บุรินทร์ รุจจนพันธุ์

Generation Me คือ มีบุคลิกภาพหลงตัวเอง

generation me in time magazine
generation me in time magazine

เราเคยพูดกันเรื่อง Generation X แล้วก็ Generation Y
เดี๋ยวนี้เขาเสนอคำใหม่ Generation ME
น่าสนใจนะครับ .. โดยเฉพาะคำว่า หลงตัวเอง
(คนแถว ๆ บ้านทำตัวเป็นนกหงส์หยก .. ธรรมดาของมนุษย์)

 

คุณธาม เชื้อสถาปนศิริ,
นักวิชาการสถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ (สวส.)
timeseven@gmail.com
เขียนเรื่องเมื่อ 18 พ.ค.56 จากที่พบใน Time U.S. เมื่อ 9 พ.ค.2013
แล้วพบข้อมูลอีกครั้งตามปกนิตยสาร TIME ฉบับ 20 พฤษภาคม 2013
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10151458805008732&set=p.10151458805008732

Official by Josh Sanburn  May 9,2013
http://nation.time.com/2013/05/09/millennials-the-next-greatest-generation/
You might think they’re entitled, lazy and over-confident. You’d be right—but you’d also be wrong

จาก FB : Time Chuastapanasiri

ME ME ME Generation “คนรุ่นฉัน ฉัน ฉัน”
ถึงจะขี้เกียจ หลงตัวเอง และยังอาศัยพ่อแม่กิน
แต่ฉันก็จะช่วยโลกและทุกคนได้นะ!
………
ธาม เชื้อสถาปนศิริ,
นักวิชาการสถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ (สวส.)
timeseven@gmail.com

ภาพปกนิตยสาร “TIME” ฉบับวันที่ 9 พฤษภาคม 2013 เป็นปกที่เรียกความสนใจได้อีกครั้งหนึ่ง เมื่อนำเสนอบทความพิเศษที่ว่าด้วย “ME GENERATION” พร้อมภาพเด็กหญิงวัยสาวกำลังนอนราบกับพื้นและยกกล้องจากโทรศัพท์มือถือขึ้นโน้มลงมาถ่ายรูปหน้าตัวเอง ปนปกสีฟ้าโทนอ่อน

ข้อความปนปก เขียนว่า “Millennials are lazy, entitled narcissists. Who still live with their parents.– Why they’ll save us all” by Joel Stein

แปลความได้ว่า “คนรุ่นใหม่(สหัสวรรษ)นั้นขี้เกียจ ขึ้นชื่อว่าหลงตัวเอง พวกเขายังอยู่กับพ่อแม่ของตนเอง – (แต่)ทำไมพวกเขาจะช่วยเหลือเราทุกคนไว้ทั้งหมด?” บทความนี้เขียนโดย โจเอล สไตน์.

โจเอล อ้างข้อมูลที่น่าตกใจจาก “The National Institutes of Health” (สถาบันสุขภาพ แห่งชาติ – อเมริกา) ว่า ผู้คนอเมริกัน ที่อายุเฉลี่ย 20ปี (20-29) มีระดับการ “หลงตัวเอง” มากกว่าคนรุ่นลุงป้า หรือ ยุคเบบี้บูม (ซึ่งน่าจะอายุขณะนี้ประมาณ65 ปี) เป็นอัตราที่มากถึง 3 เท่า!

สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (อเมริกา) เปิดเผยข้อมูลว่า คนรุ่นใหม่กำลังเป็นโรค “Narcissistic Personality Disorder” ซึ่งหมายถึง บุคคลที่มีอาการหลงใหลในบุคลิกภาพของตนเอง และมีความเชื่อว่าโลกหมุนเวียนโคจรรอบตนเอง อาการนี้บ่งชี้ได้จากการที่เขาขาดความสามารถที่จะรู้สึก แสดงความสนใจ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น แต่เขากลับมีแรงปารถนาที่จะมุ่งสนใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา

คนที่มี “บุคลิกภาพหลงตัวเอง” อาจจะมีอาการ/พฤติกรรมดังนี้

(1) ปฏิกิริยาต่อการวิพากษ์วิจารณ์ ด้วยความโกรธแค้น สร้างความน่าละอาย/ขายหน้า และความอัปยศน่าอดสู

(2) เอาเปรียบผู้อื่น เพื่อตอบสนองความต้องการชนะ หรือวัตถุประสงค์ของตนเอง

(3) มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นคนสำคัญมากเกินพอดี

(4) พูดขยายเกินกว่าความเป็นจริงเกี่ยวกับความสำเร็จหรือความสามารถของตนเอง

(5) มีใจหมกมุ่นกับจินตนาการความสำเร็จ พลัง อำนาจ ความงาม สติปัญญา หรือ รักในอุดมคติ

(6) ใช้เหตุผล ที่ไม่สมเหตุสมผล กับสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ หลงใหล คาดหวัง

(7) ต้องการเป็นที่ชื่นชม ยอมรับและหลงใหลอยู่ตลอดเวลา

(8) เพิกเฉย ไม่เอาใจใส่ต่อความรู้สึกของผู้อื่น และมีความพยายามเพียงน้อยนิดที่จะแสดงความเห็นใจผู้อื่น

(9) คิดหมกมุ่นอยู่กับผลประโยชน์และความต้องการของตนเอง

(10) ไล่ตามเป้าหมายที่เห็นประโยชน์แก่ตนเอง

เมื่อวิเคราะห์ถึง “สาเหตุ อัตราการเกิดโรค และ ปัจจัยความเสี่ยง” ของโรค ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามาจากสิ่งใด อาจเป็นได้ทั้งจาก ประสบการณ์ช่วงวัยเด็ก การเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ละเลย ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุหลักในการพัฒนาสภาวะของโรคนี้

วิธีการรักษาโรคนี้ คือ เข้ารับการบำบัด หรือได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น ด้วยความเอาใจใส่ และการดูแลอย่างเห็นอกเห็นใจ

……..
ขณะที่ บทความชื่อ “7 เหตุผลที่คนรุ่นใหม่ กลายเป็นคนหลงตัวเอง” เขียนโดย Hannah Kapp-Klote ที่อ้างบทความของ Joel Stein ก็วิเคราะห์ว่า จริงๆ แล้วความหลงตัวเองของคนรุ่นใหม่นั้น ได้รับอิทธิพลมาจากสื่อ คือ

(1) รายการโทรทัศน์ประเภทเรียลิตี้

Hannah วิเคราะห์ว่า คนรุ่นใหม่นั้น เป็นคนรุ่นแรก ที่เติบโตภายใต้รายการโทรทัศน์ประเภทเรียลิตี้ และถูกความบันเทิงประเภทนี้กล่อมเกลาเป็นประสบการณ์ในชีวิต ซึ่งผู้คนพยายามไต่เต้าจากคนธรรมดาทั่วไป มาประกวดแข่งขัน ผ่านการร้อง เล่นเต้นรำ หรือ ใช้ความสวยงาม ความสามารถ หรือชะตาชีวิตที่พลิกผันมากลายเป็นคนดังมีชื่อเสียงในสังคม
การเป็นคนดัง กลายเป็นงานที่ใฝ่ฝันของผู้คนรุ่นใหม่ในสังคมปัจจุบัน!

(2) อินเตอร์เน็ต

เฟซบุ๊ค ทวิเตอร์ เรดดิท พินเทอเรสต์ หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ต่างๆ นี้ ได้ผลิตและสร้างให้คนรุ่นใหม่ตกเป็นเหยื่อของตนเอง ด้วยเนื้อหาที่พวกเขาสร้าง ผลิต อวด และส่งต่อกันอย่างมากมาย (เฉพาะเนื้อหาที่พูดเกี่ยวกับตนเอง) และการสร้างความสัมพันธ์เสมือนที่ฉาบฉวยบนโลกออนไลน์ บทสนทนากับคนแปลกหน้า ฯลฯ เหล่านี้ได้กลายมาเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญ

(3) ป๋าอวย ป๋าชม ป๋าเชลียร์ ป๋าดัน

ยอมรับความจริงเถอะว่า ในสังคมออนไลน์ หรือในสื่อปัจจุบัน ถ้ามีใครสักคนมาพูดมาชมว่าคุณน่ะเป็นคนพิเศษ เป็นคนสวย หล่อ ดี น่าหลงใหล และพูดแบบนี้ทุกวัน เป็นแรมปี คุณจะไม่สนใจเขาเลยหรือ? เราเป็นคนรุ่นพิเศษ ก็ตามที่พวกเขา(สังคมออนไลน์)เป็นลูกช่างอวยนั่นเอง

อธิบายได้ว่า ในสังคมปัจจุบัน มีคนช่างยุ ช่างอวย ช่างเสี้ยม เป็นวัฒนธรรมเฮโลสาระพา คนกลุ่มใหญ่ส่งเสียงเรียกร้องชื่นชมยินดีในความพิเศษที่เรามี ในสิ่งที่เรานำเสนออยู่ตลอดเวลา ก็เลยกลายเป็นวัฒนธรรม “ไปไหนไปด้วย เฮไหนเฮด้วย” (bandwagon)

(ข้อนี้ เปรียบเทียบจาก สังคมอเมริกัน จะรู้จัก Mr.Fred Rogers คนทำสื่อทางโทรทัศน์เกี่ยวกับรายการเด็ก ข่าว และวาระทางสังคมซึ่งมีอิทธิผลในการโน้มน้าวใน ชักจูงกระแสสังคมในอเมริกา อาจเปรียบเทียบได้กับ คนดังในวงการสื่อบ้านเราทั้งหลาย

แต่ในที่นี้ ผู้เขียนบทความหมายถึงว่า เราทุกๆ คนล้วนก็เป็น คนอวย คนเชียร์ คนดันกันทั้งนั้นในโลกสังคมออนไลน์)

เราทุกคนล้วนอยู่ในสังคมผู้ชม (spectacle society)

(4) วัฒนธรรมบริโภคนิยม

ใครกัน ที่จะชื่นชอบแนวคิดการสร้างวัฒนธรรมคนรุ่นต่างๆ มากที่สุดล่ะ ถ้าไม่ใช่ “นักการตลาด” คนรุ่นเรา (รุ่น generation x-อายุของผู้เขียน?) มีจุดกำเนิดมาจากโทรทัศน์ และโทรศัพท์มือถือ อินเตอร์เน็ต (สำหรับรุ่น millennial) ซึ่งเป็นคนรุ่นที่เกิดมาในวัฒนธรรมของการบริโภค การซื้อ การขาย และกระทั่ง การขายบุคลิก หน้าตา ตัวตน ก็เป็นเรื่องปกติ

(5) การไร้ซึ่ง “คนต้นแบบ”

คนรุ่นใหม่ (Millennials) นั้น เติบโตมากับพ่อแม่ (เจเนอเรชั่นเอ็กซ์) ในรูปแบบครอบครัวเดี่ยวมากกว่าการเลี้ยงดูของปู่ย่าตายาย (ซึ่งเป็นรุ่นเบบี้บูมเมอร์-ยุคทารกเกิดใหม่หลังสงครามโลก) คนรุ่นใหม่นี้อยู่กับเพื่อนๆ มากกว่า และพวกเขาต่างก็สนใจว่า ในบรรดาเพื่อนๆ ที่โรงเรียน ใครเด่น ใครเท่ห์ ใครเฟี้ยว ใครเฉี่ยว ใครเป็นผู้นำแฟชั่นและกิจกรรมสุดเจ๋ง

(ตัวอย่างหนังเรื่อง “Mean Girls (2004)” จะมีตัวละคร 2 คนที่คอยตามผู้นำกระแสวัยรุ่นที่โรงเรียน และยึดเธอ/เขาเป็นแบบอย่างในชีวิต) และคนรุ่นใหม่นี้ (ในวัฒนธรรม/สังคมอเมริกัน) ก็ชอบที่จะทำงานหาเลี้ยงตนเองเพื่อได้ค่าเทอม พวกเขาจึงมีสภาวะ “หยิ่งทะนง” (ego) ไปด้วย แต่ก็ยังขัดแย้งในตัวเอง เพราะไม่มีคนต้นแบบชีวิตให้ได้เรียนรู้นอกจากเพื่อนๆ ด้วยกันในวัยเรียน

(6) เราอยู่อุตสาหกรรม “ถ้วยรางวัลแห่งการมีส่วนร่วม”

สำหรับคนที่กังวลว่าคนรุ่นใหม่จะสนใจเฉพาะเรื่องตัวเองเท่านั้น พวกเขามักบ่นว่าคนรุ่นใหม่ชอบมีส่วนร่วมกับเรื่องต่างๆ อย่างบริสุทธิ์ใจเพราะมีแรงดึงดูดใจว่าจะได้ “ประกาศนียบัตร ป้ายประกาศ ถ้วยรางวัล”

เราจะเห็นภาพพ่อแม่ปัจจุบัน ต่างพะเน้าพะนอลูกๆ ให้เข้าร่วมกิจกรรมประกวดแข่งขัน ต่างๆ (ทั้งกีฬา ดนตรี ศิลปะ การศึกษา หรือร้องเล่น เต้นรำ) และทางโรงเรียน ครู หรือผู้จัด ก็จะต้องมี “ประกาศนียบัตรประกาศเกียรติคุณ” เหน็บท้ายติดตัวกลับบ้านกันไปทุกๆ คน

แตกต่างจากคนรุ่นก่อน ที่กว่าจะได้ถ้วย โล่ห์รางวัล หรือประกาศคุณงามความดี ต่างก็ต้อง “ทำสิ่งนั้นจนสำเร็จบรรลุผล” เป็นที่หนึ่ง ยอดเยี่ยม กว่าคนอื่นๆ แบบพิสูจน์เห็นผลสัมฤทธิ์จริง ถึงจะได้รางวัล แตกต่างกับสมัยนี้ เพียงแต่การเข้าร่วม คือ ความสำเร็จ และหากเข้าร่วมกิจกรรมการประกวดใดๆ แล้วไม่ได้รับโล่ห์ ประกาศ เด็กรุ่นใหม่ก็จะรู้สึกเสียใจ เศร้าใจมาก

กลายเป็นว่า คนรุ่นใหม่ ถูกเลี้ยงดูปลูกฝังค่านิยมการทำทุกอย่างโดยได้รับรางวัลและการประกาศเกียรติคุณ ถูกหล่อหลอมมาในอุตสาหกรรมถ้วยรางวัลแห่งการเข้าร่วม (The Participation Trophy Industrial Complex) โดยมีครู พ่อแม่สร้างแรงจูงใจสนับสนุนให้พวกเขาให้ความสำคัญตัวเองมากยิ่งขึ้น เสพติดความสำเร็จแบบสำเร็จรูปมากขึ้น

ฉะนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า เวลาที่พวกเขาทำงาน ทำการบ้าน รายงาน พวกเขาจะต้องพึ่งพิงพึ่งพา กูเกิ้ลมากขึ้น เพราะมันง่าย เร็ว สะดวกกว่าที่จะต้องใช้ความพยายามค้นคว้า คนทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สำเร็จรูป

(7) นิตยสารไทม์ แม็กาซีน. TIME Magazine
ก็เป็นนิตยสารไทมส์เองนั่นแหละ ที่ทำเรื่องนี้มาโดยตลอด นำเสนอเรื่องต่างๆ ที่กำหนด ชี้นำ ครอบงำโลกด้วยเรื่องราวข่าวสารต่างๆ “เป็นคุณมาโดยตลอด” (นิตยสารไทมส์) ลองไปดูปกเก่าๆ ของนิตยสารไทมส์ดู จะค้นพบว่า ทั้งยูทูบว์ เฟซบุ๊ค ไอโฟน และ เทคโนโลยีมากมายที่พาเหรดกันขึ้นปกอย่างต่อเนื่อง เพราะนิตยสารไทมส์ เป็นสื่อที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดวาระทางสังคมโลก (และในลักษณะประชดประชัน ว่า มีศูนย์กลางมาจากประเทศอเมริกาเท่านั้น ไม่เคยมองเห็นชาติอื่นสำคัญ)

(อันนี้ด่านิตยสารไทมส์ ในแบบจิกกัดเล็กน้อย)

……..
ด้าน Josh Sanburn เขียนในบทความข้างเคียงบทความเด่นในนิตยสารไทมส์เล่มเดียวกัน ชื่อ “Millennials: The Next Greatest Generation?” (คนรุ่นใหม่-สหัสวรรษ รุ่นถัดไปที่เยี่ยมยอด?)

โดยอ้างข้อมูลจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (อเมริกา) ว่า คนรุ่นใหม่กว่า 80 ล้านคนในอเมริกาที่เกิดระหว่างปีค.ศ. 1980 – 2000 นั้นหลงตัวเองเป็นสามเท่าของคนรุ่นพ่อแม่ และ กว่า 80% ของคนรุ่นนี้ ที่มีอายุต่ำกว่า 23 ปี ต้องการได้งานที่มีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ 10 ปีถัดมา จะมีเพียง 60% เท่านั้นที่ได้ทำตามที่ฝัน คนรุ่นใหม่นั้นได้รับการปลูกฝังเลี้ยงดูภายใต้วัฒนธรรม “แค่เข้าร่วม ก็ได้แล้วได้รางวัล ประกาศนียบัตร” (participation trophies) ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่า หากทำงาน พวกเขาควรได้รับการโปรโมทเลื่อนขั้นทุกๆ สองปีโดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาที่ผลงาน/ประสิทธิภาพ

คนรุ่นใหม่ พวกเขาหวังในอนาคต อย่าคิดว่าพวกเขาไม่สนใจไม่ได้ยินในสิ่งที่เราเรียกว่า “ภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจ” นะ

…….กลับไปที่จุดเริ่มต้นของบทความหลักในนิตยสารไทมส์……

Joel Stein ตั้งคำถามสำคัญว่า “แล้วทำไมคนรุ่นใหม่นี้ ถึงจะช่วยเหลือพวกเราไว้ทั้งหมด?” (ก็ทั้งๆ ที่พวกเขาขี้เกียจ หลงตัวเอง และยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่ – ไม่มีงานทำ) เสียจนาดนั้น
Joel บอกว่า “ภายใต้สภาวะถาโถมของข้อมูลสารสนเทศ มหาศาลอันน่ากังวล สิ้นหวัง ในโลกสังคมข่าวสารปัจจุบัน และข้อถกเถียงเชิงกังวลมากมายจากคนรุ่นเก่าก่อนต่อคนรุ่นใหม่ว่าพวกเขาจะไปรอดน่ะหรือ?”

ที่สุดแล้ว แต่คนรุ่นใหม่จะพิสูจน์อะไรหลายสิ่งหลายอย่างที่คนรุ่นเก่ากังวล!

พวกเขามีความมั่นใจมาก พวกเขาเรียนรู้ได้เร็ว พร้อมที่จะปรับตัวเข้ากับโลก ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี นอกจากนี้แล้ว คนรุ่นใหม่ยังเป็นคนมองโลกในแง่ดี สร้างสรรค์ พวกเขาเป็นนักปฏิบัติที่ดี ในเวลาที่เผชิญความยากลำบาก และก็สามารถแก้ไขทุกอย่างลุล่วงไปได้ แม้ว่าพวกเขาจะเสียเวลาไปกับโทรศัพท์มากไปหน่อยก็ตาม!

===============

บรรณานุกรม
• Millennials: The Me Me Me Generation อ่านเพิ่มเติมที่
http://www.time.com/time/magazine/article/0,9171,2143001,00.html
• Millennials: The Next Greatest Generation? อ่านเพิ่มเติมที่ http://nation.time.com/2013/05/09/millennials-the-next-greatest-generation/
• Narcissistic personality disorder อ่านเพิ่มเติมที่ http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/000934.htm
• “7 Reasons Millennials Are Such Narcissists” อ่านเพิ่มเติมที่ http://www.policymic.com/articles/40753/7-reasons-millennials-are-such-narcissists
• Every Every Every Generation Has Been the Me Me Me Generation อ่านเพิ่มเติมที่ http://www.theatlanticwire.com/national/2013/05/me-generation-time/65054/
• Me generation อ่านเพิ่มเติมที่
http://en.wikipedia.org/wiki/Me_generation
• Generation Me อ่านเพิ่มเติมที่
http://eubie.com/genme.pdf

http://www.manager.co.th/qol/viewnews.aspx?NewsID=9560000064309

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=717728818253686&set=a.419037914789446.114737.100000497233295

http://www.thairath.co.th/column/pol/thai_remark/348271

ชวนคิดเปลี่ยนห้องสมุดเป็นบ้านหลังที่สาม

อ่านหนังสือที่บ้าน
อ่านหนังสือที่บ้าน
ภาพประกอบจาก http://www.thaiall.com/readbookt
ติดตามข้อมูลข่าวสารเชิงพัฒนาในต่างประเทศ
ประทับใจแนวคิดเชิงนวัตกรรมมากมายที่ปรากฏในสื่อ
บางแนวคิดก็ได้แต่มอง บ้างก็ไม่เห็นด้วย
บุรินทร์ รุจจนพันธุ์
บุรินทร์ รุจจนพันธุ์

บ้าง ก็อยากนำมาใช้ เช่น การทำให้ห้องสมุดเป็นบ้านหลังที่สาม หากตีความว่าการใช้เวลาในชีวิตอยู่ที่ใดมาก ก็จะเรียกว่าบ้าน ดังนั้น นอกจากบ้านที่ใช้หลับนอนจะเป็นบ้านหลังแรก คงปฏิเสธไม่ได้ว่าบ้านหลังที่สองคือโรงเรียน เพราะตั้งแต่ประถมถึงมหาวิทยาลัย เราใช้ชีวิตไปมากกว่า 16 ปีตั้งแต่เริ่มจำความได้

ตามที่ปรากฏในสื่อของสิงคโปร์ และมีการนำมาแบ่งปันในไทย มีพาดหัวว่า The library : Your third home พบว่า สถิติการเข้าห้องสมุดจำนวน 21 ห้องสมุดในปี 2544 มีผู้เข้าไปใช้ถึง 28 ล้านครั้ง ในปี 2546 มีผู้เข้าใช้ 31.2 ล้านครั้ง ปี 2554 มีผู้เข้าใช้ 37.5 ล้านครั้งในเครือข่าย 25 ห้องสมุด ซึ่งพบว่ามีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จำนวนประชากรจะมีเพียง 5 ล้านคน และกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรเป็นสมาชิกห้องสมุดโดยการดูแลของคณะกรรมการห้องสมุดแห่งชาติ (NLB = National Library Board) ที่สนับสนุนโดยภาครัฐอย่างจริงจัง

แม้จำนวนการเข้าใช้บริการ และยืมหนังสือจะเพิ่มขึ้น แต่ด้วยเทคโนโลยี RFID (Radio Frequency Identification) และเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้ห้องสมุดไม่จำเป็นต้องเพิ่มเจ้าหน้าที่ห้องสมุดตามจำนวนการใช้งาน ด้วยการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ปัจจุบันจะพบการเข้าแถวรอรับบริการมีน้อยมากด้วยระบบการจัดการห้องสมุด (EliMS = Electronic Library Management System) ที่ จะช่วยตอบคำถามตามความต้องการของผู้ใช้บริการ ทำให้จำนวนผู้เข้าแถวรอรับบริการที่เคาน์เตอร์ลดลง เวลาส่วนใหญ่ก็จะใช้ไปกับการจัดหนังสือเข้าชั้น ห้องสมุดมีจุดคืนหนังสืออัตโนมัติ 24 ชั่วโมง และไม่ต้องกลับไปคืนหนังสือที่ห้องสมุดเดิม แต่สามารถคืนที่ใดก็ได้ที่เป็นจุดรับคืนหนังสือ และที่ตั้งห้องสมุดก็จะไปอยู่ในสถานที่ต่างๆ ที่สะดวกในการใช้บริการทั่วประเทศ การปรับปรุง และออกแบบให้ห้องสมุดเป็นสถานที่น่าเข้าไปใช้บริการก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำ ให้ห้องสมุดมีผู้เข้าไปใช้บริการเป็นจำนวนมาก

มองย้อนกลับมาที่ประเทศไทย พบว่า สถิติการอ่านของคนไทยอยู่ในระดับต่ำ สืบเนื่องจากการไม่รักการอ่านหนังสือ หรือหนังสือที่มีอยู่ไม่น่าอ่าน หรือสถานที่อ่านหนังสือไม่น่าเข้าไปใช้บริการ ก็ล้วนรวมกันแล้วส่งผลให้ร้านหนังสือจำนวนไม่น้อยพบวิกฤติทางเศรษฐกิจ และปิดตัวเองไป สำนักพิมพ์ที่จัดทำหนังสือหรือนิตยสารก็ต้องแข่งขันกันสูง เป็นผลให้ปัจจุบันแผงจำหน่ายนิตยสารจะมีแต่ภาพหญิงสาวที่แต่งกายด้วยเสื้อ ผ้าน้อยชิ้นเป็นที่ชินตาเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ผ่านไปมาให้เลือกซื้อ หนังสือโดยพิจารณาจากหน้าปก

ส่วนนโยบายการยุบโรงเรียนขนาดเล็กของรัฐบาลก็มีการให้เหตุผลว่า งบประมาณของภาครัฐมีจำกัดการจะให้งบประมาณสนับสนุนโรงเรียนที่มีนักเรียนไม่ ถึง 60 คน เท่ากับโรงเรียนที่มีนักเรียนหลายพันคน แต่มีคุณภาพของหนังสือและห้องสมุดเท่ากันคงไม่เหมาะสม หากยุบโรงเรียนเล็กหลายโรงเรียนเป็นโรงเรียนเดียว แล้วทุ่มงบประมาณลงไปก็จะทำให้ได้ห้องสมุดที่มีคุณภาพและเป็นแหล่งเรียนรู้ หลักของโรงเรียน แต่นโยบายการยุบโรงเรียนมีประเด็นละเอียดอ่อนอยู่ไม่น้อย ก็เชื่อว่าจะมีการพิจารณาในประเด็นต่างๆ รอบด้านก่อนตัดสินใจ

แต่นโยบายของภาครัฐที่จะพัฒนาห้องสมุดประชาชนในประเทศไทยยังต้องรอดูกันต่อไป เพราะยังเห็นรูปธรรมไม่ชัด เมื่อเดินเข้าไปในห้องสมุดประจำอำเภอ หรือประจำจังหวัดก็ต้องเข้าใจว่างบประมาณน้อย และกลายเป็นสถานที่ที่ไม่น่าเข้าไปใช้บริการด้วยข้อจำกัดเรื่องจำนวน และคุณภาพของหนังสือในห้องสมุด รวมถึงความสะดวกในการใช้บริการ หากจะให้คนไทยมองว่าห้องสมุดคือบ้านหลังที่สามคงต้องพัฒนาอย่างจริงจัง และใช้เวลาอีกนาน

ค่านิยมเรื่องการอ่านของคนไทยที่หวังว่าจะเพิ่มสถิติการอ่านให้สูงขึ้น เริ่มมีอุปสรรคชัดเจนตั้งแต่เริ่มมีความเชื่อว่าทุกอย่างค้นหาได้จาก google.com ทำให้ความสนใจที่จะซื้อหนังสือจากร้านหนังสือลดลง เนื่องจากทุกอย่างหาอ่านได้ในอินเทอร์เน็ต ประกอบกับค่านิยมที่มีต่อเครือข่ายสังคมจนหลายคนอาจมองว่าบ้านหลังที่สามคือ โซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social network) ที่มี facebook.com เป็นที่มั่นสำคัญหลังการเชื่อมต่อออนไลน์ทุกครั้ง ค่าสถิติ เมื่อต้นปี 2556 พบว่า เมืองหลวงของประเทศไทยเป็นอันดับหนึ่งของโลกที่มีสมาชิกเฟซบุ๊คสูงที่สุด มีบัญชีผู้ใช้สูงถึง 12.8 ล้าน ในภาพรวมของประเทศมี 18.3 ล้านบัญชี คิดเป็นร้อยละ 27 ของจำนวนประชากรที่ใช้เฟซบุ๊ค และค่าสถิติการใช้เฟซบุ๊คย่อมหมายถึงการดึงความสนใจของคนไทยออกจากการอ่าน หนังสือ เนื่องจากต้องให้เวลากับเฟซบุ๊คมาก ทำให้มีเวลากับการอ่านหนังสือลดลง

แล้วอนาคตของห้องสมุดไทยจะเดินไปทางใดก็ต้องฝากไว้กับรัฐบาลไทยที่จะผลัก ดันให้ห้องสมุดไทยอยู่ในใจคนไทย ด้วยการพัฒนาระบบการศึกษาให้คนไทยรู้ว่าการเรียนรู้ตลอดชีวิตมีความสำคัญกับ การดำรงชีวิตเพียงใด ถ้าจำนวนผู้เห็นความสำคัญของการเรียนรู้ตลอด ชีวิตมีเพิ่มขึ้น สถิติการอ่านหนังสือก็จะเพิ่มขึ้น จำนวนห้องสมุดที่ดี และมีชีวิตชีวาก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ก็หวังว่าวันนั้นจะมาถึงในเร็ววัน

แหล่งอ้างอิง
! http://news.voicetv.co.th/global/75568.html
! http://newspapers.nl.sg/Digitised/Page/today20030306-1.1.3.aspx
! http://fbguide.kapook.com/view55860.html

โดย : ผศ.บุรินทร์ รุจจนพันธุ์ กรุงเทพธุรกิจ

! http://bit.ly/17e934p
! http://blog.nation.ac.th/?p=2808

ล้อมคอกนักศึกษาลอกข้อสอบด้วยหมวกกระดาษ

ไม่คิดว่าจะเป็นจริงในสังคมปัจจุบัน
อ่านแล้วก็ยังไม่เชื่อว่าจะมี อาจารย์ที่ไหนคิดว่าวิธีนี้ได้ผล
เพราะใครเห็นก็ต้องทราบว่า
ผลทางตรงของวิธีนี้ไม่อาจป้องกันการลอกข้อสอบได้จริง
แต่ถ้าเป็นผลทางอ้อมก็ไม่แน่ โดยใช้หลักจิตวิทยา เพื่อปรามไม่ให้กระทำ

 

หมวกกระดาษ กัน ลอกข้อสอบ
หมวกกระดาษ กัน ลอกข้อสอบ

บรรยากาศแปลกตาที่เกิดขึ้นในห้องสอบคณะอุตสาหกรรมเกษตร (อก.) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ถูกเผยแพร่ส่งต่อในสังคมออนไลน์ตลอดวันที่ 14 ส.ค.2556

นักศึกษาร่วม 100 ชีวิต ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นแถวๆ มีพื้นที่ว่างกั้นระหว่างกัน กำลังก้มหน้าก้มตาจับจดอยู่กับการทำข้อสอบ บนหัวทุกรายมีสิ่งหนึ่งผิดแผกแปลกไปจากสภาพปกติ นั่นก็คือ “แผ่นกระดาษ”

ผู้เข้าสอบทุกรายถูกสั่งให้สวม “หมวกกระดาษ (Paper Hat)” ซึ่งมีลักษณะเป็นกระดาษขาวเย็บต่อกันเป็นวงสำหรับสวมจากด้านบน ซ้ายขวามีแผ่นกระดาษขาวห้อยลงมาคอยเบียดบังทัศนะวิสัย เป้าประสงค์หลักคือป้องกันไม่ให้ผู้เข้าสอบทำการทุจริตในห้องสอบได้

ทันทีที่ภาพถูกเผยแพร่ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์หลากหลายแตกต่าง มุมหนึ่งสนับสนุนว่าเป็นสิ่งดี อาจารย์น่าชมเชยเพราะสามารถประดิษฐ์นวัตกรรมจากภูมิปัญญาง่ายๆ แต่ใช้แก้ปัญหาได้จริง อีกมุมหนึ่งเห็นต่าง มองว่าเป็นการกระทำที่เกินพอดี และเป็นการหยามเกียรติภูมินักศึกษา

วุฒิชัย กปิลกาญจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) บอกกับโพสต์ทูเดย์ว่า แม้จะยังไม่ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่พร้อมจะเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างถึงที่สุด

ขณะที่ อาจารย์คณะอุตสาหกรรมเกษตร รายหนึ่ง ยอมรับกับโพสต์ทูเดย์ตรงๆ ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง เป็นมาตรการที่ใช้ระหว่างจัดสอบจริง แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถให้รายละเอียดมากกว่านี้ได้ จำเป็นต้องหารือกันภายในก่อน อย่างไรก็ดียืนยันว่าเมื่อได้ข้อสรุปจะเร่งชี้แจงอย่างเร็วที่สุดแน่นอน

ด้าน เกษียร เตชะพีระ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์รูปดังกล่าวและแสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กKasian Tejapiraw ว่า ผมเกรงว่าต่อให้สอบผ่านทั้งห้องก็ล้มเหลว

อาจารย์เกษียร ขยายความว่า อนาถใจนะครับ ยิ่งกว่าการสอบของเด็กนักเรียนซะอีก ถ้าเราต้องใช้วิธีนี้ในห้องสอบ ก็แสดงว่าการศึกษาล้มเหลวแล้ว ไม่ว่าจะสอบผ่านหรือไม่ก็ตาม ล้มเหลวแล้วต่อให้สอบผ่านทั้งห้องก็ตาม

นั่นเพราะพวกเขาซึ่งเป็นผลผลิตบุคลากรจากระบบการศึกษาได้กลายเป็นคน ที่ถูกปฏิบัติต่อสเมือนหนึ่งไม่อาจไว้วางใจได้ว่าจะทำสิ่งสุจริตโดยสมัครใจ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? การติดกระดาษบังรอบหัวได้แตะเข้าไปถึงมูลเหตุของความล้มเหลวหรือ?

สังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ส่องปรากฏการณ์นี้ว่า มหาวิทยาลัยไม่น่าจะทำถึงเพียงนี้ เป็นสิ่งที่มากเกินความจำเป็น และภาพที่เผยแพร่ออกมาสร้างความเสียหายทั้งกับตัวมหาวิทยาลัยเอง และหากหลุดออกไปให้ชาวต่างชาติเห็น เขาจะยิ่งหัวเราะและมองว่าการศึกษาไทยล้าหลัง ภาพที่ออกมาคือความล้มเหลว

ปัญหาคือระบบโบราณ เป็นการสอบที่ให้นักศึกษาจำแต่ไม่ให้คิดวิเคราะห์ นี่จึงเป็นส่วนหนึ่งให้นักศึกษาขาดจินตนาการ แม้สอบผ่านเรียนจบออกมาก็คิดอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็โง่ ดังนั้นต้องสอนให้นักศึกษาคิด ให้อภิปราย เมื่อสอบก็เป็นลักษณะปัจเจก ไม่ต้องกังวลว่าจะมาลอกกันอาจารย์สังศิต ระบุ

http://www.posttoday.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B9%8C/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9/240644/%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%B6%E0%B8%81-%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%A8-%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89

เมื่อเช้าแชร์เรื่องใช้กล่องคลุมหัว เพราะไม่คิดว่าจะมีจริงในโลก
ยิ่งหมวกกระดาษยังไม่สามารถป้องกันได้เลย หากผู้กระทำมีเจตนาอยู่แล้ว
http://www.thaiall.com/blog/burin/5433/

 

แฝดสามใบเถาขวัญใจของประชาคมออนไลน์ในเวียดนาม

น้อง ๆ เขามีกฎว่า
“จะต้องช่วยกันทุกอย่างเพื่อประสบความสำเร็จด้วยกัน”

learning
learning

แฝดสามใบเถาขวัญใจของประชาคมออนไลน์ในเวียดนาม แม้จะรู้จักชื่อทั้งสามคนก็ยังยากที่จะเรียกให้ถูกตัว นอกจากจะเรียกตามสีหรือตามลายเสื้อ แต่สามสาวเติบโตมาด้วยกัน ช่วยกันทำการบ้าน ช่วยกันติว ทำให้เรียนเก่ง เป็นนัก “เด็กท็อป” มาด้วยกัน และในวันนี้ประสบความสำเร็จด้วยกันในด่านแรก ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะทำให้คุณพ่อคุณแม่ภาคภูมิใจได้มากมายเท่านี้ ถึงแม้ว่าค่าเล่าเรียนของนักศึกษาแพทย์แต่ละคนตลอด 6 ปีข้างหน้า จะเป็นเงินมากมายมหาศาลสักเพียงไรก็ตาม. — ภาพ: เตื่อยแจ๋ออนไลน์.

http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9560000100183

ASTV ผู้จัดการออนไลน์ — ประชาคมออนไลน์ในเวียดนามพากันชื่นชม นักเรียนหญิงอายุ 18 ปีพี่น้องแฝดสาม ที่สอบเอ็นทรานซ์เข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ได้ยกทีม มารดาเผยตั้งใจเรียนกันและติวกันเองมาตลอดแฝดทั้งสามมีความตั้งจะให้ประสบความสำเร็จร่วมกัน และไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง ชาวเน็ตต่างชื่นชมผลงานการเลี้ยงดูของคุณพ่อคุณแม่และความสามารถของน้องแฝด ขณะเดียวกันก็แสดงความหนักใจกับค่าเล่าเรียนตลอด 6 ปีข้างหน้า

เหวียนเจิวแทง (Nguyen Chau Thanh) เหวียนซเวินแทง (Nguyen Dan Thanh) กับเหวียนบ๋าวแทง (Nguyen Bao Thanh) ได้กลายเป็นแฝดสามรายแรกของประเทศที่ทำได้เช่นนี้ ในการสอบเอ็นทรานซ์ที่ประกาศผลปลายสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งสามคนผ่านเกณฑ์คัดเลือกเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยการแพทย์และการเภสัชนครโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh City Medicine and Pharmacy University) สถาบันที่สร้างบุคคลากรทางการแพทย์ชั้นนำของประเทศมาแล้วเป็นจำนวนมาก

สถาบันการศึกษาเก่าแก่แห่งนี้กำลังเฉลิมฉลอง 66 ปีการก่อตั้ง และจะรับเฉพาะนักศึกษาที่ผ่านการสอบเอ็นทรานซ์ที่ได้คะแนนสูงเท่านั้น สำนักข่าวเวียดนามเอ็กซ์เพรสกล่าว

อย่างไรก็ตาม สามใบเถาไม่ได้มีความประสงค์จะเรียนคณะแพทย์ศาสตร์แม้แต่คนเดียว ซเวินแทงกับเจิวแทงเลือกคณะการเภสัช ส่วนบ๋าวแทงเลือกคณะทันตแพทย์

ทั้งสามเป็นนักเรียนท็อปมาตลอด 12 ปีที่เรียนมัธยมศึกษา” นางจีงถิทูบา (Trinh Thi Thu Ba) คุณแม่ที่ประกอบอาชีพค้าขายกล่าวกับสำนักข่าวยอดนิยมภาษาเวียดนาม

ครอบครัวของแฝดสามใบเถาพื้นเพเป็นชาว จ.โด่งนาย (Dong Nai) ซึ่งอยู่ติดนครโฮจิมินห์ แต่ส่งลูกสาวทั้งสามไปเรียนมัธยมศึกษาในนครใหญ่ศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ คุณแม่บอกว่าทั้งสามคนจะช่วยกันทำการบ้านมาตั้งแต่เล็กๆ หากการบ้านของใครคนใดคนหนึ่งไม่เสร็จก็จะไม่นอน หากไม่เข้าใจก็จะช่วยกันอธิบายจนเข้าใจ พ่อแม่ไม่เคยบอกให้สนใจหรือตั้งใจเรียน ไม่เคยถามเรื่องทำการบ้าน แต่จะทำกันเอง ดูแลกันเอง และกลายเป็นนักเรียนเรียนดีทั้งสามพี่น้อง

พวกเขามีกฎที่ไม่ประกาศอยู่เรื่องหนึ่งคือ จะต้องช่วยกันทุกอย่างเพื่อประสบความสำเร็จด้วยกัน” นางทูบากล่าว

คุณแม่กล่าวว่าภูมิใจที่สุดในชีวิตที่ได้เลี้ยงลูกทั้งสาม เพราะตอนคลอดมีคนขอ “ซื้อ” ไปเลี้ยง เนื่องจากไม่เชื่อว่าเธอจะมีปัญญาเลี้ยงลูกแฝดสาม และถึงแม้ว่าค่าเล่าเรียนในอีก 6 ปีข้างหน้าจะเป็นเงินมากมายมหาศาลเพียงไรก็ตาม เธอกับสามีจะฟันฝ่ากันต่อไปเพื่อให้ทั้งสามสาวมีอนาคตที่ดี

ตอนนี้ฉันภูมิใจเป็นที่สุด ลูกๆ โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว มีคนจำนวนมากที่ทราบข่าวและมาแสดงความยินดีกับครอบครัวของเรา” นางทูบากล่าว

เรื่องนี้ยังเป็นที่กล่าวถึงกันมาในประชาคมออนไลน์เวียดนาม หลายคนถึงกับชมว่าแฝดสามใบเถาสามารถเป็น “โรลโมเดล” ให้กับเยาวชนของทั้งประเทศได้ ชาวเน็ตจำนวนมากอำนวยชัยให้พรขอให้ประสบความสำเร็จ มีอนาคตอันสดใส เพื่อรับใช้สังคมและช่วยเหลือประชาชนในอนาคต

ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เตื่อยแจ๋ แฝดสามใบเถาสอบได้คะแนนสูงมาก ไม่เพียงแต่จะผ่านเกณฑ์แอดมิสชั่นของมหาวิทยาลัยการแพทย์และการเภสัชฯ เท่านั้น คะแนนของเจิวแทงกับบ๋าวแทงยังผ่านเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์นครโฮจิมินห์ ในขณะที่ซเวินแทงผ่านเกณฑ์คัดเลือกของมหาวิทยาลัยการค้าต่างประเทศ นครโฮจิมินห์เช่นกัน

ทั้งสองสถาบันนี้เป็นสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำในระดับต้นๆ ของเวียดนาม และคัดเอาเฉพาะนักเรียนที่ผ่านการสอบเอ็นทรานซ์ที่ได้คะแนนสูงมาก สื่อออนไลน์กล่าว

สำหรับมหาวิทยาการแพทย์และการเภสัชโฮจิมินห์ ก่อตั้งขึ้นในยุคที่ภาคใต้เวียดนามยังเป็นดินแดนอินโดจีนของฝรั่งเศส โดยแต่เดิมแยกกันเป็น 2 วิทยาลัยที่เป็นอิสระต่อกันและพัฒนาต่อมาในหลายยุค จนถึงช่วงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2518 จึงรวมเป็นสถาบันเดียวกัน ปัจจุบันมหาวิทยาลัยการแพทย์ฯ เปิดสอนเพียง 7 คณะที่เกี่ยวกับการแพทย์และยาล้วนๆ

สถาบันแห่งนี้ยังร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดลของไทย กับมหาวิทยาลัยอีกแห่งหนึ่งของมาเลเซีย เพื่อจัดการประชุมการเภสัชแห่งอาเซียนขึ้นเดือน ธ.ค.2556 ในนครโฮจิมินห์

ปอกเปลือกทีวีดิจิทัล (TV digital peel)

ปอกเปลือกทีวีดิจิทัล (TV digital peel)
ดร.สิขเรศ ศิรากานต์ เจ้าของวิทยานิพนธ์ Digital TV in Thailand
ที่มา: เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2556

! http://mediamonitor.in.th/archives/3708
! http://www.sikares.com/
! http://www.nstda.or.th/news/12133-nstda

ดร.สิขเรศ ศิรากานต์ Digital TV
ดร.สิขเรศ ศิรากานต์ Digital TV

หากถามถึงการรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับ ระบบโทรทัศน์ใหม่ที่กำลังจะเกิดในประเทศไทยอย่าง ‘ระบบดิจิทัล’ หรือที่เราเรียกกันสั้นว่า ‘ทีวีดิจิทัล’ นั้น คนไทยส่วนมากก็พอจะรับทราบกันในระดับหนึ่ง และเป็นช่วงระยะเวลามาช่วงหนึ่งพอสมควร

ที่สำคัญ ล่าสุด ซึ่งคงถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับคนไทยคือ มีการยืนยันจาก พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) แล้วว่า คนไทยจะได้ชมภาพและฟังเสียงจาก ‘ทีวีดิจิทัล’ เป็นครั้งแรกในวันที่ 5 ธันวาคม 2556 นี้อย่างแน่นอน

โดยในการประมูลช่องทีวีดิจิทัลทั้ง 30 ช่อง ในช่วงปี 2556 นี้ จะแบ่งเป็นช่องธุรกิจ 24 ช่อง และช่องสาธารณะ 6 ช่อง จากทั้งหมดที่จัดสรร 12 ช่องในกลุ่มสาธารณะ ส่วนช่องอื่นๆ ที่เหลือรวมทั้งทีวีดิจิทัล ประเภทชุมชน จะมีการจัดสรรใบอนุญาตให้ในปีหน้าฟ้าใหม่ต่อไป รวมเป็น 48 ช่อง

อย่างไรก็ดี ยังมีแง่มุมของความห่วงใยจากนักวิชาการ ที่ต้องเรียกว่า เชี่ยวชาญด้านทีวีดิจิทัลเลยก็ว่าได้ นั่นคือ ดร.สิขเรศ ศิรากานต์ ผู้เป็นเจ้าของวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก หัวข้อ Digital TV in Thailand ผู้ที่ได้ดีกรีดอกเตอร์ PhD in International Communication Macquarie University Sydney Australia

โดยระหว่างที่ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) คงกำลังคร่ำเคร่งให้การประมูลครั้งที่จะเกิดขึ้นผ่านไปด้วยดี นั้น ค่าที่ได้ศึกษาบทเรียนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในแต่ละประเทศอย่างลึกซึ้ง เนชั่นสุดสัปดาห์จึงได้โอกาสเข้าสัมภาษณ์ เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้ แนวคิด ความคิดเห็น ในเชิงเปรียบเทียบว่า ในการเปลี่ยนผ่านจากโทรทัศน์ระบบอนาล็อกไปสู่ระบบดิจิทัลทีวี หรือเรียกว่า ‘อนาล็อคสวิทช์ออฟ ดิจิทัลสวิชท์โอเวอร์’ ที่กำลังจะเกิดในประเทศไทย แตกต่างหรือเหมือนหรือมีแนวโน้มที่จะเดินตามรอยทีวีดิจิทัลในต่างประเทศอย่างไร

เบื้องต้นต้องบอกว่า สิ่งที่ได้จาก ดร.สิขเรศ ในฐานะนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญไม่แค่เรื่องทีวีดิจิทัล แต่ยังรวมไปถึงนิวมีเดีย และองค์ความรู้ทางสื่อสารมวลชนในด้านต่างๆ คือการฉายภาพให้เข้าใจกันง่ายๆ พร้อมตั้งคำถามหลายๆ คำถามไปพร้อมๆ กัน เกี่ยวกับภาพของอนาคตทีวีดิจิทัลไทย แบบเป็น Scenario Thinking หรือ กระบวนการคิดและคาดการณ์เกี่ยวกับอนาคต เนื่องจากได้ศึกษาทีวีดิจิทัลมาแล้วด้วยตัวเองถึงโมเดลของประเทศต่างๆ อีกหลายประเทศ

อนึ่ง ปัจจุบัน ดร.สิขเรศ ศิรากานต์ มีตำแหน่งเป็น ผู้อำนวยการ หลักสูตรนิเทศศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา ‘การบริหารจัดการสื่อใหม่’ (Master of Communication Arts Program in New Media Management : NMM) ที่มหาวิทยาลัยเนชั่น อันเป็นหลักสูตรแรกในประเทศไทย ที่ใช้กรณีศึกษาจากที่เกิดขึ้นจริงในโลกนิวมีเดียสมัยใหม่มาให้นักศึกษาระดับปริญญาโทได้เรียนรู้การบริหารจัดการให้พัฒนาและอยู่รอด ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสื่อยุคใหม่ที่รวดเร็ว

ยังมีสาระข้อมูลอีกมากเกี่ยวกับนิวมีเดีย และกระบวนทัศน์ต่างๆ ทางสื่อสารมวลชน และเทคโนโลยีสื่อฯ ที่ ดร.สิขเรศ นำเสนอไว้อย่างน่าสนใจ ติดตามได้ที่ http://www.sikares-digitalmedia.blogspot.com, https://twitter.com/sikares และ https://www.facebook.com/drsikares อาจารย์ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่อง Digital TV in Thailand ทำไมสนใจเรื่องนี้

ครับ ผมทำทีสิส (Thesis) เล่มนี้ในช่วงปี 2004-2007 โดยประมาณ แล้วด้วยความที่ผมทำงานด้านโปรดักชั่นมาก่อน จนถึงโปรดิวเซอร์ สิ่งที่สนใจอย่างน้อยๆ มันก็ต้องแบ็คกราวด์ของตัวเราเอง แบ็คกราวด์ของเราก็อยู่ในแวดวงโทรทัศน์ ภาพยนตร์มาก่อน เพราะฉะนั้นเลยเป็นสิ่งที่น่าสนใจ และช่วงนั้นเป็นช่วงรอยต่อการเปลี่ยนผ่านจากอนาล็อคไปสู่ดิจิทัลพอดี ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา อังกฤษ หรือออสเตรเลีย เหมือนบ้านเราตอนนี้ เขาเริ่มมีกระบวนทัศน์ตรงนี้เกิดขึ้นแล้ว แต่ทีนี้ เข้าเนื้อหาก็คือว่า กระบวนทัศน์ในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลบ้านเรา จริงๆ แล้วมีมาตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1990 ก็คือช่วง 1998-99 ตอนนั้นเป็นช่วงที่เป็นการแข่งกันของเจ้าพ่อเทคโนโลยีของโลก เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เพราะฉะนั้นตอนนั้นเป็นเรื่องของการชิงธงความเป็นเจ้าพ่อทางด้านเทคโนโลยีบรอดคาสติ้ง จากยุคอนาล็อคมาสู่ยุคดิจิทัล

เป็นเจ้าพ่อเพื่ออะไร

ก็คือตอนนั้นใครที่จะสามารถโน้มน้าวใจ พูดง่ายๆว่า พวกนี้คือสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์ทั้งหมด คำว่าเทคโนโลยีที่จริงก็คือสินค้านั่นเอง คือกระบวนการทุนนิยมนั่นเอง เพราะฉะนั้นถ้าเราจะลองตีความนัยทางเศรษฐศาสตร์การเมืองก็ได้ จะเห็นว่ามันเป็นกระบวนการที่เราจะผ่องถ่ายเทคโนโลยีตรงนี้มาอย่างไร ในที่สุดก็รบกันซักพักหนึ่ง แต่ละประเทศก็ใช้ระบบและวิธีคิดของตัวเอง จนมีการเปลี่ยนผ่านจริงๆ ก็ในช่วงปลายปี 1990-2000 เริ่มมีการก่อตัวของนโยบายสาธารณะ เริ่มมีการพูดคุยกันในรัฐสภาของแต่ละที่ เริ่มมีการวางแผนของเรกกูเลเตอร์ หรือว่าองค์กรกำกับดูแลของแต่ละที่

มาสู่ความสนใจเรื่องทีวีดิจิทัลของบ้านเรา

จากงานของผมจะเห็นว่า แต่ละประเทศมีประสบการณ์ในการเปลี่ยนผ่านมา มีทั้งประสบการณ์ความสำเร็จ ประสบการณ์ความล้มเหลว นี่จึงเป็นแรงจูงใจของผม ที่ผมคิดว่า เรื่อง อนาล็อคสวิทช์ออฟ ดิจิทัลสวิทช์โอเวอร์ หรือว่าการเปลี่ยนผ่านมาสู่ระบบดิจิทัลมันน่าสนใจนะ มันสนุกและมันจะเห็นความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

อาจารย์ตั้งหัวข้อในเชิงเปรียบเทียบ จากช่วงเวลาแล้ว ตอนนั้นบ้านเรายังไม่มีทีวีดิจิทัลให้เปรียบเทียบหรือเปล่า

บ้านเราหลายคนเข้าใจผิดว่า โทรทัศน์ดิจิทัลมันเพิ่งเกิด และมันกำลังจะเกิด ไม่ใช่นะครับ(ยิ้ม) ประเด็นของเราถ้าพูดถึงคำว่าโทรทัศน์ดิจิทัล ผมอยากจะให้นิยามแก่คนอ่านให้ถูกต้องก่อนนิดหนึ่งก็คือว่า อันที่หนึ่งคำว่าโทรทัศน์ดิจิทัล ถ้าจะแบ่งตามแพลตฟอร์มหรือหมายถึงการแบ่งตามวิธีการส่งสัญญาณ ผมคิดว่าเราต้องมาบอกก่อนว่าโทรทัศน์ มันมีการส่งอยู่ 3-4 ลักษณะ หนึ่งส่งผ่านคลื่นความถี่ทางภาคพื้นดิน หรือ Terrestrial Television หรือโทรทัศน์ภาคพื้นดินนั่นเอง สองคือผ่านดาวเทียม หรือ Satellite Television อันที่สามก็คือผ่านสายเคเบิล หรือเคเบิลทีวีนั่นเอง และมันยังมีรูปแบบอื่นๆ อีกนะ เช่น ไอพีทีวี หรือ Internet Protocal Television ก็คือโทรทัศน์ที่ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต แล้วยังมีเรื่องเกี่ยวกับ Second screen เพิ่มเติมเข้ามาอีก นี่คือระบบนิเวศของโทรทัศน์ มันเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าจะแบ่งอย่างง่ายๆ 1.แบบใช้คลื่นความถี่ และ 2.แบบไม่ใช้คลื่นความถี่นั่นเอง

สิ่งที่เรากำลังพูดถึง คือ โทรทัศน์ดิจิทัลภาคพื้นดิน

ใช่ ถามว่า ทีวีดิจิทัลภาคพื้นดิน เพิ่งเริ่มมีการขยับเขยื้อนมีการปรับเปลี่ยน มีการทำตรงนี้ใช่หรือไม่ ไม่ใช่ หลายคนรู้ ผู้ใหญ่ในวงการโทรทัศน์เรารู้ดี หลักฐานหนังสือช่วงปี 2543 มีการทดลอง ส่งสัญญาณโทรทัศน์ภาคพื้นดินระบบดิจิทัลเกิดขึ้น กี่ปีมาแล้วครับ ปีนี้ กสทช. บอกว่าจะทำการส่งสัญญาณทีวีดิจิทัล คือ 5 ธันวาคม 2556 ก็นับมาได้เมื่อ 13 ปีที่แล้ว เรามีแล้วทีวีดิจิทัล เป็นโมเดลคล้ายกัน การทดลองออกอากาศเหมือนกัน ผู้ประกอบการผู้บริหารสถานีใหญ่ๆ ทั้งหมดทุกท่านทราบอยู่แล้ว จะเข้าร่วมโครงการตรงนี้อยู่แล้ว ถามว่า โทรทัศน์ดิจิทัล ภาคพื้นดินเพิ่งมีในประเทศไทยหรือเปล่า ผมตอบเลยไม่ใช่นะ มีการรับทราบ มีการอิมพลีเมนเตชั่นมาเมื่อ 13 ปีที่แล้ว เราเป็นประเทศในกลุ่มแรกๆ เสียด้วยซ้ำไป ที่ได้เริ่มสัมผัสกับเทคโนโลยีโทรทัศน์ดิจิทัลภาคพื้นดิน

ความพร้อมของผู้ประกอบการในช่วงนั้นเป็นอย่างไร

ตอนนั้นผมทำวิทยานิพนธ์ปี 2004 -2007 โดยประมาณ ผมได้มีโอกาสไปสถานีโทรทัศน์ไทยเกือบทั้งหมด ได้มีโอกาสไปดูไปสังเกตการณ์ และได้คุยกับผู้บริหาร ซึ่งต้องขอขอบคุณ ถามว่าพร้อมไหม พร้อมนะครับ มันเหมือนกับการสับสวิทช์นะครับ ยกตัวอย่าง ช่วงนั้นเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างเทคโนโลยีการผลิตของโทรทัศน์อนาล็อคไปสู่ดิจิทัล ช่วงนั้นสวิทเชอร์ทั้งหมดรออยู่แล้ว เป็นระบบดิจิทัลทั้งหมดแล้ว คือจะบอกว่าเป็นเชนที่ตลก คือสมัยนั้นเราทำงานทั้งหมดเลยด้วยเครื่องตัดต่อ ด้วยคอมพิวเตอร์กราฟฟิก ด้วยเวอร์ชวลสตูดิโอ อะไรทุกอย่าง แต่เวลาเราเอาท์พุท เราต้องเอาท์พุทด้วยเทปเบต้าแคมคืออนาล็อค ต้องไปใส่เทปเพลย์เยอร์แล้วส่งสัญญาณออกอากาศอีกทีหนึ่ง ซึ่งในการส่งสัญญาณออกอากาศบางทีเราส่งขึ้นดาวเทียมเสียด้วยซ้ำไป ซึ่งดาวเทียมสมัยนั้น ไทยคมก็เป็นดิจิทัลเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน

แต่บ้านเราไม่เกิดเพราะอะไรคงต้องย้ำกันอีกที

ครับ เพราะเป็นช่วงสุญญากาศของ กสทช. เรามีเต็มที่คือ กทค. (คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม) ก็ไม่สามารถจะทำ บทบาทอะไรบางอย่างของ กสทช.ได้ เพราะการเปลี่ยนผ่านมันต้องใช้กลไกทางกฎหมาย มันต้องใช้กลไกทางการบังคับบัญชา มันต้องใช้กลไกลทางรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ไม่ใช่อยู่ดีๆ เราจะมาบอก เอ้าช่อง 3 ส่งเลยนะดิจิทัล ไม่ได้ เพราะฉะนั้นในงานวิจัยของผมจึงบอกว่าถึงสิ่งเหล่านี้ว่า ที่เราไม่สามารถมีทีวีดิจิทัลได้เพราะเราไม่มีเรกกูเลเตอร์ หรือ กสทช. ที่มีอำนาจเปลี่ยนผ่านเด็ดขาด สิ่งเหล่านั้นคืออุปสรรค

ในต่างประเทศการเปลี่ยนผ่านของเขาติดปัญหาทำนองนี้ไหม

ร้อยแปดเหมือนกัน ยกตัวอย่างในอเมริกา แบบเขามีอีโก้ของตนเองมากในการเปลี่ยนผ่าน ช่วงปี 2002 เขาอยากจะทำ แต่ก็ทำไม่ได้ จนเลื่อนมาเรื่อยๆ จนปี 2009 คิดดูว่าเขาเริ่มพูดกันช่วงต้นปี 1999 กี่ปี ทศวรรษหนึ่งเลยนะ กว่าอเมริกาจะสวิทช์ออฟระบบอนาล็อคได้ เขามีเงินขนาดไหนเขายังใช้เวลา 10 ปีโดยประมาณ เพราะอะไร พูดเลยว่าเป็นแค่จุดเล็กๆ หลายเรื่องที่เราคิดไม่ถึง เช่น เพราะเขาไม่สามารถบริหารจัดการในการแจกคูปองสนับสนุนโทรทัศน์ดิจิทัลได้ และเซตท็อปบ๊อกซ์หรือกล่องรับสัญญาณ ไม่สามารถนำส่ง หรือไม่สามารถแจกจ่ายให้กับประชาชนได้ คือปัญหานี้ ต้องบอกเลยว่ามันคิดได้ไง (หัวเราะ)

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการยอมรับนวัตกรรม มันมีหลายระดับนะ สิ่งที่จูงใจของคนนะ อันที่ 1 ถ้ากลไกราคา ไม่เป็นที่พึงพอใจสำหรับผู้บริโภค เขาก็ปฏิเสธ เพราะฉะนั้นอเมริกาก็พยายามคิดเรื่องแจกคูปอง อันที่ 2 ถ้าคุณลักษณะหรือคุณภาพของมันเปรียบเทียบไม่แตกต่าง ประชาชนก็ยอมรับนวัตกรรมตรงนี้ไม่ได้ แล้วเราอย่าลืมว่าในเส้นเคิฟของนวัตกรรม มันมีกลุ่มคน 4-5 กลุ่ม จากคนที่รับนวัตกรรมได้เลย จนถึงคนที่ไม่เอาเลย เพราะฉะนั้นที่อเมริกา ปลายปี 2009 ตอนแรกต้องสวิทช์ออฟกุมภาฯ 2009 เลื่อนไปเป็นมิถุนายน 2009 โอบาม่าคนเซ็นกุมขมับเลย เลื่อนเพราะอะไร เพราะในช่วงสุดท้ายเขาทำการสำรวจ มีประชากรอเมริกาประมาณร้อยละเกือบ 15 เปอร์เซ็นต์ ไม่สนใจการเปลี่ยนตรงนี้ ถือว่าเยอะนะครับ เพราะอเมริกาประเทศใหญ่ ผลคือบางบ้านเขายังพอใจระบบเดิมอยู่ แล้วก็เรื่องคูปองที่ตกสำรวจอะไรก็แล้วแต่ นี่แค่ประเทศเดียวนะ ทางญี่ปุ่นเขาก็เลื่อนๆ เหมือนกัน (หัวเราะ)

บ้านเราถ้าเอาเรื่องการยอมรับนวัตกรรม

บ้านเรายังไม่มีการสำรวจตัวเลขที่แท้จริงเรื่องการยอมรับนวัตกรรมตรงนี้ ว่าคนยอมรับเทคโนโลยีตรงนี้ขนาดไหน อย่างไร แต่เรามีนะ ยังมีคนที่ไม่ยอมรับ คนไม่สนใจเลย เพราะฉะนั้น ถ้าถามถึงโทรทัศน์ดิจิทัล ถ้ามองง่ายๆ ก็บอกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเปลี่ยนผ่าน แค่สับสวิทช์ แต่ถ้ามองยากก็คือว่า เราอย่าลืมว่าเรายังมีคนไม่พร้อม ยอมรับนวัตกรรม อย่างอเมริกาคนที่เขาคอนเซอร์เวทีฟก็เยอะและคนที่เขาไม่มีความจำเป็นก็มี เอาง่ายๆ ร้านผัดข้าวข้างตึกเรา ป้าเขาขอเปิดแค่ฟังเสียงล่ะ เพราะฉะนั้นเราต้องยอมนับว่าเรามีประชาชนที่คิดแบบนี้ แล้วเราถูกหล่อหลอมมาด้วยโทรทัศน์ 3 5 7 9 มา 50-60 ปีแล้ว เราก็คิดว่าไม่จำเป็นไม่เป็นไร

ก็ไม่แปลกถ้าบ้านเราจะมีอุปสรรครออยู่

แน่นอน เหมือนกัน อย่างตอนนี้บ้านเราจะพูดคำว่า ‘สงครามแพลตฟอร์ม’ กันพร่ำเพรื่อ ผมจะบอกว่า ถ้าเราไม่เรกกูเลเตอร์ ภาคอุตสาหกรรมให้ร่วมมือกัน ทั้งภาคอุตสาหกรรมโทรทัศน์ อุตสาหกรรมผู้ผลิต ผมคิดว่าการเปลี่ยนผ่านจะมีอุปสรรค เพราะทุกวันนี้ดู มีวาทกรรม มีแนวโน้ม หรือมีอะไรก็แล้วแต่ มีการขีดเส้นระหว่างโทรทัศน์ดาวเทียม โทรทัศน์เคเบิล และโทรทัศน์ภาคพื้นดิน อันนี้จะเป็นจุดวิกฤติที่เป็นอุปสรรค เลิกพูดเลยคำว่าสงครามแพลตฟอร์ม เลิกพูดได้แล้ว เราคิดว่าเรายิ่งใหญ่จนต้องมาขีดเส้นกันขนาดนั้นเลยเหรอ เพราะอะไร อังกฤษมีประสบการณ์นี้มาแล้วพยายามจะเตะคนออกไปจากวงโคจร คือสมัยที่เขาทำโทรทัศน์ดิจิทัลใหม่ๆ เขาล้มเลย ไอทีวียูเค คือถ้าเราเตะคนออกจากวงการ ลองคิดดูนะ เคเบิลกับแซทเทลไลท์จะเป็นตัวเล่นโทรทัศน์ภาคพื้นดินอย่างมาก เพราะตอนนี้ตัวเลขอยู่ 52 ความเป็นจริงไม่รู้เท่าไหร่ กลุ่มนี้มีพลังนะ ถึงแม้ว่าเราจะวิจารณ์เนื้อหาเขาว่าไร้สาระอะไรก็แล้วแต่ โทรทัศน์ป้าเช็งนะ โทรทัศน์โอนามิ อย่าไปดูถูกลีน่าจังนะ เพราะฉะนั้นเราจะมีวิธีไหนไหม ในการสมานพวกนี้เข้ามาด้วยกัน เพราะในที่สุดแล้วมันคือคอนเวอร์เจนซ์มันต้องรวมกันหมด ไอแพด สมาร์ทโฟนเป็นตัวอย่าง มันคอนเวอร์เจนท์กันหมดเรียบร้อยแล้ว ถ้าพูดคำว่าสงครามแพลตฟอร์ม มันคือแบ่งแยก เราต้องนิยามใหม่ แล้วมาคิดกันว่าเราจะไดรฟ์กันอย่างไรในอีก 15 ปีข้างหน้า ตามระยะเวลาของไลเซนส์ของทีวีจิทัลที่จะประมูลได้กัน

เรามีโอกาสเดินพลาดเหมือนประเทศต่างๆ ที่เล่ามานี้

การศึกษาเปรียบเทียบในสาขาที่ผมเรียนมาหรือว่าอินเตอร์เนชั่นแนลคอมมิวนิเคชั่น มันให้ข้อดีกับผมคือเราเรียนรู้ร่วมกัน คือตอนนี้สังคมไทยวิพากษ์อย่างเดียว ไม่เสนอทางออก ผมก็อยากจะนำเสนอทางออกในส่วนของคนเล็กๆ มุมเล็กๆ เป็นลูกชาวบ้านนี่แหละ ถามว่าผมสนับสนุนไหมทีวีดิจิทัล เต็มที่เลย แต่ผมไม่อยากให้ หนึ่ง-เราเสียเงินเปล่าโดยใช่เหตุ คิดดูนะครับ ราคาประมูลตั้งต้น 20,000 กว่าล้านมันมาจากไหน นอกจากนี้ยังมีค่ามัลติเพล็กซ์ คือค่าเช่าโครงข่ายส่งสัญญาณ ซึ่งยังไม่เปิดเผยข้อมูลที่มันเป็นทางการ ซึ่งถ้ามันราคาตามที่เราได้ยิน ผมว่าผู้ประกอบการตาย อันที่ 3 ค่าประกอบการ สามขา ไม่ว่าจะภาคไหน แต่ผมเนี่ย รักภาคประชาชนมากๆ แต่ถ้าใครบอกว่า ภาคพาณิชย์ ไม่ต้องพูดถึง ไม่ใช่นะ ภาคพาณิชย์ก็หมายถึงภาคประชาชนด้วย เพราะอะไร คือถ้าเขาเจ๊ง คนเป็นร้อยตกงานไหม

เพราะฉะนั้นง่ายๆ เลย ผมถาม สูตร หรือฟอร์มูล่าในการประมูล เคยเปิดเผยก่อนที่จะประกาศไหม เมืองนอกไม่มีหรอกครับ จะโกรธผมก็ได้นะ เมืองนอกไม่มีหรอกนะที่จะจ้างที่เดียวให้ทำ เขาต้องมีจัดสาธารณะ หมายถึง เรื่องเกี่ยวกับงานวิจัย การตั้งราคาประมูล มันเหมือนกับ 3 จี ผมอ่านงานวิจัยสิบกว่าหน้า ผมเชื่อเลยว่า คณาจารย์ทั้งหมด หวังดีกับประเทศ และมีการนำเสนอออพชั่น มีการนำเสนอข้อมูลอย่างดี แต่อาจมีการหยิบยกแค่พารากราฟเดียว หน้าเดียว เอาไปใช้

ซึ่งโทรทัศน์ดิจิทัลยิ่งกว่าอีก คือผมไม่เคยเห็นเลย ถามว่ามันถึงจุดหนึ่ง มันก็ต้องมีการวิพากษ์กันทั้งนั้น ผมว่ามันทุกฝ่ายด้วยนะ ผู้ประกอบการจะได้ดีเฟนด์ได้ อุ๊ยราคาถูกไป ราคาสูงไป โอเคคุณจะเอาเศรษฐศาสตร์แบบไหนมาจับ ผมเชื่อว่าคนประเทศนี้เก่งเศรษฐศาสตร์และวิศวะที่คำนวณตรงนี้ได้เยอะมาก ซึ่งผมอาจจะแค่ปลายแถว แต่ผมถามว่าราคาตรงนี้มาจากไหน และกลไกอื่นๆ อีก

อาจารย์ศึกษาความล้มเหลวของต่างประเทศมา เห็นอะไรของบ้านเรา

สามส่วนนี้ คุณต้องมองซีนารีโออีก 15 ปี ของประเทศนี้ ถามว่ามันจะล้มไหม ผู้ประกอบการ กิจการ ผมเชื่อว่ามันจะมีล้ม มีลุกไหม มี ถามว่าอาจารย์ไปยุ่งอะไรกับเขา อาจารย์มาเข้าข้างเชิงพาณิชย์ไปไหม ผมก็คิดว่าโอย ถ้าอย่างนั้นไม่ถูกแล้ว ผมเป็นคนเดียวด้วยซ้ำไปในเวลานี้ ที่ขออนุญาตเลยนะ โทรทัศน์ชุมชน โทรทัศน์ภาคประชาชน ยังไม่มีใครพูดถึงเลย อย่างช่องสาธารณะที่ทำอยู่ มันก็ลับลวงพรางกันอยู่หรือเปล่า เพราะกำลังเงี้ยวๆๆ อยู่ แต่อีก 12 ช่องของประชาชนไม่มีใครพูดถึงเลย เหมือนกับประชาชนถูดเตะออกหมด เรามัวแต่เถียงกันเรื่องช่องสาธารณะ ช่องพาณิชย์ แต่ช่องบริการชุมชนล่ะ ผมกราบเรียน วิงวอนเถอะใครก็ได้ช่วยพูดเรื่องนี้ที ช่วยนำมาเป็นประเด็นสาธารณะในสังคมที
คำถาม คือ มันจะล้มได้ไหม อังกฤษล้มมาแล้ว สเปนล้มมาแล้ว เพราะเชื่อมั่นในตัวเองตัดสินใจผิด ฝรั่งเศสไปดูงานวิจัยของไทยพาณิชย์ 5-6 ปี กว่าผู้ประกอบการจะลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้ เหมือนกัน มันจะเป็นเคิฟเหวเลยครับ กว่าจะขึ้นมา บางประเทศเป็นรูปตัววี บางประเทศเป็นรูปตัวยู เพราะฉะนั้นอันนี้ไม่ได้มาพูดเพื่อไซโค ถามว่าสิขเรศ คุณแหม ไม่ใช่ครับ ผมกำลังถามว่าพวกเรามาย้อนคิดกันอีกทีไหม ในส่วนที่เรายังไม่ได้กำหนดหรือประกาศอะไรก็แล้วแต่ มาช่วยกัน ได้ไหม

แต่ทุกอย่างไม่ได้มาฟรีๆ

ใช่ แต่ถามว่า 20,000 ล้านราคาตั้งต้น มาจากไหน หรือจะเอามาช่วยเรื่องเซตท็อปบ๊อกซ์ ถามว่ามันเป็นโมเดลอย่างนั้นใช่ไหม ถามประชาชนหรือยังว่าเขาอยากได้เซตท็อปบ็อกซ์หรือเปล่า มันมีวิธีอื่นไหมในการรับสัญญาณ โมเดลการแจกจ่ายทำไมถึงใช้โมเดลอเมริกา ยังมีโมเดลอังกฤษอีกนะ มันไม่มีเวทีสาธารณะให้นักวิชาการ หรือคนที่มีประสบการณ์อยู่ที่ประเทศนั้น หรือที่เขาผ่านประสบการณ์มาได้รู้ ว่ามันมีข้อดี-ข้อเสียอะไร ผมไม่เคยได้ยิน มีแต่มติออกมา มติออก มติออก ง่ายๆ เลยประชาพิจารณ์ ผมไปมาหลายที่ ตอนเช้าจบ ตอนบ่ายจบ มีคนพรีเซ้นต์ เปเปอร์ มีเวที เปิดไมค์แป๊บหนึ่ง ครึ่งวัน หรือเกือบวัน ผมว่าอันนี้ไม่ใช่ประชาพิจารณ์ ไม่ใช่การรับฟัง

สรุปง่ายๆ คนไทยยังไม่รู้อะไรอีกเยอะ ที่ควรรับรู้ นอกเหนือจากฉันจะมีทีวีดูชัดขึ้น จะได้กล่องแจกฟรี

เอาภาพกว้างนะ ต่างประเทศที่ผมศึกษามา เขาจะเน้นเลยว่า กระบวนการเปลี่ยนผ่านที่ประสบความสำเร็จคืออะไร สิ่งหนึ่งเลยคือ การรณรงค์โครงการสื่อสารให้ภาคประชาชนได้รับทราบ ที่ไม่ใช่งานเปิดผ้าคลุมป้ายอย่างเดียว หรืองานตัดริบบิ้น หรืองานจัดโชว์ที่ศูนย์การประชุมใหญ่ๆ อย่างเดียว มันต้องมีกลยุทธ์ในเชิงรุก ที่ กสทช. บางทีรับงานอะไรจนล้นภาระจนเกินไป ตัวเองน่าจะทำเรื่องการวางกรอบนโยบายให้ดีและมีเหตุผลที่สุด เป็นผู้คุมกฎที่ดีที่สุด เมืองนอกทุกที่ครับ เขาใช้หน่วยงานภาคเอกชน เขาให้เอกชนเป็นตัวไดรฟ์ เรื่องเกี่ยวกับกระบวนการการรณรงค์ รัฐก็เปิดทางไฟเขียว แล้วก็ดึงภาคอุตสาหกรรมมา เช่น ผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์ กับผู้ประกอบการของภาคอุตสาหกรรมเครื่องรับโทรทัศน์ ตั้งเป็นกลุ่มขับเคลื่อนโทรทัศน์ดิจิทัล และมีหน่วยงานที่คุ้มครองสิทธิประชาชน คุ้มครองผู้บริโภค แล้วจัดตั้งหน่วยงานแบบ ดิจิทัลยูเค คือเขามีกันแล้วทุกประเทศ ออสเตรเลียก็มี อเมริกาก็มี เป็นหน่วยงานที่ขับเคลื่อนพลวัตของโทรทัศน์ดิจิทัลภาคประชาชน เพื่อทำแคมเปญ เดินสาย โรดโชว์ ให้ข้อมูล คอลเซ็นเตอร์ วิทยากร ทุกอย่าง

ยังมีเรื่องเซตท็อปบ๊อกซ์ เพราะตอนนี้ มีหากกล่องหลากสีมาก เซตท็อปบ๊อกซ์มาจากไหน เสิ่นเจิ้นอินดัสตรีไหม มันคืออะไร มันคือเงินทองรั่วไหลไป ผมไม่เชื่อหรอกว่าประเทศไทยผลิตไม่ได้ ทำไมภาครัฐไม่เริ่มตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว สนับสนุนภาคอุตสาหกรรมเรา การที่เราอยู่ดีๆ ให้ล็อตใหญ่ บิ๊กล็อต สั่งมาจากเมืองจีน อันนี้ผมคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญนะครับ สิทธิของนักวิชาการ สามารถพูดได้ไม่ต้องมาฟ้องนะครับ คืออะไร เราพัฒนาภาคอุตสาหกรรมเราสิ เรารู้อยู่แล้ว แต่เรามีวิธีไหนไหมที่เราจะเอาเงินมาผ่องถ่ายตรงนี้ สัก 30% เป็นค่าแรงงานของคนในประเทศ 30% ของหมื่นล้านได้เท่าไหร่

ยังมีอะไรจะฝากถึง กสทช. อีกไหม

ที่จะฝากนะ กสทช. ไปเอาโมเดลของอเมริกาที่สิบปีที่แล้ว ซึ่งมันไม่เข้ากับสังคม ตอนนี้ถ้าจะมองซีนาริโอแบบหยาบๆ นะ โมเดลมันมีอยู่ 4 กลุ่มเรียบร้อยแล้ว (ทีวีภาคพื้นดิน ทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวี ไอพีทีวี ) แล้วยังมีจอที่สองอีก ถ้าคุณจะเอาโมเดล 48 ช่อง แบบสมัยโบราณ ยกตัวอย่าง ‘ฮอร์โมนส์’ผมถามเด็กที่ผมสอนเลยว่าดูยังไง เขาบอกแนวมาก เขาบอกว่ารีโมทหาไม่เจอแล้ว แต่ดูย้อนหลังผ่านยูทูบ ถามว่าดูบนไหน ดูบนจอที่สอง คือ แทบเล็ต สมาร์ทโฟน เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจกันใหม่เรื่อง ภูมิสถาปัตย์ หรือระบบนิเวศของสื่อมันเปลี่ยนไปแล้ว ผมยังไม่รู้เลยว่า ประมูลมาเพื่ออะไร แต่ถามผมว่าทีวีดิจิทัล ดีไหม ผมสนับสนุนทำเลย แต่ทำยังไงล่ะที่บอก ทำให้ดี ถ้าสถานีโทรทัศน์เราล้มรายหนึ่ง เกิดอะไรขึ้น เอาง่ายๆ ของเนชั่น พนักงานกี่คน เป็นพันไหม (ยิ้ม) ส่งเงินให้พ่อ-แม่กี่คน เลี้ยงลูกกี่คน แล้วมันไม่ใช่แต่สถานีอย่างเดียว ยังมี เอเยนซี โปรดักชั่นเฮาส์ ทั้งหมดนี้ แค่ไม่จ่ายเงินเดือนๆ เดียว พังทั้งระบบ นี่ล่อไป 48 ช่อง ตัวอย่างมันมีอยู่แล้ว ไอทีวีของอังกฤษล้ม เป็นหมื่นๆ ล้านเลยเงินตรงนี้

อีกกลุ่มคือ โทรทัศน์ภาคประชาชน หรือชุมชนที่อาจารย์บอกก็ห่วง กสทช. จะทำยังไง

ผมคิดว่าคนที่จะต้องเข้ามาช่วยจริงๆ เลยนะ ผมแหย่จริงๆ เลยนะ คือแทนที่ กสทช.สุภิญญา จะมาแง้ว ๆ ๆ อยู่ตลอดเวลานะ ถ้าเป็นผม ผมจะเดินเกมตรงนี้ให้ชัด เพราะตอนนี้ถ้าดูแล้ว กสทช. สุภิญญา กับ หมอประวิทย์นะ (สุภิญญากลางณรงค์ กรรมการกสทช และนพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช. ด้านคุ้มครองผู้บริโภค) แพ้ทุกรูป โหวต ก็ 8 ต่อ 2 หรือ 4 ต่อ 1 หรือ 3 ต่อ 2 ยังไงคุณก็แพ้ ถ้าเอาประเด็นเรื่องทีวีดิจิทัล ขอกลับมาตั้งหลัก ผมส่งสัญญาณเลยนะ รีบกลับมาตั้งหลักเลย มาช่วยกันดูโทรทัศน์บริการชุมชนซะตั้งแต่วันนี้เลย ช่วยโพรเทค ช่วยมาสร้างระบบอย่างที่บอก มันต้องมีเฟรมมิ่งก่อนนะ มันต้องมีการพัฒนาก่อน

แต่ยังไงเสียเดือนธันวาคมนี้เราจะได้เห็นทีวีดิจิทัล แน่ๆ ใช่ไหม

ผมเชื่อว่าในความหมายของ กสทช. ที่เขาอยากจะให้เกิด มันเกิดได้ มันแพร่ภาพได้แน่นอน ในเชิงเทคนิค ดีเดย์วันนั้นก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ฝากง่ายๆ เลย ว่า ผมยังไม่เคยเห็น สวิทช์โอเวอร์โพลิซี หรือแผนการเปลี่ยนผ่าน จริงๆ ผมยังไม่เห็นเลยว่าเฟสต่างๆ ที่ทำมันเป็นยังไง มีอะไรบ้าง ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ผมอยากจะเห็นโรดแมพจริงๆ กลวิธี มันมีเยอะหลายโมเดลในการสวิทช์ออฟอนาล็อค คุณช่วยนำเสนอสู่สาธารณะนิดหนึ่งสิ เอาโมเดลของคุณแหละ และตีโจทย์อื่นๆ เช่น เซตท็อปบอกซ์ ทำไมเอาโมเดลอเมริกา คุณถอดองค์ความรู้ของโมเดลอเมริกามามากน้อยขนาดไหน ยังมีเรื่องอื่นอีกนะที่ไม่ได้พูด ถามว่าธันวานี้ไปได้ไหม ไปได้ แต่ไปได้อย่างประเทศได้ประโยชน์หรือเปล่า ผมไม่ค่อยแน่ใจ สุดท้ายขีดเส้นใต้ ผมสนับสนุนทีวีดิจิทัลร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมเข้าใจทุกซีนาริโอว่าทำไมมันต้องเปลี่ยน แต่ไส้กลางที่ต้องนำมาวิพากษ์กันสู่สาธารณะ คือประโยชน์ของชาติ

ปอกเปลือกทีวีดิจิทัล โดย ดร.สิขเรศ ศิรากานต์
ปอกเปลือกทีวีดิจิทัล โดย ดร.สิขเรศ ศิรากานต์

อธิการบดีปัดแก้เกรดให้ลูก

อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ปัดแก้เกรดให้ลูก บอกถ้าแก้ได้คงแก้ให้ได้เยอะกว่านี้ เชื่อเป็นเรื่องการเมืองภายใน เนื่องจากเป็นช่วงปรับเปลี่ยนตำแหน่ง ขู่เล่นงานกลับให้ถึงที่สุด
http://education.kapook.com/view67041.html

หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าอาจารย์และนักศึกษา มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เข้ายื่นหนังสือถึง นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) สั่งสอบอธิการบดี หลังสั่งแก้เกรดให้กับบุตรชายของตนเองอย่างไม่ถูกต้องจำนวน 8 รายวิชา ประจำปีการศึกษา 1/2555 ตามที่ได้รายงานข่าวไปนั้น
23 กรกฎาคาม 2556 นายถวิล พึ่งมา อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 ก่อนที่เข้ามาเป็นอธิการบดี โดยตนเข้ามารับตำแหน่งช่วงเดือนสิงหาคม 2555 นับถึงวันนี้เป็นเวลาประมาณ 10 เดือน ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นการเมืองภายใน เพราะมีการร้องเรียนมานานแล้ว
โดยทางสภาสถาบันได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง พบว่ามีการแก้ไขเกรดวิชาภาษาอังกฤษ และได้เชิญตนไปสอบปากคำ มีผลสรุปออกมาแล้วว่า มีการแก้เกรดในวิชาดังกล่าวจริง แต่ยังไม่สรุปว่าเกิดจากความผิดพลาดประการใด และจากการสอบสวนสรุปว่าตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายทะเบียน ผู้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ และหัวหน้าสาขา ซึ่งเป็นรองอธิการบดี ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน

ทั้งนี้ ตามระบบการแก้เกรดของ สจล. ไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่ใช่จะแก้ได้คนเดียว จะต้องมีผู้เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ฝ่าย คืออาจารย์ผู้สอนและฝ่ายทะเบียน ถ้าจะเข้าไปแก้เกรดของนักศึกษาได้ ต้องมีทั้งรหัสของฝ่ายทะเบียนและรหัสประจำตัวของอาจารย์ผู้สอน จะใช้เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ ต้องใช้รหัสของทั้งสองคน จึงจะสามารถเข้าไปแก้เกรดให้นักศึกษาได้ ดังนั้นถึงแม้ตนเป็นอธิการบดีก็ไม่สามารถแก้เกรดให้ใครได้เพราะไม่มีรหัสดังกล่าว ถ้าจะแก้ให้ลูกจริง ๆ คงแก้ให้ได้เกรดมากกว่านี้
ส่วนที่ระบุว่าตนเพิกเฉยไม่ดำเนินการใด ๆ เมื่อทางอาจารย์ผู้สอนร้องเรียนว่าเกรดของลูกชายตนมีความผิดพลาดนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะทันทีที่เห็นการร้องเรียน ได้มีคำสั่งไปว่า ขอให้แก้ไขให้เป็นเกรดที่ถูกต้องทันที หากสภาสถาบันสรุปว่าตนไม่มีความผิดตามที่ถูกกล่าวหา และรู้ตัวชัดเจนว่าใครเป็นผู้ดำเนินการดังกล่าว จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด
นอกจากนี้ นายถวิล กล่าวด้วยว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องการเมืองภายในสถาบัน คนที่ร้องน่าจะเป็นผู้บริหารจากกลุ่มอำนาจเก่า ซึ่งในเดือนตุลาคมนี้จะมีผู้บริหารระดับคณบดีและผู้อำนวยการวิทยาลัย ประมาณ 7 คนหมดวาระ และเขาคงเกรงว่าถ้าตนยังเป็นอธิการบดีอยู่ จะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งระดับบริหารต่อไปอีก
+ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1374580565&grpid=00&catid=00

politic or cheat
politic or cheat

อธิการบดี ม.ดังแก้เกรดให้ลูกชาย 8 วิชา นายกสถาบัน สั่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงใหม่ หลังเคยสอบแล้วเป็นเรื่องจริง
+ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1374556431&grpid=&catid=19&subcatid=1903
เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2556 แหล่งข่าวระดับสูงจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ กลุ่มผู้บริหาร คณาจารย์ จากมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เข้ายื่นหนังสือถึงนายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) และนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ถึงพฤติการณ์ที่ไม่ชอบด้วยจรรยาบรรณอาจารย์ และอาจเข้าข่ายกระทำผิดวินัยร้ายแรง ในกรณีการแก้ไขเกรดของนักศึกษาอย่างไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม
แหล่งข่าวกล่าวว่า ใจความในหนังสือระบุว่า ขอร้องเรียนพฤติการณ์ที่ไม่ชอบด้วยจรรยาบรรณอาจารย์ และอาจเข้าข่ายการกระทำผิดวินัยร้ายแรง ในกรณีที่มีการแก้ไขเกรดอย่างไม่ถูกต้อง ตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัยทั้งหมด 8 รายวิชา ประจำปีการศึกษา 1/2555 ของนาย ก. (นามสมมุติ) รหัสนักศึกษา 55xxxxxx นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรชายอธิการบดีของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งนี้ โดยมีรายละเอียดแต่ละวิชา ดังนี้

1. วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน 1 ภาคเรียนที่ 1/2555 เป็นการแก้ไขเกรดจาก D ให้เป็น B “กลุ่มผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน 1 ทราบเรื่องนี้เนื่องจากมีนักศึกษาคนหนึ่งส่งบันทึกคำร้องขอให้สาขาวิชาที่เกิดปัญหาตรวจสอบคะแนนรายวิชาพื้นฐานภาษาอังกฤษพื้นฐาน 1 ภาคการศึกษาที่ 1/2555 และเมื่อกลุ่มอาจารย์ผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษได้ตรวจทานคะแนนการสอบกลางภาค และคะแนนปลายภาค วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน 1 ของนักศึกษาคณะที่เกิดปัญหาทั้งหมด จึงพบว่า คะแนนกลางภาค ปลายภาค และเกรดของนาย ก. ที่ปรากฏอยู่ในระบบฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักทะเบียนและประมวลผลของมหาวิทยาลัย ไม่ตรงกับคะแนนซึ่งเป็นเอกสารที่มีลายมือชื่อของคณะกรรมการผู้จัดทำคะแนน ที่ส่งจากสาขาวิชาที่เกิดปัญหา ไปยังสำนักทะเบียน โดยใบเกรดของสาขาวิชาที่เกิดปัญหาเป็น D แต่เกรดในระบบฐานข้อมูลของสำนักทะเบียนเป็น B และไม่มีอาจารย์ผู้จัดทำคะแนนคนใดเป็นผู้ดำเนินการ รับรู้ หรือรับทราบในการแก้ไขเกรดดังกล่าว” หนังสือร้องเรียนระบุ
หนังสือร้องเรียนระบุอีกว่า วันที่ 27 พฤศจิกายน 2555 คณาจารย์กลุ่มวิชาภาษาอังกฤษได้ส่งเรื่องขอให้คณบดีดำเนินการหาข้อเท็จจริงในเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งคณบดีได้รายงานเรื่องดังกล่าวถึงอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เพื่อสั่งการให้สำนักทะเบียนแก้ไขเกรดของนาย ก. ให้ถูกต้อง และขอให้มหาวิทยาลัยดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่ไม่ปรากฏเอกสารว่าอธิการบดีได้สั่งให้ดำเนินการแต่อย่างใด
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า
2. วิชา ENGINEERING MATHEMATICS 1 โดยข้อมูลของสำนักทะเบียน ณ วันที่ 22 ตุลาคม 2555 นาย ก. ได้เกรด F ต่อมาวันที่ 23 ตุลาคม 2555 พบว่า เกรดเปลี่ยนจาก F เป็น D และในวันที่ 24 ตุลาคม มีการแก้ไขคะแนนอีกครั้งจาก D เป็น C
3. วิชา ENGINEERING MATERIALS ข้อมูลของสำนักทะเบียน ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2555 คะแนนของนาย ก. ได้เกรด F และต่อมาในวันที่ 29 ตุลาคม 2555 พบว่ามีการแก้ไขคะแนนเปลี่ยนจาก F เป็น C
4. วิชา GENERAL PHYSICS 1 ข้อมูลในระบบฐานข้อมูลของสำนักทะเบียน ณ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2555 ได้เกรด D ต่อมาวันที่ 13 พฤศจิกายน 2555 พบว่ามีการแก้ไขคะแนนจาก D เป็น D+
5. วิชา GENERAL CHEMISTRY ข้อมูลในระบบฐานข้อมูลของสำนักทะเบียน ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2555 ได้เกรด D+ และในวันที่ 2 พฤศจิกายน มีการแก้ไขคะแนนจาก D+ เป็น B+
6. วิชา GENERAL PHYSICS LABORATORY 1 ข้อมูล ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2555 ได้เกรด D ต่อมาวันที่ 12 พฤศจิกายน 2555 มีการแก้ไขเกรดเป็น C
7. วิชา GENERAL CHEMISTRY LABORATORY ข้อมูลวันที่ 23 ตุลาคม ในระบบของสำนักทะเบียน ได้ F ต่อมาวันที่ 24 ตุลาคม แก้เกรดจาก F เป็น C และ
8. วิชา COMPUTER PROGRAMMING เป็นวิชาที่รับผิดชอบโดยที่เกิดปัญหา มีการแก้ไขคะแนนหลังจากที่ส่งผลการเรียนให้สำนักทะเบียน และสำนักทะเบียนได้ประกาศเกรดให้นักศึกษาทราบทั่วกันแล้ว โดยแก้ไขเกรดของนาย ก. จาก F เป็น C
แหล่งข่าวคนหนึ่งจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งนี้ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันทั้งสถาบัน ทั้งในกลุ่มอาจารย์กันเอง และนักศึกษา

ดังนั้น ประชาคมของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ จึงได้ส่งหนังสือร้องเรียนถึงนายกสภาสถาบัน และสภาสถาบันได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ผลสอบข้อเท็จจริงสรุปว่า มีการแก้ไขเกรดวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน 1 ของนาย ก. จริง และตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงรองอธิการบดีแต่เพียงผู้เดียว โดยที่อธิการบดีไม่ถูกตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง ทั้งที่ทราบเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น แต่ไม่มีการดำเนินการใดๆ เลย

ผู้บริหารและอาจารย์เห็นว่า การสอบสวนของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง อาจจะยังสาวไปไม่ถึงคนสั่งการจริงๆ และเพิ่งมาพบภายหลังว่า มีการแก้ไขเกรดให้นาย ก. ถึง 8 วิชา ดังนั้น จึงเสนอเรื่องไปยังสภาสถาบันใหม่ เพื่อขอให้สอบสวนเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง ขณะนี้ทางสภาสถาบันได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงขึ้นใหม่แล้ว เพื่อสอบสวนเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง นอกจากนี้ ยังพบอีกว่า ผู้บริหารระดับรองอธิการบดี และผู้ช่วยอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งนี้อีกหลายคน ได้แก้เกรดให้กับลูกของตัวเองด้วยแหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวจากมหาวิทยาลัยชื่อดังกล่าวต่อว่า การแก้เกรดนักศึกษา ถือเป็นการทำผิดวินัยร้ายแรง ตามข้อบังคับสถาบันว่าด้วยวินัย หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการสอบสวนพิจารณา และการสั่งลงโทษทางวินัย พ.ศ.2552 ข้อ 18 (3) ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้ตนเอง หรือผู้อื่นได้รับผลประโยชน์โดยมิควร ซึ่งถือว่าทุจริตต่อหน้าที่ และเข้าข่ายกระทำผิดจรรยาบรรณร้ายแรงของข้อบังคับสถาบัน ว่าด้วยจรรยาบรรณของผู้ปฏิบัติงานในสถาบัน พ.ศ.2553 ตามข้อ 38(7) ใช้วิชาชีพปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ซื่อสัตย์ และแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ โดยกระทำการแก้ผลการเรียน หรือผลสอบของนักศึกษา
การที่กลุ่มอาจารย์ออกมาเปิดเผยเรื่องดังกล่าว เพราะอยากรักษาความถูกต้องทางการศึกษาไว้ โดยอยากขอให้นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการ ศธ.เข้ามาตรวจสอบเรื่องดังกล่าว และขอให้ทางสภาสถาบันสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหารระดับสูง และผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวไว้ก่อน จนกว่ากระบวนการสอบสวนจะได้ข้อสรุป เพราะนักศึกษารายดังกล่าวเป็นลูกของผู้บริหารระดับสูงของสถาบัน ดังนั้น กระบวนการสอบสวนอาจถูกแทรกแซงได้ และหากพบว่าเรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับผู้บริหารระดับสูงคนดังกล่าว และผู้เกี่ยวข้อง ทางกลุ่มอาจารย์ และผู้บริหาร ยอมรับให้ผู้บริหารระดับสูงคนดังกล่าวกลับมาทำงานตามเดิม เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายแหล่งข่าวจากมหาวิทยาลัยชื่อดังกล่าว

ที่มา:มติชนรายวัน 23 ก.ค.2556


ข้อร้องเรียนกรณีมีการแก้ไขเกรด ประจำภาคการศึกษา 1/2555

ชักดาบเงินกู้ กยศ. ทนุศักดิ์ งัดไม้ตายจับขึ้นบัญชีแบล็กลิสต์

ชักดาบเงินกู้ กยศ. ทนุศักดิ์ งัดไม้ตายจับขึ้นบัญชีแบล็กลิสต์

นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง ไล่จับเด็กกู้เงิน กยศ.แล้วเบี้ยวหนี้ หลังพบพฤติกรรมของผู้สำเร็จการศึกษาไปแล้ว มีงานทำแต่นำไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย จึงจำเป็นต้องลงโทษสถานหนักถึงขั้นแบล็กลิสต์ พร้อมสร้างหลักเกณฑ์ใหม่ ในปีการศึกษา 57 ผู้กู้ทุกคนต้องยินยอมให้ถูกขึ้นแบล็กลิสต์ หลังสำเร็จการศึกษาไปแล้ว 3 ปี ยังเบี้ยวหนี้

นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง ในฐานะที่กำกับกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า นักเรียนและนักศึกษาที่กู้เงินจาก กยศ.ในปีการศึกษาหน้า หรือปีการศึกษา 2557 ต้องทำสัญญายอมรับการถูกขึ้นบัญชีดำ หรือแบล็กลิสต์กับศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หรือเครดิตบูโร เพื่อป้องกันการไม่ชำระหนี้ หรือเบี้ยวหนี้ หลังจากพบว่า อัตราการเบี้ยวหนี้ของนักเรียนและนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาไปแล้วและครบกำหนดชำระหนี้ เบี้ยวหนี้ถึง 50%

คลิ๊ปนักศึกษา กยศ. เข้าหัวข้อแรงบันดาลใจ
คลิ๊ปนักศึกษา กยศ. เข้าหัวข้อแรงบันดาลใจ

สิ่งที่น่าเป็นห่วงตอนนี้คือ การเบี้ยวหนี้ของนักเรียนและนักศึกษา เมื่อสำเร็จการศึกษาไปแล้วครบ 2 ปี และในปีที่ 3 ที่ต้องทยอยชำระหนี้คืน กยศ.พร้อมจ่ายดอกเบี้ย 1% ต่อปี ซึ่งถือเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก แต่ปรากฏว่า อัตราการเบี้ยวเพิ่มขึ้นจากเดิมเมื่อหลายปีก่อน เคยลดลงเหลือ 28% ปัจจุบันเพิ่มขึ้นจาก 40% และ 50% ในที่สุด

นายทนุศักดิ์ กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 57 จะเริ่มใช้ในเดือน ต.ค.นี้ สำนักงบประมาณได้ตัดงบสนับสนุน กยศ. 5,500 ล้านบาท เหลือ 23,000 ล้านบาท ทำให้มีเงินเหลือเพียงพอที่จะปล่อยกู้ให้แก่นักเรียนและนักศึกษาใหม่ในปีการศึกษา 57 ได้เพียง 35,000 คนเท่านั้น เพราะ กยศ.จะไม่ตัดสิทธิ์การเล่าเรียนของผู้กู้เดิมเป็นอันขาด เนื่องจากเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อนักเรียนและนักศึกษาที่ต้องเลิกเรียนกลางคันได้

ทั้งนี้ในปัจจุบัน กยศ.มีนักเรียนและนักศึกษาที่กู้เงินประมาณ 800,000-900,000 คน โดยมีอัตราการเข้าใหม่และสำเร็จการศึกษาประมาณปีละ 200,000 คน โดยมีรายได้หลักจากการสนับสนุนเงินงบประมาณของรัฐบาล และรายได้จากการชำระหนี้ของรุ่นพี่เพื่อนำเงินที่ชำระนั้น ไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนให้แก่น้องๆ รุ่นต่อๆ ไป โดยเมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นวันที่ครบกำหนดชำระหนี้ (กรณีชำระเป็นรายปี) พบว่ามีมาชำระหนี้เพียง 25,000 ล้านบาท จากจำนวนเงินที่ครบชำระทั้งหมด 50,000 ล้านบาท หรือเบี้ยวหนี้ถึง 50% จึงมีผลกระทบต่อสภาพคล่องของ กยศ.อย่างหนัก

ลูกหนี้ของ กยศ.ที่ไม่มาชำระหนี้ จะถูกเบี้ยปรับในอัตรา 15% แต่เด็กๆคิดว่าเป็นความผิดเล็กๆน้อยๆ จึงนำเงินไปใช้อย่างอื่นหมด เช่น ซื้อโทรศัพท์มือถือ และรถจักรยานยนต์ เป็นต้น โดยไม่ยอมจ่ายหนี้คืน กยศ.จึงจำเป็นต้องลงโทษอย่างหนัก โดยจะเสนอ รมว.คลัง ขึ้นบัญชีดำ 2 กรณีคือ 1.ผู้กู้ก่อนปีการศึกษา 2557 หากสำเร็จการศึกษาครบแล้ว 5 ปีไม่มาชำระจะขึ้นแบล็กลิสต์ทันที และ 2.ผู้กู้ตั้งแต่ปี 57 เป็นต้นไปหากครบ 3 ปีไม่ชำระหนี้ก็จะขึ้นแบล็กลิสต์เช่นเดียวกัน ซึ่งการขึ้นแบล็กลิสต์จะมีผลกระทบต่อการเข้าถึงแหล่งการเงินและโอกาสในการหางานทำในอนาคตด้วย

นายทนุศักดิ์ กล่าวอีกว่า จากจำนวนผู้สำเร็จการศึกษาที่กู้เงินจาก กยศ.มีผู้ที่มีงานทำประมาณ 70% ที่เหลืออีก 30% ไม่มีงานทำ ซึ่งในส่วนนี้กระทรวงการคลังจะร่วมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สมาคมผู้ประกอบการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือให้มีงานทำและจะร่วมกับกองทุนตั้งตัวได้ เพื่อให้ผู้ที่สำเร็จการศึกษาแล้ว แต่ยังไม่มีงานมีโอกาสเป็นเจ้าของกิจการของตนเองได้ด้วย ซึ่งปัจจุบัน กยศ.ปล่อยกู้ค่าครองชีพแก่นักเรียนตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 (ม.4) เนื่องจากรัฐบาลมีโครงการเรียนฟรีไปจนถึง ม.6 โดยจะปล่อยกู้เป็นค่าเล่าเรียน และค่าครองชีพในระดับอาชีวะจนถึงปริญญาตรี.

http://www.thairath.co.th/content/eco/357172

กยศ. ให้โอกาส

มี 32 สถานศึกษาทุจริต กยศ.

กยศ. ให้ชีวิต

ลือ..คณะแพทย์ห้าม นักศึกษาแพทย์โฆษณาชวนเชื่อ

อ่านเรื่องนี้แล้ว นึกไปถึงหัวข้อคุณธรรม จริยธรรมในวิชาชีพ
ว่าทุกสาขา ทุกหลักสูตร ในทุกสถาบันการศึกษาก็มีกัน
ข้อห้ามเหล่านี้ ถ้าหยิบนำมาพิจารณา อาจทำให้สังคมสงบขึ้น
อาทิ เป็นนักศึกษาไทยต้องทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม
ใครทำผิดวัฒนธรรมไทย .. มีความผิด พ้นสภาพการเป็นนักศึกษา
อะไรทำนองนี้

 

เมื่อฝ่าฝันสอบคัดเลือกเข้ามาเป็น นศพ. เต็มตัวแล้ว
จะทำสิ่งใด.. ต้องรับผิดชอบต่อสังคม

นักศึกษาแพทย์
นักศึกษาแพทย์

HOT สุดในบอร์ดแอดมิชชั่นเว็บเด็กดีตอนนี้ คงหนีไม่พ้นกระทู้ “ใครจะสอบหมออ่านด่วน ไม่สนใจมีสิทธิ์โดนไล่ออกก่อนได้เรียน” ที่ภายในกระทู้มีเนื้อหาอธิบายว่า ขณะนี้อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น จุฬาฯ ศิริราช รามาฯ ม.เชียงใหม่ ม.ขอนแก่น ต่างออกมาแสดงจุดยืน ห้ามนิสิตนักศึกษาแพทย์ ไปรับเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาให้กับเครื่องดื่ม หรือสินค้าที่โฆษณาเกินจริง หลังจากล่าสุดมีผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มยี่ห้อหนึ่งที่สื่อความหมายในภาพยนตร์โฆษณาว่า “ดื่มแล้วสามารถสอบติดคณะแพทยศาสตร์ได้” ซึ่งอาจจะก่อให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดตามมา

16 ก.ค. 56 พี่ลาเต้ ได้นำประเด็นดังกล่าวสอบถามไปยังแหล่งข่าววงในซึ่งเป็นอาจารย์ท่านหนึ่งของ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับการเปิดเผยว่า “ทางคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เรียกนิสิตแพทย์รายหนึ่งมาทำความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวจริง ซึ่งไม่ใช่เป็นการตำหนิหรือลงโทษ เพียงแต่เป็นการพูดคุยชี้แจงให้นิสิตได้ทราบว่า เมื่อฝ่าฝันสอบคัดเลือกเข้ามาเป็น นศพ.เต็มตัวแล้ว จะทำสิ่งใดต้องรับผิดชอบต่อสังคม เช่นกรณีการไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับเครื่องดื่มบำรุงสมองรายหนึ่งที่อ้างว่า ดื่มแล้วสามารถสอบติดคณะแพทยศาสตร์ได้ อาจทำให้รุ่นน้องที่ยึดเป็นไอดอล หรือสังคมเกิดความเข้าใจผิดตามมา เพราะโฆษณาดังกล่าวมีการสร้างความเชื่อที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ และมีดึงชื่อของคณะแพทยศาสตร์ไปเกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ทางคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้แจงเพิ่มเติมว่า “ทางคณะไม่มีการออกกฎระเบียบหรือคำสั่งห้ามนิสิตรับเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ แต่ได้ย้ำเตือนกับนิสิตทุกคนให้ใช้วิจารณญาณ โดยยึดมั่นในการทำงานรับใช้สังคมตามหลักปฎิบัติของนิสิตแพทย์

ทางด้าน รศ.พญ.นันทนา ศิริทรัพย์ รองกรรมการอนุกรรมการสอบคัดเลือก กสพท. (หน่วยงานที่ดูแลการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อคณะแพทยศาสตร์ทั่วประเทศ) ได้แสดงความเห็นผ่านทางทีมข่าวการศึกษาเว็บไซต์เด็กดีดอทคอมว่า “ในโฆษณาดังกล่าวที่สื่อความหมายว่า ดื่มแล้วจะสอบติดคณะแพทยศาสตร์ได้นั้น ไม่เห็นด้วยอย่างมาก เพราะมองว่าการสอบติดคณะแพทยศาสตร์ กับการดื่มเครื่องดื่มนั้นไม่มีความสัมพันธ์กัน การที่นักเรียนจะสอบติดคณะแพทยศาสตร์ได้ อยู่ที่การฝึกฝน และพยายามของแต่ละบุคคล จึงอยากให้สังคม และนักเรียนที่อยากสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์โปรดใช้วิจารณญาณต่อภาพยนตร์โฆษณาชุดดังกล่าว และทำความเข้าใจใหม่ในความเชื่อที่ผิด

ตอบข้อซักถามที่ว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะร่วมกัน ออกกฏห้าม นศพ.ไปเป็นพรีเซนเตอร์ผลิตภัณฑ์ หรือสินค้าโฆษณาเกินจริงหรือไม่? ทาง รศ.พญ.นันทนา ได้เปิดเผยต่อว่า “ในอนาคตทางกลุ่มของคณะแพทยศาสตร์เห็นพ้องร่วมกันว่า เตรียมที่จะมีนโยบายให้คณาจารย์คณะแพทยศาสตร์ทุกสถาบัน ทำความเข้าใจกับ นศพ.ชั้นปีที่ 1 ในงานปฐมนิเทศก่อนเข้ารับการศึกษา โดยยึดหลักจรรยาบรรณของวิชาชีพแพทย์ ที่จะต้องรับใช้และมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยจากข้อมูลที่ได้มาของปี 2556 พบว่า นศพ.ปี 1 จะถูกผลิตภัณฑ์สินค้าดังกล่าว นัดให้ไปถ่ายเป็นพรีเซนเตอร์ในช่วงก่อนกำหนดรายงานตัวเข้าศึกษา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหนือการควบคุมของคณะแพทยศาสตร์นั้นเอง

ทั้งหมดนี้เป็นบทสัมภาษณ์ที่ทางพี่ ๆ ทีมข่าวการศึกษา เว็บไซต์เด็กดีดอทคอมไปสัมภาษณ์มานะครับ คงจะสยบข่าวลือได้ในระดับนึง แต่จะว่าไปแล้วทั้งหมดก็เป็นเรื่องภายในของคณะแพทยศาสตร์ ที่มองว่าการกระทำดังกล่าวนั้นมีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร แต่ในฐานะคนนอกอย่างพวกเราก็ต้องอย่าลืมว่า ให้ใช้วิจารณญาณในการรับข่าวสารด้วยเช่นกันครับ พี่ลาเต้ เชื่อว่าเด็กไทยไม่มีใครสามารถมาหลอกได้ง่ายๆ จริงไหมครับ ?

http://www.dek-d.com/content/admissions/32393/

กลยุทธ์สิงคโปร์สร้างห้องสมุดเป็นบ้านหลังที่ 3

ชวนคิด ชวนมอง .. กันคนละมุม ..
ที่สิงคโปร์จะให้ห้องสมุดเป็นบ้านหลังที่สาม
ผมว่ากลยุทธ์นี้ไม่ work สำหรับคนไทย
.. เพราะปัจจุบันคนไทยส่วนหนึ่งและจะเป็นส่วนใหญ่ในไม่ช้า
ได้ยึด facebook เป็นบ้านหลังที่สามไปเรียบร้อยแล้ว

 

 

ภาพประกอบจาก Zongkiat Pavadee
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=616988631658868&set=a.261783827179352.72887.100000432096291

singapore
singapore

กลยุทธ์สิงคโปร์สร้างห้องสมุดเป็นบ้านหลังที่ 3
การพัฒนาคน สิ่งสำคัญคือการให้ความรู้ ซึ่งสิงคโปร์ถือเป็นต้นแบบแห่งการเรียนรู้ ที่ใช้การอ่านเป็นเครื่องมือ โดยเน้นกลยุทธ์ปลูกฝังนิสัยรักการอ่านตั้งแต่วัยเด็กจนถึงชรา สร้างห้องสมุดให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายและกลายเป็นบ้านหลังที่ 3  รวมทั้งโครงการอ่านหนังสือที่เหมาะกับวัยต่างๆ
การเข้าใช้บริการห้องสมุดของชาวสิงคโปร์ที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยประชากรในประเทศมี 5 ล้านคน และเกือบครึ่งนึงของจำนวนประชาชน พวกเขาเป็นสมาชิกห้องสมุด โดยในปี 2546 มีผู้เข้าใช้จำนวน 31.2 ล้านครั้ง และในปี 2554  เพิ่มเป็น 37.5 ล้านครั้ง   ส่วนสถิติการยืม ในปี 2546 มีจำนวน 27.5 ล้านครั้ง ก็เป็น 36.6 ล้านครั้ง ในปี 2554  ขณะที่การยืมต่อหัวอยู่ในระดับคงที่ระหว่าง 5.7 และ 7.1 
การเปลี่ยนแปลงนี้ มาจากรัฐบาลสิงคโปร์ได้จัดตั้งคณะกรรมการห้องสมุดแห่งชาติ หรือ NLB ขึ้น เพื่อกำกับดูแลห้องสมุดแห่งชาติ ในการพัฒนาระบบโครงสร้างตั้งแต่ปี 2538 โดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี ในการให้บริการห้องสมุดที่เชื่อมโยงทั่วโลก เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต และมีเครือข่ายห้องสมุดประชาชนทั้ง 25 แห่งทั่วประเทศเป็นผู้ให้บริการ  โดยห้องสมุดเหล่านี้  สร้างขึ้นในหลายสถานที่ เช่นห้างสรรพสินค้า ตามแคว้นต่างๆ และเป็นห้องสมุดเฉพาะกลุ่ม เช่น ห้องสมุดด้านศิลปะการแสดง เพื่อรองรับการใช้บริการของคนทุกเพศ ทุกวัย

http://newspapers.nl.sg/Digitised/Page/today20030306-1.1.3.aspx

http://newspapers.nl.sg/Digitised/Page/today20030306-1.1.3.aspx
http://newspapers.nl.sg/Digitised/Page/today20030306-1.1.3.aspx

NLB ได้ปูพื้นฐานนิสัยรักการอ่านตั้งแต่เยาวชนจนถึงคนชรา ผ่านโครงการต่าง ๆ มากมาย เช่น Mystery Brown Bag Service  โดยให้บรรณารักษ์และอาสาสมัครจัดหนังสือตามธีมบรรจุกระเป๋า เพื่อให้บริการสำหรับผู้มีเวลาน้อย แต่ต้องการอ่านหนังสือ การมีรถบัสห้องสมุดเคลื่อนที่ เพื่อให้บริการแก่ผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมายังห้องสมุดได้ หรือกิจกรรม Book Exchange เพื่อส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนหนังสือใช้แล้วและแบ่งปันการรักการอ่านระหว่างกัน
เสถียรภาพทางการเมือง ก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้นโยบายด้านการอ่านของสิงคโปร์ประสบความสำเร็จ เพราะมีการลงทุนทางกายภาพ และการทำงานเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง

ด้านรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หนึ่งในผู้ไปดูงานของสิงคโปร์  บอกว่า ประเทศไทยมีนโยบายการสร้างห้องสมุดชุมชนและในเมืองให้มากขึ้น ในช่วงปี 2557 ถึง 2558  โดยเห็นว่า นอกจากจะพัฒนาห้องสมุดแล้ว ยังต้องพัฒนาศักยภาพของบรรณารักษ์ด้วย

อาคารห้องสมุดแห่งชาติแห่งนี้ ถือเป็นสัญลักษณ์ความรู้ประจำชาติ โดยสิงคโปร์เป็นประเทศที่ขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ จึงจะต้องผลิตคนที่มีคุณภาพเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ เพื่อให้ความรู้ที่ได้ ก่อให้เกิดจินตนาการ และความเป็นไปได้ นั่นคือเป้าหมายของ NLB  ที่จะสร้างสังคมที่มีคนน้อย ให้พัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืน

by wipa
http://news.voicetv.co.th/global/75568.html

ศาลแขวงลำปางกำหนดไกล่เกลี่ยเงินกยศ.ปี 2556

ศาลชวนไปไกล่เกลี่ย
ศาลชวนไปไกล่เกลี่ย

http://www.newsplus.co.th/5913

8 ก.ค.56 นายมาโนช  รัตนนาคะ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงลำปาง เปิดแถลงข่าว ว่าด้วยกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาได้ยื่นฟ้องนักเรียน นักศึกษา ของสถาบันการศึกษา ในจังหวัดลำปาง และจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดลำปาง ที่ได้กู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา และผิดนัดไม่ชำระหนี้เกิน 5 ปี โดยฟ้องต่อศาลแขวงลำปาง รวมทั้งสิ้นกว่า 1,200 คดีรวมเป็นผู้กู้และผู้ค้ำประกันทั้งสิ้นประมาณ 2,000–3,000 คน

ศาลแขวงลำปางจึงกำหนดให้มีการไกล่เกลี่ยคดีกองทุนฯ ดังกล่าว เพื่อให้จำเลยได้มีโอกาสเจรจาไกล่เกลี่ยกับกองทุนฯ ในการผ่อนชำระหนี้เป็นรายเดือน ซึ่งหากตกลงกันได้ทางกองทุนฯ จะดำเนินการตามสัญญาขึ้นใหม่ เพื่อให้จำเลยชำระหนี้เป็นรายเดือน คดีจึงยุติข้อพิพาทจากศาลได้โดยการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และในการทำสัญญานี้จำเลยจะได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมและค่าทนายความ อันเป็นการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาและเป็นการแบ่งเบาภาระของจำเลยในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน โดยการไกล่เกลี่ยจะจัดขึ้นในวันที่ 13-16, 22–23 สิงหาคม 2556 เวลา 09.00–16.00น. ณ อาคารศาลแขวงลำปาง ถนนรอบเวียง ตำบลหัวเวียง อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง

สำหรับข้อแนะนำในการมาศาลเพื่อไกล่เกลี่ยคดีกองทุนฯ
1. ผู้กู้และผู้ค้ำประกันต้องมาศาล ตามกำหนดวันที่ปรากฏในหมายเรียก
2. หากมาศาลไม่ได้ ต้องทำหนังสือมอบอำนาจ เพื่อมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมาทำการแทน
3. หากไม่มาศาล และไม่มีหนังสือมอบอำนาจ ไม่สามารถไกล่เกลี่ยและไม่สามารถทำสัญญาได้และเสียประโยชน์ดังนี้
3.1 ศาลอาจมีคำพิพากษาให้จำเลยต้องชำระหนี้ทั้งหมดตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องไม่มีโอกาสผ่อนชำระพร้อมดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และค่าทนายความ
3.2 กองทุนฯ อาจแจ้งชื่อจำเลยไปยังบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ(เครดิตบูโร)
ทำให้เสียเครดิตในการทำนิติกรรมกับสถาบันการเงินอื่นๆ ในอนาคต

ผลการจัดโครงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาก่อนฟ้องคดี ปี 2549 – 2552
ผลการจัดโครงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาก่อนฟ้องคดี ปี 2549 – 2552

http://www.thailandchonburi.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538775518&Ntype=10

เอกสารประกอบหนังสือมอบอำนาจ
1.หนังสือมอบอำนาจ
2.แนบสำเนาทะเบียนบ้านและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทศาลแขวงลำปาง
โทร. 0-5432-2889, 0-5422-5152 ต่อ 211, 212 หรือ 082-6224211

http://www.newsplus.co.th/5913