากรคือพระดีๆ ได้ ซึ่งครั้งนี้ท่านสอนให้ทุกคนอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง จะได้รู้ว่า ที่เอาท่านมาบังหน้าเนี่ย คนไม่ปฏิบัติตามคำสอนท่านเลย คนที่ทำงานอยู่ใกล้ชิดไม่ปฏิบัติแบบท่าน คนใกล้ชิดไม่นึกถึงหัวใจท่าน”

ชี้ให้เห็น ความไม่เที่ยง

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์การลาสิกขาของพระขวัญใจคนไทยครั้งนี้ ก็เป็นเหตุการณ์ที่เตือนสติชาวพุทธได้เป็นอย่างดี ถึงความไม่เที่ยง พระอาจารย์ที่ศึกษาและเผยแพร่ธรรมะมาอย่างยาวนาน มีผลงานเขียนที่ประทับใจคนอ่าน มีมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในหลายๆ ด้าน แน่นอนว่าสร้างความตะลึงให้ประชชาชนที่เลื่อมใสในตัวท่านไม่น้อย นพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตนเองรู้สึกตกใจเช่นกันกับการลาสิกขาแบบกะทันหันของพระมิตซูโอะเช่นนี้

“ตอนแรกที่ทราบข่าวก็ไม่อยากเชื่อ ช็อกไปเลย เพราะไม่คิดว่าท่านมิตซูโอะจะสึก แต่คนจะคลอดลูก พระจะสึก ห้ามกันไม่ได้ ถือเป็นเรื่องของความพอใจของท่าน ท่านน่าจะคิดทำดีที่สุดแล้ว ส่วนเหตุผลของการสึกครั้งนี้น่าจะเป็นเหตุผลส่วนตัว ที่เรามิอาจจะทราบได้ เพราะที่ผ่านมาท่านไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสีย หรือมีปัญหา มีความขัดแย้งเรื่องใดๆ ท่านทำดีมาโดยตลอด เมื่อท่านสึกออกไปก็น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่ท่านได้สร้างแนวทางปฏิบัติไว้จะมีลูกศิษย์สืบทอดต่อไป อย่างไรก็ตาม กรณีมีกระแสข่าวว่าพระมิตซูโอะสึกที่วัดชนะสงครามฯ นั้น บอกตรงๆ ผมไม่ทราบว่าท่านสึกที่ไหนจริงๆ เพราะการสึกอยู่ที่ผู้บวชพอใจว่าจะสึกที่ไหน กับใคร”

อีกด้านหนึ่ง ในพระธรรมวินัย การลาสิกขา ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วไป ที่พึงกระทำได้ หากกายไม่พร้อม ใจไม่พร้อม อย่างที่ตัวท่านเองมีปัญหาด้านสุขภาพ อาจทำให้ปฏิบัติกิจของสงฆ์ไม่สะดวก การลาสิกขาออกมาเป็นฆราวาสเพื่อได้รักษาสุขภาพ และทำงานเผยแพร่ศาสนาก็ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด เช่นที่ ดร.บุญรอด บุญเกิด คณบดีคณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวอธิบาย

“โดยหลักการทางพุทธศาสนานิกายเถรวาทในประเทศไทยไม่ค่อยยึดติดกับการลาสิกขาอยู่แล้ว การบวชแล้วสึกเป็นเรื่องปกติ ถ้าคุณพร้อมทั้งร่างกายและด้านจิตใจเนี่ย ก็คงอยู่ในสมณเพศต่อไป แต่ถ้าเกิดว่าร่างกายไม่พร้อม จิตใจไม่พร้อม มีปัญหาอะไรต่างๆ เหล่านี้ก็สามารถที่จะลาสิกขาได้ปกติ แต่ว่าพอดีท่านเป็นชาวต่างชาติส่วนนึง อีกส่วนนึงคือท่านเป็นคนมีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับ คนไทยก็เลยจะคิดว่าท่านจะอยู่ตลอดไป อย่างหลวงพ่อปัญญาฯ ท่านพุทธทาสฯ

พอท่านลาสิกขา อาจทำให้คนมองว่าท่านมีปัญหาหรือเปล่า แต่ตามความเป็นจริง ท่านจะมีปัญหาหรือไม่มีปัญหา ท่านก็สามารถที่จะลาสิกขาหรือจำพรรษาต่อไปได้ โดยไม่ผิดระเบียบตรงไหนของพระวินัย แล้ววันนี้ท่านสึกไปแล้ว วันหน้าถ้าท่านพร้อม ท่านจะกลับมาบวชอีกก็ถือเป็นสิทธิพื้นฐานที่ท่านสามารถทำได้ เพราะสาเหตุที่ท่านสึก ท่านไม่ได้มีข้อผิดพลาด แต่ถ้าสึกโดยมีข้อผิดพลาดก็จะไม่สามารถกลับมาบวชได้อีก ซึ่งข้อผิดพลาดเนี่ย หมายถึงต้องอาบัติขั้นหนักของวินัยสงฆ์”

ขอชาวพุทธ “อย่า ยึด ติด”

กล่าวได้ว่าพระอาจารย์มิตซูโอะ เป็นดั่งร่มไม้ใหญ่ของพุทธศาสนาในประเทศไทย ชาวพุทธหลายคนที่ชื่นชอบในคำสั่งสอนของท่าน แนวคิดที่เอามาประยุกต์ได้จริง จากจุดนี้เอง โลกออนไลน์จึงมีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย ส่วนมากยินดีกับเส้นทางที่ท่านเลือก บางส่วนอาจคิดร้ายไม่น่าฟัง ไปจนถึงบางส่วนที่ว่า เสียใจที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมกับพระมิตซูโอะอีก บางส่วนเลยคิดออกมาเสียงดังว่า คงไม่ไปปฏิบัติธรมแล้ว ประโยคนี้สามารถบอกอะไรหลายอย่างกับเราว่าตอนนี้ผู้คน “ยึดมั่นในตัวพระ” หรือ “ยึดมั่นในคำสอน” กันแน่

“จริงๆ แล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้น สมมติว่ามีคนพูด “ฉันไม่เป็นคนไทยแล้ว” เอ้า ทำไมล่ะ “คนไทยไม่ดี คนไทยมีคดีข่มขืน ขอลาออกจากความเป็นคนไทย อย่างนั้นหรือเปล่า ตรงนี้นะ พระพุทธเจ้าเองก็ตรัสว่า ไม่ให้เรายึดติดกับตัวบุคคล เพราะตัวบุคคลมันไม่แน่ อาจจะดีหรือชั่ว อาจจะเปลี่ยนแปลงได้เพราะเหตุปัจจัยต่างๆ แต่ให้ยึดในหลักการหรือองค์กรหลัก

สมมติอย่างในมหาวิทยาลัย เราชอบผู้ชายคนนึง แล้วเค้าลาออก ต่อไปเราจะไม่เรียนที่มหาวิทยาลัยนั้นแล้วหรอ ซึ่งความจริงถึงจะเปลี่ยนอธิการบดี คณบดี เปลี่ยนอาจารย์สอน มหาวิทยาลัยก็ยังอยู่ได้ เพียงแต่ว่าคนที่เข้ามาก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตรงนี้ก็เช่นเดียวกัน คือพระอาจารย์ตอนที่เป็นสมณเพศอยู่ ก็สอน คนก็เลยยึดติดในตัวท่าน แล้วพอคิดว่าท่านสึกไปแล้ว ก็คงจะไม่มีคนดีๆ คนเก่งๆ อย่างนี้อีกแล้ว ก็เลยไม่มาปฏิบัติธรรม ซึ่งนั่นแสดงว่าเรายึดติดอยู่กับบุคคล ดังนั้นถ้าบุคคลเปลี่ยน แต่องค์กรยังอยู่ เราก็ต้องปฏิบัติตามหลักธรรมที่ท่านอาจารย์มิตซูโอะ หรือที่ตามหลักพุทธศาสนาสอนไว้ ถ้าหลักการมันถูกต้อง จะใครสอนก็เหมือนกัน ท่านสึกไปแล้ว ถึงแม้จะเป็นฆราวาสจะมาสอนก็ได้ ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก เพราะปัจจุบันสำนักธรรมที่เป็นฆราวาสก็เยอะแยะไป” ดร.บุญรอด กล่าว

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ ที่ทำให้ (อดีต) พระอาจารย์มิตซูโอะ เลือกกลับมาครองฆราวาสอีกครั้ง แต่สิ่งหนึ่งที่ยังทำให้ผู้คนยังเคารพและศรัทธาในตัวท่านคือการยืนยันที่จะเผยแพร่หลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาต่อไป เพราะการลาสิกขาไม่ใช่อุปสรรคในการปฏิบัติธรรม ถ้าใจนั้นยังคงเป็นพระ

เปิดประวัติพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก เป็นพระภิกษุชาวญี่ปุ่น บวชในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท คณะมหานิกาย ท่านเป็นศิษย์รุ่นแรกของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก มีชื่อเดิมว่า “มิตซูโอะ ชิบาฮาชิ” เป็นชาวจังหวัดอิวะเตะ ประเทศญี่ปุ่น เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 สำเร็จการศึกษาในระดับไฮสคูล (เทียบเท่าระดับ ปวช. หรือ มศ.5 ตามระบบการศึกษาไทย) สาขาเคมี ณ เมืองโมะริโอะกะ จังหวัดอิวะเตะ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจึงทำงานจนสามารถเก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง และออกเดินทางไปยังที่ต่างๆ ทั่วโลกเพื่อแสวงหาความหมายของชีวิตตั้งแต่ พ.ศ. 2514

พระอาจารย์มิตซูโอะ ได้เดินทางมาสู่ประเทศไทย หลังจากได้เดินทางแสวงหาธรรมะที่แท้จริงมาแล้วจากหลายประเทศทั่วโลกทั้งอินเดีย, เนปาล, อิหร่าน, ยุโรป แล้วเปลี่ยนความตั้งใจที่เดิมจะไปยังแอฟริกา ไปเป็นที่อินเดียอีกครั้งในปี พ.ศ. 2517 แต่ได้เปลี่ยนใจเมื่อระลึกได้ถึงพุทธคยา เห็นพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ก็ระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าและประจักษ์ต่อใจตนเองว่า แท้จริงแล้วความสุขที่แท้จริงอยู่ที่จิตใจภายในตนเอง จึงหยุดการแสวงหาจากภายนอก มาสู่การแสวงหาจากภายใน

ในชั้นแรกท่านไปฝึกโยคะอยู่ที่สำนักโยคีแห่งหนึ่งในประเทศอินเดีย และเกิดความพอใจที่จะเป็นโยคีอยู่ที่อินเดียตลอดชีวิต แต่ต่อมาเกิดปัญหาว่าวีซ่าของท่านหมดอายุ ท่านจึงเดินทางมาประเทศไทยอีกครั้งเพราะมีผู้แนะนำให้ท่านไปศึกษาพุทธศาสนาที่ประเทศไทย เมื่อมาถึงเมืองไทยแล้วท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพฯ หลังจากนั้นเมื่อท่านบรรพชาได้ 3 เดือน ท่านได้แสวงหาสถานที่ปฏิบัติธรรม มีผู้แนะนำท่านให้ไปกราบหลวงพ่อชา สุภทฺโท ที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งท่านก็ได้เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อตั้งแต่บัดนั้น และได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2518 ได้รับฉายา “คเวสโก” หมายถึง “ผู้แสวงหาซึ่งฝั่ง

หลังพระมิตซูโอะ อุปสมบทได้ 7 ปี จึงขออนุญาตหลวงพ่อชาออกธุดงค์ ปฏิบัติธรรมที่ประเทศอินเดีย เป็นเวลา 1 ปี และกลับมาที่วัดหนองป่าพง เมื่อทราบว่าหลวงพ่อชาอาพาธ จนเข้าสู่ พ.ศ. 2529 ท่านก็เดินทางกลับประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปี ต่อมาในปี พ.ศ. 2532 พระมิตซูโอะ และพระญาณรโต ได้ออกธุดงค์ในประเทศญี่ปุ่นด้วยการเดินเท้า จากสนามบินนาริตะสู่อนุสรณ์สถานแห่งสันติภาพ เมืองฮิโรชิมา ระยะทางกว่า 1,000 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 72 วัน สร้างความสนใจแก่คนไทยและคนญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นถึงชีวิตที่เรียบง่ายแบบพระธุดงค์

หลังจากที่ท่านกลับมาประเทศไทย ก็ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บุกเบิกสร้างวัดป่าสุนันทวนาราม อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นวัดป่านานาชาติ พร้อมกับฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมในพื้นที่ ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้ง พระมิตซูโอะ คเวสโก เป็นเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2544 นับว่าเป็นสาขาที่ 117 ของวัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี

ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live

ตำนานคดีเครื่องราชฯ 25 ปี เจ้าคุณวัดเทพศิรินทราวาส

ติดคุกเพราะไว้ใจ
ติดคุกเพราะไว้ใจ

ประเด็นน่าสนใจจากบทเรียน เรื่องนี้มีมาก
อาทิ
– การไม่รู้หนังสือแล้วลงนาม หรือไม่ศึกษารายละเอียด
– การไว้วางใจ เพราะเขา หรือพวกเขาน่าไว้ใจ
– คุณธรรม จริยธรรม กับความจริงในสังคม
– แล้วนึกถึงการคลายปม ผ้าเหลืองร้อน “พระมิตซูโอะ” ลือหนีพุทธพาณิชย์
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000070503

 

13 มิ.ย.2556 มีคดีใหญ่ที่ขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ และเป็นคดีร้อนที่ผู้คนกำลังติดตามอย่างใกล้ชิด คือคดีอุ้มฆ่านักธุรกิจชื่อดัง “เอกยุทธ อัญชันบุตร” เจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ ที่ยังคงมีปมค้างคาใจหลายฝ่าย ทั้งญาติผู้เสียชีวิต หรือประชาชนทั่วไป ขณะเดียวกัน ยังเป็นวันปิดตำนานคดีสำคัญที่ถือเป็น “ประวัติศาสตร์” ส่งผลฉาวโฉ่ ในวงการผ้าเหลือง ข้าราชการ นักการเมือง หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ธนาคาร เพราะเป็นวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีทุจริตเครื่องราชฯ หลังจากต่อสู้กันมายาวนานกว่า 25 ปีด้วย!!

สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยคิดว่าจะมีกลุ่มบุคคลที่มีความคิดสามานย์นำ “เครื่องราชอิสริยาภรณ์” ที่ในหลวงจะทรงมอบให้กับผู้ที่ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติ มาแสวงหาประโยชน์ใส่ตัวได้ ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดถูกเปิดเผยขึ้นครั้งแรก โดย นสพ.มติชน ฉบับวันที่ 30 ธันวาคม 2529 พร้อมพาดหัวว่า “ปลอมอนุโมทนาบัตร อ้างบริจาค 1,400 ล้าน

พร้อมกับเนื้อข่าววันนั้น สรุปใจความได้ว่า สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีตรวจสอบพบว่า มีข้าราชการขอรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สำหรับปี 2529 ในส่วนผู้ทำคุณประโยชน์ในทางราชการ จำนวนกว่า 750 ราย ที่ได้บริจาคเงิน สิ่งของ ให้วัดและโรงเรียนต่างๆ โดยมีใบอนุโมนาบัตร ระบุเงินกว่า 1,400 ล้านบาทส่อเค้าว่าไม่ถูกต้อง เพราะจากการสุ่มตรวจทราบว่าไม่ได้รับของบริจาคตามที่ระบุไว้

เมื่อกลายเป็นเรื่อง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น จึงสั่งการให้ตามติดกรณีนี้ให้ถึงที่สุด จนกระทั่ง มีการจับกุมในหลายระลอก แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องที่กระทบความรู้สึกของประชาชนมากที่สุด คือ “พระราชปัญญาโกศล” หรือ “เจ้าคุณอุดม รองเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ในขณะนั้น เนื่องจากเป็นเพศบรรพชิต ถูกควบคุมตัว ในขณะห่มผ้าเหลือง จึงกลายเป็นที่สนใจและวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง

หลังจับกุม ได้มีการฝากขังที่ สน.นางเลิ้ง และในเช้าวันที่ 11 ธ.ค. 2530 สื่อทุกสำนักได้ส่งนักข่าวไปติดตามคดี รวมถึง นสพ.สยามรัฐ ซึ่งระบุในหน้า 1 ฉบับวันที่ 12 ธ.ค. 2530 ที่พาดหัวว่า “เจ้าคุณอุดมน้ำตานองลาสึก ไม่อยากติดคุกทั้งผ้าเหลือง” โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า

เจ้าหน้าที่กองอำนวยการสอบสวนคดีทุจริตปลอมแปลงเอกสารเพื่อขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ได้นำตัวพระราชปัญญาโกศล หรือ เจ้าคุณอุดม ผู้ต้องหาคนสำคัญมาสอบปากคำ โดยพระราชปัญญาโกศล ให้สัมภาษณ์ด้วยสีหน้าซึมเศร้าว่า ตนได้ตัดสินใจที่จะลาสึกจากพระแน่นอนแล้ว โดยตัดสินใจเมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (11 ธ.ค.30) เพื่อรักษาสถาบันสงฆ์ซึ่งเป็นส่วนใหญ่เอาไว้ แม้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะทำให้ตนขายหน้าชาวบ้านอย่างมากอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ตนจะสึกได้ขอร้องตำรวจ 3 ข้อ
1. ขอลาพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่วันเทพศิรินทร์ฯ เสียก่อน
2. ขอกราบไหว้พระประธาน
3. ให้จัดเสื้อผ้าให้ด้วย

พระราชปัญญาโกศล กล่าวขณะใบหน้านองน้ำตา ว่า ความจริงสิ่งที่ทำลงไปด้วยความบริสุทธิ์ใจมาโดยตลอด แต่กลับได้รับสิ่งที่ตรงกันข้าม เรื่องราวทั้งหมดเกิดจากคนใกล้ชิดทำให้เสียหาย “อาตมาเป็นคนไม่รู้หนังสือ ใครเอาอะไรมาให้เซ็นก็เซ็น โดยที่บางครั้งไม่มีการตรวจสอบรายละเอียดก่อน ซึ่งก็นึกไม่ถึงว่าคนใกล้ชิดจะทำได้อย่างนั้น

ทั้งนี้ ตำรวจได้นำใบอนุโมนาบัตร ซึ่งมีลายเซ็นแล้ว พบว่ามีการแก้ไขตัวเลข 500 บาท เป็น 50,000 หรือ 500,000 บ้าง นอกจากนี้ยังตรวจพบว่ามีการซื้อบ้านให้กับผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งทางพระราชปัญญาโกศล ระบุว่า มีการร้องขอให้ช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม ในช่วง 11.00 น. วันเดียวกัน ทางตำรวจได้พาเจ้าคุณอุดม ไปที่วัดเทพศิรินทร์ฯ เพื่อทำการสึก พร้อมกับกล่าวตอนหนึ่งว่า “บางครั้งก็ต้องพูดความจริง หากพูดไม่จริงก็จะเป็นบาป และพูดอะไรก็จะไม่เป็นบาป

หลังการสอบสวน จับกุม และเปิดโปงสิ่งผิดปกติ ที่มีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้องนับหมื่นล้านบาท และสืบพยานกว่าร้อยปาก มาราธอน 17 ปี วันที่ 27 เม.ย.2548 ศาลชั้นต้นได้พิพากษา จำเลย 5 คน จาก 16 คน มีความผิดรวม 152 กระทง จำคุกคนละพันกว่าปี หนักสุดเกือบ 3,000 ปี แต่ให้จำคุก 50 ปี โดยมีการยกฟ้อง 3 คน

ต่อมาในปี 2553 ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาแก้โทษให้จำคุก นายอรุณ เพชรรัตน์ จำเลยที่ 4 อดีตลูกศิษย์ที่ใกล้ชิด เป็นเวลา 2,234 ปี จากเดิมที่ศาลชั้นต้นพิพากาษาจำคุก 1,130 ปี นายมนตรี จำนง จำเลยที่ 5 อดีตครู จำคุก 2,180 ปี จากเดิม 1,170 ปี จำคุก นายอารี ศาสตรสาระ อดีตข้าราชการพลเรือนช่วยงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ จำเลยที่ 9 เป็น เวลา 1,470 ปี จากเดิม 2,660 ปี นอกจากนี้ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุก น.ส.พัทยา พิมพ์สอาด จำเลยที่ 8 อดีตพนักงานธนาคารกรุงเทพ 1,920 ปี และจำเลยที่ 11 นายเมธี บริสุทธิ์ อดีตข้าราชการพลเรือนประจำสำนักงานเลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี จำคุก 1,148 ปี ปัจจุบันได้เสียชีวิต แล้ว ตามกระทงลงโทษ นอกจากนี้ ศาลอุทธรณ์ยืนให้ยกฟ้อง นายพิภพ บุญดิเรก อดีตข้าราชการพลเรือนช่วยงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ จำเลยที่ 10 , นางชมัยภร แสงกระจ่าง อดีตข้าราชการพลเรือนประจำสำนักงาน เลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี จำที่ 14 และนายวิโรจน์ ชาทอง อดีตศึกษานิเทศฯ 6 กรมสามัญศึกษา

ต่อมาโจทก์และจำเลยที่ 8-9 ฎีกา วันที่ 13 มิ.ย.2556 ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา 2  จำเลยดังกล่าว คือ น.ส.พัทยา พิมพ์สอาด  อดีตพนักงานธนาคารกรุงเทพฯ จำเลยที่ 8  นายอารี ศาสตรสาระ อดีตข้าราชการพลเรือน ช่วยงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ จำเลยที่ 9

โดยจำเลยที่ 8 น.ส.พัทยา มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยคือ ร่วมสนับสนุนจำเลย ที่ 1 (เจ้าคุณอุดม) ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานกระทำผิด ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลใดมอบให้ หรือหามาให้ ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่ตนเอง ซึ่งที่ชั้นพิจารณาได้ความจากพระเถระชั้นผู้ใหญ่ว่า เจ้าคุณอุดม เป็นรองเจ้าอาวาสได้มอบหมายหน้าที่ให้ดูแลในส่วนของเมรุและสุสานหลวงไม่ได้ดูแลในส่วนของการยื่นคำขอเครื่องราชฯ จึงยังฟังไม่ได้ว่าไปร่วมสนับสนุนไปร่วมกระทำผิดดังกล่าว

ส่วน นายอารี จำเลยที่ 9 คดีนี้โจทก์ระบุพยานบุคคลไว้ 508 ปาก แต่สามารถนำพยานเข้าสืบได้ เพียงบางส่วน ซึ่งกลุ่มพยานในนั้น 17 คน แม้จะให้การถึง แต่ก็ไม่ยืนยันได้ว่าเห็นเรียกรับเงิน ส่วนพยานที่อ้างว่ารู้เห็นส่งมอบเช็คเงินสด ก็เป็นผู้ร่วมกระทำผิดที่เจ้าพนักงานได้ร่วมกันไว้เป็นพยานซึ่งมีน้ำหนักรับฟังได้น้อย พยานหลักฐานโจทก์นำสืบยังมีความสงสัยตามสมควร จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกทั้งสอง สูงสุดตามกฎหมายเป็นเวลา 50  ปี ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษายกฟ้อง

คำตัดสินดังกล่าว ถือเป็นการสิ้นสุดคดีสุดอื้อฉาว ที่มีการสืบพยาน และใช้เวลาในชั้นศาลมาราธอนกว่า 25 ปี มีการเปลี่ยนพนักงานอัยการหลายคน จำเลยในคดีนี้เสียชีวิตไปแล้ว 9  คน ผู้พิพากษาเสียชีวิต 1 คน และทนายความเสียชีวิต 4 คน.

จาก ไทยรัฐออนไลน์ โดย พลิกแฟ้มอาชญากรรม  15 มิถุนายน 2556, 05:30 น.
tags:
พลิกแฟ้มอาชญากรรม คดีเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พระราชปัญญาโกศล เจ้าคุณอุดม ปลอมแปลง รองเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส อนุโมธนาบัตร เงินบริจาค หมื่นล้าน พันสี่ร้อยล้าน
ขยายตัวอักษร

http://www.thairath.co.th/content/region/351246