เตือนนักเรียนใช้โปรแกรม สอท.คิดแอดมิชชั่น

15 เมษายน 2556

นางศศิธร อหิงสโก ผู้จัดการสมาคมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า ช่วงวันที่ 4-21 เม.ย.นี้ สอท. เปิดรับสมัครคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาด้วยระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษาหรือแอดมิชชั่นกลาง ปีการศึกษา 2556 จากข้อมูล ณ วันที่ 13 เม.ย. พบว่า มีนักเรียนเข้ามาสมัครแอดมิชชั่นแล้ว จำนวน 31,003 คน แต่ชำระเงินเพียง 1,933 คน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะนักเรียนส่วนใหญ่จะสมัครและชำระเงินช่วงหลังสงกรานต์ หรือก่อนปิดรับสมัคร แต่ตนไม่อยากให้นักเรียนแห่ไปสมัครช่วงนั้น เพราะถ้ามีปัญหาจะแก้ไขไม่ทัน นอกจากนี้อยากให้นักเรียนคำนวณคะแนน เพื่อเลือกคณะที่จะเข้าศึกษาต่อโดยใช้โปรแกรมการคำนวณของ สอท. ทาง www.cuas.or.th

“โปรแกรมการคำนวณของ สอท. เป็นแนวทางการคำนวณคะแนนเบื้องต้น โดยใช้ข้อมูลเท่าที่นักเรียนกรอกมาให้ และถึงแม้จะคำนวณคะแนนได้แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถสมัครในคณะ/ประเภทวิชานั้นได้ ดังนั้นนักเรียนต้องตรวจสอบคุณสมบัติเฉพาะของแต่ละคณะ/ประเภทวิชาที่ต้องการจะสมัครกับระเบียบการรับสมัครคัดเลือกฯด้วย เช่น เกณฑ์ขั้นต่ำ วิชาที่ต้องใช้ในการรับสมัคร เป็นต้น โดยต้องทำความเข้าใจให้ดีก่อนที่จะสมัคร เพื่อจะได้ไม่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นภายหลัง” นางศศิธรกล่าว

นางศุทธินี งามเขตต์ ผอ.กลุ่มพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียน สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) กล่าวถึงกรณีที่ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติด้านการศึกษานอกระบบโรงเรียน หรือเอ็นเน็ต ประจำปีการศึกษา 2555 ที่ออกมาพบว่า คะแนนเฉลี่ยแต่ละวิชาค่อนข้างต่ำ ทั้งระดับประถม,ม.ต้น, และ ม.ปลาย โดยเฉพาะวิชาสาระความรู้พื้นฐาน ว่า กศน. กำลังทำการวิเคราะห์ผลคะแนนเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงอยู่ และจะมีการประชุมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพหรือผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน กศน.ในราวเดือน พ.ค.นี้
ส่วนกรณีที่นักศึกษา กศน. ขาดสอบทุกระดับชั้นมากถึงร้อยละ 30 นั้น นางศุทธินีกล่าวว่า ถึงแม้ว่าการสอบเอ็นเน็ตจะมีผลต่อการจบของผู้เรียน กศน. และจะมีการย้ำว่าสถาบันทดสอบทางการศึกษาจะจัดสอบให้แค่ปีละครั้งเท่านั้น แต่เราก็ไม่สามารถบังคับให้เข้าสอบได้ทุกคนหากมีภารกิจเขาก็จะไม่มาสอบ อย่างไรก็ตามทาง กศน. ได้หาทางออกให้แก่ผู้ที่ไม่ได้เข้าสอบเอ็นเน็ต ด้วยการจัดสอบอี-เอ็กแซมให้ โดยจ้างมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทำข้อสอบซึ่งมีมาตรฐานและตัวชี้วัดเดียวกับข้อสอบเอ็นเน็ต

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 15 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32421&Key=hotnews

เยาวชนไทยก้าวไกลสู่อาเซียน

14 เมษายน 2556

เพื่อเตรียมความพร้อมให้เยาวชนก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเท่าทันและเท่าเทียมสำนักพิมพ์อมรินทร์คอมมิกส์ ในเครือบริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)ร่วมกับกรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ และสถาบัน Enconcept E-Academy จัดงานเสวนา “เยาวชนไทยก้าวไกลสู่อาเซียน”ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ภายในงานมีการเสวนาหัวข้อ “เยาวชนไทยก้าวไกลสู่อาเซียน”และเปิดตัวโครงการ “อมรินทร์ยอดอัจฉริยะ We Love Asean” โดยองอาจ จิระอร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานหนังสือเล่ม บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ร.ท.หญิงกรรภิรมย์วิชาธร นักการทูตชำนาญการ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองอาเซียน 4 กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ และอริสราธนาปกิจ (ครูพี่แนน) จากสถาบัน Enconcept E-Academy ดำเนินรายการโดย เขมสรณ์ หนูขาว
องอาจ จิระอร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานหนังสือเล่มบริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)ได้ให้ข้อมูลว่า อมรินทร์ฯ เล็งเห็นความสำคัญในการเสริมความรู้เรื่องอาเซียนแก่ผู้อ่านทุกช่วงวัยตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงผู้ใหญ่ โดยผลิตหนังสือและจัดกิจกรรมเสริมความรู้เรื่องอาเซียนตลอดทั้งปีในธีม We Love Asean by AMARIN รู้จักอาเซียน พูดภาษาอาเซียน ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้ผลิตหนังสือสำหรับเยาวชนชุด “เราคืออาเซียน” จำนวน 11 เล่ม ทั้งฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยแบ่งเนื้อหาเป็นหมวดหมู่ให้กระชับเข้าใจง่าย พร้อมภาพการ์ตูนประกอบเพื่อสร้างสีสันให้อ่านได้อย่างสนุกสนาน ในกลุ่มผู้ใหญ่มีหนังสือ ความสำเร็จไม่มีข้อยกเว้น และอาเซียนรู้ไว้ได้เปรียบแน่ เขียนโดย ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณอดีตเลขาธิการอาเซียน ซึ่งหนังสือดังกล่าวได้รับการตอบรับจากผู้อ่านเป็นอย่างดีด้วยยอดขายกว่าแสนเล่ม และในปีนี้เรายังมีแผนที่จะผลิตหนังสือความรู้เกี่ยวกับอาเซียนอีกมากมาย รวมกว่า 100 ปกอาทิ เก่งภาษาอาเซียน9 เล่ม, พูดคล่องท่องศัพท์สองภาษา 8 เล่ม,หนังสือสอนภาษาชุดSurvivor อาเซียน และหนังสือท่องเที่ยวประเทศในอาเซียน”

ร.ท.หญิงกรรภิรมย์ วิชาธรนักการทูตชำนาญการ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองอาเซียน 4 กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า เรามีกิจกรรมสำหรับเยาวชนทั้งปี โดยกิจกรรมหลักคือวันอาเซียนซึ่งตรงกับวันที่ 8 สิงหาคม จัดให้มีกิจกรรมแข่งขันตอบปัญหา มีรางวัลเป็นตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อให้เด็กๆได้เยี่ยมชมสำนักงานอาเซียน นอกจากนี้ยังได้จัดทำสื่อต่างๆโดยหนังสือใหม่ในปีนี้ได้แก่ บัวแก้วไขปัญหาอาเซียน, 58 คำตอบสู่ประชาคมอาเซียน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆเพื่อให้ความรู้แก่เยาวชนทั่วทุกภูมิภาคอาทิค่ายภาษาอังกฤษ โครงการอาเซียนสัญจร ทั้งนี้ สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ผู้สนใจสามารถ ดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ได้ที่ www.mfa.go.th/asean หรือสามารถทำหนังสือขอสื่อจากกรมอาเซียนได้

ด้านครูพี่แนน-อริสรา ธนาปกิจ สถาบันEnconcept E-Academy กล่าวว่า ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารหลัก เพราะฉะนั้นการเตรียมเข้าสู่อาเซียนนั้น คือเราต้องสื่อสารกับชาวต่างชาติได้นอกจากนี้ต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในอาเซียน อย่างไรก็ตาม ถ้าเราต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทุกคนต้องร่วมกันผลักดัน

ทั้งนี้ อมรินทร์ฯ ยังได้จัดโครงการ “อมรินทร์ยอดอัจริยะ We Love Asean” การแข่งขันตอบคำถามความรู้สองภาษาเกี่ยวกับอาเซียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย โดยสำนักพิมพ์อมรินทร์คอมมิกส์ ชิงรางวัลแพ็กเกจท่องเที่ยวสิงคโปร์ โล่เกียรติยศ และทุนการศึกษา รวมมูลค่ากว่า 200,000 บาท โดยได้รับการสนับสนุนจากภาคีพันธมิตรที่เห็นความสำคัญของการส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องอาเซียน คือ กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ และสถาบัน Enconcept E-Academy ซึ่งจะเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พร้อมจัดติวให้ความรู้ก่อนแข่งโดย Enconcept E-Academy และแข่งขันชิงชนะเลิศในวันที่ 20 กรกฎาคม 2556 ที่งานเทศกาลครอบครัวนักอ่านศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่

www.amarinpocketbook.com/news/genius หรือ Facebook ค้นหาอมรินทร์คอมมิกส์)

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32418&Key=hotnews

แรงขับการแบ่งปันในเครือข่ายสังคม (itinlife392)

 

note อุดม แต้พาณิช ตอน อินเทอร์เน็ต เฟซบุ๊ค
note อุดม แต้พาณิช ตอน อินเทอร์เน็ต เฟซบุ๊ค
sharing and clickback
sharing and clickback

คำถาม .. อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้เราแบ่งปันข้อมูลจากเว็บไซต์

ได้อ่านผลงานเกี่ยวกับการวิเคราะห์พฤติกรรมการแบ่งปันเนื้อหาและคลิ๊กกลับในเว็บไซต์เครือข่ายสังคม ของ 33across.com และ tynt.com ที่เขียนใน zdnet.com โดย Eileen Brown พบว่าการแบ่งปันเนื้อหาจำแนกได้หลายกลุ่ม ในกลุ่มที่เพื่อนในเครือข่ายสังคมให้ความสนใจคลิ๊กกลับมากที่สุด คือ ข่าว กีฬา การเมือง การสรรเสริญ การเลี้ยงดู และบันเทิง ส่วนที่สนใจคลิ๊กกลับกันน้อยและแบ่งปันน้อยคือ รถยนต์ ช็อบปิ้ง และท่องเที่ยว ส่วนกลุ่มคลิ๊กน้อยแต่แบ่งปันมากคือ ธุรกิจ เทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์

มี 2 คำที่น่าสนใจคือ แบ่งปัน (Share) และคลิ๊กกลับ (Clickback) พฤติกรรมของสมาชิกเครือข่ายสังคมเมื่อไปพบเห็นเรื่องราวต่าง ๆ ในเว็บไซต์ก็ต้องการแบ่งปันให้เพื่อนของตนรู้ หรือมีส่วนร่วมก็จะทำใน 2 ลักษณะคือ คัดลอกแล้ววาง หรือ ใช้ปุ่มแชร์ ดังนั้นการแบ่งปัน คือ เราส่งข้อมูลเข้าเว็บไซต์เครือข่ายสังคม เพื่อให้เพื่อนรับรู้เรื่องของเรา เป็นข้อมูลสั้นและลิงค์ (Link) สำหรับคลิ๊กไปอ่านรายละเอียด ส่วนคลิ๊กกลับ คือ เพื่อนของเราอ่านข้อมูลสั้น แล้วรู้สึกสนใจจึงคลิ๊กลิงค์เปิดดูรายละเอียดจากเว็บไซต์

ประเด็นคำถาม คือ เหตุผลที่เราแบ่งปันเนื้อหาไปนั้นมีอะไรเป็นเหตุปัจจัย แล้วพบว่า เราแบ่งปันเพราะถือมั่นต้องการแสดงตัวตน (ego) นั่นคือเราไม่ได้แบ่งปันเพราะคิดว่าเพื่อนสนใจ หัวข้อที่พบว่ามีการแบ่งปันจากเว็บไซต์มากที่สุดคือวิทยาศาสตร์ (Science) ซึ่งได้อธิบายว่าเป็นเรื่องที่ยากต่อความเข้าใจ และต้องการแสดงองค์ความรู้ของเรา ในประเด็นคลิ๊กกลับก็พบว่าเพื่อนของเราคลิ๊กดูวิทยาศาสตร์น้อยมาก แสดงว่าเราไม่สนใจว่าเพื่อนจะสนใจเรื่องของเราหรือไม่ ขอเพียงเราชอบ และอยากแบ่งปันก็พอ ส่วนข่าว (News) คือเรื่องที่เพื่อนสนใจคลิ๊กกลับมากที่สุด แต่เราจะแบ่งปันน้อย เพราะข่าวไม่ใช่เรื่องที่แสดงตัวตนของเรา ถึงตรงนี้หลายท่านอาจไม่เห็นด้วย แต่ทั้งหมดนี้เป็นผลการศึกษาในต่างประเทศ ถ้าศึกษาพฤติกรรมคนไทยอาจมีผลการศึกษาต่างไป เท่าที่สังเกตเราสนใจแบ่งปันเนื้อหาจากเว็บไซต์กันน้อย คนที่จะแบ่งปันก็จะเป็นตามอาชีพนั้น อาทิ นักข่าวก็จะแบ่งปันข่าวของสำนักของตน ส่วนราชการก็แบ่งปันกิจกรรมหรือผลงาน นักธุรกิจก็จะแบ่งปันข้อมูลสินค้าของตน แล้วท่านมีพฤติกรรมอย่างไรในเครือข่ายสังคม

 

 

http://www.thaiall.com/blog/burin/5087/

http://www.zdnet.com/new-research-highlights-that-social-sharing-is-driven-by-ego-7000013932/

นี่คือโลกของกู

ช่วงสงกรานต์ = 7 วันอันตราย

ช่วงสงกรานต์ = 7 วันอันตราย
ช่วงสงกรานต์ = 7 วันอันตราย

DATA + PROCESS = INFORMATION = UTILIZATION
ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลแล้วของ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ
http://service.emit.go.th/accident/acclogin.php

ความเป็นมา .. อันตรายในที่นี้นับเฉพาะอุบัติเหตุที่เป็นช่วงของการเกิดอุบัติเหตุสูงสุดในรอบปี และหลายปีที่ผ่านมานับแต่ปี 51 ถึงปัจจุบัน สถิติอุบัติเหตุสูงสุดของ 7 วันอันตราย ก็ไม่มีปีใดที่ไม่ถึง 6000 ครั้ง และมีหลายปีที่สูงถึง 7000 ครั้ง หากเปรียบเทียบสงกรานต์ในปี 54 และ 55 พบว่ามีสถิติอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น

ความเชื่อ .. การนำเสนอข้อมูลให้ประชาชนตระหนักว่าอันตรายเกิดขึ้นบ่อยในช่วง 7 วันอันตราย และก็รู้สาเหตุที่มาจากการหลับใน และดื่มสุราเป็นส่วนใหญ่  เมื่อนำเสนอผ่านสื่อสาธารณะแล้ว ประชาชนก็จะไม่ขับเมื่อง่วง ไม่ดื่มสุรา หรือดื่มลดลง จะทำให้สถิติการเกิดอุบัติเหตุลดลงอย่างแน่นอน

ความเป็นจริง .. สถิติการเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น เพราะไม่ตระหนักต่อการเกิดอุบัติเหตุ

ความพยายาม .. ให้ข้อมูลผ่านสื่อต่อไป หวังว่าสักวันประชาชนจะตระหนัก

ชีวิตดั่งละคร หรือเอาชีวิตไปสร้างละคร
ชีวิตดั่งละคร หรือเอาชีวิตไปสร้างละคร

 

สาวลาวบนปก นิตยสารมหาชน (Mahason Magazine) ของลาว
ก็งามเพราะแต่ง

 

สาวลาวในปีใหม่ลาว 2556

http://www.facebook.com/mahasonmagazine

http://www.facebook.com/photo.php?fbid=10151362502959149&set=a.10151362502159149.1073741831.104039739148

http://www.thailandmagazinedirectory.com/LAO-MAGAZINES-DIRECTORY/MAHASON-MAGAZINE-LAO.html

 

คนลาวก็มีวัฒนธรรมดั่งเดิมไม่ต่างกันคนไทยมากนักhttp://www.thaiall.com/blogacla/burin/2797/

สาวเปิดเต้า เล่นสงกรานต์ แล้วอะไรคือความเป็นไทย

นางทั้ง 7 ในที่ที่เป็นส่วนตัว
นางทั้ง 7 ในที่ที่เป็นส่วนตัว

“.. เต้าแห่งความเป็นไทยไม่ปกปิด แล้วจิ๋มคู่ชีวิตจะอยู่ไหม ..

culture1

ผมเห็นเรื่องนี้  .. ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร
เคยอ่านบทความเรื่อง “การศึกษาไทยถ้าไม่เปลี่ยนอาจบ๊วย .. แน่นอน
http://thainame.net/edu/?p=817
นำเสนอไว้ว่า ข้อเสนอแนะของเพียร์สัน
ข้อ 3 คือ มีวัฒนธรรมที่สนับสนุนการศึกษา
แล้ววัฒนธรรมไทยก็ไม่สนับสนุนการศึกษาจนเราเกือบบ๊วย
แล้วเหตุการณ์นี้ตอกย้ำว่า เกือบบ๊วยเลื่อนไปสู่บ๊วยนั้น อยู่แค่เอื้อม
เพราะกระทรวงที่จะทำให้สังคมไทยมีวัฒนธรรมการศึกษา
กลับพาเราเข้ารกเข้าพงกันไปใหญ่
.. ก็เพราะพวกเขาไม่ได้อยู่ในวงการการศึกษา
.. เรื่องการศึกษาก็ปล่อยให้กระทรวงศึกษาทำ กระทรวงนี้ไม่เกี่ยว

culture2

กระทรวงวัฒนธรรม ไม่เข็ด สาวเปิดเต้า เล่นสงกรานต์ โพสต์ลงเว็บอีกแล้ว

อีกไม่กี่วันก็จะถึง “วันสงกรานต์” อย่างเป็นทางการแล้ว “กระทรวงวัฒนธรรม” ที่ดูจะเป็นแม่งานหลักในเทศกาลนี้ก็ประเดิมรับสงกรานต์ ด้วยการใช้รูปภาพหน้าหัวเว็บของกระทรวง เป็นรูปหญิงสาวประมาณ 3-4 คน สาดน้ำไปมาดูน่าชื่นชมสวยงามด้วยขนมแบบไทย

http://www.m-culture.go.th/

แต่ที่น่าสนใจคือ พวกเธอสวมใส่โจงกระเบน แต่เฉพาะแค่ช่วงล่าง ช่วงบนของพวกเธอกลับไม่สวมใส่อะไรเลย จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์คว่า ถึงความย้อนแย้งของกระทรวงวัฒนธรรมในการรณรงค์เรื่องการแต่งกายให้เหมาะสมกับความเป็นไทยหรือไม่ และวกกลับมาสู่คำถามสำคัญที่ดูจะยังหาคำตอบไม่ได้ว่า “อะไรคือความเป็นไทย

โดย ศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ อาจารย์จากสำนักท่าพระจันทร์ ก็ได้แสดงความเห็นว่า “อุเหม่ ไหงเป็นยังงั้นไปได้ ไปปิดเต้าทั้ง ๖ บัดเดี๋ยวนี้เลย เสื่อมเสียฟามเป็นไทยเมิด

เต้าแห่งความเป็นไทยไม่ปกปิด แล้วจิ๋มคู่ชีวิตจะอยู่ไหม กระทรวงวัฒนธรรมมาอำไทย สิ้นอำนาจอธิปไตยแล้วบัดนี้ ชะเอิงเงิงเงย

ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นเพราะกระแสวิจารณ์หรือปรากฎการณ์เซ็นเซอร์ตัวเอง ท้ายที่สุดเว็บกระทรวงวัฒนธรรมก็ได้เปลี่ยนจากรูปหญิงสาวเปิดเต้าเล่นสงกรานต์ เป็นรูปสถาปัตยกรรมไทยที่เป็นที่รู้จัก และมีภาพหญิงสาว 2 คนเล่นรดน้ำสงกรานต์อย่างสุภาพ เพราะพวกเธอใส่เสื้อผ้ามิดชิดมาก – ใส่เสื้อแขนยาว และห่มทับด้วยสไบเฉียง

และนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่กระทรวงวัฒนธรรมนำรูปดังกล่าวลงเว็บไซต์ เพราะเมื่อสองปีที่แล้ว เว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรมก็ได้ลงรูปเดียวกันนี้ในแบนเนอร์ของเวป เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กระหึ่มโลกออนไลน์ มากจนถึงกับเว็บไซต์ของกระทรวงล่มกันเลยทีเดียว

ทั้งนี้ ภาพดังกล่าวเป็นภาพวาดสีน้ำของนายสมภพ บุตรราช ศิลปินมีชื่ออีกคนของไทย ที่ได้วาดภาพบอกเล่าถึงวันสงกรานต์ ซึ่งมีหญิงสาวจำนวน 7 คนเปลือยหน้าอก ร่ายรำ เล่นดนตรี เล่นน้ำกันอย่างอย่างสนุก โดยภาพดังกล่าวเคยจัดแสดงไปครั้งหนึ่งแล้วที่หอศิลป์ฯ ก่อนที่ทางกระทรวงจะตัดทอน และนำไปไว้ในหน้าเว็บดังกล่าว

และเช่นเดียวกับปีนี้ ที่สุดท้าย กระทรวงวัฒนธรรมก็นำภาพดังกล่าวออกไปจากหน้าเว็บไซต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

http://news.sanook.com/1179825/

การศึกษาไทยถ้าไม่เปลี่ยนอาจบ๊วย .. แน่นอน

ตอนนี้หากถามว่าภูมิใจกับอันดับด้านการศึกษาของประเทศไทยในเวทีโลกหรือไม่
ก็คงไม่มีใครไปตอบว่า “ดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว” ! http://bit.ly/17oaJI9

วัฒนธรรมการศึกษา (education culture)
วัฒนธรรมการศึกษา (education culture)

เพราะระบบการศึกษาของไทยอยู่อันดับที่ 37 จากทั้งหมด 40 ประเทศในปี 2555 จากผลการจัดอันดับโดยบริษัทด้านการศึกษา คือ เพียร์สัน (Pearson) และ อีไอยู (EIU = The Economist Intelligence Unit) ในทางกลับกันพบว่ากรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยมีสถิติการเข้าถึงเครือข่ายสังคมอย่างเฟซบุ๊คเป็นอันดับหนึ่งในโลก เท่ากับ 12.7 ล้านคนจากทั้งหมด 7.8 ล้านคน มีบัญชีผู้ใช้เข้าถึงเกือบ 2 เท่าของจำนวนประชากร ก่อนถามคนไทยว่าภูมิใจหรือไม่กับการเป็นอันดับหนึ่ง ก็ต้องกลับไปทบทวนวรรณกรรมว่าสถิติแต่ละค่าเป็นตัวบ่งชี้ต่อการแผนพัฒนาประเทศในด้านใด แล้วการเข้าเฟซบุ๊คมากผิดปกติเช่นนี้จะทำให้การศึกษาของไทยพัฒนาไปกว่าเดิมหรือไม่ ถ้ามีผลเป็นปฏิกิริยาต่อกันจะเป็นแนวแปรผันหรือแนวผกผัน

เมื่อเข้าอยู่ในสนามประลองย่อมต้องเหลียวซ้ายแลขวา และย้อนดูตนเองไปพร้อมกับการชำเรืองดูคู่แข่งขัน เพราะระบบการศึกษาของเราอยู่ในอันดับเกือบบ๊วย แล้ว 5 อันดับแรกคือใคร พบว่าเบอร์หนึ่งคือ ฟินแลนด์ ตามด้วย เกาหลีใต้ ฮ่องกง ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ หลังผลการจัดอันดับออกมาแล้วพบว่ากระทรวงศึกษาธิการขยับในหลายเรื่อง อาทิเช่น ส่งหนังสือเวียนไปยังโรงเรียนให้ยกเลิกการบังคับนักเรียนชายตัดผมเกรียน นักเรียนหญิงตัดผมบ๊อบ รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานสั่งลดการบ้าน และหวังลดภาระนักเรียน เพื่อจะเน้นบูรณาการ ทั้งเนื้อหา เวลาเรียน การวัดผลประเมินผล และบูรณาการกลุ่มสาระการเรียนรู้ไม่ให้ซ้ำซ้อน ซึ่งเป็นการปฏิรูปการศึกษาที่ทำให้เกิดข้อถกเถียงในช่วงเวลาที่ผ่านมาว่าถูกที่ ถูกทางแล้วใช่ไหม

รายงานของเพียร์สันในส่วนสรุปผู้บริหาร (Executive Summary) ได้เขียนคำแนะนำสำหรับผู้จัดทำนโยบายด้านการศึกษาทั้งหมด 5 ข้อ ซึ่งขอสรุปเป็นวลีสำคัญดังนี้ ต้องลงทุนอย่างต่อเนื่อง สอนเด็กให้เลิศต้องสอนโดยครูที่เป็นเลิศ มีวัฒนธรรมที่ดีที่สนับสนุนการศึกษา พ่อแม่ต้องส่งเสริม สอนเรื่องที่นำไปใช้ในอนาคตได้ ซึ่ง 5 วลีนี้เป็นข้อเสนอในภาพรวมของการปฏิรูปการศึกษา หลังจากอ่านแล้วอ่านอีกหลายรอบ ก็รู้สึกอื้ออึงในสมองซีกซ้ายเป็นคำถามว่ามีเรื่องใดแก้ไขได้เร็วที่สุดบ้าง เพราะทุกเรื่องล้วนเป็นปัญหาที่พบเห็นเป็นประจักษ์ แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าถ้าประเทศของเราไม่มีปัญหาดัง 5 ข้อนี้ เราก็คงไม่ได้ตำแหน่งเกือบบ๊วยเป็นแน่

สำหรับข้อที่ 3 ในคำแนะนำของเพียร์สันเป็นเรื่องกลาง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนทุกอาชีพ และทุกวัยอย่างแท้จริง เกี่ยวตรงคำว่าวัฒนธรรม ก็ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า วัฒนธรรม หมายถึง วิถีการดำเนินชีวิต รูปแบบของกิจกรรม ความสัมพันธ์ทางสังคม มุมมองต่อโลก และแนวการปฏิบัติของมนุษย์ ซึ่งวัฒนธรรม ความเชื่อ และค่านิยมที่กระทบต่อคุณภาพการศึกษามีมากมาย อาทิเช่น อยากเรียนต้องได้เรียน สอบได้เป็นเรื่องตลกสอบตกเดี๋ยวก็สอบซ่อม จ่ายครบจบแน่ เชื่อในสิ่งที่เห็น เห็นแต่สิ่งที่อยากเชื่อ ชิงสุกก่อนห่าม ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ตั้งใจเรียนโตขึ้นจะได้เป็นเจ้าคนนายคน รีบเรียนให้จบนะลูกจะได้มาช่วยพ่อแม่ไถนา เรียนไปก็ตกงานจะตั้งใจเรียนไปทำไม เงินซื้อได้ทุกอย่างแม้แต่ปริญญา สาธุขอให้เจ้าพ่อเจ้าแม่ช่วยลูกช้างให้สอบผ่านทีเถอะ หมอดูในทีวีทักมาว่าราศีไม่ดีสอบปลายภาคตกแน่ ปล่อยให้หนูจบเถอะไม่งั้นอาจารย์เจอดีแน่

การเปลี่ยนวัฒนธรรมด้านการศึกษาของคนไทยไม่ใช่เรื่องง่าย ดังคำว่า กรุงโรมไม่อาจสร้างเสร็จในวันเดียวฉันใด ก็ไม่อาจพัฒนาการศึกษาให้สำเร็จได้ในปีเดียวฉันนั้น เพราะการเปลี่ยนวัฒนธรรมการศึกษาต้องเริ่มต้นจากการมีต้นแบบวัฒนธรรมที่ดีที่เป็นแบบอย่างได้ ถ้ายังไม่รู้ยังไม่มีวัฒนธรรมการศึกษาที่ดีมีคุณภาพ และเป็นที่ยอมรับทั้งสังคม ประเทศก็คงค่อยเดินค่อยคลานไปในความมืดโดยมีเป้าประสงค์ที่เลือนรางรออยู่ เพราะในสังคมไทยมีผู้คนที่เดินสวนทางกับวัฒนธรรมการศึกษาคุณภาพอยู่มากมาย โดยเฉพาะภาคเอกชนที่จะได้รับผลกระทบทันที ถ้าคนในสังคมเริ่มคิดเป็น ทำเป็น แล้วรู้จักเลือกอุปโภคบริโภคที่ไม่ได้ไปอิงกับค่านิยม ความเชื่อ ตามอิทธิพลของสื่อ ตามคนหมู่มาก หรือแฟชั่นที่ฟุ้งเฟ้อ

! http://blog.nation.ac.th/?p=2563

news paper
news paper

http://www.facebook.com/photo.php?fbid=477721182295748&set=a.160162067384996.39239.100001736120394

แหล่งข้อมูล
http://thelearningcurve.pearson.com/
http://www.thairath.co.th/content/edu/325982
! http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU56ZzJPRFl5T0E9PQ==
http://www.voathai.com/content/best-education-systems-ss/1557918.html
http://www.thaiall.com/blogacla/admin/2176/
http://www.ipsr.mahidol.ac.th/ipsr-th/population_thai.html
http://www.socialbakers.com/facebook-statistics/cities/

ระเบียบการให้ทุนการศึกษา

ระเบียบมหาวิทยาลัยเนชั่น
ว่าด้วยการให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษา 2556

1. ทุนเรียนดี มีจิตอาสา
2. ทุนเรียนดี
3. ทุนการศึกษา 50 เปอร์เซ็นต์ ของค่าธรรมเนียมการศึกษา
4. ทุนการศึกษา 20 เปอร์เซ็นต์ ของค่าธรรมเนียมการศึกษา
5. ทุนส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม
ประกาศ 4 เมษายน 2556

ทุนการศึกษาแก่นักศึกษา 2556
ทุนการศึกษาแก่นักศึกษา 2556

http://www.facebook.com/photo.php?fbid=624202364260565&set=a.509861379027998.128306.506818005999002

 

 

วารสารศาสตร์ กับคอนเวอร์เจ้นท์ และความเสี่ยงสูง

จักร์กฤษ เพิ่มพูล
จักร์กฤษ เพิ่มพูล

หากเราไม่พิจารณาปรากฏการณ์ วารสารศาสตร์คอนเวอร์เจนท์ (Convergence Journalism) หรือรูปแบบการรายงานข่าวแบบหลากหลายสื่อ

ในมิติการปรับตัวของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ทั้งในแง่ทัศนคติของคนทำงาน ความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี รวมทั้งการออกแบบหลักสูตร การจัดการเรียน การสอน นักศึกษาด้านนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ เพื่อให้มีทักษะในการทำงานในแบบ multi-tasking skills แล้ว ประเด็นที่ไม่ควรมองข้ามไป ก็คือ ระดับจิตสำนึกความรับผิดชอบในเชิงจริยธรรมก็เป็นความท้าทายของนักข่าวในยุคมีเดีย คอนเวอร์เจ้นท์ด้วย

การร่วมกันในการวางแผน เลือกช่องทางในการส่งสาร ไม่ว่าจะผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ สื่อดิจิตอลในรูปแบบต่างๆ สื่อสังคมออนไลน์ที่มีความไวสูง แน่นอนที่สุดว่า ผู้บริโภคข่าวสารจะได้ประโยชน์ โดยสามารถเข้าถึงข่าว หรือข้อมูลในช่องทางที่ง่าย และสะดวกสบายขึ้น ในขณะที่ผู้ประกอบการก็อาจได้ประโยชน์ในการลดต้นทุนการผลิต และใช้เทคโนโลยีการสื่อสารสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อรักษากลุ่มลูกค้าในสื่อดั้งเดิม แต่ในขณะเดียวกันภาระรับผิดชอบของบรรณาธิการ และนักข่าวก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว โดยเฉพาะเมื่อมีประเด็นการฟ้องคดี ในช่องทางสื่อดิจิตอลหรือสื่อใหม่

เริ่มจากสื่อดั้งเดิม ความรับผิดชอบของบรรณาธิการ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา ตามพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 ยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า ขอบเขตความรับผิดตามหลักสันนิษฐานของกฎหมายเดิมนั้น ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร หรือไม่ เพราะในทางคดี บรรณาธิการหลายคนที่ถูกฟ้องคดีก็ยังต้องรับผิดในฐานะตัวการร่วมในการหมิ่นประมาท ถึงแม้ว่าฝ่ายโจทก์หรือผู้เสียหาย จะไม่สามารถนำสืบได้ว่า บรรณาธิการมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดอย่างไร

ยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ แม้จะมีการตราพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ขึ้นใช้บังคับแล้ว ในหลายคดีโจทก์ก็ยังอ้าง พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2484 ที่ได้ยกเลิกไปแล้ว ในคำขอท้ายฟ้องเพื่อให้ลงโทษจำเลยอีก เช่น คดีที่นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ฟ้องบรรณาธิการ กรุงเทพธุรกิจ และเมื่อไม่นานมานี้ ข้อสอบวิชากฎหมาย ของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ก็ยังอ้างพระราชบัญญัติการพิมพ์ เป็นคำถามในการสอบ

แต่หลังจากมีคำพิพากษาฎีกาฉบับนี้ หลักในการพิจารณาอาจเปลี่ยนไป

พิพากษาศาลฎีกา ที่ 4948/2554 คดีหมิ่นประมาท ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โจทก์ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ที่ 1 บริษัทหนังสือพิมพ์แนวหน้า จำกัด ที่ 2 นายวารินทร์ พูนศิริวงศ์ ที่ 3 และนายจิระพงศ์ เต็มเปี่ยม ที่ 4 ยืนยันหลักการบรรณาธิการไม่ต้องรับผิด เป็นบรรทัดฐาน ซึ่งจะเป็นประเด็นข้อต่อสู้สำคัญของจำเลย ที่เป็นบรรณาธิการต่อไป

คดีนี้ โจทก์ ระบุว่าจำเลยร่วมกันหมิ่นประมาท โดยตีพิมพ์จดหมายจากผู้อ่าน ในคอลัมน์ “น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ พูด” พาดหัวคอลัมน์ว่า “พลังเงียบ” มีข้อความบางตอนว่า มีการสร้างกระแสอย่างเป็นขบวนการ และอย่างเป็นระบบเพื่อกดดันศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องแจ้งความเท็จแสดงทรัพย์สินของนายกรัฐมนตรีผู้นำของประเทศ จนทำให้ผู้คนทั่วไปคิดว่า ผู้นำของประเทศในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่เหนือกฎหมาย และอยู่เหนือสามัญชน

จำเลยที่ 1 ตอบจดหมายผู้ใช้ชื่อว่า “พลังเงียบ” ว่า เห็นด้วยทุกอย่างครับที่เขียนมา

ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 4 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ก่อนที่ศาลฎีกา จะพิพากษากลับให้ยกฟ้อง

ศาลฎีกา วินิจฉัยว่า ข้อความที่ลงตีพิมพ์ในคอลัมน์ “น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ พูด” เป็นการแสดงความคิดเห็น ความเป็นห่วงเป็นใยในกฎระเบียบกติกา และความถูกต้องของบ้านเมือง เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ ติชมด้วยเจตนาสุจริต ด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชน ย่อมกระทำได้โดยชอบตามสิทธิเสรีภาพของประชาชน สื่อมวลชนภายใต้รัฐธรรมนูญ มิใช่เป็นการใส่ความโจทก์ ขณะที่จำเลยที่ 1 นำข้อความในจดหมายของผู้ที่ใช้นามแฝงว่า “พลังเงียบ” เขียนถึงจำเลยที่ 1 มาลงพิมพ์ในคอลัมน์ “น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ พูด” ซึ่งเป็นคอลัมน์ประจำของจำเลยที่ 1 ในหนังสือพิมพ์รายวันแนวหน้านั้น อยู่ในช่วงที่โจทก์ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

..ตำแหน่งหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถือเป็นตำแหน่งทางการเมือง โดยเฉพาะตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถือเป็นตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายบริหาร ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และถือว่าเป็นตำแหน่งที่ได้ผ่านกระบวนการเลือกตั้งจากประชาชนทั้งประเทศ โดยสถานะของโจทก์จึงต้องมีความรับผิดชอบต่อประชาชน ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชนดังกล่าว จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่โจทก์ต้องประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบของจริยธรรม

ศาลฎีกา ตัดสินว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ส่วนจำเลยที่ 4 ในส่วนที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษในฐานะบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ซึ่งลงข้อความหมิ่นประมาทโจทก์โดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2484 มาตรา 48 ในขณะที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 มาตรา 3 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2484 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2550 เป็นต้นไป พระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 ไม่ได้บัญญัติให้บรรณาธิการหนังสือพิมพ์เป็นผู้รับผิดชอบในข้อความที่ลงพิมพ์ในหนังสือที่ตนเป็นบรรณาธิการ จำเลยที่ 4 ย่อมพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดในส่วนนี้

นี่เป็นการยืนยันหลักการตามพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 ว่าไม่ได้บัญญัติให้ บรรณาธิการต้องรับผิดเป็นตัวการร่วมกับผู้ประพันธ์ บรรณาธิการจึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับผู้ประพันธ์ หากอัยการ โจทก์ หรือผู้เสียหาย นำสืบไม่ได้ว่าบรรณาธิการมีส่วนร่วมในการประพันธ์บทประพันธ์หรือมีส่วนร่วมรู้ เห็นกับการโฆษณาบทประพันธ์ในหนังสือพิมพ์ที่ตนเป็นบรรณาธิการ อย่างไร ถือว่าบรรณาธิการไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดด้วย ดังที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 บัญญัติ ว่า

บุคคลจักต้องรับโทษทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้น บัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และ โทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้น ต้องเป็นโทษที่ บัญญัติไว้ในกฎหมาย

ศาลไม่อาจนำหลักสันนิษฐาน ตามพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2484 ที่ได้ยกเลิกไปแล้วมาพิจารณาลงโทษบรรณาธิการได้

สำหรับการเสนอข่าวในรูปแบบของ วารสารศาสตร์ คอนเวอร์เจ้นท์ ยังไม่มีคำพิพากษาเป็นบรรทัดฐาน แต่มีการฟ้องคดีแล้วจำนวนมาก ประเด็นที่เป็นปัญหาอยู่ขณะนี้ คือ บรรณาธิการ หรือ นักข่าวยังต้องรับผิดชอบในทุกสื่อที่เป็นช่องทางในการนำเสนอข่าวหรือไม่ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการอ้างอิงไปยังเว็บไซต์อื่น ๆ ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของผู้ส่งสาร เช่น กรณีการที่ผู้เสียหายไปพบข้อความหมิ่นประมาทใน google.com บรรณาธิการยังต้องรับผิดชอบอยู่ในระยะเวลายาวนาน เพียงใด นับจากวันที่นำเสนอข่าวในครั้งแรก

โอกาสในการส่งข่าวที่ฉับไว ผ่านสื่อที่หลากหลาย จึงอาจหมายถึงความเสี่ยงสูงที่ต้องรับผิดชอบในทางคดีด้วย

http://blog.nation.ac.th/?p=2555

สช.กำชับ วท.อาชีวะเอกชนปรับโฉมใหม่ หวังดึงเด็กเรียนสายอาชีพ

9 เมษายน 2556

สช.สนองนโยบาย ศธ.กำชับ วิทยาลัยอาชีวะเอกชน ปรับโฉมใหม่สร้างทัศนคติที่ดีต่อผู้ปกครองและนร.หวังดึงความสนใจมาเรียนสายอาชีพเพิ่มขึ้น

นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) กล่าวตอนหนึ่งในการประชุมสัมมนาผู้บริหารโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศ เมื่อเร็วๆ นี้ว่า หลังจากนี้สำนักบริหารงานส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) จะเน้นและส่งเสริมให้นักเรียนหันมาเรียนสายอาชีวศึกษาเพิ่มมากขึ้น ตามนโยบายของนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ เพราะปัจจุบันสถานประกอบการ และตลาดแรงงานต้องการผู้ที่จบสายอาชีวศึกษาจำนวนมาก แต่นักเรียนกลับเลือกเรียนสายสามัญศึกษามากกว่าสายอาชีวศึกษา ทั้งนี้สาเหตุที่ผู้ปกครองยังคงให้เด็กเลือกเรียนสายสามัญอยู่ อาจเป็นเพราะมีความลังเลใจด้วยเหตุผลหลายประการ อาทิ การทะเลาะวิวาท เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และ สช. พยายามส่งเสริมการปฏิรูปการเรียนการสอนสายอาชีวศึกษา เพื่อให้ผู้ปกครองได้ปรับเปลี่ยนความคิด และเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อการเรียนสายอาชีวศึกษา โดยได้จัดโครงการ “โรงเรียนอาชีวเอกชน มอบดอกไม้ให้แก่ชุมชน” เพื่อให้นักเรียน นักศึกษาอาชีวะกลุ่มเสี่ยงมารวมตัวกันทำประโยชน์ให้แก่ชุมชน สังคม เพราะเด็กกลุ่มนี้แม้จะเป็นหัวโจกแต่ลึกๆ จะมีความเป็นผู้นำสูง ดังนั้นจึงต้องดึงสิ่งเหล่านี้มาใช้ในทางที่ถูกและเกิดประโยชน์แก่สังคม และตัวเอง โดยเปลี่ยนจากการถืออาวุธมาเป็นดอกไม้แทน

“ผู้บริหารโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนทุกแห่งจะต้องช่วยกันสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน และสร้างภาพลักษณ์ที่ดี รวมทั้งต้องทำให้ผู้ปกครอง และนักเรียนเห็นว่าการเรียนสายอาชีวะจะทำให้ผู้เรียนมีอนาคตที่ดี และมีรายได้ที่ดี เพื่อให้ผู้ปกครองเกิดความเชื่อมั่น และมั่นใจได้ว่าเมื่อส่งบุตรหลานมาเรียนในโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนแล้ว จะได้ทั้งความปลอดภัย และความรู้ที่สามารถนำไปประกอบอาชีพ หรือนำไปต่อยอดการเรียนในระดับที่สูงขึ้นได้ด้วย” เลขาธิการ กช.กล่าว

กรุงเทพฯ–9 เม.ย.–ASTVผู้จัดการออนไลน์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32412&Key=hotnews

ห่วง ม.4 ไม่มีที่เรียนถึง 6 พันคน

9 เมษายน 2556

เมื่อวันที่ 8 เม.ย. นายสัจจา ศรีเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) เขต 2 กรุงเทพมหานคร กล่าวถึงความคืบหน้าการรับนักเรียนชั้นม.1 และม.4 ประจำปีการศึกษา 2556 ของโรงเรียนในสังกัด ว่า ในวันที่ 9 เม.ย. นี้ สพม.เขต 2 จะประชุมเกลี่ยนักเรียนชั้นม.1 ตามที่ก่อนหน้านี้ได้เปิดให้นักเรียนที่ยังไม่มีที่เรียน ยื่นแสดงความประสงค์ขอให้จัดหาที่เรียนมา โดยจะประกาศผลการเกลี่ยได้ในวันที่ 11 เม.ย. นี้ ผ่านทางเว็บไซต์โรงเรียนต่างๆ ที่เปิดให้ยื่นแสดงความประสงค์และเว็บไซต์สพม. เขต 2 www.secondary2.obec.go.th /2013 หากนักเรียนไม่เลือกโรงเรียน ก็คาดว่าเด็กจะมีที่เรียนครบทุกคนหลังจากเกลี่ยครั้งนี้ ขณะที่โรงเรียนที่เกลี่ยจะเป็นโรงเรียนคู่พัฒนา และโรงเรียนทั่วไปในสังกัดรวมถึงโรงเรียนสังกัดกทม.ด้วย

ผอ.สพม.เขต 2 กล่าวต่อว่า ส่วนการรับนักเรียนชั้นม.4 ทางเขตพื้นที่ฯ ไม่ได้เปิดให้ยื่นแสดงความประสงค์จัดหาที่เรียน เพราะช่วงชั้นนี้มีหลายแผนการเรียน ดังนั้น นักเรียนจะต้องประสานกับโรงเรียนโดยตรง ส่วนจะมีปัญหาหรือไม่ก็ต้องรอดู สำหรับการรับนักเรียนชั้นม.3 เดิมให้เรียนต่อชั้นม.4 นั้น ทราบว่าโรงเรียนหลายแห่งลงตัวแล้ว แต่อีกหลายโรงก็ยังไม่เรียบร้อย แต่เข้าใจว่าที่สุดแล้วโรงเรียนก็สามารถบริหารจัดการได้เอง เพราะนโยบายรับนักเรียนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ชัดเจนอยู่แล้วว่า เปิดโอกาสให้เด็กที่มีศักยภาพเหมาะสม กับจำนวนนักเรียนในห้องม.ปลายไม่เกิน 45 คน

“ไม่มั่นใจว่าการรับนักเรียนครั้งนี้ จะไม่เกิดปัญหาอย่างปีที่ผ่านมา เพราะจากข้อมูลสพม.เขต 2 พบว่าเด็กม.1 ยังล้นกว่า 4,400 คน ส่วนม.4 ยังล้นกว่า 6,400 คน ซึ่งหลังจากการเกลี่ยไปแล้ว ก็ไม่ทราบว่าจะล้นเหลืออีกเท่าใด แต่ที่เป็นกังวลที่สุดคือการรับนักเรียนชั้น ม.4 ที่ให้โรงเรียนกับนักเรียนไปจัดการกันเอง” นายสัจจา กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32411&Key=hotnews